Monday, January 27, 2014

อายมากหรือที่พ่อจน!!!




 
อ่าน แล้วซึ้งมากค่ะ น้ำตาจะไหล.... อายมากหรือ ที่ พ่อจน ? วันนี้เลิกงานเร็วเลยพาพี่นุ่มไปซื้อของใช้ที่ห้างแห่งหนึ่ง รอต่อแถวจ่ายตังค์นานเลย เจ้านุ่มก็เริ่ม งอแงๆ ง่วงนอน สังเกตุว่าคิวด้านหน้าเรามากันเป็นครอบครัว มีพ่อแม่ลูกสาววัยประมาณเจ้านุ่ม แล้ว ก็ผู้ชายสูงอายุคนหนึ่ง ที่หนูน้อยเรียกว่า "ปู่" คุยกันยิ้มแย้มแจ่มใสดี ซื้อของใช้ล้นตระกร้าเชียวค่ะ พอแคชเชียร์คิดเงินของครอบครัวนี้จนเสร็จได้ยินคร่าวๆว่า "ทั้งหมดพัน(กว่าๆ)บาทค่ะ...." ผู้ เป็น"ปู่ " เป็นคนเปิดกระเป๋าสตางค์ใบเก่าๆ จะจ่ายเงิน 
 
พร้อมทำท่าอ้ำอึ้ง มีลูกชายลูกสะใภ้จ้อง ตาเขม็ง หุบยิ้มทันที " ว่าไงพ่อ จ่ายเค้าไปสิ" ลูกชายบอก คุณปู่ยังทำท่าอ้ำอึ้ง "ไหน ดูหน่อย มีตังค์เท่าไหร่" คุณปู่ยื่นกระเป๋าตังค์ให้ดูข้างใน " อ้าว ไหนว่ามีตังค์เยอะไง แล้วแบบนี้จะชวนมาซื้อของทำไม ไม่มีตังค์จ่ายก็ไม่บอก อายเค้าจริงๆ " ลูกชายลูกสะใภ้พากันมองคุณปู่ด้วยสายตาที่เหมือนดูถูก...รำคาญ ในที่สุดเค้าก็พากันทำสิ่งที่เราไม่อยากจะเชื่อสายตา คืออุ้มลูกเดินหนีไปเลย พร้อมกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่สนใจลูกสาวที่ร้องว่า "ปู่ๆๆๆ ปู่มาด้วย" คุณปู่ยืน
 
คอตก หน้าเศร้าอยู่หน้าแคชเชียร์ พอเด็กถามว่าจะเอายังไง คุณปู่เปิดกระเป๋าตังค์ให้เด็กดู แล้วบอกว่าให้คิดเงินตามนี้ ได้ของเท่าไหร่เท่านั้น (เด็กนับแล้วมีแปดร้อยบาทค่ะ) ระหว่างรอแคชเชียร์คิดเงินใหม่ ได้ยินคุณปู่เล่าว่า แกบ้านอยู่ต่างอำเภอห่างไปเป็นร้อยกิโล ลูกหลาน ไม่ไปหานานแล้ว แกจึงตัดสินใจรวบรวมเงินทั้งหมดที่มีนั่งรถเข้ามาเยี่ยมลูกหลานในเมือง แล้วชวน ออกมาซื้อของ ลูกแกก็ไม่ถามสักคำว่าเงินมีเท่าไหร่ หยิบของเอาๆ แกก็ไม่เคยรู้ราคาของ เพราะอยู่ บ้านนอกก็ซื้อร้านของชำทีห้าบาทสิบ
 
บาท ใครจะจะรู้ว่าของในห้างใหญ่เค้าซื้อกันทีละเป็นพัน เราจ่ายเสร็จเห็นคุณปู่ยังเดินเคว้งอยู่แถวๆนั้น ก็เลยถามแกว่าจะกลับยังไง แกบอกว่าพอขึ้นรถกลับ เป็น ( อ้าว แล้วตังค์ล่ะ เมื่อกี้เห็นจ่ายไปหมดแล้วนี่นา ) แต่ก็ยังลังเลอยู่ กลัวลูกกลับมาตามหาแล้ว ไม่เจอ มือถือก็ไม่รู้เบอร์ เลยตัดสินใจพาคุณปู่ไปที่แผนกประชาสัมพันธ์ประกาศหาลูกค่ะ จากนั้นเราบอกให้รอสักพัก ถ้าลูกไม่มา จริงๆ ให้ไปขึ้นรถที่คิวรถ( ฝากเด็กที่ปชส.ค่ะ ว่าให้ย้ำคุณปู่อีกที) พร้อมกับให้เงินแกเป็นค่ารถไว้ค่ะ จริงๆ อยากรอดูสักพัก แต่เจ้า
 
 นุ่มไม่ไหวแล้วค่ะ งอแงเหลือเกิน คุณปู่น้ำตาคลอบอกเราว่า "มันคงไม่ทิ้งปู่จริงๆ หรอกนะ นี่ก็ได้ของไปเยอะเหมือนกันถึงจะซื้อได้ไม่หมด ก็เถอะ นี่มันไม่เคยกลับไปหาปูเลย ก็เพราะปู่มันจน ไม่มีสมบัติอะไรให้ " เราปลอบใจแกไปบอกว่า เดี๋ยวเค้าคงกลับมาน่ะ คงเดินไปดูอย่างอื่นก่อน เดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยค่ะ หันหลังกลับไปมองเห็นคุณปู่ยังยืนคอตกที่เดิม ในใจคิดวน เวียนตลอด
 
เวลา .... นี่เค้าทำแบบนี้กับพ่อตัวเองได้ยังไงนะ ... ... พ่อไม่มีตังค์พอเนี่ย มันผิดด้วยหรือ? เค้าไม่รู้หรือไงว่า เงินเท่านี้อาจจะเป็นเงินที่คุณปู่เก็บมาทั้ง ชีวิตก็ได้ (คนชนบทจะไปหาเงินจากไหนล่ะ?) ... ...แล้วเค้าจะสอนลูกให้กตัญญูต่อพ่อแม่ได้อย่างไร ก็ทำพฤติกรรมแบบนี้กับพ่อตัวเองให้ลูกเห็น.... จริงอยู่ พื้นฐานครอบครัวนี้อาจจะมีอะไรลึกซึ้งมากกว่านี้ แต่เป็นเรา เราคงไม่มีวันทอดทิ้งพ่อให้ได้รับ ความเจ็บปวดอับอายจากการที่ไม่มีเงินซื้อของให้ลูกหลานได้พอแบบนี้หรอก เป็นเรา เราคงบอกพ่อว่า " ไม่
 
