Saturday, February 24, 2018

รัฐบาลตุรกีเสนอเหรียญ Cryptocurrency สำหรับประเทศ นาม Turkcoin

ผู้ออกกฎหมายในประเทศตุรกีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองบริหารในประเทศได้ออกมาเสนอเหรียญ cryptocurrency สำหรับประเทศเอง อีกทั้งยังแนะนำให้รัฐบาลเปิดเว็บเทรด Bitcoin สำหรับประเทศตุรกีเองอีกด้วย

อดีตรัฐมนตรีด้านอุตสาหกรรมและรองประธานพรรค Nationalist Movement Party (MHP) นาย Ahmet Kenan Tanrikulu ได้เผยว่าเขาได้ทำการร่าง ‘รายงานอย่างละเอียด’ เกี่ยวกับการออกเหรียญ cryptocurrency ของ ‘ประเทศ’ แห่งแรกนามว่า Turkcoin อ้างอิงจาก Al Monitor

เขายังกล่าวว่าการที่ประเทศจะพลาดโอกาสสำคัญในการใช้งานเทคโนโลยี Blockchain นั้นถือเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงสำหรับรัฐบาล

“โลกของเรากำลังเดินหน้าไปสู่ระบบดิจิตอลที่กำลังก้าวหน้า ประเทศตุรกีควรที่จะสร้างระบบดิจิตอลและสกุลเงินเองก่อนที่มันจะสายไป”

กระนั้นรายละเอียดเบื้องลึกของพวกเขาก็ยังคงไม่ถูกเปิดเผย เมื่อแบบร่างขนาด 22 หน้ายังไม่ถูกตีพิมพ์ แต่ข่าวที่รายงานก็เผยว่า Turkcoin นั้นอาจจะเหมือนกับหลักทรัพย์ที่มี asset มาหนุนหลังไว้จาก Wealth Fund ของตุรกี โดยจะประกอบไปด้วย asset ในตลาดหลักทรัพย์อย่าง Turkish Airlines, Istanbul Stock Exchange, Turk Telekom, National Lottery และ Ziraat Bank โดยพวกเขาคิดว่าการใช้ asset เหล่านี้มาแบคไว้นั้นหมายถึงการมีความผันผวนและความเสี่ยงที่ต่ำ แต่มีกำไรและผลตอบแทนที่สูงกว่า

รายงานดังกล่าวยังเผยให้เห็นถึงอุตสาหกรรมคริปโตในปัจจุบันของประเทศตุรกี ที่มีการเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายเพื่อมากำกับมันเหมือนกับในหลาย ๆ ประเทศ การซื้อขาย cryptocurrency อย่าง Bitcoin เพื่อทำกำไรนั้นไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด

The post รัฐบาลตุรกีเสนอเหรียญ Cryptocurrency สำหรับประเทศ นาม Turkcoin appeared first on Siam Blockchain.

ประธานาธิบดีเวเนซุเอลาสั่งให้บริษัทต่าง ๆ ของรัฐใช้เหรียญ Petro

เวเนซุเอลาได้เปิดตัวเหรียญคริปโตของประเทศอย่างเป็นทางการและประธานาธิบดีก็ต้องการให้ธุรกิจต่าง ๆ ของรัฐใช้เหรียญนี้

จากคลิปในทวิตเตอร์ของโทรทัศน์ช่อง VTV นาย Nicolas Maduro ประธานาธิบดีของประเทศเวเนซุเอลาได้ออกคำสั่งให้บริษัทต่าง ๆ ของรัฐทำการแปลงบางส่วนของยอดซื้อและยอดขายของบริษัทให้เป็นเหรียญ Petro

“ผมสั่งให้บริษัท PDVSA, Pequiven และ CVG แลกบางส่วนของยอดขายและยอดซื้อของบริษัทเหล่านี้เป็นเหรียญ Petro วันนี้” นาย Maduro กล่าวระหว่างการประกาศ pre-sale เหรียญดังกล่าว

โดยบริษัท PDVSA เป็นบริษัทน้ำมันและแก๊สธรรมชาติของรัฐ ส่วนบริษัท Pequiven เป็นบริษัทปิโตรเคมี และบริษัท CVG เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มบริษัทย่อยที่ผลิตทองและอลูมิเนียม

นาย Maduro ยังได้กล่าวอีกว่า ประชาชนชาวเวเนซุเอลาจะสามารถจ่ายค่าน้ำมัน, สายการบิน และบริการท่องเที่ยวด้วย Cryptocurrency ต่าง ๆ รวมถึงเหรียญ Petro นี้ได้ ซึ่งรัฐบาลก็ได้ออกมาประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะรับชำระภาษี, ค่าธรรมเนียม รวมถึงค่าบริการสาธารณะต่าง ๆ ด้วยเหรียญ Petro อีกด้วย

เหรียญ Petro อีกเหรียญ?

หลังจากการประกาศเรื่องการ Pre-sale ของเหรียญ Petro เพียง 1 วัน นาย Maduro ก็ได้เปิดเผยว่าเขากำลังวางแผนในการเปิดตัวเหรียญ Petro gold ในสัปดาห์หน้า

“สัปดาห์หน้า ผมจะเปิดตัวเหรียญ Petro gold ซึ่งจะหนุนด้วยทอง ทำให้จะยิ่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และจะทำให้ Petro แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”

โดยรายละเอียดของเหรียญดังกล่าวยังไม่เป็นที่เปิดเผย ทำให้ยังไม่แน่ชัดว่าทองที่นาย Maduro กล่าวถึงนั้นหมายถึงทองในธนาคารกลางของประเทศเวเนซุเอลา หรือทองจากทรัพยากรธรรมชาติในประเทศกันแน่

The post ประธานาธิบดีเวเนซุเอลาสั่งให้บริษัทต่าง ๆ ของรัฐใช้เหรียญ Petro appeared first on Siam Blockchain.

ราคา Bitcoin ร่วงทะลุ 10,000 ดอลลาร์อย่างรุนแรงเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 สัปดาห์

ตลาดคริปโตยังคงอยู่ในขาลง โดยข้อมูลจาก CoinMarketCap รายงานว่าราคา Bitcoin ลดลงต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์ตั้งแต่เมื่อคืนวาน (22 กุมภาพันธ์) และราคา Ethereum อยู่ที่ราว 800 ดอลลาร์

ซึ่งมูลค่าตลาดรวมก็ลดลงเช่นกัน โดย ณ เวลาที่เขียนข่าวนี้มูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 425,000,000,000 ดอลลาร์ ซึ่งลดลงจากมูลค่าในสัปดาห์ที่แล้วที่มีมูลค่ากว่า 500,000,000,000 ดอลลาร์

ราคา Bitcoin ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 9,800 ดอลลาร์ ซึ่งลดลงเกือบ 10 เปอร์เซนต์ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา นับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ราคา Bitcoin ลดต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์

ในขณะที่ราคาของ Ethereum ลดลงประมาณ 3 เปอร์เซนต์ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยขณะนี้มีราคาอยู่ที่ 836 ดอลลาร์

 

ส่วนราคาของ Ripple นั้นลดลงอย่างมากในสัปดาห์นี้ โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น มันมีราคาอยู่ที่ 1.21 ดอลลาร์ แต่ขณะนี้ราคาอยู่ที่ 0.93 ซึ่งลดลงกว่า 10 เปอร์เซนต์ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

The post ราคา Bitcoin ร่วงทะลุ 10,000 ดอลลาร์อย่างรุนแรงเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 สัปดาห์ appeared first on Siam Blockchain.

