Thursday, November 30, 2017

นาย John McAfee ออกมากล่าวย้ำ “ราคา Bitcoin ถึง $1 ล้านแน่” เอา ‘น้องชาย’ เป็นเดิมพัน

นาย John McAfee ผู้ก่อตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์อันโด่งดัง McAfee ยั้ยดูเหมือนว่าจะเป็นนักเทรด Bitcoin สายกระทิงแบบตลาดกาล และชอบทำสิ่งที่ใครหลายๆคนคาดไม่ถึง

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีความกลัวและความไม่แน่นอนมาปลกคลุมตลาด Bitcoin ก่อนที่จะถึงการแยกตัวของ Blockchain ของมันนั้น นาย McAfee ได้ออกมาประกาศถึงสิ่งที่ทำให้หลายๆคนต้องตะลึง โดยการเอาชื่อของเขาและเงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์มาวางเดิมพันว่าราคาของ Bitcoin จะพุ่งขึ้นทะลุ 500,000 ดอลลาร์ในอีก 3 ปี แต่สิ่งที่ทำให้ใครหลายๆคนตกใจยิ่งกว่าจนถึงขีดสุดนั่นก็คือ เขาบอกว่าหากราคา Bitcoin ไม่ถึงตามเป้าที่เขาวางไว้นั้น เขาจะกิน ‘น้องชาย’ ของตัวเองออกทีวีทั่วประเทศ

การออกมาประกาศคำทำนายของเขาดูเหมือนว่าจะเป็นอะไรที่บ้าคลั่งในขณะนั้น จนทำให้หลายๆคนสงสัยว่าเขาจะทำอย่างไรหากมันไม่เกิดขึ้นมาจริงๆ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ราคาของ Bitcoin ได้ทะลุจุดสูงสุดที่ระดับเลขห้าหลักแล้ว และนาย McAfee ก็ไม่เพียงแต่กระหยิ่มยิ้มย่อง แต่ยังเพิ่มตัวเลขของมันอีกต่างหาก

โดยเขาได้ออกมาประกาศว่า

“เมื่อตอนที่ผมทำนายราคา Bitcoin ว่ามันจะไปถึง 500,000 ดอลลาร์ในตอนสิ้นปี 2020 ผมใช้โมเดลการทำนายที่ว่ามันจะไปแตะ 5,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2017 แต่ราคาของ Bitcoin นั้นได้พุ่งเร็วเกินกว่าที่ผมคาดไว้ ตอนนี้ผมขอทำนายว่าราคาของ Bitcoin จะไปถึง 1 ล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2020 ผมจะกินองคชาติของผมถ้าหากว่ามันไม่เป็นไปตามนั้น”

คำทำนายที่มีพลัง

ด้วยการที่ Bitcoin ได้ทลายกำแพงกั้นระหว่างกลุ่มผู้ที่มองเห็นอนาคตที่เข้ามาก่อนและกลุ่มบุคคลกระแสหลักธรรมดาทั่วไปลงนั้น ทำให้นักลงทุนกระเป๋าหนาเข้ามาลงทุนในตลาดนี้กันมากมาย

นาย Ronnie Moas หรือผู้มีชื่อเสียงด้านการวิเคราะห์และเลือกหุ้นได้พยายามที่จะอัพเดตตัวของเขาตลอดเวลา ได้ทำการเปลี่ยนคำทำนายของเขาถึงสามครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยเขาเริ่มต้นที่ 11,000 ดอลลาร์ แต่ก็เปลี่ยนเป็น 14,000 ดอลลาร์ในภายหลัง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น 20,000 ดอลลาร์ในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม นาย Tom Lee พยายามเลือกทำนายราคาแบบพอดีและปลอดภัย โดยเขากล่าวว่า

“เมื่อสัปดาห์ที่แล้วราคาของ Bitcoin ร่วงลงไปถึง 5,600 ดอลลาร์ และหลังจากนั้นก็เด้งกลับขึ้นมา ในมุมมองของพวกเรา การเคลื่อนไหวของราคาไปที่ 5,600 ดอลลาร์นั้นถือเป็นการบีบให้พวกอ่อนหัดเทขาย และเราก็ไม่รู้สึกว่าการเตือนนั้นน่ากลัวอีกต่อไป เราขอแนะนำให้ค่อยๆซื้อ Bitcoin ที่ระดับราคานี้”

เขายังได้ทำนายถึงการเติบโตของมันถึง 40% ในอีก 7 เดือนอีกด้วย

นาย Max Keiser ดูเหมือนว่าจะเป็นอีกคนที่ออกมาทำนายราคาอย่างรุนแรง แต่แม้ว่าจะไม่เท่าของนาย John McAfee ก็ตาม โดยเขาบอกว่ามันจะไปถึงที่ 100,000 ดอลลาร์ในท้ายสุด

The post นาย John McAfee ออกมากล่าวย้ำ “ราคา Bitcoin ถึง $1 ล้านแน่” เอา ‘น้องชาย’ เป็นเดิมพัน appeared first on Siam Blockchain.

“Bitcoin ควรที่จะถูกทำให้ผิดกฎหมาย” กล่าวโดยนักเศรษฐศาสตร์ Joseph Stiglitz

“Bitcoin ควรที่จะถูกทำให้ผิดกฎหมาย” กล่าวโดยนักเศรษฐศาสตร์ Joseph Stiglitz

อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร World Bank ต้องการให้ Bitcoin ถูกแบนโดยรัฐบาล

“Bitcoin ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะศักยภาพในการใช้กลอุบายของมัน และการไร้ซึ่งการควบคุม” กล่าวโดยนาย Joseph Stigliz ที่ในขณะนี้กำลังทำงานเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัย Columbia University โดยกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg Television ในวันนี้ ท่ามกลางการพุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของราคา Bitcoin

เขายังได้กล่าวเสริมว่า

“ดังนั้นสำหรับผมแล้วมันควรที่จะถูกทำให้ผิดกฎหมาย มันไม่ได้สร้างประโยชน์หรืออะไรให้กับสังคมเลย”

อย่างไรก็ตาม นาย Stiglitz ที่ก่อนหน้านี้เคยถูกทาบทามให้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจในให้กับนางฮิลารี คลินตันในช่วงการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วกล่าวว่า เขาไม่สนับสนุนให้มีเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านการจ่ายเงิน แต่เขาคิดว่าเงินดิจิตอลควรที่จะถูกสร้างขึ้นมาจากเงินตราหลัก และถูกควบคุมโดยรัฐบาล

“เรามาเดินทางจากยุคเงินกระดาษไปสู่เศรษฐกิจยุคดิจิตอลของศตวรรษที่ 21 กันเถอะ” เขากล่าว

นอกจากนี้นาย Stiglitz ยังได้กล่าวว่าราคาของ Bitcoin นั้นมันไม่ยุติธรรมและไม่ยั่งยืน

“มันเป็นฟองสบู่ที่จะทำให้ใครหลายๆคนต้องรู้สึกตื่นเต้นในช่วงที่ราคามันขึ้น และหลังจากนั้นมันก็จะลง” เขากล่าว “มูลค่าของ Bitcoin ในวันนี้คือความคาดหวังว่า Bitcoin จะเป็นอย่างไรในวันพรุ่งนี้”

และแม้ว่า Bitcoin จะทำงานอยู่บนเทคโนโลยี Blockchain ที่ผู้คนทั่วโลกต่างก็มาช่วยกันรัน node นั้น แต่นาย Stiglitz ก็คาดหวังว่าจะให้รัฐบาลสหรัฐฯทำการตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการทำลายมัน

“ถ้าหากรัฐบาลบอกว่า สาเหตุที่ Bitcoin ถูกนำมาใช้นั้นก็เพราะต้องการจะใช้อุบายกำจัดมัน พวกเขาจะสามารถทำลายมันเมื่อไรก็ได้” เขากล่าว “และมันก็จะพังพินาศ”

คุณสามารถชมคลิปของเขาได้ด้านล่าง

The post “Bitcoin ควรที่จะถูกทำให้ผิดกฎหมาย” กล่าวโดยนักเศรษฐศาสตร์ Joseph Stiglitz appeared first on Siam Blockchain.

นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้คิดว่า “Cryptocurrency จะทำให้เด็กรุ่นใหม่มีความเน่าเฟะ”

มีรายงานว่านายกรัฐมนตรีของประเทศเกาหลีใต้ได้ออกมากล่าวเตือนเกี่ยวกับเรื่องของ cryptocurrency ใรหมู่เด็กรุ่นใหม่และคนหนุ่มสาว ท่ามกลางการร่างกฎหมายของกลุ่มผู้ออกกฎหมายเพื่อออกมากำกับเว็บเทรดในประเทศ

“มันมีเหตุการณ์ที่กลุ่มหนุ่มสาวในเกาหลีใต้รวมทั้งนักเรียนกำลังกระโดดเข้าไปเพื่อทำเงินเร็ว และสกุลเงินเสมือนจริงกำลังถูกใช้กันในกิจกรรมผิดกฎหมายอย่างเช่นการซื้อขายยาเสพย์ติด หรือธุรกิจแชร์ลูกโซ่” กล่าวโดยนายกรัฐมนตรี Lee Nak-yeon รายงานจาก CNBC

เขากล่าวเพิ่มว่า

“นี่สามารถส่งผลให้เกิดการบิดเบือนอย่างรุนแรงหรือปรากฏการณ์พยาธิทางสังคมถ้าหากไม่ถูกจัดการให้เรียบร้อย”

ภายหลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีของเกาหลีใต้ก็ได้เรียกพบหน่วยงานทางรัฐบาลต่างๆอย่างเช่นกระทรวงยุติธรรมเพื่อให้เข้ามาจัดการปราบปรามสิ่งเหล่านี้

นอกจากนี้ผู้ออกกฎหมายด้านการเงินอย่าง Financial Services Commission (FSC) ก็ได้เริ่มร่างเสนอกฎหมายควบคุมเว็บเทรดคริปโตในประเทศเกาหลีใต้แล้ว อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Hankyoreh

“เว็บเทรดเหรียญ cryptocurrency จะต้องถูกบังคับให้สร้างมาตรฐานของการคุ้มครองผู้บริโภค อย่างเช่นการมีระบบแยกการฝาก asset ของลูกค้า, และการเพิ่มความโปร่งใสอย่างเช่นการมีขั้นตอนการยืนยันตัวตนของลูกค้า” โดยหนังสือพิมพ์ยังได้รายง่านต่อว่า “เจ้าหน้าที่จะมีอำนาจในการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อจัดการเว็บเทรดที่ฝ่าฝืนกฏเหล่านี้”

The post นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้คิดว่า “Cryptocurrency จะทำให้เด็กรุ่นใหม่มีความเน่าเฟะ” appeared first on Siam Blockchain.

“นักลงทุนกำลังเสี่ยงซื้อ Bitcoin ที่ราคาสูง” กล่าวโดยรองประธานธนาคารกลางแห่งยุโรป

รองประธานแห่งธนาคารกลางของยุโรป (ECB) ได้กล่าวว่านักลงทุนกำลังเสี่ยงซื้อ Bitcoin ในราคาที่สูงมาก

นาย Vitor Constancio ได้กล่าวให้สัมภาษณ์กับ CNBC เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยกล่าว่า

“มันเป็นสินทรัพย์ที่มีความเฉพาะเจาะจงมาก มันเป็นนิยามของการเก็งกำไรหากดูที่การพุ่งขึ้นของราคามัน นักลงทุนกำลังรับความเสี่ยงจากการซื้อมันที่ราคาสูงมากขนาดนั้น”

ความเห็นของนาย Constancio มีขึ้นหลังจากที่ราคาของราชาเหรียญคริปโตดังกล่าวกำลังพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง โดยพุ่งทะลุระดับ 10,000 ดอลลาร์ โดยหากนับตั้งแต่ช่วงต้นปีมานี้ ราคาของ Bitcoin ได้พุ่งขึ้นมามากกว่า 1,000%

กระนั้น นักวิเคราะห์และมหาเศรษฐีบางคนอย่างนาย Novogratz เชื่อว่าราคาของมันจะสามารถพุ่งไปถึง 40,000 ดอลลาร์ได้อย่างง่ายดายภายในปี 2018 อย่างไรก็ตาม ในงานประชุมล่าสุดที่เมืองนิวยอร์ค เขากล่าวว่า

“มันจะมีการร่วงของราคา เพราะว่าคุณจะต้องไปที่จุดๆนั้น ที่เทคโนโลยีที่แท้จริงมันอยู่”

ในขณะเดียวกันธนาคารกลางส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าจะไม่ชอบ Bitcoin เท่าไรนัก โดยกล่าวว่าสกุลเงินดิจิตอลนั้นจะไม่มีวันมาทดแทนระบบเงินตราได้ โดยก่อนหน้านี้นาย Constancio กล่าวว่า

“ไอ้เจ้า cryptocurrency พวกนี้จะไม่มีวันมาเอาชนะสกุลเงินหลักทั่วไปได้หรอก”

นอกจากนี้นาย Mario Draghi หรือประธานของ ECB ก็ได้ออกมากล่าวถึงตลาดของสกุลเงินดิจิตอลด้วยเช่นกัน โดยอ้างว่ามันยังไม่ “เติบโต” เต็มที่ๆจะทำให้มันถูกกฎหมาย และเมื่อไม่นานมานี้ นาย Draghi กล่าวว่าตลาดเหรียญคริปโตนั้นเป็นภัยต่อธนาคารกลางและระบบการเงิน

ไม่เพียงแค่นั้น นาย Constancio เชื่อว่าธนาคารกลางไม่จำเป็นต้องจริงจังกับตลาดเงินดิจิตอลก็ได้ โดยในการส้มภาษณ์นั้น เขากล่าวว่า

“… ในแง่ที่ว่าเราไม่มีความรับผิดชอบหรือแม้กระทั่งตราสารที่ชี้ไปยังราคาของสินทรัพย์ใดนั้นๆ ก็ตามนั่นไม่ใช่บทบาทของธนาคารกลาง”

อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงที่ว่าตลาด crypto โดยเฉพาะอย่างยิ่ง bitcoin ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากซีอีโอทางการเงินหลาย ๆ รายดูเหมือนว่าเจ้าเหรียญที่มีอายุมา 9 ปีกว่าตัวนี้จะไม่หายไปจากโลกนี้ในเร็วๆวันอย่างแน่นอน

The post “นักลงทุนกำลังเสี่ยงซื้อ Bitcoin ที่ราคาสูง” กล่าวโดยรองประธานธนาคารกลางแห่งยุโรป appeared first on Siam Blockchain.

นักพัฒนา Bitcoin Cash วางแผนเพิ่มขนาดบล็อกอีกครั้ง

นักพัฒนาหลักของเหรียญโคลนนิ่ง Bitcoin Cash ได้ออกมาวางแผนเพื่อเพิ่มขนาดบล็อกเก็บธุรกรรมของเหรียญดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งในปีหน้า

โดยอ้างอิงจากโรดแม็ปในอีก 6-12 เดือนที่เปิดตัวเมื่อวานนี้จากทีมนักพัฒนา Bitcoin ABC โดยจะมีการ hard fork (การอัพเกรดระบบที่จะทำให้ผู้ใช้งานทั้งหมดต้องอัพเกรดตามอย่างไม่มีทางเลือก) อีกสองครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายนของปี 2018

เหรียญ Bitcoin Cash เป็นเหรียญที่แยกตัวออกมาจาก Bitcoin เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเกิดขึ้นจากความแตกแยกของทีมนักพัฒนาหลักที่โต้เถียงกันเรื่องการ scaling ของเครือข่าย

ซึ่งนักพัฒนาหลักของ Bitcoin ที่ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มขนาดบล็อกก็เถียงว่าไม่ควรจะทำ เนื่องจากว่ามันไม่ปลอดภัยต่อ Bitcoin ทำให้กลุ่มนักพัฒนาหลักที่สนับสนุนการเพิ่มขนาดบล็อกถึงกับแยกตัวออกมมาสร้างเหรียญใหม่ของตัวเอง Bitcoin Cash โดยการแยก blockchain ออกมา โดยมีขนาดบล็อกที่ใหญ่กว่าของ Bitcoin ถึง 8 เท่า

ที่น่าสนใจคือแผนการนอกเหนือจากนี้ในการพัฒนาเหรียญคริปโตดังกล่าวที่จะถูกเพิ่มเข้ามาในโร้ดแมปมีใจความว่า

“เราต้องการจะทำให้มันน่าเชื่อถือมากกว่านี้, มีการ scaling ที่ดีกว่านี้, มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำและพร้อมที่จะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มันควรที่จะทำงานได้โดยไม่มีความซับซ้อนหรืออะไรที่ยุ่งยาก มันควรที่จะพร้อมสำหรับการปรับตัวใช้ของผู้ใช้งานหลัก และสามารถสร้างฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจอื่นๆสามารถมาพึ่งพิงได้”

ผู้สนับสนุน Bitcoin Cash เชื่อว่าการเพิ่มขนาดบล็อกจะถือเป็นวิธีที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จเหล่านี้ เนื่องจากค่าธรรมเนียมในการส่งเหรียญหากันจะน้อยลงมากกว่า ถ้าหากขนาดบล็อกนั้นเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้โร้ดแมพอื่นๆยังเผยให้เห็นว่าทางทีมนักพัฒนาอาจจะเอาฟีเจอร์อื่นๆกลับมาด้วยอย่างเช่น rule เก่าๆในโค้ดก่อนหน้านี้ที่เคยถูกปิดไป

อย่างไรก็ตาม โรดแม็ปดังกล่าวอาจจะมีการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในอนาคต และทางทีมนักพัฒนา Bitcoin ABC ก็จะไม่ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการจนกว่าจะถึงช่วงกุมภาพันธ์ 2018

The post นักพัฒนา Bitcoin Cash วางแผนเพิ่มขนาดบล็อกอีกครั้ง appeared first on Siam Blockchain.