เป็นไรหรอกค่ะพ่อ กลับบ้านเราเถอะ " เครดิต :Google+

40 อย่าง ที่คนรวยมีเหมือนกัน บทความโดย คุณวิชญ์ ทาโร่


05 40 นิสัยคนรวย

ลูกค้าของผมมีหลายแบบ วันนี้ผมจะนำความลับของลูกค้ามาเปิดเผย โดยเลือกเฉพาะลูกค้าที่ร่ำรวยความสุข มีความมั่นคง สนุกกับการทำงาน และชีวิตไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป มาเล่าให้ฟัง เพื่อนๆที่รักจะได้เห็นบางสิ่งบางอย่าง (นิสัย) ที่เหมือนกันของบุคคลเหล่านี้ ว่าเขามีความคิดอย่างไร เขาถึงมีความสุขกับชีวิต มีรายได้มากกว่ารายจ่ายหลายเท่า ทำไมเขาถึงร่ำรวยตั้งแต่อายุยังน้อยในขณะที่หลายคนไล่ล่าทั้งชีวิตยังไม่เจอ รวบรวมจากประสบการณ์การเป็นหมอดู 7 ปีของผม

เชิญอ่านได้เลยครับ
1. อย่าอายที่จะพูดเรื่องเงิน
2. เลือกวิธีที่สนุกในการหารายได้
3. มีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าสองทางขึ้นไป
4. ไม่มีข้ออ้างสำหรับการเรียนรู้
5. ไม่เคยพูดคำว่า มีเงินแต่ไม่มีความสุข จะมีไปทำไม
6. ลงทุนในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
7. เป้าหมายเรื่องรายได้ ชัดเจน
8. คิดเรื่องการเติบโตตลอดเวลา
9. ให้รางวัลตัวเองทุกครั้งที่ทำสำเร็จ
10. ไม่ได้ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อการทำงาน
11. ไม่ได้เป็นคนที่เก่งหมดทุกอย่าง
12. ใช้คนเป็น เลือกคนเก่งมาเคียงข้างโดยไม่สนเรื่องค่าใช้จ่าย
13. กล้าทุ่มเทเงินให้กับสิ่งที่คุ้มค่า
14. หาแนวคิดและเหตุผลที่สนับสนุนความเชื่อตัวเอง
15. รักครอบครัว
16. ทุ่มเทความสะดวกสบายให้พ่อแม่
17. พ่อแม่อยากได้อะไรที่ไม่ผิดหาให้หมด
18. เอาแต่ใจ ดื้อเงียบ
19. ฟังมากกว่าพูด
20. ชื่นชมคนที่รวยกว่าด้วยลำแข้งตัวเอง
21. อ่อนน้อมถ่อมตน
22. คิดใหญ่กว่าคนธรรมดา
23. วิ่งเข้าหาความเป็นไปไม่ได้
24. ค้นหาโอกาส แสดงตัวทุกครั้งที่โอกาสมาถึง
25. ไม่เคยรอคำว่าพร้อม
26. เลือกคบหาคนที่มองโลกในแง่ดี
27. เข้าใจความเสี่ยง
28. กล้าพูดถึงความดีของตัวเอง
29. ทำบุญแบบถึงไหนถึงกัน
30. ลงเงิน ลงแรงช่วยเหลือคนอื่น
31. ชอบให้ความรู้เด็กรุ่นใหม่
32. ไม่ขี้บ่น ไม่เคยโทษคนอื่น
33. เจอปัญหา เขากลับบอกว่านี่ไม่ใช่ปัญหา นี่คือโจทย์
34. พัฒนาตัวเองตลอดเวลา
35. เป็นนักอ่านชั้นยอด
36. เห็นคุณค่าของเวลา
37. มองเห็นอนาคตทางการงานของตัวเอง
38. บอกได้ว่าตัวเองต้องการอะไร
39. แบ่งเวลาทำงานหนัก และให้รางวัลตัวเองอย่างหนัก
40. ชอบพูดคำว่า “พี่ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะ” เป็นประจำ

บทความโดย คุณวิชญ์

Saturday, January 25, 2014

วิธีหลุดจากสนามงานประจำ…!!!


ขอออกตัวก่อนเลยนะครับ ว่าสิทธิอย่างพิเศษอย่างหนึ่งที่คนทุกคนได้ในยุคสมัยนี้ คือสิทธิในการออกแบบชีวิตตัวเอง ไม่มียุคไหนที่จะให้อิสระแก่เราเท่ากับในยุคนี้อีกแล้ว ตั้งแต่เทคโนโลยีที่ทำให้ระยะของคนเราแทบจะไม่มีอะไรขวางกั้น มันทำให้เราได้รับพลังอำนาจดีๆในการจัดการชีวิตตัวเองได้อย่างมหาศาล และรู้ไหมครับ มันน่าเสียดายมากๆ ถ้าเราเกิดมาในยุคที่พระเจ้าประทานขุมอำนาจขนาดนี้ แต่เราไม่ยอมใช้มันเพราะความกลัว