บลจ.ไทยพาณิชย์ริเริ่มแนวคิดจัดตั้ง Hedge fund สำหรับ Bitcoin

ภายหลังจากการประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เรียกร้องให้ธนาคารทั่วประเทศไทยหยุดให้บริการธุรกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับ cryptocurrency จนทำให้ทางธนาคารกรุงเทพเป็นธนาคารแรกที่ออกมาขานรับด้วยการประเดิม บังคับปิดบัญชีของเว็บเทรดเหรียญคริปโตสัญชาติไทย TDAX เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทว่า ดูเหมือนทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารไทยพาณิชย์มีมุมมองและแนวคิดที่แตกต่างออกไป

สำนักข่าว Investing Street รายงานว่าคุณสมิทธ์ พนมยงค์ ประธาน และเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ไทยพาณิชย์เผยถึง “แนวคิดที่จะจัดตั้งกองทุน cryptocurrency hedge fund” เพื่อไปลงทุนในเหรียญคริปโตอย่าง Bitcoin และอื่น ๆ ที่อยู่ในตลาด นอกจากนี้เขายังเผยให้เห็นถึงแผนการเข้าไปลงทุนในตลาด futures ผ่านตัวแทนตลาดในประเทศอีกด้วย

ปัจจุบันตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้า Bitcoin Futures ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้นคือตลาด Cboe และ CME ตามที่สยามบล็อกเชนเคยรายงานถึงการเปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว และดูเหมือนว่าปัจจุบันตัวแทนผู้ให้บริการลงทุนในไทยจะมีเพียง บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) เท่านั้น

ที่น่าสนใจคือคุณสมิทธ์ยังเปิดเผยถึงท่าทีของผู้ออกกฎหมายในไทยอย่าง ก.ล.ต. ที่ปัจจุบันนักลงทุนคริปโตหลาย ๆ คนเชื่อว่าเป็นหน่วยงานรัฐฯในไทยที่เปิดกว้างและเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีมากที่สุด โดยเขากล่าวว่า

“เท่าที่เราหารือก.ล.ต.ที่ผ่านมา ทาง ก.ล.ต. ไม่ขัดข้อง เพราะบิทคอยน์ฟิวเจอร์ส มีกฎหมายรองรับ แต่เรายังต้องศึกษาให้รอบคอบและดูความพร้อมของตลาดก่อนที่จะออก”

ก่อนหน้านี้ทาง ก.ล.ต. ประเทศไทยเคยออกมาประกาศเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาถึงแผนการในการร่างกรอบและกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการกำกับและดูแล ICO หรือการระดมทุนผ่านเหรียญดิจิตอล โดยมีแผนการคลอดออกมาภายในไตรมาสที่หนึ่งนี้ อีกทั้งยังมีการเข้าประชุมกับทีมงาน OmiseGO และบิดาแห่ง Ethereum อย่างนาย Vitalik Buterin เกี่ยวกับ Blockchain และ Digital Asset เมื่อวานนี้อีกด้วย

เป้าหมายในการกระโดดเข้ามาในตลาดนี้ของ บลจ. ไทยพาณิชย์นั้นดูเหมือนว่าจะเป็นการตั้งเป้าเพื่อเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) ให้อยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท จาก 1.37 ล้านล้านบาทของปีที่แล้ว ซึ่งคิดเป็น 10%

ในขณะเดียวกันราคาของ Bitcoin นั้นได้เพิ่มขึ้นจาก 1,000 ดอลลาร์เมื่อต้นปี 2017 มาอยู่ที่ 19,000 ดอลลาร์ในปลายปีเดียวกัน โดยคิดเป็นเปอร์เซนต์ที่มากกว่า 1500%

ภาพจากโพสทูเดย์

The post บลจ.ไทยพาณิชย์ริเริ่มแนวคิดจัดตั้ง Hedge fund สำหรับ Bitcoin appeared first on Siam Blockchain.

Litecoin Cash ถูก Hard fork เรียบร้อยแล้ว แต่อัตราการซื้อขายนั้นต่ำมาก

เหรียญ Litecoin Cash (LCC) ที่เคลมว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Litecoin ได้ประกาศว่าจะ fork แยกตัวออกจาก chain หลักของเหรียญ Litecoin โดยพวกเขาได้ทำสำเร็จแล้วโดยไร้ปัญหาด้านเทคนิคใด ๆ ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา แต่ในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ดูเหมือนว่าตลาดจะยังคงกังขาเกี่ยวกับเหรียญที่ว่านี้

โดยปัจจุบันถูกซื้อขายอยู่ที่ราคาต่ำกว่า 5 ดอลลาร์ และมีโวลลุ่มอยู่ที่ 1.2 ล้านดอลลาร์ เหรียญ LCC ที่ว่านี้เปิดตัวอยู่ที่ราคา 1.40 ดอลลาร์ และได้พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงที่ 9.25 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยคิดเป็นประมาณ 560% อ้างอิงจากเว็บ CoinCodex แม้แต่เหรียญ Litecoin ตัวดั้งเดิมจะได้รับอานิสงส์จากการพุ่งขึ้นของราคาเหรียญ fork นี้ด้วย เนื่องจากว่านักลงทุนหลาย ๆ คนมองว่าการถือ Litecoin จะทำให้ได้เหรียญ​ Litecoin Cash แบบฟรี ๆ เข้ามาในกระเป๋าหลังจากการ hard fork ด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดจะค่อนข้างเงียบ หากเทียบกับการเปิดตัวของ Bitcoin Cash เมื่อปีที่แล้ว ทางนักพัฒนาก็ยังไม่ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการใด ๆ

โดยในขณะนี้เหรียญดังกล่าวนี่ถูกลิสอยู่บนเว็บ YoBit เท่านั้น ในขณะที่เว็บเทรดอื่น ๆ อย่าง Mercatox และ Trade Satoshi นั้นยังไม่ได้ลิสเหรียญดังกล่าวขึ้นอย่างเป็นทางการ

ดูเหมือนว่าการตั้งชื่อของพวกเขาจะสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากในกลุ่ม community เป็นอย่างมาก เนื่องจากว่านาย Charlie Lee หรือผู้ก่อตั้ง Litecoin เป็นคนแรกที่กล่าวโจมตีเหรียญ LCC กระนั้น ทางทีมพัฒนาของเหรียญ fork ดังกล่าวก็ให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk โดยพวกเขายอมรับว่าการตั้งชื่อดังกล่าวนี้ถือเป็นการจงใจ “สร้างกระแส” (การใช้คำวา “cash” นั้นมีขึ้นเพื่อต้องการเลียรแบบ “bitcoin cash” หรือเหรียญ fork ของ Bitcoin เมื่อปีที่ผ่านมาที่ทำให้ผู้ใช้งานในกลุ่มต้องแตกแยกกัน)

นาย Lee กล่าวว่าทางทีมนักพัฒนาของ LCC เพียงแค่ต้องการหาผลประโยชน์จากความงงงวยของนักลงทุนหน้าใหม่ ในขณะที่บางคนก็ไม่เห็นด้วยกับนาย Lee พร้อมชี้ว่า Litecoin นั้นมีมุมมองและ roadmap ที่แตกต่างออกไป

กระนั้นโวลลุ่มการซื้อขาย 24 ชั่วโมงของ Litecoin Cash ดูเหมือนว่าจะยังคงน้อยอยู่ โดยร่วงลงกว่า 5.6 ล้านดอลลาร์จากเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และหากดูที่ Coinmarketcap แล้วนั้น เหรียญดังกล่าวอยู่ในอันดับที่ 1204 ของโลก

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงต้องดูกันต่อไปว่า LCC นั้นจะสามารถไล่ขึ้นมาอยู่ในอันดับ Top 10 แบบที่ Bitcoin Cash ทำได้หรือไม่ มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์

The post Litecoin Cash ถูก Hard fork เรียบร้อยแล้ว แต่อัตราการซื้อขายนั้นต่ำมาก appeared first on Siam Blockchain.

ทีมงาน OmiseGO เข้าพบ ก.ล.ต. แห่งประเทศไทยหารือแนวทาง Blockchain & Digital Asset

ในวันนี้ทีมงาน OmiseGO หรือเจ้าของเหรียญโทเค็นระดับโลก OMG พร้อมกับบิดาแห่ง Ethereum นาย Vitalik Buterin เข้าพบกับทีมงานและผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับนโยบายและทิศทางของ Blockchain & Digital Asset ในประเทศไทย

โดยอ้างอิงจากทวิตเตอร์ของผู้ร่วมก่อตั้ง Omise และ OmiseGO หรือนาย Donnie Harinsut‏ นั้น การประชุมดังกล่าวมีขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ณ ที่สำนักงานของ ก.ล.ต.

แม้ว่าจะไม่ได้เผยถึงรายละเอียดในที่ประชุมมากนัก แต่หลาย ๆ ฝ่ายพอจะคาดเดาได้ถึงเนื้อหาหลัก ๆ ในการประชุมว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับทิศทางของการออกกฎเกณฑ์ด้านการระดมทุน ICO และสกุลเงิน cryptocurrency ตามที่ทาง ก.ล.ต. เคยประกาศไว้เมื่อเดือนที่แล้ว

การมาเยือนไทยของนาย Vitalik Buterin ดูเหมือนว่าจะเป็นการเตรียมพร้อมขึ้นพูดในงาน Asia-Pacific Ethereum Community Meetup ที่ถูกจัดขึ้นโดย LinkTime ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้

เหรียญ OmiseGO เป็นเหรียญ ICO โทเค็นเหรียญแรกของไทยที่เคยประสบความสำเร็จใจด้านการระดมทุนไปเมื่อปีที่แล้ว ปัจจุบันเหรียญดังกล่าวมีราคาอยู่ที่ 17.27 ดอลลาร์ และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 1.7 พันล้านดอลลาร์

นอกจากนี้บริษัทแม่ Omise ยังเคยได้รับรางวัลสตาร์ทอัพดิจิตอลแห่งปี 2017 จากนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกด้วย

The post ทีมงาน OmiseGO เข้าพบ ก.ล.ต. แห่งประเทศไทยหารือแนวทาง Blockchain & Digital Asset appeared first on Siam Blockchain.