ตลาดหุ้นอันดับสองของโลก Nasdaq เตรียมเปิดให้ซื้อขาย Bitcoin Futures ปีหน้า

ตลาดหุ้นมูลค่า 6.831 ล้านล้านดอลลาร์ หรือตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจาก NYSE จะเปิดให้ซื้อขาย Bitcoin Futures ประมาณช่วงกลางปี 2018 ที่จะถึงนี้

Nasdaq และ Cantor

รายงานของหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ได้แสดงให้เห็นว่า Nasdaq และ Cantor Fitzgerald & Co. จะทำการลิส Bitcoin Futures ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2018 โดยสถาบันการเงินสองแห่งนี้กำลัง “รีบ” ติดตั้งบริการผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนเกี่ยวกับ Bitcoin หลังจากที่ราคาของมันพุ่งไปถึง 11,441 ดอลลาร์

ซึ่งนั่นหมายความว่านักลงทุนหุ้นและโบรคเกอร์หุ้นใน Nasdaq จะสามารถเข้าไปทำการซื้อขาย Bitcoin Futures ได้หลังจากที่ผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนด้ังกล่าวเปิดให้บริการแล้ว

บริษัท Cantor หรือสถาบันด้านการเงินให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ว่าพวกเขาเตรียมเปิดให้บริการ Bitcoin Futures บนแพลทฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักของพวกเขา

นาย Shawn Matthews ผู้บริหารระดับสูงของ Cantor Fitzgerald & Co., กล่าวว่า cryptocurrency นั้นถือเป็นสินทรััพย์ใหม่ที่จะ “ไม่หายไปไหนแน่ๆ” และ Bitcoin จะต้องอยู่ตรงนี้ไปอีกนาน

เขากล่าวว่า

“ไอ้เจ้า asset class ตัวนี้มันไม่ไปไหนแน่ๆ ถ้าคุณลองมองไปที่ระดับต่อไป จะได้เห็นพวกสถาบันหลายๆสถาบันกำลังเข้ามา และจะกลายมาเป็นผู้เข้าร่วมที่ใหญ่กว่าในตลาด และสภาพคล่องก็จะสูงมากขึ้น”

ตลาดฟิวเจอร์ของ Cantor ได้รับการอนุมัติโดย Commodities and Futures Trading Commission (CFTC) ของสหรัฐฯแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ออกกฎหมายดังกล่าวก็ได้อนุมัติผู้ให้บริการตราสาร Bitcoin อื่นอย่าง LedgerX แล้วด้วยเช่นกัน

Nasdaq จะทำให้กระดานแลกเปลี่ยนอื่นๆลิส Bitcoin ตาม

ตลาดกระดานซื้อขายอื่นๆรวมถึง Nodal Exchange ต่างก็กำลังสำรวจดูความเป็นไปได้ที่จะลิส Bitcoin Futures บนแพลทฟอร์มซื้อขายที่ถูกกฎหมายของพวกเขาด้วยเช่นกัน

นาย John D’Agostino อดีตผู้บริหาร Nymex ได้ให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ว่าทุกๆแผนกของตลาดกระดานแลกเปลี่ยนกำลังพิจารณาให้บริการซื้อขาย Bitcoin Futures อยู่ และตัวเลขของตลาดแลกเปลี่ยน Bitcoin Futures ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตลอดปี 2018 นี้ เนื่องจากตลาดแลกเปลี่ยนหลักๆอย่าง CBOE, CME, Nasdaq และ Cantor กำลังจะเปิดให้บริการซื้อขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

“แผนกวิจัยของตลาดแลกเปลี่ยนทุกๆแห่งต่างก็บอกว่า เราทำมันบ้างได้มั้ย ต้นทุนหลักๆที่จะมีขึ้นก็คือการตลาด ถ้าผู้คนต้องการจะซื้อขายสิ่งนี้ ทำไมคุณไม่อยากบ้างล่ะ? นี่มันคือของขวัญจากสวรรค์ชัดๆ” กล่าวโดยนาย D’Agostino

เมื่อช่วงต้นปี 2017 การทำตลาด Bitcoin Futures จำเป็นต้องใช้ต้นทุนด้านการตลาดที่ค่อนข้างสูงเพื่อดึงดูดให้นักลงทุนจากสถาบันการเงินให้เข้ามา แต่ปัจจุบันเพียงแค่ประกาศว่าจะเปิดตลาด Bitcoin Futures ก็ถือเป็นการทำการตลาดที่ดีแล้ว รายงานบางส่วนแสดงให้เห็นว่าบริษัทระดับพันล้านอย่าง Oversotck กำลังเปลี่ยนทิศทางธุรกิจของพวกเขาให้ไปโฟกัสด้าน cryptocurrency แทน และคาดเป้าหมายว่าพวกเขาจะมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 70-100%

การเริ่มลิส Bitcoin Futures ของ Nasdaq อาจจะทำให้ตลาดอื่นๆทั่วโลกต้องเริ่มหันมามองเหรียญ cryptocurrency ตัวนี้ และในปี 2018 นี้น่าจะเป็นปีใหญ่ของ Bitcoin และเหรียญอื่นๆเลยก็ว่าได้

The post ตลาดหุ้นอันดับสองของโลก Nasdaq เตรียมเปิดให้ซื้อขาย Bitcoin Futures ปีหน้า appeared first on Siam Blockchain.

Wednesday, November 29, 2017

“อยู่ให้ห่างจาก Bitcoin ไว้เหมือนมันเป็นโรคระบาด” กล่าวโดยผู้ก่อตั้ง Vanguard

มหาเศรษฐีเงินล้านแห่ง Wall Street นาม John Bogle ได้ออกมาเตือนนักลงทุนทุกๆคนให้เก็บเงินของพวกเขาให้ห่างจาก Bitcoin เข้าไว้

นาย John Bogle หรือนักลงทุนในตำนาน และผู้ก่อตั้ง Vanguard Group หรือบริษัทด้านการลงทุนที่บริษัทสินทรัพย์กว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ได้ออกมากล่าวโจมตี Bitcoin ในขณะที่ราคาของมันอยู่ที่ระดับ 10,000 ดอลลาร์

นาย Bogle มีอายุ 88 ปี และปัจจุบันได้เกษียณจากการเป็นประธานของของ Vanguard Group แล้ว โดยเขาได้เข้าร่วมงานอีเว้นท์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเมืองนิวยอร์คเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และได้ออกความเห็นเกี่ยวกับ Bitcoin

โดยอ้างอิงจากรายงานของ Bloomberg นาย Bogle ได้กล่าวตอบคำถามผู้ที่มาถามเขาเกี่ยวกับ Bitcoin ว่า

“อยู่ให้ห่างจาก Bitcoin ไว้เหมือนมันเป็นโรคระบาด ได้ยินที่ผมพูดชัดมั้ย?”

“Bitcoin นั้นไม่มีรากฐานของอัตราผลตอบแทน” นาย Bogle กล่าวเสริม โดยชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันของคูปองดอกเบี้ย, หุ้นที่มีรายได้และเงินปันผล “ทองคำนั้นไม่มีอะไรเลย” เขากล่าวต่อ ก่อนที่จะกลับมากล่าวโจมตี Bitcoin อีกครั้ง “มันไม่มีอะไรมารองรับ Bitcoin เลยนอกจากความหวังลมๆแล้งๆที่คุณจะสามารถขายให้กับคนอื่นๆด้วยเงินมากกว่าที่คุณซื้อมา” เขากล่าวต่อ

การพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin ได้สูงกว่าที่มันเคยเป็นสำหรับในปีนี้ โดยพุ่งถึง 1,100% ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2017 มา โดยไปแตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ ณ ปัจจุบันนี้ที่ 11,314 ดอลลาร์

นาย Bogle ยังยืนกรานในความเชื่อของเขาว่า Bitcoin นั้นมีมูลค่ามากกว่าที่มันควรจะเป็น โดยคาดว่ามันจะเกิดการย่อตัวของราคาในเร็วๆนี้

“มันเป็นเรื่องบ้าที่จะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอล” เขากล่าวต่อว่า

“Bitcoin อาจจะมีราคาพุ่งไปถึง 20,000 ดอลลาร์ แต่นั่นจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผมพูดผิด รอให้มันกลับมาเหลือ 100 ดอลลาร์ก่อนแล้วค่อยคุยกัน”

นาย Bogle กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่เลือกฝั่ง “ไม่เอา cryptocurrency” ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีนาย Jamie Dimon จาก JP Morgan ที่กล่าวว่า Bitcoin นั้นคือเรื่องหลอกลวง และจะต้องมีคนตายอีกด้วย

The post “อยู่ให้ห่างจาก Bitcoin ไว้เหมือนมันเป็นโรคระบาด” กล่าวโดยผู้ก่อตั้ง Vanguard appeared first on Siam Blockchain.

ธนาคารกลางรัสเซียได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของ Cryptocurrency อีกรอบหนึ่ง

ธนาคารกลางแห่งรัสเซียได้เตือนนักลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุน cryptocurrency อ้างอิงจากรายงานเมื่อวานนี้

โดยอ้างอิงจากสำนักข่าว TASS รายงานประจำปีด้านการเงินของธนาคารกลางเผยให้เห็นการกล่าวถึงฟองสบู่ของตลาดเหรียญ cryptocurrency โดยมีเนื้อหาว่ามันอาจจะทำให้นักลงทุน “เกิดการสูญเสีย” ได้

นอกจากนี้รายงานยังกล่าวเสริมว่าเหรียญ cryptocurrency อาจจะถูกนำไปใช้ในด้านกิจกรรมทางอาชญากรรม โดยเฉพาะในด้านการฟอกเงินและการให้เงินสนับสนุนผู้ก่อการร้าย

รายงานยังกล่าวต่อด้วยว่า

“งานของหน่วยงานกำกับดูแลระดับชาติและระดับนานาชาติคือการลดความเสี่ยงเหล่านั้นโดยการพัฒนาแนวทางการประสานงานกับกฎระเบียบของตลาด cryptocurrencies และการ จำกัดการลงทุนและธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ธนาคารกลางกลางรัสเซียออกมาประกาศเกี่ยวกับด้านลบของ cryptocurrency เมื่อเดือนที่แล้วรองรองผู้ว่าการคนแรกของธนาคารกลางแห่งรัสเซีย Sergei Shvetsov พยายามที่จะบล็อกไม่ให้ประชาชนในประเทศเข้าถึงเว็บเทรด Bitcoin ได้

โดยในขณะนั้นเขากล่าวว่า Bitcoin นั้นมาพร้อมกับ “ความเสี่ยงที่สูงมากแบบไร้เหตุผล” ซึ่งไม่ต่างจากความเห็นในครั้งนี้มากเท่าไรนัก นอกจากนี้เขายังบอกว่า Bitcoin นั้นคือแชร์ลูกโซ่ เนื่องจากว่ามันมีผลตอบแทนที่สูงมากในช่วงระยะเวลาที่สั้น

ความเห็นเหล่านั้นมีขึ้นท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลรัสเซียที่จะเพิ่มความเข้มงวดสำหรับการแลกเปลี่ยน Bitcoin ในประเทศ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรัสเซีย Alexey Moiseev กล่าวว่าเขาคาดหวังที่จะให้การแลกเปลี่ยนเหรียญ cryptocurrency ทั้งหมดถูกแบนโดยรัฐบาล

The post ธนาคารกลางรัสเซียได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของ Cryptocurrency อีกรอบหนึ่ง appeared first on Siam Blockchain.

“ผมไม่ได้เป็นคนประดิษฐ์ Bitcoin และชื่อ Satoshi Nakamoto” กล่าวโดยนาย Elon Musk

การโต้เถียงว่าใครคือนาย Satoshi Nakamoto เจ้าของเหรียญ Bitcoin นั้น ไม่มีวันสิ้นสุด หลังจากอดีตเด็กฝึกงานโครงการ SpaceX ของนาย Elon Musk โพสลง Blog ตัวเองว่านาย Elon Musk น่าจะเป็น Satoshi Nakamoto แต่นาย Elon Musk ออกมาชี้แจงว่า เขาไม่ใช่ผู้สร้าง Bitcoin อย่างแน่นอน

ข่าวลือ

ผู้คนได้คาดเดาว่าใครคือนาย Satoshi นับตั้งแต่ Bitcoin ได้เกิดขึ้นมา ล่าสุดข่าวลือนี้ก็ได้ออกมาอีกครั้งโดย Blog ของนาย Sahil Gupta อดีตนักศึกษาฝึกงานที่โครงการ SpaceX ใน Blog กล่าวว่านาย Elon Musk อาจเป็นนาย Satoshi Nakamoto เพราะนาย Sahil ได้ดูภูมิหลังของนาย Elon Musk ในด้านเศรษฐศาสตร์ประสบการณ์ในด้านซอฟต์แวร์และสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมที่นาย Elon Musk ได้สร้าง จึงสันนิษฐานว่านาย Elon Musk อาจเป็นผู้คิดค้น Bitcoin ประเด็นนี้ถูกยกขึ้นมาถกเถียงในมุมกว้างในชุมชน Bitcoin นาย Sahil จึงขอให้นาย Elon สมบทบาทเป็นผู้ก่อตั้ง Bitcoin (คล้ายกับนาย Vitalik Buterin เจ้าพ่อเหรียญ Ethereum)

ปฏิเสธ

นาย Elon Musk ได้ปฏิเสธว่าเขาคือ Satoshi Nakamoto และยังบอกเพิ่มด้วยว่าเขาเพิ่งเสีย Bitcoin ให้กับนาย Satoshi Nakamoto เมื่อหลายปีก่อน

แปล:

@ThisIsSandeepG: ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอีกครั้ง
@elonmusk: ไม่จริงเพื่อนของผมได้ส่ง Bitcoin มาให้ผมเมื่อหลายปีที่แล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ที่ไหนแล้ว

ในปี 2014 เว็บ Newsweek ได้เปิดเผยตัวตนของนาย Satoshi พวกเขาคิดว่าวิศวกรที่ชื่อ Dorian Nakamoto คือผู้สร้าง Bitcoin จริงๆ สุดท้ายนาย Dorian Nakamoto ก็ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นนาย Satoshi จากข่าวนี้ทำให้นาย Dorian Nakamoto ต้องพบกับการใช้ชีวิตที่ลำบากมากขึ้นจากสังคม

แล้วมันสำคัญจริงหรือ?

อย่างไรก็ตามถ้า Satoshi ยังมีชีวิตอยู่และถ้ายังถือ Private Key เชื่อว่าเขาจะมี Bitcoin ประมาณ 1 ล้าน BTC บวกกับราคา Bitcoin ที่เพิ่งแต่ที่ 10,000 ดอลลาร์ ทำให้นาย Satoshi มีมูลค่าสุทธิที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ และหลายคนเชื่อว่านาย Satoshi ไม่สามารถควบคุมเหรียญ Bitcoin ได้ และหากเขาตัดสินใจที่จะขาย Bitcoin ของเขานั้นจะทำให้ราคา Bitcoin ตกลงอย่างรุนแรงแน่นอน

The post “ผมไม่ได้เป็นคนประดิษฐ์ Bitcoin และชื่อ Satoshi Nakamoto” กล่าวโดยนาย Elon Musk appeared first on Siam Blockchain.