บทความนี้ ขออุทิศให้แก่บุรุษ สตรี แท้เทียม พนักงานประจำ ที่ต้องการอยากจะเป็นนายตัวเอง ต้องการเป็นผู้ออกแบบชีวิตตัวเอง และต้องการเป็นอิสระจากเส้นทางตารางเวลาที่ผู้อื่นกำหนดให้เรา ใช่ ผมกำลังพูดถึงคนที่เบื่อหน่าย สุดทนกับอาชีพขายเวลาแลกเงินเดือนแล้วอยากออกไปพบอิสรภาพจากงานประจำ เป็นการออกแบบชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง
freedom_by_gyaban-d4y03ct[1]ขอบคุณรูปภากจาก http://gyaban.deviantart.com/
ยอมรับเสียเถอะครับ ชีวิตทำงานนั้นไม่ง่าย ถึงแม้เรื่องของการพัฒนาตัวเอง การทำงานออกมาให้ดี จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จ แต่การทำเพียงเท่านี้ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าอนาคตของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปใน ทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยให้คุณลองถามคนที่แก่กว่าคุณซัก 5 ปีขึ้นไปที่มีสถานะใกล้เคียงกับคุณ คุณจะค้นพบว่าการทำงานรับใช้ความฝันคนอื่นมันทำให้เราสูญเสียอะไรไปบ้าง คุณต้องทบทวนด้วยว่าการประสบความสำเร็จที่คุณตั้งเป้าไว้ คุณได้เงิน ได้ประสบการณ์จากการทำงาน แต่อะไรเป็นสิ่งที่คุณต้องสูญเสียไประหว่างทางของงานประจำ

ข้อเสีย ข้อจำกัดที่ผมค้นพบ

  • รายได้ติดเพดานเงินเดือน โอกาสได้มากกว่านั้น ยากมากๆ
  • ทำงานส่งเงินให้เจ้านาย แล้วเจ้านายแบ่งเงินส่วนหนึ่งที่เราทำให้เขามาจ่ายเรา
  • เงินเดือนขึ้นปีละ 3% ตามกฏหมาย ในขณะที่เงินเฟ้อขึ้นปีละ 4%
  • เงินเดือนขึ้นเป็นรายปี ไม่ใช่รายเดือน (ยกเว้นงานได้ค่าคอมมิชชั่น)
  • ต้องบังคับให้ตัวเองอยู่ในออฟฟิตทั้งวัน ทั้งๆที่บางทีไม่รู้จะทำอะไร
  • เคลียร์งานหมดตั้งแต่บ่าย 2 แต่กลับบ้านไม่ได้เพราะเขาซื้อชีวิตเราจนถึง 6 โมงเย็น
  • เวลาอยู่กับคนที่ัรักน้อยมาก พ่อแม่เราไม่ได้เป็นอมตะนะครับ
  • เสียสุขภาพ มีมนุษย์เงินเดือนกี่เปอร์เซ็นที่บริหารเวลาออกกำลังกายได้
  • เป็นหนี้ เพราะมนุษย์เงินเดือนหาความบันเทิงนอกเวลางานได้จำกัด ส่วนใหญ่ช็อปปิ้งบำบัด (มีมนุษย์เงินเดือนกี่คนไม่เป็นหนี้)
  • เสาร์ อาทิตย์ วันหยุด คนแย่งกันเที่ยวจนไม่มีที่ให้เราเที่ยวแบบชิวๆ อย่างน้อยจะกินชาบูชิวันเสาร์อาทิตย์ก็ต้องรอเป็นชั่วโมง
  • ตื่นเช้าให้ตายก็ถูกหักเงิน ถ้ารถติดมากๆจนทำให้คุณไปสาย (จากสวนสยามไปลาดพร้าว ผมเคยติด 4 ชั่วโมงในตอนเช้า พอบอกเจ้านายว่ารถติดมาก แต่ผมตื่นเช้าเหมือนเดิมนะ สรุปคือถูกหักเงินทั้งๆที่งานเท่าเดิม เสร็จเหมือนเดิม และไม่ใช่ความผิดเรา)
นี่แค่ตัวอย่างข้อเสียที่ผมเจอเล็กน้อย
ผมเชื่อว่าพนักงานกินเงินเดือนร้อยละเก้าสิบ เกิดคำถามต่อตัวเองอย่างแน่นอน ว่าตกลงแล้ว เรากำลังทำอะไรอยู่ ในยุคที่อินเตอร์มีอยู่ทั่วไปตามอากาศ ความคิดถึงสามารถส่งผ่านสัญญาณ 4g เราสามารถดูสถานที่ต่างๆในโลกผ่าน Google Earth ได้ แต่ทำไม เราถึงออกจากคอกทำงานเล็กๆของเราไปตามเส้นทางที่เราต้องการไม่ได้ ทำไมเราเลือกที่จะทำตามความฝันเราไม่ได้ ทำไมเราถึงใช้เวลา 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นอยู่กับคนที่เรารักไม่ได้ อะไรกักขังเรา ทำไมเราใช้ช่วงเวลานั้นทำอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากทำงาน…!!!
คำตอบเดียวคือเพราะความกลัว หัวของเราเต็มไปด้วยความกลัวที่จะเป็นอิสระ เต็มไปด้วยความกลัวที่จะทำตาม ฝันที่อาจจะทำให้เราล้มเหลวเหมือนตอนที่ครูเรียกเราไปตอบคำถามหน้าชั้นเรียน แล้วเราตอบไม่ได้ แล้วอาย เราขายขี้หน้า เราถูกประจานว่าเราเป็นพวกไม่ได้เรื่อง เป็นพวกไม่มีวันประสบความสำเร็จ
วันนี้ผมจะมาปรับเปลี่ยนสมองคุณใหม่ นี่ไม่ใช่การ Motivate ไม่ใช่การให้ Inspiration หรือให้ความฝันลมๆแล้งๆว่าวันนี้คุณจะคว้าพลังอำนาจความสำเร็จมาไว้ในมือ แต่นี่คือการวิเคราะห์ตามความเป็นจริง เอาเรื่องจริงๆที่เรากลัวมาคุยกัน การวิเคราะห์และให้คุณฉุกคิดครั้งนี้ จะเปลี่ยนชีวิตคุณให้กล้าที่จะก้าวออกมาตามความฝันอย่างแท้จริง คำถามคือกล้าเปลี่ยนความคิดมาเชื่อคนอย่างผมหรือ ก่อนจะเชื่อลองฟังก่อนมั้ยว่า ผมค้นพบอะไร…!!!

ผมค้นพบอะไร…!!!

ผมทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน เงินเดือนขึ้นทุกครึ่งปี ผมทนตื่นเช้า กลับบ้านหลังงานเลิก เพื่อคำเดียว อนาคต ผมวาดฝันไว้ว่าวันหนึ่งผมจะมีทั้งเงินและเวลามากพอ ที่จะทำให้ครอบครัวของผมมีความสุข ผมฝันหวานอย่างนั้นเป็นปีๆ สิ่งที่ผมทำคือพยายามพัฒนาตัวเอง มองหน้าโอกาส เปลี่ยนงานเพื่อให้ตัวเองมีรายได้มากยิ่งขึ้น ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ผมวางไว้
เปรี้ยง…แม่ผมเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะ 3…!!!
อินเทรนด์มากครับ แม่ผมเป็นโรคที่ฆ่าชีวิตผู้ใหญ่ไทยอันดับต้นๆ พี่สาวผมเอาเครื่องคิดเลขมากด จำนวนเงินที่ใช้นั้น แพงกว่าเงินเดือนผมทั้งปี + โบนัสอีก แล้วเราทำงานเพื่ออะไร องค์กรได้ชีวิตเราไป แต่วันที่ครอบครัวต้องการ เรากลับไม่มีอะไรให้เลย
ผมลาออกภายใน 3 นาทีหลังจากรู้เรื่องราวของแม่ และผมอยากใช้เวลาอยู่กับแม่ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้านี่เป็นโอกาสสุดท้าย ผมอยากจะใช้ให้คุ้มที่สุดเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย ข่าวดีคือแม่ผมรักษาจนหายด้วยวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบัน 100% แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือการได้เห็นคน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ชนิด 1 เดือนเต็มๆ
คนเราเกิดมาเพื่อตายครับ คำถามคือก่อนเราจะตาย เราได้ใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการหรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่ นั่นเรียกว่าการใช้ชีวิตหรือเปล่า ลองคิดดู ดังนั้นถ้าคุณคิดแล้วไม่เจอคำตอบ จะลองเอาคำตอบของผมไปใช้ก็ได้นะ ผมค้นพบว่าเราเกิดมา เพื่อใช้ชีวิตให้มีความสุข ตายอย่างคนที่มีความสุข และความสุขนั้น มันต้องเริ่มต้น ณ วันนี้ และบนโลกนี้ความสุขของเราคือรับใช้เจ้านายที่เรียกว่าความฝัน ความฝันที่จะไม่มีวันทรยศเรา ความฝันที่เหมือนเพื่อนคนหนึ่งของเรา ถ้าเราไม่คุยกับมันบ่อยๆ ไปเยี่ยมมันบ่อยๆ เอาใจมันบ่อยๆ วันหนึ่งมันจะหายไปจากเราตลอดการ
————————————
ปัญหาของคนที่มีเป้าหมายและความฝัน แต่ไม่กล้าออกมาลุยคืออะไร คำตอบเดียวที่ผมรับรู้ว่าเลยนะครับ คำตอบเดียว คือเรื่องเงิน…!!! ผมเชื่อว่าถ้าคุณรู้ว่าในอนาคตคุณทำตามความฝันของตัวเองแล้วมีรายได้เยอะ กว่างานประจำ 100 ทั้ง 100 เอาแน่ๆ และปัญหาต่อมาคือพนักงานกินเดือนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตหมดไปกับการทำงาน ให้คนอื่น จะเอาเวลาที่ไหนไปหารายได้ให้ได้มากกว่าเงินเดือน
คำตอบนี้ ให้ตาย ก็ไม่มีใครตอบได้ ถ้ามันเป็นคำตอบของคนอื่น วิธีเดียวที่จะทำให้คุณหลุดออกมาได้ คือคุณต้องหาคำตอบจากหัวใจและสมองตัวเอง เท่านั้น
ผมบังเอิญคิดค้นทฤษฏีนึง ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้ อยากรู้ทำไง ตามอ่านต่อได้เลย
วิธีการสะกดจิตตัวเองให้กล้าออกมาตามความฝันนั้นง่ายมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆครับ มีคนเอาโมเดลของผมไปทำแล้วเปลี่ยนชีวิตเขาไปเลย วิธีการง่ายๆครับโดยเอาเงินเดือนคุณนั่นเเหละเป็นโจทย์ สมมุติว่าถ้าคุณเงินเดือน xxx บาท คุณจะเริ่มเกิดคำถามใช่ไหมครับ ว่าทำอย่างไรคุณถึงจะสามารถหาเงินได้ xxx บาท หรือหาเงินได้เท่ากับงานประจำนั่นเเหละ
เห็นมั้ยง่ายจะตาย
จะบ้าเหรอ…!!!
อย่างนี้ถือเป็นการตั้งคำถามที่ผิด เพราะจากคนที่ทำแต่งานประจำ มันไม่มีทางอยู่แล้วที่จะหาเงินได้เท่ากับงานประจำด้วยวิธีอื่น พอคิดอย่างนี้นานๆเข้า คุณก็จะเริ่มเชื่อว่ามันไม่มีทางเลย ที่คุณจะหลุดออกจากงานประจำได้ มันไม่มีทางเลยที่ฝันของคุณจะเป็นจริง ยิ่งนาน ยิ่งท้อ ยิ่งไม่ศรัทธา ยิ่งไม่เชื่อ สุดท้ายก็ต้องรอตกงานไม่มีจะกินตอนแก่ ตอนที่ไม่มีแรงจะล่าฝันแล้ว
เอาใหม่ เอาเคสจริง ผู้ชายคนหนึ่งอายุ 36 ปี อาชีพมนุษย์เงินเดือน จำเป็นต้องซื้อรถยนต์สำหรับงาน มีค่าแก๊ส ค่ากิน ค่าใช้ต่างๆนานๆ เอาเงินเดือนของเขาเป็นตัวตั้งนะครับ เงินเดือน 30,000 บาท จากนั้นกางค่าใช้จ่าย Fixcost ในงานตัวเองออกมา ค่ารถเดือนละ 8,000 ค่าน้ำมัน 4,000 ค่ากิน 4,000 พอๆ ภาษี + ประกันสังคมประมาณ 2,000 บาท รวมค่าใช้จ่าย 18,000 บาท เอาเท่านี้พอ ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเอามาหักลบไม่ได้ เพราะไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน จะเท่ากับว่าเขาทำอย่างจริงๆ ได้เงินเดือนหลังหักค้าใช้จ่าย 30000 – 18000 = 12,000 บาท
หลังจากหักค่าใช้จ่าย เท่ากับว่าเขาทำงานจริงๆ ได้เงินเดือน 12,000 บาท เพราะค่าใช้จ่ายทั้งหมด คือค่าใช้จ่ายที่ต้องแลกเพื่อให้เขาทำงานได้
ต่อมาคือเขาทำงานวันละ 9 ชั่วโมง เสียเวลาขับรถไป 1 ชั่วโมง และกลับ 1 ชั่วโมง ดังนั้นรวมกันเป็น 11 ชั่วโมง ทำงาน จ-ส เดือนหนึ่งทำงานประมาณ 25 วัน ดังนั้นกว่าจะได้เงินเดือน 1 เดือน เขาจะต้องทำงานทั้งหมด 11 x 25 = 275 ชั่วโมง เพื่อแลกกับเงิน 12,000 บาท
ทีนี้ลองเอาเวลาเป็นรายชั่วโมงมาเฉลี่ยเพื่อหารายได้ 12,000 บาท หารด้วย 275 ชั่วโมง จะเท่ากับ 43 บาทกว่าๆ นั่นหมายความว่าการทำงานของชายอายุ 36 ปีผู้นี้ ทำกำไรให้เขาชั่วโมงละ 43 บาทเท่านั้น
ชั่วโมงละ 43 บาท
รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย 12,000 บาท
เงินเดือน 30,000 บาท
หนึ่งชั่วโมงของคนๆนี้ ใช้ซื้อมันบดเล็กได้ 1 ถ้วย
————————————————
ลองอีกซักเคสมั้ยครับ ผู้ชายคนหนึ่งอายุ 26 ปี ทำงานเงินเดือน 24,000 บาท รถพ่อซื้อให้ ดังนั้นไม่นับเป็นรายจ่าย แต่ Fixcost ของเขาคือให้พ่อแม่ 4,000 ค่ากับข้าว 4,000 ค่าแก๊สเติมรถ 4,000 เสียภาษี 1,500 สรุปคือเขามีกำไรจากการทำงาน 24,000 – 4,000 - 4,000 - 4,000 – 1,500 = 10,500 บาทเท่านั้น
เขาทำงาน 9 ชั่วโมง ขับรถไปชั่วโมงครึ่ง ขับรถกลับชั่วโมงครึ่ง รวม 3 ชั่วโมง ทำงาน จ – ศ หนึ่งเดือนจะทำงานราวๆ 20 วัน จะเท่ากับ (9+3) x 20 = 240 ชั่วโมงต่อเดือน เอากำไรจากเงินเดือนมาหารด้วยชั่วโมงทำงาน จะเท่ากับ 10,500 หาร 240 บาท จะเท่ากับ 43 บาท เท่านั้น!!!
ชั่วโมงละ 43 บาท
รายได้หลังหักค่าใช่จ่าย 10,500 บาท
เงินเดือน 24,000 บาท
ไอ้นี่ก็ซื้อมันบดเล็กได้ 1 ถ้วย
————————————————
คุณลองเอาวิธีนี้ไปคิดดูครับ เอาเงินเดือนมารวมกัน หักค่าใช้จ่ายจำเป็นทิ้งให้หมด จากนั้นเอาเวลาที่คุณอยู่บนท้องถนนเพื่อไปทำงานรวมเข้ากับงานประจำ แล้วนำมาหารกัน ได้ผลลัพธ์เป็นรายได้ต่อชั่วโมงปุ๊ป คุณจะเห็นมูลค่าค่าตัวของคุณที่แท้จริงที่ได้จากการทำงาน 100%
แล้วประเด็นคือมันสำคัญตรงไหน ที่ให้คิดแบบนี้ ขอบอกว่าสำคัญมากครับ เพราะถ้าคุณเงินเดือน 24,000 บาท แล้วคุณมานั่งถามตัวเองว่าทำอย่างไรจะหาเงินได้ 24,000 บาทต่อเดือนดี คุณจะไม่ค้นพบคำตอบ แต่ถ้าคุณถามตัวเองว่า ทำอย่างไร ฉันถึงจะมีรายได้ชั่วโมงละ 43 บาท แค่นี้แหละครับ คำตอบอื้อเลย
ลองตอบคำถามผมหน่อยนะครับ ทำอย่างไรฉันถึงจะมีรายได้มากกว่า 43 บาท ง่ายมั้ยครับ และยิ่งถ้าเงินเดือนคุณไม่ถึง 20,000 ค่าชั่วโมงคุณมันก็จะต่ำลงมา บางคนที่ผมลองให้เขาคำนวนจริงๆ รายได้ต่อชั่วโมงต่ำกว่า 20 บาทก็มี
ดังนั้นหน้าที่ของคนที่ต้องการก้าวออกจากสนามมนุษย์เงินเดือน คือคำนวนตามสูตรที่ผมคิดค้น พอได้ตัวเลขจริงๆ ให้เขียนใส่กระดาษแปะไว้ที่ที่เรามองเห็นได้ง่าย ทุกที่ที่เรามองเห็น เพื่อความฝันการเขียนใส่กระดาษแล้วแปะเป็นการลงทุนที่ต่ำมาก หวังว่าแค่นี้คงทำกันได้ เขียนไว้เลยว่า “ทำอย่างไรฉันถึงจะมีรายได้ชั่วโมงละ xx บาท” ถามตัวเองทุกวัน ทุกครั้งที่มีโอกาส ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ ถามจนกว่าเราจะเกิดไอเดียที่เข้าท่า ยิ่งถามเร็ว ยิ่งเริ่มรู้เร็ว ยิ่งได้เปรียบ
การเป็นนายตัวเองมีข้อดีอีกข้อหนึ่งที่คุณควรจะตื่นเต้นมากๆ นั่นคือ การ เลือกเป็นนายตัวเอง คุณต้องลืมเรื่องเพดานเงินเดือนไปได้เลย คุณสามารถหารายได้ได้เท่ากับศักยภาพสูงสุดเท่าที่คุณมี เช่น มนุษย์เงินเดือนใช้เวลา 1 เดือนเพื่อหาเงิน 20,000 กว่าบาท ในขณะที่ผู้ที่เป็นนายตัวเองอาจจะใช้เวลาแค่อาทิตย์เดียว บางคนวันเดียว เพราะสมองของคนที่เป็นนายตัวเอง ทำตามความฝันตัวเองเปิดกว้างกว่าคนที่ทำงานประจำนะครับ คนเหล่านี้มองเห็นเงินทองกองอยู่เต็มไปหมด เพราะเขาจะมีเวลาคิดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีมากกว่าคนที่ต้องคิดเรื่องงานให้ องค์กรอย่างเดียว 9 ชั่วโมงต่อวันแน่นอน อย่างน้อยตอนนี้ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีรายได้มากกว่างานประจำหลายเท่า วันจันทร์ถึงศุกร์ผมเที่ยวเพราะคนน้อย ส่วนเสาร์อาทิตย์ผมเลือกที่จะทำงานเพราะออกไปไหนก็มีแต่คน