อัตราการใช้ Bitcoin ร่วงลงต่ำสุดในรอบหลายเดือน ค่าธรรมเนียมลดต่ำกว่า 1 ดอลลาร์

ก่อนหน้านี้หลังจากที่ผู้ใช้งาน Bitcoin วิจารณ์และบ่นเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมแสนแพงของ Bitcoin รวมถึงระยะเวลาในการส่งที่ล่าช้าของเหรียญดังกล่าว มาในตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเวลาที่ดีสำหรับการทำธุรกรรมแล้ว เนื่องจากว่าค่าธรรมเนียมได้ร่วงลงอย่างมากในรอบ 18 เดือนที่ผ่านมา อีกทั้งมูลค่าของธุรกรรมโดยเฉลี่ยนั้นอยู่ที่ต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าแตกต่างจากของปีที่แล้วอย่างมากที่ค่าธรรมเนียมพุ่งไปแตะที่ 34 ดอลลาร์ สาเหตุหลัก ๆ นั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไปจนส่งผลทำให้ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เริ่มหยุดใช้มันเพื่อซื้อขายสินค้า

ค่าธรรมเนียม Bitcoin ร่วงอย่างรุนแรง

ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เพียงแค่ตลาดซื้อขาย USD/BTC เท่านั้นที่มีความผันผวน แต่ค่าธรรมเนียมของ Bitcoin ก็ด้วยเช่นกัน เนื่องจากปัจจัยในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการใช้งาน SegWit และการร่วงลงของ hashrate เพียงแค่ปัจจัยสองอย่างนี้ก็ส่งผลทำให้ค่าธรรมเนียมวิ่งขึ้นลงอย่างมีนัยสำคัญได้แล้ว แต่หากลองมองย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 ตลอดที่ผ่านมาทั้งปีนั้น กระแสดังกล่าวดูเหมือนว่าจะเป็นขาขึ้นเสียมากกว่า และภายหลังจากนั้นเดือนธันวาคมเมื่อตอนสิ้นปี ค่าธรรมเนียมของราชาแห่งเหรียญคริปโตก็เป็นอะไรที่หลาย ๆ คนเริ่มยอมรับไม่ได้ ภายหลังจากนั้นค่าธรรมเนียมก็ได้ลดลงมาเรื่อย ๆ จนต่ำสุดในรอบ 18 เดือนในวันนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าโวลลุ่มในการทำธุรกรรมนั้นลดลงมาในขณะเดียวกันด้วย นั่นส่งผลทำให้ธุรกรรมพื้นฐานขนาด 6 บล็อกสามารถทำการส่งหากันได้ด้วยค่าธรรมเนียมไม่ถึง 5 บาท Bitinfocharts ได้ทำการคำนวณค่าเฉลี่ยของค่าธรรมเนียมแล้วโดยจะอยู่ที่ราว ๆ 24 เซนต์ ในขณะที่ของ Bitcoin Cash อยู่ที่เกิน 1 เซนต์นิดหน่อย

อย่างไรก็ตาม การลดลงของค่าธรรมเนียมธุรกรรม Bitcoin อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบกับผู้ใช้งานคนอื่น ๆ นัก เนื่องจากว่าผู้ที่ทำการถอนจากเว็บเทรดนั้นจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมพื้นฐานของแต่ละเว็บอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่นเว็บ Binance และ Kucoin ที่ตั้งค่าธรรมเนียมการถอนขั้นต่ำไว้ที่ 0.001 BTC หรือประมาณ 10.6 ดอลลาร์ตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน นาย Changpeng Zhao หรือ CEO ของเว็บเทรดสัญชาติจีนดังกล่าวชี้ให้เห็นในการทวีตล่าสุดของเขาถึงสาเหตุที่ทางเว็บเทรดต้องชาร์จค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าปกตินั้นก็เพราะว่าต้นทุนในการให้บริการของพวกเขา

ทำไมค่าธรรมเนียมถึงต่ำกว่า?

มีการถกเถียงกันว่าค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นจะช่วยทำให้ Bitcoin มีความเป็น “ตัวเก็บมูลค่า” ที่มากขึ้น โดยเฉพาะ meme ที่มีชื่อว่า ‘hodl’ ที่ผู้ใช้งานหลาย ๆ คนทราบดี การส่ง Bitcoin หากันในจำนวนที่ต่ำแต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่แพงกว่านั้นเป็นเรื่องที่ไม่เมคเซนส์ นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมนั้นถือเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Stripe และ Steam ต้องหยุดรับ Bitcoin เป็นหนึ่งในช่องทางการใช้จ่าย

ผู้ใช้งานและเว็บเทรดหลาย ๆ แห่งต่างก็หาวิธีในการทำธุรกรรม Bitcoin ให้ประหยัดมากขึ้น เช่นการรวมการจ่ายทั้งหมดไว้ในธุรกรรมเดียวหรือการใช้งาน SegWit เป็นต้น ค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไปดูเหมือนว่าจะช่วยกระตุ้นให้ Lightning Network ถูกพัฒนาได้เร็วขึ้นด้วย หลักฐานล่าสุดชี้ให้เห็นว่าสาเหตุการร่วงลงของค่าธรรมเนียมนั้นไม่ได้เกิดจากปัจจัยเชิงเทคนิค แต่เป็นปัจจัยทางสังคม กล่าวคือ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมามีธุรกรรมต่อเดือนอยู่ที่ราว ๆ ครึ่งล้าน BTC ต่อวันที่ถูกส่งหากัน แต่ในปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 200,000 BTC เท่านั้น

ด้วยการที่ค่าธรรมเนียมร่วงลงต่ำสุดในรอบ 18 เดือนนั้นอาจดูเหมือนเรื่องน่าจับตามองว่าบริษัท Valve จะกลับมาใช้ cryptocurrency อีกหรือไม่ หรือว่าเข็ดกับมันแล้ว แต่กระนั้นบททดสอบที่แท้จริงของ Bitcoin ในการเป็น “สกุลเงิน” นั้นดูเหมือนว่าจะยังอยู่ห่างไกลออกไปอีกเยอะ

The post อัตราการใช้ Bitcoin ร่วงลงต่ำสุดในรอบหลายเดือน ค่าธรรมเนียมลดต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

White Paper ตัวใหม่ของ Ripple จะช่วยสนับสนุน XRP มูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์

บริษัท Start Up ที่ดูแลการพัฒนาเหรียญ Cryptocurrency ที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับสามของโลกนาม XRP กำลังอัปเกรดเทคโนโลยีพื้นฐานที่พวกเขากำลังใช้อยู่

การประกาศในวันพุธที่ผ่านมาบริษัท Start Up นาม Ripple ได้ปล่อย White Paper ใหม่สองฉบับออกมา ซึ่งหนึ่งในนั้นได้อธิบายอัลกอริทึมของ XRP Consensus อย่างเป็นทางการมากขึ้น และเค้าโครงอันอื่นที่จะเป็นทางที่จะปรับปรุงความหลากหลายของการเชื่อมต่อของแต่ละ Node และซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้เปิดเพื่อตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่าย

อย่างไรก็ตามในขณะที่ XRP กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ Crypto ที่มีความต้องการมากที่สุด ในบางแง่มุมการพัฒนาของมันก็ยังล่าช้ามากกว่าตัวอื่นเช่น Bitcoin หรือ Ethereum

แท้จริงแล้ว CTO ของ Ripple นาย Stefan Thomas ได้พยายามเสนอ Paper เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างบริษัทวิจัยและสถาบันการศึกษา ในระยะสั้นนี้บริษัท Ripple ต้องการให้นักวิจัยสามารถตามเทคโนโลยีของ Ripple ได้ง่ายขึ้น เพื่อทำให้พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมได้ง่ายขึ้น

ตัว Paper เป็นแถลงการณ์เกี่ยวกับวิวัฒนาการต่อเนื่องของ Ripple ซึ่งหลังจากการเปิดตัวก็มีเป้าหมายที่จะนำ Cryptocurrency มาใช้ในระบบการชำระเงินที่มีความปลอดภัยและกำลังมองหาระบบเพื่อมาแทนที่การส่งข้อความของธนาคารแบบ Centralized และบริการด้านสภาพคล่องด้วยระบบ Decentralized

เล่นเกมการป้องกัน

สำหรับนาย Thomas อย่างไรก็ตาม White Paper ทั้งสองที่ออกมานั้นใจความสำคัญก็คือความปลอดภัย