DMarket ตลาดเกมแบบ Decentralized จับมือกับ Playkey เก็บข้อมูลผู้เล่นบน Blockchain

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ณ เมืองซานตาโมนิกามลรัฐแคลิฟอร์เนีย Dmarket ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระบบ Blockchain ด้านการซื้อขายเกมแห่งแรกของโลก ได้ประกาศว่ากำลังจะเป็นหุ้นส่วนกับบริษัท Playkey ซึ่งเป็นบริษัท Decentralized Cloud Gaming Platform ที่เปิดให้นักเล่นเกมสามารถเล่นเกมบนระบบ Cloud บนเครื่อง PC หรือ MacOS รุ่นเก่าได้

ตามข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนบริษัท DMarket และบริษัท Playkey จะร่วมมือกันในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้งานร่วมกันได้ ซึ่งจะช่วยให้บริษัท DMarket สามารถรับทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพและพฤติกรรมของนักเล่นเกมในขณะที่ซื้อขาย / แลกเปลี่ยนไอเทมในเกม และบริษัท Playkey จะเข้าใจดีกว่าว่าอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์มไหนที่เหล่านักเล่นเกมต้องการใช้ในการเล่น หรือใช้เวลาอยู่กับการเล่นเกมมากเท่าใด ทั้งสองบริษัทยังตกลงที่จะ cross-promotion เพื่อเพิ่ม Awareness ของแบรนด์ในบรรดาผู้เผยแพร่เกมและนักพัฒนาเกม

ตามสถิติของบริษัท Playkey 80% ของผู้เล่นเกม MMO ได้เริ่มใช้ Dmarket เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายสินค้าในเกมได้โดยเพียงแค่คลิกเดียว และในทางกลับกัน ผู้ใช้ของ DMarket ก็จะได้รับคำแนะนำจากบริษัท Playkey ที่จะคอยแนะนำในการเล่นเกมที่มี Spec ที่สูงมากบน PC รุ่นเก่า ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ทั้งคู่นั่นเอง

“การเป็นหุ้นส่วนกันก็จะช่วยเพิ่มผู้เล่นมากขึ้นให้ทั้งสองบริการ ซึ่งเราก็มองว่าเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมเกมที่ไม่ซ้ำกัน และเมื่อสองแพลตฟอร์มที่ใช้ระบบ Blockchian มารวมพลังกัน ก็ยิ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้เล่นเกมทั้งหมด”

นาย Volodymyr Panchenko CEO และผู้ก่อตั้ง DMarket กล่าว

“บริษัท Playkey จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถเข้าถึงเกมยอดนิยมด้วยระบบ Cloud เพราะระบบ Cloud จะไปช่วยแก้ไขให้ฮาร์ดแวร์และการตั้งค่าของระบบทำงานได้ดีขึ้น Dmarket ได้สร้าง Feature ที่น่าสนใจให้สำหรับผู้เล่นเกมอย่างแท้จริงและยังสร้างโอกาสให้ผู้เล่นสามารถสนุกไปกับเกมได้อีกขั้น และนี่ก็เป็นสิ่งที่ดีในการที่จะก้าวไปยังทิศทางเดียวกันของทั้งสองบริษัท ที่จะช่วยกันสร้างโลกดิจิตอลที่ดีขึั้นสำหรับผู้เล่นเกมทั่วโลก”

นาย Egor Gurjev และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Playkey ได้แสดงความคิดเห็น

นาย  Panchenko และนาย Gurjev กล่าวว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะผสานการซื้อขายสินค้าในเกมของ DMarket เข้ากับแพลตฟอร์มของ Playkey โดย DMarket มีแผนที่จะเพิ่ม “content lab” สำหรับผู้ค้าทุกรายโดยที่ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะเล่นเกมออนไลน์ได้ในขณะที่กำลังทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนไอเทมบนเกมกัน และ Feature ซื้อขายนี้จะสามารถใช้งานได้ทันทีบนแพลตฟอร์ม DMarket ซึ่งต้องขอบคุณบริษัท Playkey ด้วย

และในตอนนี้ DMarket ได้ระดมทุน ICO ไปกว่า 17 ล้านดอลลาร์ และ Playkey ก็ระดมทุน ICO ไปกว่า 6 ล้านดอลลาร์แล้ว

เกี่ยวกับบริษัท Playkey:

Playkey ซึ่งเป็นบริษัท Decentralized Cloud Gaming Platform ที่มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้เล่นเกมสามารถเปิดและเล่นเกมบนระบบ Cloud บนเครื่อง PC หรือ MacOS รุ่นเก่าได้ ผลิตภัณฑ์ของ Playkey ได้ใช้เซิร์ฟเวอร์ GPU ที่มีประสิทธิภาพอยู่ในกรุงอัมสเตอร์ดัม, ลอนดอน, แฟรงค์เฟิร์ตและกรุงมอสโก

เกี่ยวกับบริษัท DMarket:

Dmarket จะเป็น Decentralized Market สำหรับไอเทมต่างๆ ในเกมโดยใช้ Cryptocurrency Blockchain และ Smart contract เข้ามาผนวกร่วมด้วย  เพียงแค่คลิกเดียว คุณก็จะสามารถทำการขายหรือแลกเปลี่ยนจากแพลตฟอร์มใดก็ได้บนโลก DMarket Token จะเป็น Virtual Currency เดียวที่ใช้ภายในแพลตฟอร์มโดยจะมีตัวเลือกในการซื้อขายแลกเปลี่ยนไอเทมและ Smart Contract Dmarket ได้นำเสนอในรูปแบบ Alpha และ Demo version ในตลาด Future และ Blockchain testnet ในเดือนตุลาคม 2017 ที่ผ่านมา

The post DMarket ตลาดเกมแบบ Decentralized จับมือกับ Playkey เก็บข้อมูลผู้เล่นบน Blockchain appeared first on Siam Blockchain.

เว็บผู้ให้บริการเทรดเหรียญคริปโตสัญชาติญี่ปุ่น BitFlyer เปิดให้บริการในประเทศสหรัฐฯแล้ว

บริษัทผู้ให้บริการด้านกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน cryptocurrency จากประเทศญี่ปุ่นนามว่า BitFlyer ได้เปิดตัวในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมบริการทางการเงิน (NYDFS)

ประกาศเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้นได้เกิดขึ้นหลังจากที่ทาง BitFlyer ทดสอบโปรแกรม beta สำหรับผู้ใช้งานกว่า 2,000 คนสำเร็จ โดยก่อนหน้านี้พวกเขาเคยออกมาประกาศว่าจะขยายสาขาให้บริการไปยังตลาดสหรัฐฯ โดยในขณะนี้พวกเขาได้รับใบอนุญาตให้ทำการได้ในรัฐทั้งหมด 34 รัฐ

ในส่วนของการประกาศนั้น ทาง BitFlyer เผยให้เห็นว่าพวกเขาได้รับ BitLicense จากผู้ออกกฎหมายในเมืองนิวยอร์ค โดยใบอนุญาตดังกล่าวนั้นได้ถูกออกแบบและประกาศใช้เมื่อปี 2015 โดยถือเป็นสิ่งที่บริษัทที่ประสงค์จะเปิดให้บริการด้านเหรียญคริปโตจะต้องมี

“BitFlyer รู้สึกภูมิใจที่ได้รับ BitLicense ที่สามารถทำธุรกิจในเมืองนิวยอร์คได้” กล่าวโดยนาย Yuzo Kano หรือ CEO “นี่ถือเป็นการเป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานด้านการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ”

แม้ว่าจะมีแค่เหรียญ Bitcoin ที่ถูกเปิดให้เทรดในตอนต้นเท่านั้น แต่ทาง BitFlyer ก็ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาจะทำการเพิ่มเหรียญอื่นๆเข้ามาด้วยในอนาคต

The post เว็บผู้ให้บริการเทรดเหรียญคริปโตสัญชาติญี่ปุ่น BitFlyer เปิดให้บริการในประเทศสหรัฐฯแล้ว appeared first on Siam Blockchain.

ราคา Bitcoin ในประเทศซิมบับเวพุ่งถึง 17,875 ดอลลาร์ หลังประธานาธิบดี Mugabe ลาออก

การประกาศลงจากตำแหน่งของประธานาธิบดี Robert Mugabe แห่งประเทศซิมบับเวหลังจากดำรงตำแหน่งมาถึง 40 ปี โดยหลังจากนั้นราคาของเหรียญ cryptocurrency อย่าง Bitcoin ในประเทศซิมบับเวได้พุ่งขึ้นไปแตะ 17,875 ดอลลาร์ แซงตลาดโลกไปอีกตามเคย

กรณีศึกษาของ Bitcoin ในซิมบับเว

นักวิเคราะห์ในประเทศได้ค้นพบว่าผู้นคนในประเทศซิมบับเวไว้ใจ Bitcoin มากกว่าอย่างอื่นในการเก็บรักษามูลค่าเงินของพวกเขาไว้ ซึ่งสิ่งนั้นได้ส่งผลทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้นทันทีที่ประธานาธิบดีคนใหม่เริ่มพูดปฏิญาณตน เว็บไซต์ Golix ผู้ให้บริการกระดานแลกเปลี่ยนเหรียญ Bitcoin ในเมือง Harare ได้เผยให้เห็นถึงอัตราพรีเมียมของราคา Bitcoi ที่เพิ่มขึ้นกว่า 20%

ปัจจุบันประเทศซิมบับเวกำลังประสบปัญหาด้านเงินเฟ้อที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหากนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 20

บางทีสาเหตุที่ทำให้การปกครองของนาย Mugabe ล้มเหลวน่าจะเป็นเพราะการคอรัปชั่นและใช้อำนาจในทางมิชอบของอดีตรัฐมนตรีกรทรวงการคลัง Ignatius Chombo ที่ถูกจับกุมไปแล้ว โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ เขาถูกปฏิเสธการขอยื่นประกันตัว นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกว่านาย Chombo เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์กว่าร้อยแห่งทั่วประเทศ แม้ว่าเขาจะทำงานในตำแหน่งเล็กๆมาก่อนหน้านี้กว่า 20 ปี

ประธานาธิบดีคนใหม่ Emmerson Mnangagwa ได้แต่งตั้งรัฐมนตรีด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์คนก่อนนามว่า Patrick Chinamasa ให้มาเป็นผู้รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงการคลังจนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่

The post ราคา Bitcoin ในประเทศซิมบับเวพุ่งถึง 17,875 ดอลลาร์ หลังประธานาธิบดี Mugabe ลาออก appeared first on Siam Blockchain.

Tuesday, November 28, 2017

การทดสอบระบบ Blockchain ของ BBVA ช่วยร่นระยะเวลาธุรกรรมซื้อขายระหว่างประเทศ

ธนาคารยักษ์ใหญ่สัญชาติสเปนนาม BBVA ได้ประสบความสำเร็จในการทดสอบโซลูชัน Blockchain สำหรับช่วยในการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างยุโรปและประเทศแถบละตินอเมริกา

โปรแกรมการทดสอบ Blockchain ดังกล่าวถูกทำบนแพลทฟอร์มของ Waves โดยเป็นการนำมาใช้จริงกับการซื้อขายระหว่างประเทศเม็กซิโกและสเปน โดยมีจุดประสงค์เพื่อร่นระยะเวลาในการส่ง, ตรวจสอบ และอนุมัติคำสั่งซื้อขายระหว่างประเทศ อ้างอิงจากการแถลงข่าว

ภายหลังการทดสอบค้นพบว่าสามารถร่นระยะเวลาทั้งหมดได้จาก 7-10 วันลงมาเหลือแค่ 2.5 ชั่วโมงเท่านั้น

โดยอ้างอิงจากนาย Patxi Fernández de Trocóniz หัวหน้าของฝ่ายแลกเปลี่ยนทั่วโลกของ BBCA นั้น การทดสอบด้าน blockchain ดังกล่าวถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพระหว่างการทำธุรกรรมที่ “มีการรุดหน้าขึ้นไปอีก”

เขากล่าวว่า

“ระยะเวลาที่จะต้องใช้เพื่อจัดการเอกสารถูกลดลงให้เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งทุกๆฝ่ายไม่ว่าจะเป็นธนาคาร, ผู้นำเข้า และผู้ส่งออกต่างก็สามารถรู้ได้ถึงสถานะของเอกสาร”

การทดสอบทำธุรกรรมนั้นเป็นของการขนส่งปลาทูน่าแช่แข็งทั้งหมด 25 ตันที่ซื้อมาจากเม็กซิโกโดยบริษัทๆหนึ่งในเมืองบาร์เซโลน่า

การใช้เทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ใช้กับการซื้อขายระหว่างประเทศสามารถช่วยสร้าง “ความปลอดภัยด้านดิจิตอลได้ โดยถือเป็นรากฐานของการซื้อขายในตลาดระดับโลก” กล่าวโดยนาย Jorge Zebadúa หรือหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ BBVA

ธนาคารดังกล่าวได้ทำการศึกษาเทคโนโลยี Blockchain มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และได้เริ่มนำเอาเทคโนโลยีของ Hyperledger มาใช้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

The post การทดสอบระบบ Blockchain ของ BBVA ช่วยร่นระยะเวลาธุรกรรมซื้อขายระหว่างประเทศ appeared first on Siam Blockchain.

ตลาด 10 ตลาดที่ Bitcoin มีมูลค่าตลาดรวมมากกว่า

ราคา Bitcoin ทะลุ 10,000 ดอลลาร์ตามคำทำนายของผู้เชี่ยวชาญ

ทำไมเรายังไม่วาร์ป?

คำถามที่นักเทรดคริปโตหลายๆคนถามกันก่อนหน้านี้เกี่ยวกับราคาของ Bitcoin ที่ยังคงอยู่ในระดับก้ำกึ่งระหว่างเลข 4 หลักกับ 5 หลัก หรือราวๆ 9,000 ดอลลาร์ โดยมาในตอนนี้ ราคาของมันได้ทะลุจุดสูงสุดที่ 10,000 ดอลลาร์ (326,000 บาท) ต่อ 1 BTC ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจารึกไว้

เว็บ Bithumb หรือเว็บเทรดเหรียญคริปโตของประเทศเกาหลีใต้ที่มีโวลลุ่มเยอะเป็นอันดับสองของโลกได้แสดงให้เห็นถึงกราฟราคาของเหรียญราชาแห่ง cryptocurrency ตัวนี้ ที่ได้พุ่งทะลุระดับเลข 5 หลักที่ 1.81 ล้านวอน หรือประมาณ 10,581 ดอลลาร์ ซึ่งพุ่งขึ้นมาจากระดับ 8,000 ดอลลาร์ของเมื่อสี่วันที่แล้ว นั่นหมายความว่านักลงทุนที่เคยซื้อ Bitcoin ไปเมื่อสี่วันที่แล้วเป็นจำนวน 1 BTC ในตอนนี้จะมีกำไรอยู่ที่ประมาณ 2,000 ดอลลาร์

นอกจากนี้มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin ยังได้พุ่งไปแตะที่ 1.66 แสนล้านดอลลาร์ และผลักดันให้มูลค่าตลาดรวมของเหรียญคริปโตทั้งหมดไปอยู่ที่ 3.09 แสนล้านดอลลาร์ไปเป็นที่เรียบร้อย

นาย Mike Novogratz อดีตผู้จัดการบริษัท Fortress ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Bloomberg เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเขาบอกว่าราคาของ Bitcoin นั้นจะพุ่งไปแตะ 10,000 ดอลลาร์ภายในปีนี้ โดยในขณะนั้น ราคาของมันยังคงตัวอยู่ที่ระดับ 8,000-9,000 ดอลลาร์เท่านั้น

นอกจากนี้นาย Max Keiser หรือพิธีกรรายการของช่องโทรทัศน์ RT ก็เคยได้ออกมาทำนายราคาของเหรียญ BTC เช่นกัน เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยกล่าวว่ากระเป๋าเหรียญ Bitcoin ที่กำลังถูกเปิดขึ้นทุกๆวันนี้เองจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้ราคาของ Bitcoin ไปถึงจุดระดับตัวเลขห้าหลักได้แบบสบายๆ

นอกจากนี้ ในอีกหนึ่งสัปดาห์กว่าๆที่จะถึง บริษัท CME Group หรือผู้ให้บริการด้านการซื้อขายตลาดแลกเปลี่ยนสัญญา futures ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็จะเปิดให้บริการซื้อขาย Bitcoin Futures และมีการคาดการณ์ว่าบริษัทสถาบันนักลงทุนอีกมากมายจะแห่กันเข้ามาลงทุนในตราสารที่ว่านี้

อย่างไรก็ตาม ราคาของ Bitcoin ที่พุ่งขึ้นมาสูงกว่า 900% ในปีเดียวนี้ทำให้หลายๆคนออกมาตั้งคำถามว่า “ฟองสบู่มาถึงแล้วหรือยัง” และ “มันใช่ฟองสบู่หรือไม่” ซึ่งสร้างความกังวลใจให้กับนักเก็งกำไร “มือใหม่” ที่เพิ่งจะกระโดดเข้ามาในตลาดที่มีความเชี่ยวกรากสูงนี้เพื่อหวังจะได้เกาะกระแสไปเหมือนกับคนอื่นๆบ้าง ซึ่งแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมากมายอย่าง CEO ของธนาคาร Societe Generale, CEO ของธนาคาร Credit Suisse หรือแม้แต่นาย Warren Buffet เองออกมาบอกว่า Bitcoin นั้นเป็นฟองสบู่แล้วก็ตาม แต่ราคาของมันก็ยังพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขาเหล่านั้น

ในขณะเดียวกันเว็บเทรดเหรียญ Bitcoin สัญชาติไทยอย่าง TDAX นั้นก็ได้มีอัตราการพุ่งขึ้นของ Bitcoin ตามตลาดโลกเช่นกัน โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 326,000 บาท

The post ราคา Bitcoin ทะลุ 10,000 ดอลลาร์ตามคำทำนายของผู้เชี่ยวชาญ appeared first on Siam Blockchain.

“การพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin เป็นอะไรที่สุดยอด” โดยผู้บริหารบริษัทด้านการเงินยักษ์ใหญ่

ราคาของ Bitcoin นั้น “รู้สึกว่าจะเก็งกำไรมากไป” อ้างอิงจากผู้บริหารด้านกลยุทธ์ของบริษัทบริหารการเงิน Nuveen Asset Management

โดยเขาได้ให้สัมภาษณ์กับบริษัท CNBC เมื่อคืนที่ผ่านมา นาย Bob Doll ของบริษัท Nuveen ได้กลายเป็นนักวิเคราะห์ด้านการเงินล่าสุดที่ออกมาพูดเกี่ยวกับการเก็งกำไรของตลาดดังกล่าว ความเห็นของนาย Doll มีขึ้นหลังจากที่ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นทะลุ 9,000 ดอลลาร์เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา

ที่น่าสนใจคือ เขากล่าวว่าหากไม่มองในเรื่องของการเก็งกำไร การพุ่งขึ้นของราคานั้น “ถือว่าเป็นอะไรที่สุดยอด”

เขากล่าวว่า

“ผมขอสารภาพว่ามันดูเป็นอะไรที่เก็งกำไรกันหนักมากสำหรับผม แต่คุณจะเรียกผมว่าเป็นพวกหัวโบราณก็ได้ การขึ้นราคาของมันเป็นอะไรที่สุดยอดมากเลย ใช่มั้ยล่ะ”

นาย Doll ชี้ให้เห็นว่าการพุ่งขึ้นของราคาเหรียญคริปโตได้ทำให้สถาบันการเงินระดับโลกหลายๆแห่งต้องออกมาพูดถึงมัน แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่าพวกเขาจะมองเป็นด้านบวกหรือลบ

“ด้วยการมี Bitcoin ทำไมคุณยังต้องการตลาดหุ้นอีก คำถามนี้ได้ถูกถามขึ้นมานักต่อนักแล้ว” กล่าวโดยนาย Doll

นาย Doll นั้นไม่ใช่คนแรกจากบริษัท Nuveen ที่ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับตลาด cryptocurrency

เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัท Nuveen ประกาศว่าพวกเขาจะนำสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำส่วนหนึ่งไปซื้อกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน โดยอ้างอิงจาก Bloombergบริษัทดังกล่าวแสดงความเห็นว่า “การพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin ได้ชี้ให้เห็นถึงความแปลกใหม่น่าสนใจในการทำธุรกรรม”

พวกเขายังกล่าวว่าเทคโนโลยี Blockchain ช่วย “สร้างประโยชน์และศักยภาพที่แท้จริงสู่ตลาด” แม้ว่าจะมีแอพด้าน Blockchain หลายๆตัวที่ยังอยู่ในช่วงพัฒนาและยังไม่ถูกนำมาใช้จริงก็ตาม

The post “การพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin เป็นอะไรที่สุดยอด” โดยผู้บริหารบริษัทด้านการเงินยักษ์ใหญ่ appeared first on Siam Blockchain.

ฮาร์ดดิสก์เก็บ 7,500 Bitcoin ที่เคยสูญหายไป ณ ตอนนี้มีมูลค่า 72 ล้านดอลลาร์แล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 นาย James Howells ต้องกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทันที เมื่อเรื่องราวของเขากับฮาร์ดดิสก์ที่เก็บ Bitcoin จำนวนกว่า 7,500 BTC ได้สูญหายไปพร้อมกับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคของเขาในปี 2009 ซึ่งเป็นยุคที่ Bitcoin ยังถูกขุดได้อย่างง่ายดาย และมีมูลค่าน้อยมาก

โดยอ้างอิงจาก The Guardian เขาใช้เครื่องโน๊ตบุคของ Dell เพื่อขุด Bitcoin มาเป็นสัปดาห์กว่า แต่ก็ต้องหยุดขุดเนื่องจากแฟนสาวของเขาบ่นว่าเสียงมันดังและร้อนเกินไป ในปี 2010 เขาทำน้ำมะนาวหกลงไปบนเครื่องโน๊ตบุคของเขาโดยบังเอิญทำให้เขาต้องถอดแยกชิ้นส่วนของมันออกมา โดยฮาร์ดดิสก์ที่เขาใช้เก็บ Bitcoin นั้นถูกโยนเก็บไว้ในลิ้นชักอยู่สามปี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาตัดสินใจนำมันไปทิ้ง

เมื่อตอนที่เขาหยิบมันออกมา เขาจำไม่ได้ว่าฮาร์ดดิสก์ดังกล่าวมีเงินอยู่ ทำให้เขาโยนมันทิ้งไป โดยในขณะนั้นเขากล่าวว่า “คุณรู้ว่าเมื่อเอาอะไรบางอย่างใส่ลงไปในถังขยะ แล้วคุณก็บอกกับตัวเองว่านั่นเป็นความคิดที่แย่มาก นั่นแหละผม” เมื่อเขารู้ตัวถึงสิ่งที่ทำลงไป ทำให้เขารีบกลับไปค้นหาตัวแบคอัพข้อมูล, ตัวก็อปปี้ที่ทำไว้โดยบังเอิญ, หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้เขาเข้าถึงเงินของเขา แต่เขาก็หาอะไรไม่เจอทั้งสิ้น

เหรียญจำนวน 7,500 BTC ในระหว่างที่เขาโยนมันทิ้งไปนั้นมีมูลค่ามากกว่า 600,000 ดอลลาร์ และเมื่อช่วงที่เขาเริ่มเป็นที่โด่งดังนั้น มันมีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านดอลลาร์ ภายหลังนาย Howells จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาเงินของเขากลับมาให้ได้

“ผมได้เข้าไปคุยกับคนที่ทำงานอยู่ที่ทิ้งขยะคนหนึ่งที่ Newport โดยอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง และเขาก็พาผมขึ้นไปบนรถบรรทุกและพาผมไปที่ๆทิ่งขยะที่พวกเขากำลังทำงานกันอยู่ ซึ่งขนาดของมันใหญ่เท่ากับสนามฟุตบอล และเขาบอกว่าของที่เอามาทิ้งเมื่อ 3-4 เดือนที่แล้วน่าจะอยู่ลึกประมาณ 3-4 ฟุตลงไปได้”

เขาถูกบอกว่าโดยปกติแล้วถ้าตำรวจต้องการจะหาอะไรบางอย่างบนที่ทิ้งขยะนี้จะต้องใช้ทีมนักขุดประมาณ 15 นาย และรวมถึงอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ แต่ตัวเขานั้นไม่มีเงินทุนเพื่อที่จะจ้างทีมงานมาทำการขุดหา จึงทำให้เขาล้มเลิกความพยายาม และออกมาสร้างกระเป๋าสำหรับการบริจาค

กลับมาที่ปัจจุบัน ณ ตอนนี้เป็นช่วงปลายปี 2017 และราคาของ Bitcoin อยู่ที่จำนวนมากกว่า 9,700 ดอลลาร์ ซึ่งจำนวน 7,500 BTC ของเขาจะมีมูลค่าประมาณ 72 ล้านดอลลาร์ในตอนนี้ และก็ยังรอคอยการค้นพบของใครบางคนอยู่

ทางโฆษกของที่ทิ้งขยะ Newport ได้ออกมาเน้นย้ำว่านักล่าสมบัติคนไหนก็ตามที่ต้องการจะมาขุดหาฮาร์ดดิสก์ดังกล่าวตรงที่ทิ้งขยะจะไม่ได้รับอนุญาต และถ้ามันจะถูกพบ มันก็คงจะถูกค้นพบไปนานแล้ว นาย Howells กล่าวว่า

“ตอนนี้ผมอยู่ในจุดๆที่กำลังหัวเราะหรือเสียใจกับมัน ทำไมผมถึงไม่ไปอยู่ที่นั่นกับพลั่วเสียทีนะ ผมคิดว่าผมเลิกแล้ว และคงไม่มีวันที่จะหามันเจออีก”

The post ฮาร์ดดิสก์เก็บ 7,500 Bitcoin ที่เคยสูญหายไป ณ ตอนนี้มีมูลค่า 72 ล้านดอลลาร์แล้ว appeared first on Siam Blockchain.

การเพิ่มขึ้นของราคาเหรียญคริปโตอาจเพิ่มยอดขายการ์ดจอ โดยนักวิเคราะห์ Wall Street

การเพิ่มขึ้นของราคาเหรียญ Ethereum, Monero และเหรียญคริปโตอื่นๆอาจจะช่วยเพิ่มยอดขายการ์ดจอ (GPU) อ้างอิงจากนักวิเคราะห์จาก Wall Street

นาย Mitch Steves จากบริษัท RBC Capital Markets ได้เถียงว่าการพุ่งขึ้นของราคาเหรียญ cryptocurrency อาจจะทำให้นักขุดหน้าใหม่กระโดดเข้ามาในตลาดมากขึ้น และรวมถึงนักขุดในปัจจุบันทำการซื้อการ์ดจอมาทำการขุดเพิ่ม

การขุดเหรียญคริปโตคือการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์มาทำการประมวลผลเพื่อถอดรหัสอัลกอริทึ่มทางธุรกรรมที่จะถูกเพิ่มเข้าไปใน Blockchain โดยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในบ่อยๆครั้งที่ว่าคือการ์ดจอของ Nvidia และ AMD

“เรากำลังดูตรงนี้อยู่ เมื่อก่อนหน้านี้อัตรากำไรนั้นลดลงอย่างมาก ส่งผลทำให้ยอดขายของการ์ดจอที่ใช้ขุดเหรียญ cryptocurrency ลดลง” กล่าวโดยนาย Steves โดยกล่าวเพิ่มว่า

“เพื่อจะให้เห็นภาพ เมื่อราคาของ Ethereum นั้นอยู่ที่ 300 ดอลลาร์ อัตราการคืนทุนนั้นอยู่ที่ 9.4 เดือน ในตอนนี้เหลืออยู่แค่ 5.6 เดือน ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนี่มีนัยสำคัญ”

หลังจากราคาของ Ethereum ดิ่งลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ 286 เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ราคาของมันก็พุ่งกลับขึ้นไปที่ 453 ดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 58% ในช่วงวันหยุด ในขณะเดียวกันเหรียญ Monero ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงเดือนเดียวจาก 82 ดอลลาร์ไปสู่ 161 ดอลลาร์ ในขณะที่ Zcash ได้พุ่งถึง 49% จาก 213 ดอลลาร์ไปสู่ 318 ดอลลาร์ในช่วงเดือนนี้

โดยอ้างอิงจากนาย Steve ตัวเลขการคืนทุนข้างต้นนั้นดูเหมือนว่าอาจจะไม่เป็นที่แน่นอนแล้ว หลักๆนั้นเกิดขึ้นจากการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ไปเร็วมากขึ้น และนักลงทุนในตลาดนอกอื่นๆเข้ามาลงทุนขุดเหรียญคริปโตมากขึ้น

เขากล่าวสรุปว่า

“มันไม่น่าจะเป็นที่แปลกใจเลยที่จะได้เห็นเม็ดเงินจากนักลงทุนกระเป๋าหนาเข้ามาในตลาดนี้”

The post การเพิ่มขึ้นของราคาเหรียญคริปโตอาจเพิ่มยอดขายการ์ดจอ โดยนักวิเคราะห์ Wall Street appeared first on Siam Blockchain.

Monday, November 27, 2017

หน่วยงานด้านไซเบอร์ในอิหร่านกล่าวยินดีต้อนรับ Bitcoin ถ้าหากมันถูกทำให้ถูกกฎหมาย

High Council of Cyberspace (HCC) หรือหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กล่าว “ยินดีต้อนรับ Bitcoin” แต่ก็ต้องมีข้อแม้

โดยอ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ Financial Tribune นาย Abolhassan Firouzabadi หรือเลขาธิการขององค์กรดังกล่าวได้ให้สัมภาษณ์ว่า “พวกเรายินดีต้อนรับ Bitcoin แต่เราจะต้องมีกฎหมายเพื่อมากำกับ Bitcoin และสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆ การทำตามกฎเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

แม้ว่าอิหร่านจะไม่มีกฎหมายเฉพาะเจาะจงสำหรับ cryptocurrency ในปัจจุบัน แต่ Bitcoin ก็ถูกนำไปใช้ในประเทศสำหรับการใช้จ่าย, การเทรด, การขุด และธุรกิจด้านอื่นๆ เขากล่าว

อย่างไรก็ตาม นาย Abolhassan ก็ได้เตือนว่า

“ระบบในการควบคุมและกำกับเหรียญ cryptocurrency กำลังถูกติดตั้งผ่านความร่วมมือของธนาคารกลางและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ แต่ผู้คนควรที่จะต้องระมัดระวังถึงความเสี่ยงและอันตรายด้วย”

ในขณะที่ธนาคารกลางของอิหร่านยังไม่ได้แสดงท่าทีเกี่ยวกับ Bitcoin แต่เขากล่าวว่ามันจะถูกกำหนดขึ้นมาในเร็วๆนี้

นาย Abolhassan ยังได้ชี้ให้เห็นว่าธนาคารกลางของอิหร่านได้เริ่มศึกษาเกี่ยวกับ cryptocurrency แล้ว ซึ่งมีขึ้นท่ามกลางการพุ่งขึ้นของราคา และดูเหมือนว่ามันจะยังไปต่อได้อีกเรื่อยๆ

เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว รองผู้อำนวยการแผนกเทคโนโลยีของธนาคารกลางอินหร่านนาม Naser Hakimi ได้ออกมาเตือนประชาชนเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของ Bitcoin และเหรียญ cryptocurrency อื่นๆ โดยบอกว่าเงินของนักลงทุน Bitcoin กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง

The post หน่วยงานด้านไซเบอร์ในอิหร่านกล่าวยินดีต้อนรับ Bitcoin ถ้าหากมันถูกทำให้ถูกกฎหมาย appeared first on Siam Blockchain.

เกาหลีใต้เลือกบริษัท Samsung SDS ได้รับโปรเจ็คด้าน Blockchain สำหรับพัฒนาเมือง

รัฐบาลของกรุงโซลแห่งประเทศเกาหลีใต้ได้เลือกบริษัท Samsung SDS เพื่อให้วางโรดแม็พในการนำเอาเทคโนโลยี Blockchain มาปรับใช้กับการจัดการเมืองทั้งหมด เพื่อยกระดับความเจริญสำหรับประชาชนและเพิ่มความโปร่งใสในการจัดการ

บริษัท Samsung SDS เป็นบริษัทลูกด้าน IT ของ Samsung โดยได้พิชงานชนะบริษัทอื่นๆจากหน่วยงานของรัฐบาลเกาหลีใต้ในการติดตั้งแผนการ Information Strategy Plan (ISP) สำหรับ ‘นวัตกรรมด้านการสร้างโซลูชัน Blockchain สำหรับเมืองโซล’ อ้างอิงจากประกาศของบริษัทในวันนี้ หลักๆแล้วเป้าหมายของโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการของรัฐบาลที่ต้องการจะนำเอาเทคโนโลยี Blockchain มาปรับใช้ในหน่วยงานรัฐทั้งหมดให้แล้วเสร็จในปี 2022

รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ทำการสำรวจแล้วว่าจะนำเอาเทคโนโลยี Blockchain มาใช้กับอะไรได้บ้าง ซึ่งหลักๆแล้วประกอบไปด้วยสวัสดิการทั่วไป, ความปลอดภัย, และรวมถึงเทศบาล โดยในช่วงเริ่มต้นจะมีการนำเอา blockchain มาใช้บันทึกข้อมูลส่วนตัวของประชาชน, จ่ายเบี้ยเลี้ยงให้กับเด็กๆที่ไม่มีรายได้ และการขายทะเบียนรถมือสอง เป้าหมายหลักก็คือเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับประชาชนและความโปร่งใสในการบริหารด้วยเทคโนโลยี blockchain

โดยอ้างอิงจากสัญญาหุ้นส่วนนั้น บริษัท Samsung SDS จะมีหน้าที่ในการตรวจสอบภาพโดยรวม และร่าง roadmap เพื่อ ‘ขยายการใช้เทคโนโลยี blockchain ให้ทั่วถึงหน่วยงานเทศบาลทั้งหมด’ ในอีก 5 เดือนข้างหน้า

นาย Hong Won-pyo หรือผู้บริหารของ Samsung SDS กล่าวว่า

“บริษัท Samsung SDS ต้องการที่จะให้เมืองเป็นเมืองระดับโลกโดยการสร้างความโปร่งใส, ความยุติธรรม และความสะดวกสบายผ่านเทคโนโลยี Blockchain ของพวกเขา และความสามารถด้านการเป็นที่ปรึกษา”

โปรเจคดังกล่าวทำให้บริษัท Samsung SDS เป็นบริษัทแรกในประเทศเกาหลีใต้ที่นำเอาเทคโนโลยี Blockchain มาใช้กับหน่วยงานรัฐ

The post เกาหลีใต้เลือกบริษัท Samsung SDS ได้รับโปรเจ็คด้าน Blockchain สำหรับพัฒนาเมือง appeared first on Siam Blockchain.

มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin ส่งผลทำให้ของตลาดคริปโตทั้งหมดทะลุ 300 พันล้านดอลลาร์

มูลค่าตลาดรวมของเหรียญ cryptocurrency ทั้งหมดได้ทะลุ 300 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 9.9 ล้านล้านบาท) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจารึกไว้

โดยอ้างอิงตัวเลขจากเว็บ Coinmarketcap.com ที่แสดงให้เห็นถึงจำนวนตัวเลขของมูลค่าตลาดรวมของเหรียญคริปโตทั้งหมดที่ปัจจุบันอยู่ที่ 304 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมีจำนวนมูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin รวมอยู่ด้วยที่ 162.2 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นประมาณ 53.3%

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ราคาของ Bitcoin พุ่งทะลุจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 9,000 ดอลลาร์ โดยในขณะนี้มีการซื้อขายกันอยู่ที่ 9711.03 ดอลลาร์

ระดับมูลค่าตลาดรวมที่ 300 พันล้านดอลลาร์บางทีอาจจะแสดงให้เห็นถึงอัตราการเติบโตของตลาดทั้งหมดตั้งแต่จากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านๆมา โดยเฉพาะของเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในขณะนั้นมูลค่าตลาดรวมคริปโตทั้งหมดเพิ่งจะแตะ 200 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น และ 100 พันล้านดอลลาร์เมื่อย้อนกลับไปช่วงเดือนมิถุนายน

นอกจากนี้ยังมีเหรียญ altcoin อื่นๆที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มมูลค่าตลาดรวมด้วย

เหรียญอันดับสองของโลกนามว่า Ethereum ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 46.8 พันล้านดอลลาร์ และกำลังซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ 488.63 ดอลลาร์ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมามากกว่า 25% จากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

The post มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin ส่งผลทำให้ของตลาดคริปโตทั้งหมดทะลุ 300 พันล้านดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

สตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์ช่วยเก็บภาษี Bitcoin นาม Libra ระดมทุนได้ 7.8 ล้านดอลลาร์

บริษัทด้าน Blockchain ชื่อว่า Libra ระดมทุนได้กว่า 7.8 ล้านดอลลาร์ในการระดมทุนรอบ Series A อ้างอิงจากการประกาศของบริษัท

บริษัทด้านซอฟต์แวร์ดังกล่าวก่อตั้งโดยกลุ่มนักลงทุน ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทแม่ที่ไม่ประสงค์ออกนามในยุโรป โดยอ้างอิงจาก Libra นั้น ผู้ที่ร่วมระดมทุนประกอบไปด้วยบริษัทด้าน VC นามว่า Liberty City Ventures, บริษัท XBTO ผู้ให้บริการด้านสภาพคล่องตลาดเหรียญคริปโต และ Lee Linden หรือนักลงทุนที่เคยทำงานที่ Facebook มาก่อน

ในขณะเดียวกัน Liberty City นั้นถือเป็นนักลงทุนกลุ่มแรกที่เคยให้เงินลงทุนรอบแรกไป 500,000 ดอลลาร์เมื่อปี 2014 บริษัท Libra ได้ใช้เงินลงทุนดังกล่าวในการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านภาษี cryptocurrency และ blockchain ในขณะที่เงินลงทุนในรอบล่าสุดจะถูกนำไปใช้พัฒนาระบบ Enterprise Platform ตัวใหม่

“วิสัยทัศน์ของ Libra นั้นคือ เราต้องการจะเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านการบัญชี, ออดิต, และผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านภาษี และด้านข้อมูลสำหรับ blockchain และ cryptocurrency” กล่าวโดยนาย Jake Benson หรือ CEO ของ Libra

บริษัทดังกล่าวก่อตั้งขึ้นในปี 2014 โดยได้เริ่มต้นให้บริการซอฟต์แวร์ LibraTaxหรือโปรแกรมช่วยคำนวณภาษี cryptocurrency ซึ่งมีขึ้นในปีเดียวกับที่ทางกรมสรรพากรของประเทศสหรัฐฯออกมาประกาศว่าจะให้ cryptocurrency อย่างเช่น Bitcoin เป็นสิ่งที่ต้องชำระภาษี

และเมื่อไม่นานมานี้ ทางบริษัทยังได้มีแผนการที่จะเจาะกลุ่มเป้ามายลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ในการสร้างเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่จะช่วยเหลือในด้านการซื้อขายระหว่างบริษัทอีกด้วย

The post สตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์ช่วยเก็บภาษี Bitcoin นาม Libra ระดมทุนได้ 7.8 ล้านดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

Bitcoin เป็นสกุลเงินอันดับที่ 30 ของตลาดโลก มูลค่าตลาดใกล้แซงของ Mastercard

นาย Trace Mayer นักลงทุน Bitcoin ในยุคบุกเบิก ผู้ที่ให้เงินลงทุนเว็บเทรด Kraken, Armory และ BitPay ได้เผยให้เห็นว่า Bitcoin นั้นกลายเป็นสกุลเงินอันดับที่ 30 ของตลาดโลกไปแล้ว อ้างอิงจากมูลค่าตลาดรวม โดยได้แซงหน้าสกุลเงินอื่นๆอย่างดอลลาร์สิงคโปร์ และเดอร์แฮมของ UAE และกำลังไล่ตามหลังมูลค่าตลาดรวมของ Mastercard มาติดๆ

Bitcoin เอาชนะสกุลเงินหลักอื่นๆ

ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2017 จนถึงพฤศจิกายน มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin ได้เพิ่มขึ้นจาก 15 พันล้านดอลลาร์ไปสู่ 156 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจำนวนดังกล่าวนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่ได้นับรวมเม็ดเงินที่มาจากสถาบันนักลงทุนใหญ่ๆ, ธนาคารด้านการลงทุน และ hedge fund ขนาดใหญ่เลยแม้แต่น้อย

นาย Brian Armstrong หรือ CEO ของ Coinbase เผยให้เห็นว่ามีเม็ดเงินประมาณ 10 พันล้านดอลลาร์จากสถาบันการลงทุนที่จะถูกนำมาลงทุนใน Bitcoin ในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงข้างหน้านี้ ซึ่งจะเพิ่มจำนวนมูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin ไปอีกประมาณหลายร้อยพันล้านดอลลาร์

กระนั้น ก็ยังมีบริษัทด้านคริปโตหลายๆบริษัทที่มาเข้าร่วมในการซื้อขาย bitcoin ด้วย ทำให้มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin ก้าวข้ามผ่านมูลค่าตลาดรวมของตลาดโลกอื่นๆอย่างเช่น Goldman Sachs โดยนักวิเคราะห์คาดว่ามันจะแซงหน้าของ Mastercard หรือผู้ให้บริการด้านบัตรเครดิตอันดับสองของโลกรองจาก Visa

นาย Mayer เน้นย้ำว่าตัวบ่งชี้แทบจะทุกตัวบอกว่า Bitcoin นั้นกำลังมีโมเมนตัมเป็นขาขึ้นที่กำลังเป็นบวก และมั่นคงยั่งยืนในระยะกลาง

“Bitcoin กลายเป็นสกุลเงินอันดับที่ 30 ของโลก ราคาที่ 9,000 ดอลลาร์ และมูลค่าตลาดรวม 150 พันล้านดอลลาร์สามารถที่จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของมันจากเครือข่ายทั้ง 7 มีขาขึ้นที่มั่นคง 200DMA 4,001 ดอลาาร์และกำลังเพิ่มขึ้น 30 ดอลลาร์ต่อวัน 200DMA ของตลาดรวมนั้นเกือบถึง 65 พันล้าน และกำลังเพิ่มขึ้นที่ 500 ล้านดอลลาร์ต่อวัน $9k/4k=2.25x ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีการฝืนไปมากเลย มันยังไปได้อีกไกล”

กล่าวโดยนาย Mayer

The post Bitcoin เป็นสกุลเงินอันดับที่ 30 ของตลาดโลก มูลค่าตลาดใกล้แซงของ Mastercard appeared first on Siam Blockchain.

Bitcoin เริ่มโด่งดังสู่กระแสหลัก จำนวนผู้ใช้ Coinbase พุ่งสูงกว่าโบรคเกอร์หุ้น Schwab

ดูเหมือนสัญญาณที่บ่งบอกว่า Bitcoin เริ่มจะเข้าสู่กระแสหลักไปแล้วคือการที่เว็บผู้ให้บริการซื้อขายเหรียญคริปโตนามว่า Coinbase มีจำนวนผู้ใช้งานที่แซงหน้าโบรคเกอร์หุ้นอย่าง Charles Schwab โดยอ้างอิงจากเว็บของ Coinbase นั้น พวกเขามีผู้ใช้งานประมาณ 13 ล้านคน ในขณะที่โบรคเกอร์ Schwab มีผู้ใช้งานที่ 10.6 ล้านคน ซึ่งเป็นข้อมูลจากเมื่อปลายปี 2016

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ไม่สามารถบ่งบอกภาพรวมทั้งหมดได้ เนื่องจากว่าจำนวนผู้ใช้งานปัจจุบันของ Schwab ของปี 2017 ที่ยังไม่มีการเปิดเผยนั้นอาจจะแซงของ Coinbase ไปแล้วก็ได้ กระนั้น การเติบโตของตัวเลขผู้ใช้งานของเว็บเทรดคริปโตดังกล่าวที่พุ่งมาถึง 167% ในปีนี้ก็เป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีว่ากลุ่มกระแสหลักเริ่มที่จะหันมาสนใจ Bitcoin แล้ว

การรับรู้ที่เพิ่มมากขึ้น

เว็บ Coinbase ได้เผยให้เห็นถึงจำนวนผู้ใช้งานล่าสุดบนเว็บของพวกเขา และนักเทรดคริปโตหลายๆคนก็ได้จับตาดูตัวเลขนั้นมาเป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้ว ตัวเลขที่ 13 ล้านคนนี้น่าจะช่วยให้ใครหลายๆคนสลัดความคิดที่ว่า Bitcoin นั้นเป็นแค่ตลาดการลงทุนเล็กๆน้อยๆออกไปได้แล้ว

ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือว่าลง แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นในปัจจุบันนั้นคือ Bitcoin กำลังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ไม่เพียงแค่ในประเทศไทยประเทศเดียว ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่มีให้เห็นกันก็คือการที่บริษัท Chicago Mercantile Exchange (CME) หรือบริษัทผู้ให้บริการตราสารอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดได้ออกมาประกาศว่าจะเปิดให้บริการตลาดซื้อขาย Bitcoin Futures แล้วในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้

The post Bitcoin เริ่มโด่งดังสู่กระแสหลัก จำนวนผู้ใช้ Coinbase พุ่งสูงกว่าโบรคเกอร์หุ้น Schwab appeared first on Siam Blockchain.

Vitalik เผยแผนโรดแมปสำหรับ Ethereum 2.0 ในไต้หวัน

นาย Vitalik Buterin หรือบิดาแห่ง Ethereum ได้เผยแผนการสำหรับการพัฒนาระบบ Blockchain ของเหรียญดังกล่าวในการประชุมที่เมืองไทเป เกาะใต้หวัน โดยหลักๆแล้วจะเป็นการมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่ Ethereum กำลังพบเจอ และรวมถึงทิศทางอนาคตของเหรียญดังกล่าวด้วย โดยนาย Vitalik ได้ทำการพูดคุยถึงรายละเอียดของตัวอัพเดตตัวใหม่นี้อย่างเฉพาะเจาะจงอีกด้วย

โดยนาย Vitalik ได้เริ่มต้นการพูดคุยด้วยสำนวนที่น่าสนใจ เขากล่าวว่า

“ตัวที่จะมาฆ่า Ethereum นั้นก็คือ Ethereum, Ethereum แห่งประเทศจีนนั้นคือ Ethereum, Ethereum สำหรับไต้หวันนั้นคือ Ethereum 2.0”

ปัญหาข้างหน้าที่รออยู่

นาย Vitalik ยังได้กล่าวชี้ให้เห็นถึงจุดที่เขาต้องการจะพัฒนาระบบ platform ของ Ethereum ซึ่งประกอบไปด้วยความเป็นส่วนตัว, ความปลอดภัยของ consensus, ความปลอดภับของ smart contract และความสามารถในการ scaling

สำหรับในสามส่วนแรกนั้น นาย Viltaik ได้ค้นพบวิธีการในการพัฒนาเพื่ออัพเกรดแล้ว โดยในส่วนของความเป็นส่วนตัว การ hard fork ตัว Byzantium ที่ผ่านมาได้มีการนำเอา zk-SNARKs หรือเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ใน ZCash มาปรับใช้กับ Ethereum ส่วนในด้านของความปลอดภัยของ consensus นั้น ตัวพัฒนาล่าสุดนามว่า ‘Casper’ จะสามารถเข้ามาแก้ปัญหาตรงส่วนนี้ได้ และในส่วนของความปลอดภัยของ smart contract นั้น จะมีการนำเอา Viper เข้ามาช่วยยืนยันระบบ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านการ scaling นั้นมีความเป็นรูปธรรม นาย Vitalik อธิบายว่าความเป็น decentralized, ความสามารถในการ scaling และความปลอดภัยนั้นถือเป็นสิ่งที่มีความซับซ้อนและยากมาก ซึ่งมันถือเป็นความท้าทายของอนาคตเลยทีเดียว

สำหรับเป้าหมายของการ scaling นั้น เขากล่าวว่า Ethereum จะต้องทำให้ได้มากกว่า 1,000 ธุรกรรมต่อวินาที และจะต้องอยู่บน on-chain ด้วย และจะต้องมีขึ้นโดยห้ามติดตั้ง supernodes หรือพูดง่ายๆก็คือ พวกเขาจะต้องจัดการปัญหาทั้งสามที่กล่าวมาข้างต้นให้ได้นั่นเอง ซึ่งสำหรับวิธีการแก้ไขนั้น นาย Vitalik ได้ค้นพบวิธีการทำ sharding หรือการทำให้ protocol ของ sidechain สามารถถูกอัพเกรดได้ โดยที่ main chain ยังคงทำงานได้ปกติ

ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนอัลกอริทึมของเหรียญจาก proof of work ให้เป็น proof of stake นั้นก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นด้วย นาย Vitalik ชี้ให้เห็นว่าระยะเวลานั้นอาจจะใช้เวลาถึง 3-5 ปีกว่าจะแก้ไขได้หมด ซึ่งเมื่อเปลี่ยนเป็น PoS หมดแล้ว นักขุดก็จะไม่สามารถขุดเหรียญ Ethereum ได้อีกต่อไป

The post Vitalik เผยแผนโรดแมปสำหรับ Ethereum 2.0 ในไต้หวัน appeared first on Siam Blockchain.

Sunday, November 26, 2017

ราคา Bitcoin แตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 9,000 ดอลลาร์ คำถามคือยังแพงไปหรือไม่?

ราคา Bitcoin แตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 9,000 ดอลลาร์ คำถามคือยังแพงไปหรือไม่?

ราคาของเหรียญราชาที่หลายๆคนต่างก็เคยให้การปฏิเสธที่จะซื้อมันตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้วเมื่อราคาของมันยังต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ ได้พุ่งขึ้นมาถึง 9,000 ดอลลาร์ในตอนนี้ อ้างอิงจาก Coinmarketcap ซึ่งอัตราการเพิ่มนั้นถือว่ามากกว่า 800% หากนับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

โดยสาเหตุหลักๆของการพุ่งขึ้นของราคานั้นหลักๆเกิดขึ้นจากการให้การสนับสนุนตลาดซื้อขาย Futures ในหลายๆที่ ไม่ว่าจะเป็น CME หรือผู้ให้บริการตลาดตราสารอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีการประกาศว่าจะเปิดตลาด Bitcoin Futures วันที่ 11 ธันวาคมที่จะถึงนี้ นอกจากนั้นยังมีบริษัท TOBAM หรือบริหารสินทรัพย์ของประเทศฝรั่งเศสได้แนะนำกองทุนรวม Bitcoin เพื่อเป็นอีกทางเลือกในกับนักลงทุนที่มองหาโอกาสใหม่ๆ สำหรับ Bitcoin อีกด้วย

ผู้คนทั่วโลกต่างก็เริ่มให้ความสนใจกับ Bitcoin อย่างมากขึ่น คำถามที่ตามมาก็คือ มันยังแพงไปที่จะซื้อหรือไม่?

แพงหรือไม่แพงไม่ใช่คำถาม

หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 ที่ถือเป็นช่วงขาลงอย่างหนักของราคา Bitcoin จนส่งผลทำให้หลายๆคนคาดว่ามันจะตายไปในภายหลังนั้น (ราคาลดลงไประดับต่ำกว่า 200 ดอลลาร์) ทำให้ใครๆก็หันหลังให้กับมัน และผู้คนที่ถือเหรียญดังกล่าวจนกระทั่งขาดทุนต่างก็ต้องขายมันออกให้หมดเพราะกลัวว่ามันจะตายจริงๆตามที่ผู้คนลือกัน

ทว่าภายหลังจากนั้น Bitcoin ใช้เวลาอีกประมาณ 2 ปีในการไต่ระดับราคาขึ้นมาจากต่ำกว่า 500 ดอลลาร์ มาสู่ 1,000 ดอลลาร์ในช่วงต้นปี 2017 นี้ ซึ่งหลังจากนั้นราคาของเหรียญราชาก็ได้ไต่ระดับขึ้นลงเยี่ยงรถไฟเหาะ จนกระทั่งมาถึง 9,000 ดอลลาร์ในที่สุด

หากคุณเป็นคนที่เชื่อมั่นใน Bitcoin มาตั้งแต่ช่วงปี 2015 และยังถือมันไว้อยู่ในขณะนี้ portfolio ของคุณก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมามากกว่า 800%

แต่กระนั้น บางคนที่ไม่เชื่อมั่นใน Bitcoin มาตั้งแต่ต้น และไม่คิดจะซื้อมันในตอนที่ราคาต่ำ แต่ก็เป็นเหมือนกับผู้คนส่วนมากที่แย่งกันซื้อตอนราคาสูงจนทำให้ขาดทุน (ติดดอย) กันไปมากมายนั้นก็กำลังตั้งคำถามว่าเมื่อไรมันตะถูกลง? และหากซื้อตอนนี้ยังแพงไปหรือไม่?