ดังนั้นอย่าลืมถามตัวเองทุกวันนะครับ ทำอย่างไรฉันถึงจะมีรายได้ต่อชั่วโมง x บาท เมื่อเริ่มคิดได้แล้วให้เอารายได้ต่อชั่วโมงคูณไปอีกเท่าตัวหนึ่ง ทำอย่างไรฉันถึงจะมีรายได้ต่อชั่วโมงมากกว่าเดิม 2 เท่า แล้วขยายไปเป็น 3 4 5 6 7 8 9 10 เท่า เมื่อเจอแล้ว ลงมือทำ กัดห้ามปล่อย จำไว้ว่าการเป็นนายตัวเองเหมือนการขี่จักรยาน ครั้งแรกๆทนเจ็บ ทนล้ม ทนถูกหยามหน่อย แต่ถ้าทำได้แล้วเป็นแล้ว มันก็จะเป็นสกิลติดตัวทั้งชีวิต…!!! ไม่ต้องกลับมาเรียนซ้ำ เอาเวลาไปเรียนเรื่องอื่นที่ทำให้ชีวิตดีกว่าเดิมได้เลย
จำไว้นะครับ การ ทำตามความฝันไม่ต้องขออนุญาตจากใคร คนอื่นเขามีวิธีร้อยแปดที่จะพูดให้คุณค้นพบว่าคุณไม่มีวันทำได้ อยากมีชีวิตแบบไหนเราต้องเป็นคนเลือก ไม่ใช่คนอื่นเลือกให้เรา อยากได้ชีวิตแบบไหนใหุ้ถามคนที่เขาได้ชีวิตแบบที่เราต้องการแล้ว อย่าไปถามคนที่เขายังทำไม่ได้เพราะมันจะไม่มีวันได้คำตอบ วันนี้ผมมีความสุขมากจากการทำตามความฝัน ชีวิตของผมในทุกๆวันเข้าใกล้เป้าหมายที่ผมตั้งทีละนิดๆ มันทำให้ผมรู้ว่าชีวิตที่เกิดมาเพื่อรับใช้ตัวเอง มันคือสุดยอดของการใช้ชีวิตแล้ว
อย่าลืมนะครับ พลังอำนาจใดๆบนโลกนี้ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับพลังความเชื่อมั่น ถามตัวเองทุกวัน “ฉันจะทำอย่างไรให้มีรายได้ชั่วโมงละ xx บาท” แล้วลุย