“สิ่งที่เราพยายามทำอยู่ นี่คือการเพิ่มการป้องกันจากจากโจมตีที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยทั่วไปแล้วคุณไม่สามารถจัดการได้อย่างสมบูรณ์บนเครือข่ายทั้งหมดหรอก” เขาอธิบาย

คำสำคัญในที่นี้คือ “ไม่น่าเป็นไปได้” นาย Thomas ระบุว่าการโจมตีเหล่านี้ไม่สามารถทำได้เว้นแต่ว่าผู้บุกรุกจะเป็นรัฐกล่าวคือรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีเงินและทรัพยากรทางเทคโนโลยีเพียงพอที่จะทำลายเครือข่าย และแม้ว่าเขาจะไม่กังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ตามนาย Thomas กล่าวว่าบริษัทพยายามที่จะปกป้องไม่ว่าจะเกิดกรณีอะไรขึ้นก็ตาม

“เราระมัดระวังเป็นอย่างมากเราต้องการความปลอดภัยที่ดีที่สุด” เขากล่าวเสริม

ใน White Paper ตัวแรกเรียกว่า “การวิเคราะห์ของบัญชีแยกประเภทของ XRP Consensus Protocol” ที่สร้างขึ้นจาก Paper ของบริษัทเมื่อปี 2014  โดยให้การพิสูจน์อย่างเป็นทางการทางคณิตศาสตร์ว่าสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นบนเครือข่ายกำลังจะเกิดขึ้น โดยแยกออกเป็นสองสิ่ง อย่างแรก “ความปลอดภัย” ที่เครือข่ายไม่ยอม Fork ออกเป็นสองเครือข่ายเพื่อที่จะแข่งขันกัน และ “ความต่อเนื่อง” ซึ่งจะทำให้เครือข่ายไม่มีการติดขัดและยังคงดำเนินการทำธุรกรรมต่อไป

ใน White Paper ตัวที่สอง เรียกว่า “Cobalt: BFT Governance in Open Networks” เป็นการปรับปรุงแผนของ XRP ก่อนหน้านี้ด้วยอัลกอริธึมที่สนับสนุนการจัดเรียงของผู้ตรวจสอบการเก็บข้อมูลแบบ Array

คุณสามารถคิดว่า XRP เป็นประเภทระบบการลงคะแนน โดยที่แต่ละ Node จะเก็บประวัติการทำธุรกรรมของ Ripple และจะได้รับการโหวตว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ โดยแต่ละ Node ใน Ripple จะมีสิ่งที่เรียกว่า Unique Node List (UNL) ซึ่งจะมีรายการ Node บนเครือข่าย Ripple ที่เป็น Node ที่ถูกกฏหมาย

ดังนั้นหากแต่ละ Node เชื่อมต่อกับ Node ที่หลากหลายขึ้น ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับความยืดหยุ่นในระยะยาวในความเป็น Decentralised ในระบบ

“มันจะไม่ส่งผลต่อผู้ใช้ที่กำลังใช้ XRP ในขณะนี้ พวกเขาจะไม่พบการ Down ของระบบหรืออะไรเลย”

นาย Thomas กล่าว

ช้าไปหนึ่งก้าว

“นักวิจารณ์มักช้าไปหนึ่งก้าว” นาย Thomas บอก “เมื่อผมเริ่มต้นเปิดบริษัท Ripple ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้น มันไม่ใช่ Open Source เราไม่ได้รับการตรวจสอบ แต่เมื่อเวลาผ่านไปบริษัทโตขึ้นและเราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้สำเร็จ”

โดยวิธีนี้นาย Thomas มองว่า Paper เหล่านี้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ Ripple จะตอบสนองความต้องการของตลาดหรือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการทำธุรกรรมแทนการใช้ SWIFT Code หรือทำให้ Cryptocurrency มีความปลอดภัย

The post White Paper ตัวใหม่ของ Ripple จะช่วยสนับสนุน XRP มูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

ธนาคารใหญ่ ๆ จับมือกับ R3 Blockchain Alliance เพื่อเปิดตัวแพลทฟอร์มการเทรดแบบทดลอง

กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ (consortium) ด้าน Blockchain R3 ที่ประกอบไปด้วยสถาบันการเงินกว่านับร้อย, แพลทฟอร์มเทรดด้านการเงิน TradelX และธนาคารชั้นนำของโลกได้ประกาศเปิดตัวแพลทฟอร์มการเทรดสำหรับทดลอง อ้างอิงจากการแถลงข่าวเมื่อวานนี้

การแถลงข่าวดังกล่าวอธิบายถึงการแก้ปัญหาที่จะมีการใช้ตัวเทคโนโลยี distributed ledger (DLT) ของ R3 ซึ่งมีชื่อว่า Corda โดยเป้าหมายของโครงการพวกเขานั้นถูกตั้งชื่อว่า Marco Polo เพื่อให้มีการพัฒนาเครือข่ายการเทรดด้านการเงินแบบ open-source ที่ “ทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มที่” ที่มีจุดประสงค์เพื่อจัดการการใช้กระดาษในการทำเอกสารเดินเรื่องต่าง ๆ ออก

แนวคิดดังกล่าวได้ถูกทดสอบแล้วว่าทำได้จริงในขณะที่ทดสอบและร่วมงานกับ ING, BNP และ Commerzbank อ้างอิงจากนาย Ivar Wiersma หรือหัวหน้าฝ่ายของ ING Wholesale Banking

“อุตสาหกรรมดังกล่าวได้มองหาวิธีการแก้ปัญหาเพื่อทำให้การเทรดนั้นง่ายขึ้นด้วยการทำให้มันเป็นดิจิตอล ทำให้ระบบ supply chain พร้อมใช้งานเพื่อประโยชน์ของเทคโนโลยี blockchain” กล่าวโดยนาง Connie Leung จาก Microsoft หุ้นส่วนของ R3

ก่อนหน้านั้นอีกหนึ่งวันทาง Blockchain Alliance R3 ยังได้ประกาศจัดตั้ง Legal Center of Excellence (LCoE) หรือกลุ่มบริษัทด้านกฎหมายเพื่อให้ความรู้กับทนายเกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain

The post ธนาคารใหญ่ ๆ จับมือกับ R3 Blockchain Alliance เพื่อเปิดตัวแพลทฟอร์มการเทรดแบบทดลอง appeared first on Siam Blockchain.

เว็บเทรด Crypto ของญี่ปุ่นให้ Bitcoin ฟรีกับผู้ใช้โดยไม่เจตนา

ผู้ที่สงสัยใน Bitcoin เช่นนาย Jamie Dimon ผู้เป็น CEO ของ JPMorgan มักจะกล่าวว่า Bitcoin นั้นเป็น “สิ่งที่ไม่มีค่า” ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นความจริงในช่วงระยะเวลาประมาณ 18 นาทีบนเว็บเทรด Cryptocurrency ที่ญี่ปุ่น

ในวันอังคารที่ผ่านมา เว็บ Zaif ซึ่งเป็นเว็บผู้ให้บริการเทรด Cryptocurrency ที่ดำเนินการโดยบริษัท Bureau Corp ได้เปิดเผยในการแถลงการณ์ว่า ได้เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคขึ้นบนเว็บ Zaif จึงทำให้นักเทรดสามารถซื้อ Bitcoin ในราคา 0 เยนได้ ซึ่งการลดราคานี้นับเป็นมูลค่าถึง 1,200,000 เยน

โดยทาง Zaif ได้กล่าวว่าความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาประมาณ 18 นาทีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และมีลูกค้า 7 รายที่สามารถซื้อ BTC ในราคา 0 เยนนี้ได้ทัน อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ทำการแก้ไขยอดคงเหลือของลูกค้าแล้ว แม้ว่าจะยังคงต้องจัดการปัญหากับนักเทรดคนหนึ่งที่พยายามจะโอนเหรียญฟรีที่ได้มานี้ออกไปจากเว็บเทรดหลังจากการทำธุรกรรม

ความผิดพลาดนี้ทำให้ระบบรายงานข้อมูลการเทรดที่ไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม มันไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อผู้ใช้รายอื่นบนแพลตฟอร์ม

“เราต้องขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น” บริษัทกล่าวในแถลงการณ์  “โดยเรามีความมุ่งมั่นที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ซ้ำอีกและจะปรับปรุงการให้บริการของเราให้ดีขึ้นต่อไป”

อ้างอิงจาก CoinMarketCap เว็บเทรด Zaif มี volume ในการซื้อขาย Crypto อยู่ที่ 17,300,000 ดอลลาร์ ในช่วง 24 ชั่วโมง โดยอยู่ในอันดับที่ 51 ของเว็บเทรด Crypto ที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการเทรด อย่างไรก็ตาม volume นี้ไม่ได้รวม volume ของ BTC ในส่วนที่ทางเว็บได้รายงานว่าเกิดความผิดพลาด

สำนักข่าว Reuters ได้รายงานว่าเว็บ Zaif เป็น 1 ใน 16 เว็บเทรด Crypto ที่ได้รับใบอนุญาตจาก หน่วยงานด้านการเงินของญี่ปุ่น (FSA) และเว็บเทรด Coincheck ที่เพิ่งถูกแฮ็คเมื่อไม่นานมานี้ก็ยังคงได้รับการอนุญาตให้เปิดดำเนินการต่อไป ในขณะที่เอกสารการขอใบอนุญาตของพวกเขายังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณา

The post เว็บเทรด Crypto ของญี่ปุ่นให้ Bitcoin ฟรีกับผู้ใช้โดยไม่เจตนา appeared first on Siam Blockchain.