โดยอ้างอิงจากนาย Max Keiser นั้น ก่อนหน้านี้เขาได้ออกมาทำนายราคาของ Bitcoin ว่าจะพุ่งขึ้นไปที่ 10,000 ดอลลาร์เมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้นราคาของมันยังอยู่ที่ 6,000 ดอลลาร์เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีนาย John McAfee หรือเจ้าของบริษัทซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยอันโด่งดังก็ได้ออกมาทำนายราคาของมันเช่นกันว่าจะพุ่งไปที่ 500,000 ดอลลาร์ในอีกสามปีข้างหน้านี้

ซึ่งหลายๆคนก็คงมองออกว่า Bitcoin นั้นแพงหรือไม่แพง

ราคาตลาดไทยทะลุ 280,000 บาท

ในขณะเดียวกันราคาของ Bitcoin บนตลาดไทยอย่าง Bx นั้นก็ได้มีการพุ่งขึ้นทะลุ 280,000 บาท หรือคิดเป็นเงินดอลลาร์ราวๆ 8,567 ดอลลาร์ ซึ่งยังห่างจากของตลาดโลกอยู่พอสมควร และมีโวลลุ่มการซื้อขาย 24 ชั่วโมงที่ 575.13 BTC

ในขณะเดียวกัน ราคาของ Bitcoin บนตลาด TDAX หรือตลาดเหรียญคริปโตแห่งแรกของคนไทยยังอยู่ที่ 278,000 บาท ซึ่งยังน้อยกว่าของ Bx อยู่ไม่มากนัก และมีโวลลุ่มการซื้อขาย 24 ชั่วโมงที่ 5.72 BTC

The post ราคา Bitcoin แตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 9,000 ดอลลาร์ คำถามคือยังแพงไปหรือไม่? appeared first on Siam Blockchain.

Saturday, November 25, 2017

“Bitcoin นั้นสำหรับเป็นการลงทุนมากกว่าสกุลเงิน” กล่าวโดยนายธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์

ประธานแห่งธนาคาร Swiss National Bank (SNB) ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับ cryptocurrency เมื่อวานนี้

นาย Thomas Jordan ประธานของ Central Bank Counterfeit Deterrence Group ได้ขึ้นพูดในเมือง Basel โดยกล่าวว่าทางธนาคารกลางกำลังจับตาดู cryptocurrency “อย่างจริงจัง” โดยกล่าวเพิ่มว่า “ผมมองมันเป็นการลงทุนมากกว่าสกุลเงิน”

โดยอ้างอิงจากรายงานของรอยเตอร์ นาย Jordan กล่าวว่า

“มันสำคัญที่จะบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นคำถามว่าใครจะสามารถเข้าถึงเงินของธนาคารกลาง และในรูปแบบอะไร ในตอนนั้นมันยังมีคำถามที่ไม่สามารถตอบได้มากมาย”

เขายังกล่าวต่อว่าธนาคารกลางจะต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่เป็นไปได้เกี่ยวกับการที่ cryptocurrency มีต่อระบบการเงินของประเทศ

อย่างไรก็ตาม ความเห็นของเขานั้นไม่ใช่ครั้งแรกที่มาจากนายธนาคารเกี่ยวกับเหรียญคริปโต

เมื่อปีที่แล้วทางธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ออกมาพูดในงานประชุม Sibos โดยบอกว่าเทคโนโลยี Blockchain กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงระบบการเงิน

เขาเผยให้เห็นในช่วงนั้นว่าทางธนาคารกำลังพูดคุยกับผู้เข้าร่วมซื้อขายในตลาด, ผู้ออกกฎหมาย และธนาคารกลางอื่นๆเกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยี Blockchain และ distributed ledger ว่าจะนำมาใช้ลดต้นทุนในการธนาคารได้อย่างไรอีกด้วย

The post “Bitcoin นั้นสำหรับเป็นการลงทุนมากกว่าสกุลเงิน” กล่าวโดยนายธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ appeared first on Siam Blockchain.

นักพัฒนา Bitcoin Cash กล่าว ‘Bitcoin นั้นตายแล้ว และแยกออกเป็นสองส่วน’

ในขณะที่ราคาของ Bitcoin Cash กำลังพุ่งขึ้นไปที่ 1,680 ดอลลาร์ นักพัฒนาหลักของเหรียญดังกล่าวนามว่า Deadal Nix กล่าวว่า Bitcoin นั้นได้ตายไปแล้ว และแยกออกมาเป็นสองส่วนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยอ้างอิงจากเขานั้น ในขณะนี้มีทั้ง Bitcoin Cash และ Bitcoin ทั้งหมดสองัว

ความเห็นของเขามีขึ้นเพื่อตอบคำถามผู้ใช้งานบน Twitter คนหนึ่งนามว่า Alphonse Pace โดยกล่าวว่าสาเหตุที่ Bitcoin ได้ถูกตั้งให้เป็นเชนหลักนั้นก็เพื่อหลอกลวงผู้ใช้งาน และเขากล่าวว่า Bitcoin Cash ไม่สามารถเป็น Bitcoin ได้แม้ว่าเหรียญราชานั้นจะถูกลิสให้เป็น Bitcoin legacy (เชนหลัก) ก็ตาม ภายหลังจากนั้นผู้ใช้งานทวิตเตอร์จำนวนมากก็ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อนาย Nix ซึ่งรวมทั้งนาย Charlie Shrem หรือผู้ก่อตั้ง BitInstant เมื่อปี 2011 ด้วย โดยชี้ให้ว่านาย Deadal Nix คือ “professional shitlord” (ลอร์ดผู้เชี่ยวชาญด้านขี้) ตามชื่อบนทวิตเตอร์ของเขา อีกทั้งยังกล่าวว่าเขาอาจจะยึด Bitcoin Core ไปกับเขาสักวันหนึ่ง

ภายหลังจากนั้นนาย Alphonse Pace ก็ได้ออกมาย้ำถึงความเห็นของนาย Nix ว่ามันมีขึ้นเพื่อทำลาย Bitcoin และมาชิงบัลลังก์ของมัน นอกเหนือจากนี้นาย Pace ก็ได้กล่าวเพิ่มว่าการพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin ที่เหนือ 8,000 ดอลลาร์ล่าสุดนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวของกับการมีขึ้นของ Bitcoin Cash แม้แต่น้อย แถมมันยังมาเป็นตัวถ่วงของ Bitcoin อีกด้วย

ก่อนหน้านี้สยามบล็อกเชนได้รายงานไปแล้วว่าการพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin Cash นั้นเกิดจากการยกเลิกการอัพเกรดตัว scaling ของ Bitcoin นามว่า SegWit2x รวมถึงการสนับสนุนเหรียญดังกล่าวบนเว็บเทรดในหลายๆที่อย่าง Bitstamp, Blockchain และเว็บอื่นๆอีกมากมายด้วย

นาย Roger Ver หรือ CEO ของ Bitcoin.com ยังได้ทำการตลาด Bitcoin Cash ให้กับผู้อ่านของเขา และรวมถึงผู้คนในโซเชียลอีกด้วย จนทำให้ผู้เชี่ยาญในวงการมากมายรวมถึงผู้สร้าง Litecoin อย่างนาย Charlie Lee ได้ออกมาวิจารณ์เขา

The post นักพัฒนา Bitcoin Cash กล่าว ‘Bitcoin นั้นตายแล้ว และแยกออกเป็นสองส่วน’ appeared first on Siam Blockchain.

บริษัทบริหารสินทรัพย์ของประเทศฝรั่งเศสเปิดตัวกองทุนรวม Bitcoin แห่งแรกของทวีปยุโรป

บริษัท TOBAM ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ของประเทศฝรั่งเศสได้แนะนำกองทุนรวม Bitcoin เพื่อเป็นอีกทางเลือกในกับนักลงทุนที่มองหาโอกาสใหม่ๆ สำหรับ Bitcoin

ตามที่เว็บไซต์ของบริษัท TOBAM ได้กล่าวไว้บริษัท TOBAM ได้หาทางออกให้กับนักลงทุนที่เผชิญหน้ากับความเสี่ยงของราคาและยังต้องสูญเสียจำนวน Bitcoin จากการถูกโจรกรรมอีก

เว็บไซต์ TOBAM ระบุว่า Bitcoin มีความผันผวนเป็นอย่างมาก

การเข้าถึงสำหรับนักลงทุน

ตามข้อมูลของ Financial Times นั้นกล่าวว่า Bitcoin ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานทางการเงินแห่งชาติ และ Bitcoin ก็ไม่สามารถถือครองได้โดยการซื้อขายผ่านกองทุนหรือกองทุนรวม

กองทุน TOBAM ไม่ได้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เพราะไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาเป็นกองทุนรวมในยุโรปที่เรียกว่า “Ucit” ตามข้อมูลของ Financial Times

ผู้ออกกฏฝรั่งเศสยอมอนุญาต

ผู้ก่อตั้งบริษัท TOBAM นาม Yves Choueifaty กล่าวว่าการที่จะเปิดกองทุนนั้น ต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลของฝรั่งเศสที่ชื่อ Autorité des Marchés Financiers (AMF) นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าบริษัทยังต้องโน้มน้าวให้ AMF มีกรอบที่จะคอยช่วยปกป้องนักลงทุนอีกด้วย

การลงทุนใน Bitcoin มีเรื่องท้าท้ายเกิดขึ้นเสมอเช่น เรื่องความปลอดภัยหรือการ Hard Fork กล่าวโดยนาย Christophe Roehri หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจของบริษัท TOBAM

ผู้ตรวจสอบกองทุนนี้ก็คือบริษัท PwC และบริษัท Caceis ที่เป็นบริษัทที่คอยให้บริการดูแลสินทรัพย์ของธนาคาร Credit Agricole

นาย Choueifaty กล่าวว่าเขาจะรู้สึกผิดหวังหากกองทุนนี้เติบโตไม่เกิน 400 ล้านดอลลาร์ภายในสองถึงสามปีนี้ ผู้ก่อตั้งบริษัท TOBAM เชื่อว่า Cryptocurrencies จะสร้างมาตรฐานในตลาดการเงินและการออมได้

ปรัชญาการลงทุนของ TOBAM

“เป้าหมายของเราคือการควบคุมความท้าทายในการดำเนินงานเหล่านี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงนักลงทุนที่มีคุณภาพในการลงทุน  Bitcoin” นาย Roehri กล่าว

ที่ปรึกษาทางการเงินหลักและผู้จัดการ Portfolio ได้อ้างว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงห่างไกลจากการพิจารณาการลงทุนใน Bitcoin

บริษัท TOBAM ได้พัฒนาระบบความปลอดภัยในโลกไซเบอร์มาแล้ว 12 ปี และทีมพัฒนาของบริษัท ประกอบด้วยนักวิจัย, ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความเสี่ยง, วิศวกรและผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ นอกเหนือจากการกำกับดูแลโดย Autorité des Marchés Financiers แล้ว บริษัท TOBAM ยังเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนของ SEC และตอนนี้ได้จดทะเบียนในแคนาดาและเกาหลีใต้เรียบร้อยแล้ว

The post บริษัทบริหารสินทรัพย์ของประเทศฝรั่งเศสเปิดตัวกองทุนรวม Bitcoin แห่งแรกของทวีปยุโรป appeared first on Siam Blockchain.

Friday, November 24, 2017

Avesta จะปฏิวัติการใช้เงินดิจิตอลในประเทศ Guinea ไปอย่างสิ้นเชิง

ณ ขณะนี้ความเข้าใจในเรื่อง Cryptocurrency หรือ Blockchain ยังมีไม่มากนัก ด้วยความที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ พร้อมกับความเข้าถึงยากของมัน Avesta จึงมีเป้าหมายในการที่จะให้ผู้คนเข้าใจ Cryptocurrency และสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย ดังเช่นประเทศกินีเป็นประเทศในแอฟริกาตะวันตก ที่ Avesta เล็งเห็นว่าอยากให้เทคโนโลยี Blockchain ได้เข้าไปช่วยในเรื่องเศรษฐกิจและธุรกรรมทางการเงินในประเทศกินี

รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) โดย Avesta

ประเทศกินี หรือหรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐกินี มีประชากรประมาณ 12.4 ล้านคน เศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศกินีก็คือผลผลิตจากการเกษตรและการผลิตแร่ แต่เมื่อพูดถึงเทคโนโลยี ในประเทศกินีทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นแค่คู่มือกระดาษเท่านั้น

Avesta จึงมีเป้าหมายในการจัดทำข้อมูลดิจิตอลโดยใช้ระบบ Blockchain Avesta นั่นเอง

เป้าหมายที่สำคัญของ Avesta ก็คือการให้เทคโนโลยี Blockchain และ Cryptocurrency ตัวอื่นๆ ถูกยอมรับในแอฟริกา พวกเขาจะใช้ Avesta ในประเทศกินีเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการชำระเงินที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งถือว่าจะเป็นการก้าวกระโดดของระบบตั้งแต่ที่เคยมีมาทั้งหมด ก็เหมือนที่ประเทศแอฟริกาที่ข้ามเทคโนโลยีโทรศัพท์บ้านไปยังเทคโนโลยีสมาร์ทโฟน

Avesta มั่นใจว่าประเทศกินีจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดและสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ในเรื่องของการบริหารโดยเป็นระบบอัตโนมัติ โดยการใช้ระบบ Decentralized ในการเสนอข้อเสนอเกี่ยวกับภาษีที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ B2B/B2C และการชำระภาษีโดยอัตโนมัติ

พวกเขาเชื่อว่าประเทศกินีจะกลายเป็นเขตการปกครองที่ทันสมัยที่สุดในการบริหารเศรษฐกิจ และเป็นที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจใหม่ๆ จากประเทศอื่น ที่จะเข้ามาลงทุนหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

Avesta-Afrika

การที่อะเวสต้าเข้าไปประเทศกินี เพื่อเกิดการพัฒนาด้านระบบต่างๆ ดังนี้

  • การจดทะเบียนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
  • การพัฒนาซอฟต์แวร์ และฮาร์แวร์คอมพิวเตอร์
  • Blockchain และ Cryptocurrency
  • ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ และการบริหารทางเงิน
  • การศึกษา
  • ด้านสุขภาพต่างๆ ได้แก่ โรงพยาบาล การประกันสุขภาพ ประกันสังคม การกีฬา ฟิตเนส ฯลฯ

ลงทุนและขุดเหรียญกับ Avesta

หนึ่งในเป้าหมายหลักของ Avesta ก็คือการที่จะได้เป็นธนาคารที่ใช้ระบบ Blockchain โดยใช้ Avesta ในการทำธุรกรรมทางการเงิน แต่ในการที่จะถึงจุดนั้นได้ พวกเขาก็ต้องใช้เงินทุนด้วย เหมือนพวกเขามีรากฐานของโครงสร้างแล้ว แต่พวกเขาไม่มีเงินลงทุน และหนึ่งในตัวอย่างก็คือเอกสารของประเทศ Guinea

การระดมทุน ICO ที่เห็นเป็นจำนวนมากนั้นเป็นแค่ไอเดีย ยังไม่มีเทคโนโลยี และการใช้งานได้จริง แต่เหรียญ Avesta เป็นเหรียญที่ใช้ในระบบ Blockchain เป็นของตัวเอง

การขุดเหรียญ Avesta

การทำงานเป็นทีม + ความสม่ำเสมอ = ประสิทธิภาพ = Avesta

การขุด Bitcoin หรือ Ethereum ต้องอาศัย Proof-of-Work หลายพันเครื่องทั่วโลกและยังต้องแข่งกันเพื่อตรวจสอบการทำธุรกรรม Blockchain นับล้านตัว ใครที่เป็นผู้ชนะคนแรกก็ได้ Rewards กันไปส่วนคนที่เป็นที่สองนั้น ไม่ได้อะไรเลย

Avesta จะเข้ามาแก้ปัญหานี้ในรูปของแพลตฟอร์ม Cryptocurrency ใหม่และสมบูรณ์แบบ ซึ่งมีทุกอย่างตั้งแต่การขุดเหรียญ Avesta และระบบธุรกรรมที่อยู่ภายในระบบ Blockchain

Avesta กำลังสร้างระบบในการที่จะเพิ่มแรงจูงใจใหม่สำหรับ Miner แทนที่จะแข่งขันเพื่อจะเป็นคนแรก Avesta ก็จับแรงของนักขุดมารวมกันแล้วนำมาแบ่งกันอย่างยุติธรรม

ผู้คนที่อยู่ในธุรกิจขุดเหรียญ Crytptocurrency ก็กระตือรือร้นที่จะเลือกซื้อเหรียญที่มีความสม่ำเสมอเพื่อไม่อยากเจอราคาของเหรียญที่มีความสวิงขึ้นลงอย่างบ้าคลั่ง

นอกจากนี้การขุดเหรียญของ Avesta จะเกิดขึ้นในสถานที่ที่แตกต่างกันและแยกออกจาก Layer การทำธุรกรรมซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพ และด้วยปริมาณในการใช้พลังงานอันมหาศาลของ Bitcoin จึงทำให้ความเร็วในการทำธุรกรรมอยู่ในระดับที่ไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเหรียญอื่นๆ ส่วนใหญ่ในตลาด

ด้วย Avesta นั้น อย่างไรก็ตามทุกคำสั่งซื้อจะถูกส่งลงสู่ฐานข้อมูลเพื่อทำการตรวจสอบ ฉะนั้นก็แปลว่านักขุดเหรียญไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องความเร็วในการทำธุรกรรมและปัญหา Double-Spend ด้วย

ข้อแตกต่างระหว่าง Cryptocurrency ตัวอื่น

  • สามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วและใช้เวลาน้อยกว่า 10 วินาที
  • ทาง Avesta อ้างว่ารวดเร็วกว่า Bitcoin ถึง 60 เท่า
  • สามารถรับช่วงต่อหรือก็คือสืบทอดเหรียญและกู้คืนเหรียญได้
  • ใช้หมายเลขบัญชีเป็น Address
  • ไม่สามารถรู้ว่าใครเป็นคนทำธุรกรรม
  • การขุดเหรียญที่รวดเร็วกว่า
  • มีบัตรเดบิต/บัตรเครดิต Avesta เป็นของตัวเอง
  • มี Smart Contract

สรุป

ผู้เขียนคิดว่าการที่ Avesta ได้เข้ามานั้น จะทำให้ผู้ใช้ได้ใช้เงินดิจิตอลได้ง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น และยังได้แก้ปัญหาในเรื่องของเวลาในการโอน รวมถึงการจดจำ Address ในรูปแบบเลขที่บัญชีหรือการรับช่วงต่อของเหรียญซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่และน่าสนใจเป็นอย่างมาก

สำหรับผู้ที่สนใจในโปรเจ็กต์ดังกล่าวสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์หลักที่ https://avesta.io

หมายเหตุ: การลงทุนในตัว Cryptocurrency มีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ทางสยามบล็อกเชนจะไม่รับผิดชอบในความสูญเสียในทุกกรณี

The post Avesta จะปฏิวัติการใช้เงินดิจิตอลในประเทศ Guinea ไปอย่างสิ้นเชิง appeared first on Siam Blockchain.