เครดิตร บทความนี้จากคุณ Vit tarot ครับ

Friday, January 24, 2014

13 แรงบันดาลใจจาก “สตีฟ จอบส์” Steve Jobs Quotes


Steve Jobs Quotes – บุรุษผู้เป็นตำนานแห่งซิลิคอน แวลลีย์ นาม “สตีฟ จอบส์ ” ชายผู้เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์และความสร้างสรรค์ ก่อนจะประสพความสำเร็จดังเช่นปัจจุบัน สตีฟได้เรียนรู้และเพาะบ่มความคิดจนตกผลึก และได้ถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้น ตลอดระยะเวลากว่าหลายปี และมันสามารถจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คน  มาถึงตอนนี้มันจะกลายเป็นตำนานความคลาสสิค ที่จะถูกนำไปต่อยอดสู่ประวัติศาตร์เทคโนโลยีบทใหม่ แม้วิญญาณเขาจะลับไปแล้ว แต่สิ่งที่สตีฟรังสรรค์ไว้นั้นจะนิรันดร์…  T_T


1. “ผมอยากจะเอากระดิ่งแห่งความหดหู่ ไปแขวนไว้ในจักรวาล” – ปี 1981

2. “การเป็นคนรวยเมื่อนอนลงที่หลุมฝังศพ ไม่มีความหมายอะไรกับข้าพเจ้า แต่การนอนลงที่เตียงทุกวัน และบอกว่า เราได้ทำสิ่งยิ่งใหญ่ ที่น่าอัศจรรย์ใจ เป็นสิ่งที่มีความหมายกับข้าพเจ้า” – ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ปี 1993

3. “คาถาของผม ก็คือ จดจ่อและเรียบง่าย การทำอะไรให้เรียบง่าย หลายครั้งก็ยาก เพราะต้องคิดสิ่งที่ซับซ้อนให้ออกมาง่าย แต่ถ้าทำออกมาได้แล้ว มันสุดยอดมาก เพราะคุณสามารถเคลื่อนภูเขาได้” – ให้สัมภาษณ์ Business Week ปี 1998


4. “การออกแบบ ไม่ใช่แค่ รูปลักษณ์ภายนอก แต่การออกแบบ คือ เราจะใช้งานมันอย่างไงด้วย” – ให้สัมภาษณ์ New York Times ปี 2003

5. “Stay hungry, stay foolish.” / “จงหิวกระหาย และตระหนักว่าตนยังไม่รู้” – งานรับปริญญา Stanford ปี 2005

6. “ถ้าคุณยังไม่เจอ จงค้นหาต่อไป อย่าหยุด” – งานรับปริญญา Stanford ปี 2005


7. “นับตั้งแต่อายุ 17 ปี ผมดูกระจกทุกเช้า และถามตัวเองว่า ‘ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ คุณอยากจะทำสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้หรือเปล่า?’ และถ้าวันไหนคำตอบคือ ‘ไม่’ หลายๆ วันติดต่อกัน ผมรู้แล้วว่า ผมต้องการการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ” – งานรับปริญญา Stanford ปี 2005