Thursday, February 1, 2018

ศาลในสหรัฐฯ ออกคำสั่งระงับสินทรัพย์ของ Bitconnect แล้ว

ศาลในสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งระงับชั่วคราว (TRO) เพื่อใช้ในการรระงับสินทรัพย์ของ BitConnect จากการที่แพลตฟอร์ม Cryptocurrency ด้านการกู้ยืมเงินแห่งนี้ถูกฟ้องร้องคดีเป็นครั้งที่สองเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

นาย Joseph McKinley, Jr. หัวหน้าเขตพิพากษา ณ ศาลแขวงสหรัฐเขตตะวันตกของรัฐเคนตั๊กกี้ ได้มีคำสั่งให้เปิดเผยกระเป๋าสตางค์ Cryptocurrency และ Address ของบัญชีซื้อขาย Crypto รวมทั้งข้อมูลประจำตัวของทุกคนที่ทาง BitConnect ได้ส่งเงินดิจิตอลไปให้ภายใน 90 วันที่ผ่านมา

โดยจำเลยมีเวลา 10 วันในการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว และนอกเหนือจากการเปิดเผยข้อมูลแล้ว บริษัท BitConnect International PLC, BitConnect LTD, BitConnect Trading LTD และนาย Ryan Maasen ยังถูกสั่งห้ามมิให้ถ่ายโอนสินทรัพย์ใด ๆ จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากศาล ตามคำสั่ง TRO ดังกล่าว

คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ BitConnect ถูกยื่นฟ้องเป็นคดีที่สอง และทางเว็บได้ปิดแพลตฟอร์มการเทรดและกู้ยืมไป โดยถูกกล่าวหาว่าทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่

โดยนาย Brian Paige ผู้เป็นฝ่ายโจทก์จากรัฐเคนตั๊กกี้ได้ฟ้องคดีในนามของนักลงทุนใน BitConnect ทุกคน โดยชี้ว่า Bitcoin และ Cryptocurrency อื่น ๆ ได้ถูกแปลงเป็น BitConnect Coin (BCC) และเมื่อบริษัทประกาศว่ากำลังจะปิดแพลตฟอร์มการเทรดนั้น ราคาของเหรียญ BCC ที่มีมูลค่ามากกว่า 300 ดอลลาร์ต่อ 1 เหรียญในตอนนั้นก็ร่วงลงอย่างรุนแรงจนเหลือเพียง 6 ดอลลาร์ในทันที

และทางศาลเห็นว่าโจทก์จะสูญเสียโอกาสที่จะได้เงินทุนของพวกเขาใน BitConnect คืนหากไม่มีการระงับสินทรัพย์ของ BitConnect ซึ่งคำสั่งระงับชั่วคราว (TRO) นี้กำลังเป็นที่สนใจของประชาชนเพราะประชาชนมีความสนใจในเรื่องการป้องกันการฉ้อโกงและการละเมิดหลักทรัพย์อื่น ๆ

ศาลยังกล่าวต่อว่า:

“จะมีการบังคับใช้คำสั่งระงับชั่วคราวนี้โดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบ เพื่อรักษาสภาพที่เป็นอยู่และป้องกันการเกิดอันตรายที่ไม่สามารถแก้ไขได้จนกว่าจะถึงเวลาที่ศาลจะมีการพิจารณาคดี”

เนื่องจากรูปคดีและข้อกล่าวหาในเรื่องการละเมิดหลักทรัพย์ ศาลจึงชี้ว่าโจทก์ “มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างมาก” และ TRO “จะทำให้เห็นสภาพรูปการปัจจุบัน และทำให้ศาลมีความสามารถในการพิจารณาคดีนี้ได้อย่างเหมาะสม”

ทั้งนี้ คำสั่งTRO จะหมดอายุในวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้

The post ศาลในสหรัฐฯ ออกคำสั่งระงับสินทรัพย์ของ Bitconnect แล้ว appeared first on Siam Blockchain.

Devnetwork เหรียญ ICO ที่เชื่อว่าน่าจะมาต่อยอดวงการไอทีและ HR

ในปี 2017 ที่ผ่านมานับเป็นปีที่พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของการระดมทุนด้วย ICO ที่ทำให้ทุกคนสามารถลงทุนได้ทั่วโลก ตัวอย่างในไทยที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ OmiseGO ที่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนจำนวน 25 ล้านดอลลาร์ และมีมูลค่าของเหรียญพุ่งไปกว่า 30 เท่านับจากวันเปิดขาย ICO นั้น ทำให้ในปี 2018 นี้การระดมทุนรูปแบบนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นไม่เว้นแม้แต่บริษัทในไทยอย่าง Jmart ก็ได้ออก Token ที่มีชื่อว่า JFin coin ออกมา และวันนี้เราจะมาแนะนำ ICO สัญชาติไทยที่ชื่อว่า Devnetwork ซึ่งต้องการจะมาปฏิวัติวงการ HR ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

จุดประสงค์ของ Devnetwork

ปัญหาหลักของบริษัทในแวดวงเทคโนโลยีคือการขาดแคลนบุคลากรโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรที่มีทักษะด้าน IT จนบริษัทต่าง ๆ ต้องใช้แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจ้างงานมากขึ้น รวมไปถึงการใช้วิธีเสนอเงินเดือนและสวัสดิการที่ดีกว่าบริษัทในแวดวงอื่น ๆ ให้แก่พนักงาน นี่คือหนึ่งในปัญหาที่ทำให้วงการ HR มีเม็ดเงินสูงถึงหกแสนล้านดอลลาร์ (600 Billion USD) และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี รวมถึงในปัจจุบันค่าใช้จ่ายที่บริษัทต่าง ๆ ต้องจ่ายให้ตัวกลางอย่าง Headhunter นั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากและบ่อยครั้งที่หาก HR ของบริษัทใดก็ตามที่ไม่ได้มีความเข้าใจในรูปแบบขององค์กรหรือเทคโนโลยีที่มากพอ ก็ทำให้มักจะได้ผู้สมัครที่ไม่ตรงกับความต้องการ และ Devnetwork นั้นต้องการเข้ามาแก้ปัญหาในจุด ๆ นี้

Devnetwork คืออะไร

Devnetwork เป็นแพลทฟอร์มที่ทางนักพัฒนาเชื่อว่าจะมาปฏิวัติเทคโนโลยีในวงการ HR โดยมีทีมผู้ก่อตั้งเป็นคนไทยและมีพาร์ทเนอร์ที่สามารถขยายตลาดไปได้ทั่วโลก ซึ่ง Devnetwork นั้นจะทำหน้าที่จัดเก็บ ตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูลของบุคลากรรวมไปถึงบริษัทในวงการเทคโนโลยี เพื่อเป็น Blockchain สำหรับ HR ที่สามารถนำไปใช้ในการจ้างงานประจำ งานฟรีแลนซ์ และต่อยอดกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ รวมถึงมี Resource ที่จะเอื้อต่อ Community ของ Devnetwork เช่น ระบบหางาน, บอร์ดงานสำหรับบริษัท, ระบบแนะนำโดย AI, ระบบคอมมิวนิตี้และกิจกรรม

Devnetwork มีฟังชั่นมากมายที่จะช่วยให้ HR นั้นสามารถหาคนได้ตามความต้องการทั้งยังใช้ประโยชน์จาก Smart Contract เพื่อช่วยให้ Freelance สามารถหางานได้ตรงกับความต้องการโดยจะมีตัวอย่างวิธีการทำงานดังนี้