พลเมือง Zug ในสวิตเซอร์แลนด์เริ่มลงทะเบียนข้อมูลส่วนตัวบน Ethereum Blockchain แล้ว

Uport หรือแพลทฟอร์มผู้ให้บริการด้านการเก็บข้อมูลพลเรือนบนระบบ Blockchain ของ Ethereum ได้นำระบบดังกล่าวเข้ามาใช้ในเมือง Zug ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้ว

โดยอ้างอิงจากบล็อกบน Medium ของ Uport นั้น การลงทะเบียนครั้งแรกได้มีขึ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การเข้าถึงระบบ E-Services

Uport ได้ทำเซ็นสัญญาหุ้นส่วนกับรัฐบาลเมือง Zug หรือเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “Crypto Valley” ที่เป็นที่ตั้งของบริษัทสตาร์ทอัพด้าน blockchain และ cryptocurrency มากมาย โดยโปรแกรมการลงทะเบียนที่ว่านี้จะทำการเก็บข้อมูลส่วนตัวของพลเมืองเช่นข้อมูลบัตรประชาชนลงไปใน Blockchain ทำให้สามารถเข้าถึงระบบ e-service ต่างๆได้เช่นทะเบียนบ้านและสิทธิ์ในการโหวตออกเสียงผ่านอินเทอร์เนต นอกจากนี้บริษัท Uport ยังได้จับมือร่วมกับบริษัท ti&m ในการพัฒนาระบบดังกล่าวด้วย

การประกาศนี้ถือเป็นอีกหนึ่ง milestone ครั้งสำคัญสำหรับรัฐบาลในการสาธิตด้านการนำเอาเทคโนโลยี Blockchain ของ Ethereum มาใช้ในการเก็บข้อมูลประชาชน และสามารถเป็นแบบอย่างให้กับเมืองอื่นๆในประเทศ ตลอดจนประเทศอื่นๆทั่วโลกได้

ทาง Uport และรัฐบาลเมือง Zug แพลทฟอร์มที่ว่านี้จะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและไว้ใจระหว่างหน่วยงานรัฐบาลและประชาชนได้ โดยเฉพาะในกิจกรรมด้าน ‘ดิจิตอล’ ต่างๆ

นอกจากนี้เมือง Zug มีแผนการที่จะเริ่มต้นใช้ระบบ e-voting ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของปี 2018 ด้วย

แล้วมันทำงานอย่างไร

หลังจากที่ประชาชนทำการดาวน์โหลดแอพของ Uport มาแล้ว พวกเขาจะสามารถลงทะเบียนเพื่อรับ Uport ID บน Blockchain ของ Ethereum ได้ โดยจะเป็นการสร้างตัว indentifier แบบ global โดยจะได้รับ address มา ซึ่ง address นี้จะเป็นที่อยู่ของ smart contract ที่มีชื่อว่า Uport proxy contract

หลังจากนั้นประชาชนจะใช้ Uport ID ที่พวกเขาสมัคร เพื่อล็อกอินเข้าไปในหน้าเว็บของ Zug ID ผ่านการสแกน QR code เมื่อล็อกอินเข้าไปแล้ว ประชาชนจะสามารถพิมพ์รายละเอียดส่วนตัวลงไปทั้งหมด ภายหลังจากนั้นแอดมินของเมือง Zug จะทำการตรวจสอบรายบุคคล

เมื่อลงทะเบียนเสร็จแล้ว ประชาชนจะมีเวลา 14 วันเพื่อเข้าไปรายงานตัวกับรัฐบาลเมือง Zug พร้อมกับเอกสารและบัตรประชาชนต่างๆ

เสร็จแล้วรัฐบาลเมือง Zug จะทำการเซ็นบนระบบของแอดมินด้วย Uport ID ของพวกเขา และจะมีการตรวจสอบว่าข้อมูลนั้นตรงกับในสารบบหรือไม่ ถ้าหากว่าได้รับการอนุมัติ ประชาชนก็จะได้บัตรประชาชน Uport มาครอบครอง

The post พลเมือง Zug ในสวิตเซอร์แลนด์เริ่มลงทะเบียนข้อมูลส่วนตัวบน Ethereum Blockchain แล้ว appeared first on Siam Blockchain.

ธนาคาร Standard Charterd และ ธนาคาร Axis เปิดตัวระบบชำระเงินด้วยเทคโนโลยี Ripple

ธนาคาร Standard Charterd และธนาคาร Axis ประกาศใช้แพลตฟอร์มการชำระเงินแบบ Cross-Border ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาโดยบริษัท Ripple

แพลตฟอร์มที่เปิดตัวในวันนี้เชื่อมต่อกับบริษัทระหว่างประเทศสิงคโปร์และอินเดีย ซึ่งจะสามารถเข้าถึงได้ผ่านระบบ Straight2Bank ของธนาคาร Standard Charterd จากการเปิดตัวแพลตฟอร์มของธนาคาร Standard Charterd จะทำให้ผู้ใช้สามารถดูค่าธรรมเนียมทั้งหมดได้ล่วงหน้า สามารถตรวจสอบความถูกต้องในการทำธุรกรรมและสามารถชำระเงินได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

จากการรายงานในเดือนมีนาคมระบุว่าธนาคารหลายแห่งรวมถึงธนาคาร Standard Charterd มีแผนที่จะเปิดตัวระบบเดียวกันในหลายๆ ประเทศในปีหน้า

นาย Gautam Jain ซึ่งทำหน้าที่เป็นกรรมการผู้จัดการของธนาคาร Standard Chartered กล่าวในแถลงการณ์ว่า:

“การเปิดตัวบริการชำระเงินข้ามพรมแดนของเราประสบความสำเร็จและนับเป็นก้าวสำคัญของความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมทางการเงินในการใช้เทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทสำหรับบริษัท”

ทางโฆษกก็ได้ยืนยันว่าธนาคาร Standard Chartered และธนาคาร Axis ไม่ได้ใช้สกุลเงิน XRP ของบริษัท Ripple ในการทำธุรกรรมระหว่างสิงคโปร์และอินเดีย

ผู้เขียนเห็นว่าการที่ธนาคารชั้นนำอย่าง Standard Chartered และ Axis หันมาใช้ระบบชำระเงินของบริษัท Ripple จะยิ่งทำให้ธนาคารมีความน่าเชื่อถือและผู้ใช้จะเชื่อมั่นในความปลอดภัยในการทำธุรกรรมแน่นอน

The post ธนาคาร Standard Charterd และ ธนาคาร Axis เปิดตัวระบบชำระเงินด้วยเทคโนโลยี Ripple appeared first on Siam Blockchain.

รัฐบาลเกาหลีใต้กล่าว ‘ไม่มีแผนการ’ ทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin ถูกกฎหมาย

ผู้ออกกฎหมายด้านการเงินในประเทศเกาหลีใต้ออกมาประกาศว่าพวกเขาไม่มีแผนการที่กำกับและควบคุมการซื้อขาย Bitcoin อ้างอิงจากรายงาน

โดยอ้างอิงจากการประกาศของผู้สื่อข่าวเมื่อคืนที่ผ่านมา นาย Choe Heung-sik หรือหัวหน้าของ Financial Supervisory Service (FSS) กล่าวว่าทางองค์กรไม่ได้มอง cryptocurrency ว่าเป็น “สกุลเงินที่แท้จริง” ทาง FSS ไม่มีความต้องการที่จะกำกับการซื้อขายสินทรัพย์ด้านดิจิตอลดังกล่าว

โดยอ้างอิงจากรายงานของ Korea Times นาย Choe กล่าวว่ารัฐบาลเกาหลีใต้เชื่อว่า cryptocurrency นั้นถูกใช้เพื่อการเก็งกำไรเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการซื้อขาย ซึ่งสาเหตุนั้นทำให้ทาง FSS พิจารณาว่า cryptocurrency ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ด้านการเงิน

เขากล่าวว่า

“แม้ว่าเรากำลังเฝ้าดูลักษณะการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ในปัจจุบัน เราไม่มีแผนการในการที่จะกำกับเว็บเทรดในปัจจุบัน การกำกับนั้นจะมีมาก็ต่อเมื่อมีกฎหมายออกมาควบคุมเหรียญคริปโตว่าเป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมายแล้วเท่านั้น”

ความเห็นของนาย Heung-sik มีขึ้นท่ามกลางความนิยมองเหรียญคริปโตในประเทศเกาหลีใต้ ที่ส่งผลทำให้เว็บเทรดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอย่าง Bithumb ต้องประสบปัญหาเว็บล่มเป็นครั้งคราว เนื่องจากมีผู้ใช้งานมากเกินไปนั่นเอง โดยมีรายงานว่าการล่มของเว็บในบางครั้งส่งผลทำให้นักเทรดบางคนสูญเสียเงินนับพันล้านวอน

The post รัฐบาลเกาหลีใต้กล่าว ‘ไม่มีแผนการ’ ทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin ถูกกฎหมาย appeared first on Siam Blockchain.

ราคาเหรียญ Ethereum ทะลุจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 421.62 ดอลลาร์

ราคาของเหรียญอัจฉริยะอันดับสองของโลกผู้ริเริ่ม smart contract อย่าง Ethereum ได้แตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์แล้วที่ 421.62 ดอลลาร์

โดยจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์เก่าของ Ethereum นั้นอยู่ที่ 414 ดอลลาร์ของเมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

โดยอ้างอิงจากเว็บ Coinmarketcap คู่ซื้อขาย ether-ดอลลาร์ (ETH/USD) ได้มีอัตราเพิ่มขึ้นมามากกว่า 12.61% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ในขณะที่รายสัปดาห์นั้น เหรียญ ETH ได้พุ่งขึ้นมากกว่า 24% และรายเดือนมากกว่า 43.33%

สาเหตุหลักๆของการพุ่งขึ้นของราคานั้นดูเหมือนว่าน่าจะมาจากการที่เหรียญ ETH จะมีการซื้อขายบนตลาดตราสารอนุพันธ์เป็นของตัวเองแล้ว

ในขณะเดียวกัน ความเห็นส่วนใหญ่บนโซเชียลชี้ให้เห็นว่านักลงทุนกำลังยุ่งอยู่กับการประเมินผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่าธุรกรรมของเหรียญ Ethereum หนึ่งวันนั้นมีมากกว่าของทุกๆเหรียญรวมกันเสียอีก

และก็เช่นเดียวกัน นาย Mike Novogratz ได้ออกมาแสดงความเห็นเมื่อวานนี้ว่าราคาเหรียญ Ether นั้นจะพุ่งขึ้นไปแตะ 500 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้

The post ราคาเหรียญ Ethereum ทะลุจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 421.62 ดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

Thursday, November 23, 2017

นาย Tom Lee กลับมาทำนายราคา Bitcoin อีกครั้ง กล่าวโตขึ้น 40% ภายในกลางปีหน้า

นาย Thomas Lee หรือนักวิเคราะห์จาก Fundstrat ได้ออกมาเตือนให้ลูกค้าของเขากลับเข้าไปในตลาด Bitcoin ที่กำลังเป็นขาขึ้นอีก โดยทำนายว่าราคาของมันจะพุ่งไปถึง 11,500 ดอลลาร์ภายในกลางปีหน้านี้

ปีนี้เป็นปีของ Bitcoin อย่างแท้จริง และดูเหมือนว่าจะไม่มีทีท่าที่จะหยุดลงอย่างง่ายๆ นักวิเคราะห์หลายๆคนต่างก็ออกมาทำนายราคาของ Bitcoin สำหรับปีหน้านี้ว่ามันจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะนาย Ronnie Moas ที่ออกมาเปลี่ยนเป้าหมายราคาของเขาในปีนี้ถึงสองครั้งในเดือนพฤศจิกายนเดือนเดียว

แม้แต่นาย Max Keiser ก็ได้ออกมาตั้งเป้าหมายราคาของ Bitcoin ระยะยาวเช่นกัน โดยกล่าวว่ามันอาจจะไปถึง 100,000 ดอลลาร์ได้

ไล่บีบให้คนเทขาย

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีสถานการณ์หลายๆสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะส่งผลทำให้ราคาของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้น ไม่ว่าจะการกลับมาของราคาจากตกลงเนื่องจากการยกเลิก SegWit2x, การเปิดตัว Bitcoin Futures ของ CME และการที่ Square Cashกำลังทดสอบระบบจ่ายด้วย Bitcoin

ปัจจัยเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะส่งผลทำให้ราคาของเหรียญราชาแห่งคริปโตตัวนี้พุ่งไปแตะจุดสูงสุดที่ 8,200 ดอลลาร์ และนั่นดูเหมือนว่าอาจจะยังไม่จบแค่นั้น

“เมื่อสองสามสัปดาห์ที่แล้ว เราได้เปลี่ยนกลยุทธ์จากการเล่นระยะสั้นแบบนิ่งๆที่ระดับราคาของ Bitcoin ณ จุดนั้น (~7,400 ดอลลาร์) และหลังจากนั้นมันก็เกินความคาดหมายของเรา” กล่าวโดยนาย Lee จากรายงานของเขา

“เมื่อสัปดาห์ที่แล้วราคาของ Bitcoin ร่วงลงไปถึง 5,600 ดอลลาร์ และหลังจากนั้นก็เด้งกลับขึ้นมา ในมุมมองของพวกเรา การเคลื่อนไหวของราคาไปที่ 5,600 ดอลลาร์นั้นถือเป็นการบีบให้พวกอ่อนหัดเทขาย และเราก็ไม่รู้สึกว่าการเตือนนั้นน่ากลัวอีกต่อไป เราขอแนะนำให้ค่อยๆซื้อ Bitcoin ที่ระดับราคานี้”

ก่อนที่นาย Tom Lee จะเปลี่ยนใจนั้น เขาได้ทำนายราคาของ Bitcoin จะพุ่งไปที่ 6,000 ดอลลาร์ในปีนี้ และไม่นานหลังจากนั้นมันก็พุ่งไปตามที่เขาทำนายไว้จริง

ภาพใหญ่

การทำนายของนาย Lee อาจจะดูเล็กไปนิดหน่อย แม้จะบอกว่ามันจะมีการเติบโตถึง 40% ภายใน 7 เดือน

ในขณะที่คนอื่นอย่างนาย Moas ได้กล่าวว่าภายในช่วงสิ้นปีนี้ ราคาของ Bitcoin อาจจะไปถึง 14,000 ดอลลาร์เป็นอย่างต่ำ โดยเทคนิคการทำนายของเขาคือการนำราคาของเหรียญที่เกี่ยวข้องอื่นๆอย่าง Bitcoin Cash, Bitcoin Gold และ Bitcoin มารวมกัน

อย่างไรก็ตามนาย Moas ก็ได้เปลี่ยนการทำนายของเขาด้วยเช่นกัน โดยกล่าวว่าเขาได้มองเห็นราคาว่ามันจะไปที่ 11,000 ดอลลาร์ในช่วงปีใหม่นี้

ที่น่าสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นนาย Max Keiser หรือพิธีกรรายการของ Russia Today โดยเขาออกมากล่าวว่าราคาของ Bitcoin นั้นจะพุ่งไปถึง 100,000ดอลลาร์ในท้ายสุด

The post นาย Tom Lee กลับมาทำนายราคา Bitcoin อีกครั้ง กล่าวโตขึ้น 40% ภายในกลางปีหน้า appeared first on Siam Blockchain.