8. “การเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า ‘เรากำลังจะตาย’ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่จะหลุดจากความคิดที่ว่า เรายังมีโอกาสล้มเหลว”  – งานรับปริญญา Stanford ปี 2005

9. “คุณจะต้องวางใจในบางสิ่ง ที่เชื่อมกับอนาคตของคุณ และชีวิตคุณจะแตกต่าง” – งานรับปริญญา Stanford ปี 2005


10. “ความตายเป็นสิ่งที่เราทุกคนจะต้องเจอ ความตายเป็นนวัตกรรมชั้นเลิศในชีวิต เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตไปสู่สิ่งใหม่” – งานรับปริญญา Stanford ปี 2005

11. “เวลาของเราจำกัด อย่าเสียเวลากับบางคน อย่าใช้ชีวิตตามผลความคิดของคนอื่น อย่าให้เสียงวิจารณ์ดับเสียงภายในใจ สิ่งที่สำคัญที่สุด จงกล้าที่จะทำตามที่แรงบันดาลภายในใจที่เรียกร้องอยู่” – งานรับปริญญา Stanford ปี 2005

12. “ต้นแบบธุรกิจของข้าพเจ้า คือ The Beatles เสริมจุดแข็ง ช่วยจุดอ่อน ของทั้ง 4 คน และสิ่งที่เกิดขึ้น มันยอดเยี่ยม มากกว่า ต่างคนต่างทำ” – ให้สัมภาษณ์ 60 Minutes ปี 2008

13. “เราไม่มีโอกาสมาก ที่จะทำหลายสิ่งในชีวิตของเรา ให้ดีเลิศ เพราะทุกคนก็ต้องการเป็นเลิศ และนี่แหละคือชีวิต” – ให้สัมภาษณ์กับ Fortune ปี 2008

บทความโดยเอ็มไทยดอทคอม ขอบพระคุณครับ


หัวใจน่ากราบ!! "นิก วูยิชิช" นักสร้างแรงบันดาลใจผู้ยิ่งใหญ่ของโลก


Pic_368354
แม้จะเกิดมาพิการโดยกำเนิด และถูกกลั่นแกล้งรังแกมาทั้งชีวิต แต่ “นิก วูยิชิช” นักสร้างแรงบันดาลใจผู้ไร้แขนไร้ขาชาวออสเตรเลีย ก็ยังยิ้มกว้างด้วยหัวใจทระนง ที่ไม่เคยพิการตามร่างกาย โดยความฝันสูงสุดของเขาคือ การจุดประกายความหวังให้คนทั้งโลก และปลุกเร้าพลังใจเข้มแข็งแก่ผู้สิ้นหวัง...อ่อนแอ...เจ็บปวด...ไร้หนทาง ชีวิต

หลังจากรอคอยมาหลายปี ในที่สุด แฟนๆชาวไทยก็มีโอกาสได้สัมผัสมนต์ขลังของ “นิก วูยิชิช” นักพูดชื่อก้องโลกเป็นครั้งแรก ณ สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ เมื่อต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา งานนี้ นอกจากจะตั้งใจเดินทางมาร่วมเปิดตัวหนังสือ “ชีวิตไร้ขีดจำกัด” และ “หยุดไม่อยู่” ฉบับภาษาไทย เขายังเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนไทยสัมภาษณ์เจาะลึกอย่างใกล้ชิด เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่เผยแพร่สู่สังคม

เคยเดินทางมาเมืองไทยหรือยังคะ

ผม เดินทางมาเมืองไทยครั้งแรกครับ เป็นประเทศที่ 49 ที่ผมเดินทางเยือน รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เยือนเมืองไทย เพราะได้ยินชื่อเสียงเมืองไทยมานานว่าสวยงาม พ่อแม่ผมก็ชอบทานอาหารไทย


ในครอบครัวมีใครเกิดมาเป็นแบบนี้ไหม

ไม่ มีใครทราบเหตุผลทางการแพทย์ว่าทำไมผมเกิดมาโดยไม่มีแขนไม่มีขา น้องสาวและน้องชายก็มีอวัยวะครบหมด ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีใครรู้ว่าผมเดินได้และว่ายน้ำได้ด้วยซ้ำ ผมบอกทุกคนว่า เราจะไม่รู้เลยว่าเราทำอะไรได้บ้าง จนกว่าจะได้ลองทำ พ่อแม่สอนผมว่า จะต้องรู้จักขอบคุณสิ่งที่มี และทำให้ดีที่สุด แล้วพระเจ้าจะทำที่เหลือเอง

มองย้อนกลับไปข้างหลัง ช่วงเวลาไหนของชีวิตยากลำบากที่สุด

ผม เข้าเรียนโรงเรียนประถมแบบเด็กปกติ ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ แต่พออายุ 8 ขวบ เกิดวิกฤติในชีวิต เริ่มมีอาการเครียด และตั้งคำถามว่าทำไมเราเกิดมาเป็นแบบนี้ คนอื่นก็มีครบหมด พ่อแม่ผมคอยบอกว่าอย่ากังวลเลย เดี๋ยวทุกอย่างจะโอเคเอง ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ความหวัง ไม่มีอนาคต คิดว่า เดี๋ยวก็คงหางานทำไม่ได้ มีคนถามด้วยซ้ำว่าเป็นแบบนี้จะมีปัญญาแต่งงานเหรอ ตอนอายุ 10 ขวบ เลยพยายามฆ่าตัวตายในอ่างอาบน้ำที่บ้าน ตอนนั้นรู้สึกว่าการยอมแพ้คือทางออกจากความเจ็บปวดนี้ ถ้าผมตายไปจริงๆ คงต้องพลาดสิ่งดีๆในชีวิตมากมาย


อะไรทำให้คุณเลิกคิดสั้น และอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกครั้ง

ผม มองเห็นภาพพ่อแม่ต้องยืนร้องไห้หน้า หลุมฝังศพของผม แล้วผมก็ฉุกคิดว่าเราจะต้องไม่ทำร้ายคนที่รักเรามากที่สุด ผมจึงตัดสินใจว่าผมต้องมีชีวิตอยู่ ตอนอายุ 13 ปี ผมลองเตะฟุตบอลเป็นครั้งแรก และเจ็บขาไป 3 อาทิตย์ และนี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองพิการ!! แต่ผมไม่โกรธตัวเองเลยที่ไม่มีแขนไม่มีขา