Job diagram

หากมีบริษัทแห่งหนึ่งต้องการที่จะหา iOS Developer รูปแบบเดิมที่บริษัทแห่งนั้นทำคือการจ้างผ่าน Headhunter หรือโพสต์ลงเว็บไซต์หางาน แต่ด้วย Devnetwork บริษัทนั้น ผู้ใช้สามารถใส่ข้อมูลเกี่ยวกับ Developer ที่ต้องการลงในแพลทฟอร์ม และ AI ของระบบก็จะแนะนำผู้สมัครมาให้ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ หากมีผู้แนะนำ (Refer) ผู้สมัคร เมื่อผู้สมัครคนนั้นได้รับการจ้างงาน ระบบก็จะจ่ายค่าแนะนำ (Referal) ผ่าน Smart contract ไปให้ผู้ที่แนะนำทันที

Project diagram

หากมีบริษัทแห่งหนึ่งต้องการที่จะหาทีมที่พัฒนาโปรเจกต์ชั่วคราว รูปแบบเดิมที่บริษัทนั้นทำคือการหาบริษัทจัดจ้างคนภายนอก (Outsource) แต่ด้วย Devnetwork นั้นบริษัทสามารถใส่รายละเอียดของทีม Outsource ที่ต้องการลงในแพลทฟอร์มได้เลย และด้วยระบบ Smart Contract เงินจะถูกจ่ายไปยังทีมพัฒนาที่รับงานทันทีหลังงานเสร็จสิ้น พร้อมการรับประกันสัญญาด้วยรูปแบบ Escrow (ระบบการค้ำประกันการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินในสัญญาต่างตอบแทนต่างๆ โดยการกำหนดให้มีคนกลางซึ่งในที่นี้คือ Smart contract)

Roadmap

ขณะนี้ทางทีมผู้พัฒนาได้ทำการปล่อยผลงานในโปรเจกต์นี้ให้ได้ทดลองใช้แล้ว โดยได้จัดทำเป็นคอมมิวนิตี้แพลทฟอร์มในรูปแบบเว็บไซต์ที่ชื่อว่า Devcamp ( dev.wi.th ) ซึ่งมีระบบต่าง ๆ เช่น ระบบหางาน บอร์ดงานสำหรับบริษัท ระบบคอมมิวนิตี้และกิจกรรม ซึ่งเปิดใช้งานได้ 1 ปี และมีพันธมิตรที่เข้าร่วมและสนใจเป็นพาร์ทเนอร์จำนวนมาก ทั้งนี้ Devnetwork จะถูกสร้างและนำไปเชื่อมต่อกับ Devcamp รวมถึงแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ซึ่งทีมงานได้ตั้งเป้าผู้ใช้งานไว้ที่ 100 ล้านคนภายในปี 2020 และยังวางแผนที่จะขยายไปสู่ตลาดงานอื่น  เช่น งานบริการและโรงแรม ธุรกิจบันเทิง และอื่นๆ อีกด้วย

เว็บไซต์ Devcamp เปิดใช้งานตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2017

สิ่งที่น่าสนใจใน Devnetwork นอกจากจะเป็น ICO ไทยที่ทำตลาดสากลและมีพันธมิตรต่าง ๆ อีกมากมายแล้ว Devnetwork ยังมีแผนในการก่อตั้ง Blockchain Lab ในประเทศไทยอีกด้วย อีกทั้งยังมีการจัดตั้งกองทุน Grant Fund จากงบ 8.1% ของที่ได้รับจากการ ICO เพื่อสร้างสินทรัพย์ภายในโปรเจค และจะใช้ Grant Fund เพื่อสนับสนุนงบให้กับประเทศและกลุ่มที่ต้องการเงินเพื่อสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างแท้จริง เช่น การสนับสนุนงบให้กับบริษัทเทคโนโลยีในประเทศโลกที่สาม และการสนับสนุนงานของนักพัฒนา เช่น Ethereum Devcon เป็นต้น

 DEV Token

  • ยอดระดมทุนสูงสุด: $ 30M ( Presales $ 10 M )
  • ยอดระดมทุนขั้นต่ำ: $ 3M
  • มีจำนวนเหรียญทั้งหมด 400 ล้าน DEV โดย 20% จะเป็นของทีมงานที่ล็อคเอาไว้ 1 ปี
  • ICO ทั้งหมด 240 ล้าน DEV หรือคิดเป็น 60%
  • หากเงินลงทุนไม่ถึง 30 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนเหรียญไม่ถึง 240 ล้าน DEV ทีมงานจะ Burn เหรียญที่ยังไม่ได้ออกขายทิ้งตามสัดส่วนเดิมได้
  • ใช้หมุนเวียนและแลกเปลี่ยนในระบบ Devnetwork เช่น ค่าธรรมเนียมการหาบุคลากร ค่าธรรมเนียมในการจ้างงานผ่านระบบ เป็นต้น
  • มีการเก็บค่าบริการจากบริษัทที่หาบุคลากรและจ้างงานในระบบ โดย 30% ของรายได้ในระบบจะถูกปันคืนให้นักลงทุนทุกเดือน
  • จะมีการสุ่มรางวัล Community grant เดือนละ 1 ครั้ง มอบให้กับผู้ถือเหรียญที่โชคดี
  • เหรียญจะถูกลิสต์บนเว็บเทรดหลักทั้งในไทย จีน และนานาชาติ (ติดตามข่าวประกาศในอนาคต)
  • ERC20 Token
  • Utility Token
  • KYC / AML Proof 

ทีมงานและ Partner

ทีมงานของ Devnetwork นั้นส่วนมากเป็นคนไทยและส่วนใหญ่เป็น Developer หรือมี Background ในด้านเทคโนโลยีแทบจะทั้งหมด โดย CEO ของ Devnetwork คือคุณวิทยา อัศวเสถียร หรือคุณโอ๋ ผู้เป็น CEO ของบริษัทดิจิตอลชื่อ Apppi ซึ่งเป็นเอเจนซี่แนวหน้าของไทยและมีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับบริษัทชั้นนำ เช่น Google รวมถึงดำรงตำแหน่งเป็น Community Manager ของ Google Developer Group Thailand อีกด้วย และในด้านของ Advisor นั้นก็มีคุณ Ty Smith ซึ่งเป็น Tech Lead อยู่ที่ Uber ซึ่งนอกจากเขาจะเชี่ยวชาญด้านไอทีแล้วยังเป็นที่ปรึกษาให้กับกองทุนคริปโตในซานฟรานซิสโกอีกด้วย และยังมีคุณต้า วิโรจน์ จิรพัฒนกุล อดีต Data Scientist ที่ Facebook ที่มาช่วยคุม AI ให้กับโปรเจคนี้ และทีมงานในหลากหลายสาขาอาชีพที่มาร่วมกันในโปรเจคนี้

ในส่วนของ Partner นั้นทาง Devnetwork มี Partner ที่คุ้นตาอยู่เป็นจำนวนมากและส่วนใหญ่นั้นจะเป็น Partner ด้านเทคโนโลยี อย่าง Google Developers และ Stockradars และบริษัทในไทยที่เป็นที่รู้จักดีอย่างเช่น อนันดา AIS และ Dtac ยังมี Zcoin ที่เป็นเงินดิจิตอลที่ติดตลาดเรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีสื่อต่าง ๆ อย่าง TechTalkThai, Brandbuffet และ Whatthecoin อีกด้วย

 

ทั้งนี้ทาง Devnetwork ได้กล่าวว่าจะมีการประกาศ Partner เจ้าใหญ่อีกแห่งหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์นี้อีกด้วย

ICO

Devnetwork ได้เปิดตัวตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว และอยู่ในช่วง Private Presales ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์นี้พร้อมโบนัส 20% และจะเปิด ICO ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ โดยทาง Devnetwork ได้ติดต่อลงข่าวกับ Siam Blockchain เป็นที่แรก เพราะต้องการให้นักลงทุนชาวไทยมีโอกาสในการเข้าถึง ICO นี้ก่อนต่างชาติ นักลงทุนที่สนใจสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ ICO : dev.wi.th/ico

 


รายละเอียดความปลอดภัยและวิธีประกันเงินลงทุนของผู้ลงทุน

สรุป

Devnetwork เป็นหนึ่งใน ICO ที่ค่อนข้างน่าสนใจด้วยแนวคิดที่นำ Blockchain มาใช้กับวงการแรงงานและ HR รวมถึงคุณภาพของทางทีมพัฒนาและ Advisor ที่ส่วนใหญ่นั้นเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีแทบจะทั้งหมด ทำให้เราน่าจะมั่นใจได้ว่าผลงานที่ออกมาจะมีคุณภาพและนักพัฒนามีความตั้งใจ ประกอบกับ Partner ต่าง ๆ ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมาก ทำให้ Devnetwork มีโอกาสที่จะเป็นกระแสและประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก โดยนี่เป็นอีกหนึ่ง ICO ที่เราสามารถพูดได้ว่าเป็น ICO ของคนไทย ซึ่งทางตัวผู้เขียนเองก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นวงการ Blockchain และ Cryptocurrency นั้นเป็นที่นิยมในประเทศไทย

 

ติดต่อ Devnetwork

Facebook: https://www.facebook.com/devcamper
Twitter: https://twitter.com/devcamper
Website: https://dev.wi.th/ico

 

Telegram : https://t.me/devnetwork_official
Email: dev@apppi.co

หมายเหตุ: การลงทุนในตัวเหรียญ Cryptocurrency มีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ทางสยามบล็อกเชนจะไม่รับผิดชอบในความสูญเสียทุกกรณี บทความนี้เป็นบทความสปอนเซอร์

The post Devnetwork เหรียญ ICO ที่เชื่อว่าน่าจะมาต่อยอดวงการไอทีและ HR appeared first on Siam Blockchain.