นาย Ben Lawsky อดีต BitLicense เข้าร่วมเป็นคณะกรรมบริหารบริษัท Ripple

นาย Ben Lawsky อดีต New York State Department of Financial Services (NYSDF) และ BitLicense ได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมบริหารบริษัท Ripple

จากการแถลงข่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นาย Lawsky จะช่วยบริษัท Ripple ในการระดมทุนทำแพลตฟอร์มการชำระเงินรวมถึงตัวสกุลเงินดิจิทอลของบริษัท Ripple ที่ชื่อ XRP ด้วย

ในแถลงการณ์เขากล่าวว่า “บริษัทมีความต้องการที่จะเป็นผู้นำในการทำระบบการเงินทั่วโลกให้มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยและเป็นธรรมอีกด้วย”

นาย Lawsky เป็นที่รู้จักกันดีในการสร้าง Framework ของ BitLicense ซึ่งเป็นกฏระเบียบข้อบังคับสำหรับคนที่ต้องการจะทำธุรกิจด้าน Cryptocurrency ในเมือง New York ที่จะต้องมีการมาขอก่อนเสมอ

บริษัท Ripple เป็นบริษัทแรกที่ได้รับ BitLicense สำหรับการใช้งานในฐานะสถาบันสินทรัพย์ดิจิตอล

สัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทได้ประกาศความร่วมมือกับบัตรเครดิตอเมริกันเอ็กซ์เพรสเพื่อสร้างช่องทางการชำระเงินจาก สหรัฐฯ ไปยัง สหราชอาณาจักร ซึ่งจะใช้ระบบ Blockchain Ripple แบบองค์กร เพื่อชำระเงินต่างประเทศภายในไม่กี่วินาที

ผู้เขียนคิดว่าถือเป็นเรื่องดีของบริษัท Ripple ที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มในการชำระเงินของธนาคารให้ดียิ่งขึ้น โดยได้นาย Ben Lawsky เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาในครั้งนี้

The post นาย Ben Lawsky อดีต BitLicense เข้าร่วมเป็นคณะกรรมบริหารบริษัท Ripple appeared first on Siam Blockchain.

การฉ้อโกงกระเป๋า Bitcoin Gold ทำให้มีการสูญเสียกว่า 3 ล้านดอลลาร์

มีจำนวนเงินมูลค่าประมาณ 3.3 ล้านในรูปแบบของเหรียญ​คริปโตหลายๆเหรียญ ที่ถูกขโมยไปในแบบของการต้มตุ๋น (phishing) ผู้ใช้งาน Bitcoin ที่ต้องการจะเคลม Bitcoin Gold แบบฟรีๆ

โดยเกิดขึ้นบนเว็บไซต์นามว่า mybtgwallet.com โดยเว็บที่ว่านี้จะหลอกให้ผู้ใช้งานส่ง private key ของพวกเขา หรือ recovery seeds ลงไปในแบบฟอร์ม เพื่อหลอกว่าจะทำการสร้างกระเป๋า Bitcoin Gold ออกมา ตามที่แสดงไว้บน snapshot ของ Internet Archive ภายหลังจากนั้น Bitcoin ของผู้เสียหายก็ถูกยักยอกออกมาและส่งไปยัง address อื่น

โดยเหรียญที่ถูกขโมยออกมานั้นมี Ethereum มูลค่กว่า 30,000 ดอลลาร์, Litecoin มูลค่ากว่า 72,000 ดอลลาร์, Bitcoin Gold มูลค่ากว่า 107,000 ดอลลาร์ และ Bitcoin มูลค่ากว่า 3 ล้านดอลลาร์

โดยในการให้สัมภาษณ์ของเหยื่อนั้น พวกเขากล่าวโทษเว็บไซต์หลักของ Bitcoin Gold ที่มีการอ้างอิงถึงเว็บต้มตุ๋นดังกล่าวว่าเป็นเครื่องมือที่น่าเชื่อถือได้ในการเคลมเหรียญ Bitcoin Gold

นาย Mikel Martin หรือหนึ่งในเหยื่อให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk ว่า

“ผมข้าถึงเว็บไซต์นี้ได้โดยตามลิงค์มาจาก Bitcoingold.org ซึ่งเป็นเว็บหลักของโปรเจ็ค ผมก็เลยไว้ใจมัน เมื่อวานตอนบ่ายๆผมได้เห็นจำนวน BTC และ BTG ที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋านั้นบินหายออกไปแล้ว”

มาตราการความปลอดภัย

ก่อนที่เหตุการณ์ดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้น ทีมนักพัฒนาของ Bitcoin Gold หรือเหรียญคริปโตที่มุ่งเน้นไปให้ใช้การ์ดจอขุดได้นั้น ได้ทำการโปรโมทเว็บ mybtgwallet.com บน Twitter ของพวกเขา โดยคอนเฟิร์มว่ามันสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยในสถานการณ์หลายๆสถานการณ์

พวกเขายังได้ติดตั้งเครื่องมือดังกล่าวบนเว็บของพวกเขาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แม้ว่าเครื่องมือนั้นจะมีการถามแค่ address ของ wallet ที่มีคำเตือนกล่าวว่าผู้ใช้งานไม่ควรจะเปิดเผย private key ให้ใครรู้

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเซอวิสดังกล่าวดูเหมือนว่าจะมาจากกลุ่ม community ของ BTG รวมถึง channel บน slack ด้วย โดยเว็บดังกล่าวได้ถูกพัฒนาโดยผู้ใช้งานนามว่า John Dass แม้ว่ามันจะไม่เป็นที่แน่ชัดว่าชื่อของเขาจะเป็นเพียงแค่นามแฝงหรือไม่

แต่กระนั้น เมื่อเหตุการณ์การฉ้อโกงนี้เริ่มแดงขึ้น ทำให้ผู้คนเริ่มรู้เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว

ผู้ใช้งานบน Reddit คนหนึ่งที่ใช้นามแฝงว่า Uejji ได้ออกมาโพสการวิเคราะห์โค้ดบนเว็บไซต์ดังกล่าวเมื่อสี่วันที่ผ่านมา โดย private key ที่เว็บนั้นเก็บไว้ได้ถูกส่งไปหาเจ้าของๆเว็บไซต์ เว็บดังกล่าวอ้างว่าเป็น open-source แต่โค้ดทั้งหมดถูกเปลี่ยนแปลงบน GitHub หลังจากที่มีการฉ้อโกงเกิดขึ้น กล่าวโดยนาย Torsten Sandor ตัวแทนจาก Exodus หรือผู้ให้บริการกระเป๋าคริปโตที่ผู้ใช้งานสูญเสียเงินของพวกเขาไป

เหยื่อบางรายที่สูญเงินไปใช้บริการของกระเป๋าดังกล่าว ทำให้ทางบริษัทสามารถสืบสวนการฉ้อโกงได้ โดยเขากล่าวให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk ว่า

“ผู้ใช้งานคนหนึ่งเปิดเผย recovery seed ไปให้เว็บไซต์นั้น และกระเป๋าของเขาก็ว่างเปล่าทันที” พร้อมกับกล่าวเสริมว่า

“สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นกับ Bitcoin Gold มันเป็นการ fork ที่น่าสนใจมาก ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสงสารมากสำหรับนักลงทุนใหม่ๆที่เพิ่งเข้ามา ผู้คนที่แทบจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคริปโตเลยก็เริ่มที่จะกระโดดเข้าไปซื้อมันแล้ว”

Bitcoin Gold ตอบกลับ

ตัวแทนจาก Bitcoin Gold กล่าวว่าพวกเขากำลังหาวิธีมาแก้ไขเยียวยาสถานการณ์ดังกล่าวนี้

หลังจากที่พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับการต้มตุ๋นนี้แล้ว พวกเขาก็ได้เริ่มทำการสืบสวนทันที โดยอ้างอิงจากตัวแทนนามว่า Edward Iskra นั้น เขาได้เผยแพร่การประกาศโดยกล่าวว่าทีมนักพัฒนา Bitcoin Gold กำลังพยายาม “ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเพื่อหาข้อเท็จจริงของมันให้ได้” แต่ก็ไม่ได้อธิบายไว้ว่าจะทำอย่างไร

นาย Iskra ให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk ว่าก่อนหน้านี้นาย John Dass อ้างว่าตัวเขานั้นบริสุทธิ์ในระหว่างการสืบสวน

“การสืบสวนนั้นเริ่มที่จะมีเค้าที่ชัดเจนว่านาย John Dass นั้นคือผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เขาหยุดให้การติดต่อกับพวกเราด้วยเช่นกัน” เขากล่าว

ในขณะที่นาย Dass นั้นอยู่ในกลุ่มนักพัฒนาบน Slack ของ Bitcoin Gold แต่ทางทีมอ้างว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทีมอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

“ทางเราไม่มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด เขาไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับ dev ของเราบนกลุ่ม slack ในการพัฒนา source code บนเว็บของเขา” นาย Iskra กล่าว

The post การฉ้อโกงกระเป๋า Bitcoin Gold ทำให้มีการสูญเสียกว่า 3 ล้านดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

ราคาเหรียญ Dash ทะลุจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ระดับเกือบถึง 600 ดอลลาร์

ราคาของเหรียญ Dash ได้พุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์ที่ระดับเกือบถึง 600 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ โดยสาเหตุหลักๆนั้นมาจากการอัพเกรด protocol และการประกาศเปิดตัวหุ้นส่วน

ราคาเหรียญ Dash พุ่งไปเกือบแตะ 600 ดอลลาร์

ราคาของเหรียญ Dash ได้มีลักษณะเป็นขาขึ้นมาแล้วตั้งแต่เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน และภายหลังจากนั้นมันก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงคืนที่ผ่านมา โดยได้ไปแตะที่ 584 ดอลลาร์บนเว็บ Bitfinex โดยคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นประมาณ 70% จากเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา โดยในขณะนั้นเหรียญ Dash มีราคาอยู่เพียงแค่ 346 ดอลลาร์เท่านั้น

โวลลุ่มเกือบครึ่งของ Dash ทั้งหมดนั้นดูเหมือนว่าจะมาจากเว็บเทรดบนกระดานของเกาหลีใต้อย่าง Bithumb ที่ๆคู่ DASH/KRW มีราคาอยู่ที่ 579 ดอลลาร์ โดยเว็บ Bithumb นั้นดูเหมือนจะเป็นผู้ขับเคลื่อนตลาดเหรียญ altcoin อย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตามหลายๆคนเชื่อว่าการซื้อขายเหรียญคริปโตบนเว็บ Bithumb นั้นส่วนใหญ่มักมีการปั่นราคาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

สาเหตุ

ในขณะที่มันยังเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่ามีการปั่นราคาบนตลาดหรือไม่ แต่มันมีปัจจัยอยู่สองสามปัจจัยที่อาจเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้ราคาของมันขึ้นมาโดยล่าสุด ขั้นแรกเวอร์ชันล่าสุดของ Dash Core ที่ถูกติดตั้งไม่กี่วันก่อนที่จะเริ่มเพิ่มขนาดบล็อกของเหรียญ Dash ให้เป็น 2MB และได้มีการพัฒนาด้านอื่นๆ รวมทั้งการลดจำนวนค่าธรรมเนียมธุรกรรมลง และการทำธุรกรรมแบบเป็นส่วนตัวที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อที่สอง Dash ได้ทำการก่อตั้ง KuvaCash หรือโปรแกรมทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อมาโปรโมทการใช้งานเหรียญ Dash ในประเทศซิมบับเว ประเทศที่กำลังเจอการปฏิวัติภายในประเทศ และมีประวัติด้านการบริหารเงินของรัฐบาลมาอย่างโชกโชน ก่อนหน้านี้ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานไปแล้วว่าประชาชนในประเทศซิมบับเวกำลังหมดความสนใจในการถือพันธบัตรของรัฐบาล และประชาชนบางส่วนก็ได้หันมาถือ Bitcoin แทนเพื่อหลีกหนีการบริหารการเงินที่ล้มเหลวของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม Bitcoin นั้นกำลังประสบปัญหาค่าธรรมเนียมที่มีความแพงมาก ดังนั้นมันจึงอาจจะไม่เป็นสกุลเงินคริปโตที่เหมาะสำหรับการใช้ในทุกๆวัน KuvaCash ที่ได้รับเงินลงทุนจาก Dash มาถึง 550,000 ดอลลาร์นั้นจะมีการพัฒนาระบบจ่ายเงินด้วยคริปโตผ่านเบอร์โทรศัพท์มือถือ โดยจะทำให้ชาวซิมบับเวสามารถแลกเปลี่ยนระหว่าง Dash และเงินดอลลาร์ได้อย่างง่ายดาย

The post ราคาเหรียญ Dash ทะลุจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ระดับเกือบถึง 600 ดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

รัฐบาลประเทศโมร็อคโคประกาศแบนเหรียญ Cryptocurrency แล้ว

The post รัฐบาลประเทศโมร็อคโคประกาศแบนเหรียญ Cryptocurrency แล้ว appeared first on Siam Blockchain.

Wednesday, November 22, 2017

“ราคา Bitcoin จะพุ่งถึง 10,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ กล่าวโดยนาย Mike Novogratz

มหาเศรษฐีผู้จัดการกองทุนนาย Mike Novogratz กล่าวว่า ราคา Bitcoin จะพุ่งถึง 10,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้

นาย Novogratz กล่าวว่า: ราคา Bitcoin จะพุ่งถึง 10,000 ดอลลาร์ในปีนี้

นาย Novogratz อดีตผู้จัดการบริษัท Fortress ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Bloomberg ในวันอังคารที่ผ่านมา เขาบอกว่า Bitcoin มีมูลค่าเช่นเดียวกับทองคำ ก็คือมีความไม่ไว้วางใจจากระบบธนาคารกลางนั่นเอง

ก่อนหน้านี้นาย Novogratz กล่าวว่า เขาเชื่อว่าบริษัทด้านการเงินรายใหญ่กำลังที่จะสร้างคลื่นลูกยักษ์ในตลาดและระบบ Ecosystem ของ Bitcoin และในดือนตุลาคมที่ผ่านมา Wallstreet ได้ ทำนายราคา Bitcoin ไว้ที่ 10,000 ดอลลาร์ภายในหกถึงสิบเดือน อย่างไรก็ตามราคา Bitcoin ก็ได้เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ดอลลาร์ จากตอนนั้น จึงทำให้เขาเชื่อมั่นว่าราคา Bitcoin จะมีมูลค่าห้าหลักภายในสิ้นปี  2017 อย่างแน่นอน

นาย Ronnie Moas ผู้ก่อตั้ง Standpoint Research ได้ทำการคาดการณ์เหตุการณ์นี้เช่นกันว่า Wall Street มีความสนใจใน Bitcoin และคาดว่าราคา Bitcoin จะมีมูลค่าถึง 14,000 ดอลลาร์ จากก่อนหน้านี้ที่เคยกล่าวว่ามันจะไปถึง 11,000 ดอลลาร์ ในปี 2018

“โอกาสสองหรือสามครั้ง” ในการปฏิวัติของสกุลเงิน Crypto

ความผันผวนของราคา Bitcoin ในตลาดล่าสุดเกี่ยวเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่ Tether ถูกแฮ็คเงินจำนวน 31 ล้านเหรียญ นาย Novogratz อธิบายว่านักเทรดกังวลกับการสูญเสียกำไรมหาศาลที่พวกเขาสะสมไว้ในช่วงระยะเวลายาวนานของ Bitcoin

“เราอยู่ในโอกาสครั้งที่สองหรือสามในการปฏิวัติในครั้งนี้” เขากล่าว “เนื่องจากราคาได้ลดลงอย่างแรงจนทำให้ผู้คนเกิดอาการประสาทเสียได้ เหมือนคุณมีเงินเป็นจำนวนมากแต่ก็มีข่าวเสียหายต่างๆ มากมาย คุณก็ต้องแสวงหากำไรให้มากที่สุดและรีบออกไปอย่างรวดเร็ว”

นาย Novogratz ยังกล่าวกับสำนักข่าว Bloomberg ว่านักลงทุน “เปิดกว้าง” ในการสร้าง Galaxy Investment Partners หรือกองทุนเกี่ยวกับสกุลเงิน Crypto ที่มีมูลค่าตลาดถึง 500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดและจะลงทุนในระบบ Blockchain เท่านั้น เขากำลังลงทุนด้วยเงินทุนของตัวเองอย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์ และเขาหวังว่าจะระดมทุนจากนักลงทุนภายนอกเป็นจำนวนเงิน 350 ล้านดอลลาร์ถึง 400 ล้านดอลลาร์ภายในไตรมาสแรกของปี 2018

The post “ราคา Bitcoin จะพุ่งถึง 10,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ กล่าวโดยนาย Mike Novogratz appeared first on Siam Blockchain.