เหรียญคริปโตกว่า 530 ล้านดอลลาร์ที่ถูกแฮคจาก Coincheck กำลังถูกเคลื่อนย้าย

แฮ็กเกอร์ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การปล้นเหรียญมูลค่า 530 ล้านดอลลาร์จากเว็บ Coincheck เมื่อสัปดาห์ก่อนได้เริ่มทำการย้ายเหรียญ XEM ที่ขโมยมาแล้ว

จากข้อมูลบลอคเชนได้แสดงว่าแฮ็กเกอร์ได้โอนเหรียญ XEM ออกจาก address ของตนไปยัง adress อื่น ๆ จำนวนมาก เมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา โดยทำการโอน XEM จำนวน 100 เหรียญต่อครั้ง ซึ่งนับเป็นมูลค่าประมาณ 77 ดอลลาร์ตามเรทในขณะนี้

ซึ่งนั่นถือเป็นสัดส่วนที่เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวน 500 ล้าน XEM ที่แฮ็กเกอร์ได้ไปจากการปล้น แต่ก็เป็นการชี้ให้เห็นว่าพวกเขากำลังพยายามฟอกเงินเหล่านี้อยู่

“เมื่อคนต้องการที่จะหาทางฟอกเงินลักษณะนี้ เขามักจะกระจายมันออกเป็นหลาย ๆ ธุรกรรมโดยมีมูลค่าแต่ละธุรกรรมไม่มากนัก เพื่อป้องกันการที่ระบบตรวจจับการฟอกเงินของเว็บเทรดจะจับได้” นาย Tom Robinson ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทด้านความปลอดภัยของ Cryptocurrency ในเมืองลอนดอน นามว่า Elliptic ให้สัมภาษณ์กับทาง Reuters

จริง ๆ แล้ว แม้ว่าแฮ็กเกอร์จะมีเหรียญที่ขโมยมาจำนวนมากอยู่ในมือ แต่พวกมันก็ไม่สามารถใช้เงินเหล่านั้นได้หากไม่สามารถฟอกเหรียญให้อยู่ในรูปแบบที่ไม่สามารถสาวถึงตนเองได้

ความพยายามในการฟอกเหรียญจำนวนมากในครั้งเดียวนั้น นอกจากจะส่งผลให้ราคาของเหรียญ NEM ร่วงลงแล้ว ยังสามารถทำให้เว็บเทรดนั้น ๆ จับสังเกต และอายัติเหรียญเพื่อนำไปส่งให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคดีนี้ได้

โดย NEM Foundation ซึ่งได้พยายามติดตามเหรียญที่ถูกขโมยไป ก็ได้ออกมายืนยันว่าแฮ็กเกอร์นั้นได้พยายามที่โอนเงินเหล่านี้ไปยังเว็บเทรดคริปโตต่าง ๆ

นาย Jeff McDonald รองประธาน NEM Foundation
กล่าวว่า “พวกแฮกเกอร์พยายามที่จะทดลองใช้มันกับหลาย ๆ เว็บเทรด และเรากำลังติดต่อเว็บเทรดเหล่านั้น ผมเดาว่ามันต้องการจะหนีไปพร้อมกับเงินบางส่วน”

โดยแฮกเกอร์น่าจะใช้การโอนทีละน้อย ๆ นี้เพื่อทดสอบว่าแพลทฟอร์มการเทรดจะทำการอายัติเงินที่ส่งจาก address ที่เกี่ยวข้องกับการโจรกรรมดังกล่าวหรือไม่

ซึ่งถ้าหากการโอนนี้สำเร็จ พวกมันอาจจะโอนเหรียญจำนวนมากจากอีก address หนึ่งและเปลี่ยนเหรียญเหล่านี้ให้เป็นเหรียญที่มีรูปแบบของ Privacy-centric (รวมศูนย์ความปลอดภัย) เช่น Monero ซึ่งจะทำให้พวกมันสามารถฟอกเหรียญเหล่านี้ต่อได้ง่ายขึ้นโดยไม่ถูกจับได้

เป้าหมายสุดท้ายของพวกแฮ็กเกอร์น่าจะเป็นการเปลี่ยนเหรียญที่ขโมยมาให้เป็น Bitcoin ซึ่งเป็นเหรียญที่สามารถเทรดเป็นเหรียญอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งเงิน fiat สกุลต่าง ๆ ได้หลากหลายที่สุด

เนื่องจากการปล้นเว็บเทรดครั้งนี้เป็นครั้งที่นับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ การขัดขวางมิให้เหล่าแฮ็กเกอร์สามารถฟอกเงินที่ขโมยมาได้สำเร็จจึงเป็นไปอย่างดุเดือด ถึงแม้พวกมันอาจจะโอนเหรียญบางส่วนสำเร็จก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นจำนวนที่น้อยมาก

The post เหรียญคริปโตกว่า 530 ล้านดอลลาร์ที่ถูกแฮคจาก Coincheck กำลังถูกเคลื่อนย้าย appeared first on Siam Blockchain.

“เกาหลีใต้จะไม่แบนการซื้อขายคริปโต” กล่าวโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ประเทศเกาหลีใต้ไม่ต้องการที่จะแบนการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency กล่าวโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเกาหลีใต้

นาย Kim Dong-yeon ได้ตอบคำถามการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแผนการของรัฐบาลในการออกกฎหมายมากำกับอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยเขากล่าวว่า “พวกเราไม่มีเจตนารมณ์ที่จะแบนหรือหยุดยั้งการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ในตลาด” อ้างอิงจากรอยเตอร์ในวันนี้

ดูเหมือนว่าทางเกาหลีใต้ไม่มีแผนการที่จะเดินตามรอยเท้าของรัฐบาลจีนที่เมื่อปีที่แล้วเคยออกมาประกาศแบนเว็บกระดานซื้อขายเหรียญคริปโตในประเทศ นาย Kim กล่าวต่อว่า

“การทำให้เว็บกระดานเทรดถูกกฎหมายนั้นถือเป็นงานเร่งด่วนของรัฐบาล”

การให้สัมภาษณของเขามีขึ้นหลังจากที่ทางรัฐบาลและผู้ออกกฎหมายด้านการเงินเริ่มที่จะจริงจังกับกฎหมายด้านการซื้อขาย cryptocurrency มากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ส่งผลทำให้ตลาดเกิดความผันผวนพอสมควร

เมื่อวานนี้ทางรัฐบาลได้ออกกฎหมายใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้บัญชีเสมือนจริง (virtual account) นั่นหมายความว่าผู้ใช้งานจะต้องมีการยืนยันตัวตนและใช้ชื่อจริง, บัญชีธนาคารจรืง และผู้ที่ฝ่าฝืนนั้นจะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

The post “เกาหลีใต้จะไม่แบนการซื้อขายคริปโต” กล่าวโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง appeared first on Siam Blockchain.

แอปส่งข้อความชื่อดัง ‘Line’ กำลังจะให้บริการในการเทรด Cryptocurrency

Line ซึ่งเป็นบริษัทผลิตแอปส่งข้อความยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่มีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก ได้ประกาศแผนที่จะเปิดตัวบริการในการเทรด Cryptocurrency เป็นของตัวเอง

โดยในการประกาศวันนี้ Line ได้ยืนยันว่าบริษัทได้ยื่นเอกสารต่อหน่วยงานดูแลการบริการด้านการเงินของญี่ปุ่น (Financial Services Agency : FSA) เพื่อขึ้นทะเบียนและเปิดตัวบริการดังกล่าว ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา

การที่บริษัทที่ให้บริการด้านการส่งข้อความที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นนี้ได้ประกาศที่จะก้าวเข้าสู่วงการการให้บริการเทรดเหรียญคริปโตถือเป็นก้าวสำคัญ เนื่องจากจะทำให้บริการนี้สามารถใช้ได้ในแอปแชทที่มีจำนวนผู้ใช้งานชาวญี่ปุ่นกว่า 70 ล้านคน และยังเป็นแอปที่ได้รับความนิยมในประเทศอื่น ๆ อีกด้วย เช่น อินโดนีเซีย ไทย และไต้หวัน

โดย Line ยังได้วางแผนที่จะเปิดตัวบริการนี้ในต่างประเทศอีกด้วย จากรายงานของ Bloomberg กล่าวว่า Line ได้วางแผนที่จะขยายการบริการไปยังประเทศฮ่องกงและประเทศลักเซมเบิร์ก ซึ่งหาก Line ทำให้ผู้ใช้บริการของตนทั่วโลกสามารถใช้บริการนี้ได้นั้น เป็นที่คาดการณ์ว่าจะสามารถดึงผู้ใช้บริการจากเว็บ Coinbase ซึ่งเป็น 1 ในเว็บเทรดที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลกที่มีผู้ใช้บริการ 13 ล้านคนใน 32 ประเทศมาได้จำนวนมากเลยทีเดียว

Line ได้เข้าร่วมในกลุ่มผู้ให้บริการการเทรดคริปโตกว่า 30 แห่งในการยื่นเอกสารต่อ FSA เพื่อที่จะเปิดตัวบริการนี้ ซึ่งจนถึงบัดนี้ FSA ได้พิจารณาและอนุญาตให้ผู้ให้บริการ 16 แห่งเปิดทำการได้แล้ว ส่วนที่เหลือยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา

โดยแนวคิดของการนำเสนอบริการการเทรดเหรียญ Cryptocurrency ของ Line นี้ได้เกิดขึ้นพร้อมกันกับการเปิดตัวบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า Line Financial ซึ่งจะให้บริการข้อมูลและเสนอการบริการด้านการเงินให้แก่ผู้ใช้งาน

โดยส่วนหนึ่งของการประกาศจาก Line ได้กล่าวว่า

“ต่อไป Line จะใช้บริษัทที่เปิดใหม่นี้เป็นพื้นฐานในการเตรียมตัวที่จะให้บริการด้านการเงินที่หลากหลายยิ่งขึ้น รวมไปถึงการให้บริการเทรดเหรียญคริปโต, การกู้ยืม และประกันภัย ทั้งหมดนี้จะเป็นสิ่งที่ทำได้ด้วยแอป Line และบริษัทจะดำเนินการพัฒนาธุรกิจด้านการเงินนี้ต่อไป”

Line Financial นั้นเจริญรอยตาม Line pay ซึ่งเป็นบริการด้านการโอนและชำระเงินที่เป็นที่นิยมภายในแอป Line ซึ่งในปี 2017 Line pay มีผู้ใช้บริการอยู่ที่ 40 ล้านคนทั่วโลก และมี volume ของธุรกรรมมากกว่า 450,000 ล้านเยน หรือ 4,100 ล้านดอลลาร์

The post แอปส่งข้อความชื่อดัง ‘Line’ กำลังจะให้บริการในการเทรด Cryptocurrency appeared first on Siam Blockchain.

เว็บผู้ให้บริการซื้อขาย Bitcoin นาม Huobi เตรียมเปิดให้บริการในสหรัฐอเมริกา

อดีตเว็บเทรด Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสัญชาติจีนนาม Huobi กำลังวางแผนที่จะเปิดสาขาออฟฟิศใหม่ในเมืองซาน ฟรานซิสโก

CSO ของ Huobi นาม Cai Kailong ได้เผยให้เห็นถึงแผนการของเขาในงานประชุม Blockchain Connect เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา และกล่าวว่าเขาไปที่สหรัฐฯเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก่อนที่จะทำการเปิดตัวออฟฟิศดังกล่าว

Huobi กำลังวางแผนที่จะเติบโตในระดับโลก กล่าวโดยนาย Cai โดยเขาถึงกับบอกว่า “ประเทศสหรัฐฯจะเป็นเป้าหมายหลักของเราในตอนนี้”

โฆษกจาก Huobi คอนเฟิร์มว่าทางบริษัทนั้นกำลังสร้างฐานที่ตั้งใหม่ ณ ในย่านซิลิคอน วัลเลย์ แต่เขาก็ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากนักหลังจากนั้น

เว็บ Huobi หยุดให้บริการซื้อขายในประเทศจีนเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ทางรัฐบาลจีนออกมาประกาศแบนเว็บกระดานซื้อขายในจีนจนหมด แต่การซื้อขายแบบ P2P ในประเทศจีนนั้นยังทำได้ปกติ

ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เมื่อเดือนที่แล้วทาง Huobi ประกาศว่าพวกเขากำลังเซ็นสัญญาหุ้นส่วนกับบริษัท SBI Group เพื่อเปิดตัวเว็บเทรดเหรียญคริปโตในญี่ปุ่นโดยจะให้บริการสกุลเงินคู่เทรดเยนต่อเหรียญ cryptocurrency อื่น ๆ

กระนั้น SBI Virtual Currencies และ Huobi Japan ก็ยังไม่ได้ประกาศเปิดตัวแผนการและ timeline ที่แน่นอนว่าจะมีการเปิดตัวเมื่อไร แต่ก็ได้รับการยืนยันการร่วมมือจากประธาน Li Lin ของ Huobi และ Beiwei Kitao ของ SBI Group แล้ว

The post เว็บผู้ให้บริการซื้อขาย Bitcoin นาม Huobi เตรียมเปิดให้บริการในสหรัฐอเมริกา appeared first on Siam Blockchain.

BitConnect ถูกยื่นฟ้องอีกหนึ่งข้อหาที่เกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่

หนังสือยื่นฟ้องฉบับใหม่ล่าสุดได้ถูกส่งเพื่อฟ้อง BitConnect หรือเหรียญ Cryptocurrency ที่มีแผนธุรกิจการลงทุนเป็นของตัวเอง

โดยหนังสือฟ้องร้องดังกล่าวถูกยื่นโดยชาวเมืองเคนตั๊กกี้นามว่านาย Brian Page ซึ่งจำเลยคือ BitConnect International, BitConnect LTD, Bitcoinnect Trading LTD และนาย Ryan Maasen

การยื่นฟ้องร้องดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยนาย Page นั้นต้องการหาทางที่จะเอาคืนจากการที่เขาขาดทุนเนื่องจากราคาของ BCC หรือเหรียญของ BitConnect นั้นตกลงอย่างรุนแรงจากข่าวการปิดแพลทฟอร์มการกู้ยืมและ Exchange ของ BitConnect เมื่อวันก่อน โดยในขณะที่เขียนข่าวอยู่นี้ ราคาของเหรียญ BCC อยู่ที่ 6.20 ดอลลาร์โดยประมาณ ซึ่งถือว่าราคาเหรียญนั้นตกอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับการที่มันมีราคาอยู่ที่ 300 ดอลลาร์เมื่อเดือนก่อน

โดยในคำร้องนั้น นาย Page ได้กล่าวหาว่าเว็บ BitConnect นั้นทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่ โดยนับการที่ทางเว็บให้นักลงทุนโอนเหรียญคริปโตเข้ามาแลกเป็นเหรียญ BCC นั้นเป็นเงินต้น (Primary investment)

และ BitConnect ยังโฆษณาว่า นักลงทุนที่มาลงทุนกับทางเว็บจะได้กำไรรายปีถึง 3,000 เปอร์เซนต์ และรายเดือนจะได้ถึง 40 เปอร์เซนต์

นอกจากนี้ การที่ทางเว็บมีการระบุว่า นักลงทุนจะไม่สามารถเห็นผลกำไรที่ได้จากการลงทุน ทำให้มีความเสี่ยงที่เว็บจะปิดแพลทฟอร์มการกู้ยืม และเปลี่ยนเงินลงทุนของนักลงทุนทั้งหลายเป็น BCC ก่อนจะทำให้ราคาร่วงและปิดเว็บไป

และในคำร้อง ยังได้กล่าวหานาย Ryan Maasen ชาวเมือง Oklahoma ที่ปฏิบัติตนเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการของ BitConnect และทำกำไรโดยการชักจูงให้นักลงทุนมาลงทุนใน BitConnect

ทั้งนี้ คำร้องของนาย Page นั้นแตกต่างจากคำร้องก่อนหน้านี้ของบริษัทกฏหมายนามว่า Silver Miner ในรัฐฟลอริด้า โดยเขาฟ้องร้องเพียงแค่บริษัทหรือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับ BitConnect รวมถึงนาย Maasen อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคดีนี้เกิดขึ้นด้วยความต้องการที่จะเรียกร้องค่าชดเชยให้แก่นักลงทุนที่สูญเงินไปกับเว็บนี้

The post BitConnect ถูกยื่นฟ้องอีกหนึ่งข้อหาที่เกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ appeared first on Siam Blockchain.