ศรัทธาแรงกล้าที่มีต่อพระเจ้าเริ่มบ่มเพาะในใจตอนไหน

ตอน อายุ 15 ปี ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลครั้งแรก ไปเจอบทหนึ่งที่บอกว่าพระเยซูสามารถรักษาคนตาบอดได้ ผมรู้สึกว้าวเลย!! ก็ไม่มีใครรู้ว่าทำไมผมเกิดมาเป็นแบบนี้ ผมบอกตัวเองว่า ถ้าพระเจ้ามีแผนสำหรับคนตาบอด ก็น่าจะมีแผนการสำหรับผม ถ้ามีคนให้แขนให้ขาผมก็เยี่ยม แต่ถ้าไม่ได้แขนขา ก็ขอให้เยียวยาหัวใจผม และให้ใช้ผมอย่างที่ผมเป็น ตอนนี้ผมมีความสุขมาก และมั่นใจว่าสวรรค์ก็รอผมอยู่

พลังศรัทธาทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน

ผม กลายเป็นคนใหม่ที่รู้จักมอบความรักให้คนอื่น อยากจะแบ่งปันคุณค่า ทัศนคติ และความสุขให้ทุกคน เพราะความศรัทธาในพระเจ้าทำให้ผมเป็นผมได้อย่างทุกวันนี้


ชีวิตพลิกผันเป็นนักพูดระดับโลก ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายได้อย่างไร

เมื่อ 11 ปีก่อน ตอนอายุ 19 ปี ผมได้เป็นนักพูดครั้งแรก จุดประกายขึ้นจากภารโรงที่โรงเรียน เขาบอกผมว่าโตขึ้นคุณจะต้องเป็นนักพูด ผมว่าจะบ้าเหรอ ผมไม่มีอะไรจะพูด เขาก็บอกว่างั้นพูดเรื่องชีวิตของคุณไง ภารโรงคนนั้นตื๊อผม 3 เดือน กระทั่งผมใจอ่อนไปพูดต่อหน้าวัยรุ่น 10 คน ปรากฏว่าพูดไปได้หน่อย ก็มีคนร้องไห้ ผมถามว่าทำไมร้องไห้ พวกเขาบอกว่าก็มันซึ้ง

ผมแทบไม่เชื่อตัวเอง ต่อมาก็มีอีกกลุ่มๆเชิญให้ไปพูด จนวันหนึ่งผมต้องขึ้นพูดต่อหน้าเด็กวัยรุ่น 300 คน เป็นเวลา 7 นาที ผมตื่นเต้นมาก มือเย็นไปหมด เข่าสั่นไปหมด!! พูดไปได้ 3 นาที เด็กผู้หญิงครึ่งหนึ่งก็ร้องไห้ และมีคนหนึ่งวิ่งขึ้นมาบนเวทีกอดผม เอาแต่พูดขอบคุณๆๆ วินาทีนี้เองที่ผมรู้ว่าเกิดมาเพื่อเป็นนักพูด!! ตอนนั้นผมเรียนปริญญาตรี 2 ใบ ด้านไฟแนนซ์ และบัญชี ผมรีบบอกพ่อแม่ว่า รู้แล้วชีวิตนี้อยากเป็นอะไร...ผมจะเป็นนักพูด!! แม่ถามว่าจะพูดอะไร...ผมบอกไม่รู้ ที่จริงมีอุปสรรคเยอะ แต่ในหัวจดจำเด็กหญิงที่มากอดผมได้ และรู้ว่ายังมีคนอีกมากต้องการแรงบันดาลใจ จนถึงวันนี้ ผมตระเวนพูดสร้างแรงบันดาลใจมาแล้ว 49 ประเทศ เจอประธานาธิบดี 8 คน ต่อจากนี้มีอีก 12 ประเทศ ที่จะเดินทางไปเยือนในฐานะผู้ก่อตั้งองค์การ “Life Without Limbs”

เป็นตัวตั้งตัวตีต่อต้านการรังแกกันในโรงเรียน เรื่องนี้เป็นภัยร้ายแรงขนาดไหน

ผม โดนแกล้งที่โรงเรียนตลอด ช่วงเวลานั้นโดดเดี่ยวเหลือเกิน ผมพยายามบอกเด็กวัยรุ่นถึงผลร้ายของการแกล้งเพื่อน ผมใช้โอกาสทุกครั้งรณรงค์เรื่องนี้ มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ จะต้องให้เด็กๆเรียนรู้คุณค่าของตัวเอง และเลิกแกล้งคนอื่น ทุกคนมีความสวยงามในตัวเอง เมื่อหลายปีก่อน ผมเจอเด็กคนหนึ่งไม่มีแขนไม่มีขาเหมือนผมเลย ผมมองไปที่เด็กและเขาก็มองผม เราต่างยิ้มให้กัน ผมรู้ว่าเขาจะต้องโดนแกล้งเมื่อเข้าโรงเรียน จึงอาสาไปพูดรณรงค์เรื่องนี้ ให้ที่โรงเรียน ซึ่งก็ได้ผลเกินคาด

คุณยิ้มตลอดเวลา เคยมีวันร้ายๆบ้างไหม

ชีวิต ผมก็มีทั้งขึ้นและลง เมื่อ 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา มีสิ่งที่เกิดในชีวิต ทำให้ล้าและเหนื่อยมาก ตอนนั้น ผมเพิ่งคบกับภรรยาไม่นาน ผมร้องไห้เยอะมาก มีการวางแผนบางอย่าง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ผมบอกแฟนว่าผมถังแตก เธอตอบทันทีว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันหางานทำเลี้ยงคุณเอง ผมประทับใจในตัวเธอมาก และรู้เลยว่าเธอรักผมแค่ไหน


เจอภรรยาได้อย่างไร อะไรทำให้ตกหลุมรักเธอ

เรา เจอกันเดือน เม.ย.ปี 2010 หลังจากนั้น 6 เดือน ก็เป็นแฟนกัน คบกันได้ปีหนึ่ง ผมขอเธอแต่งงาน โดยซ่อนแหวนไว้ในขนมเค้ก แล้วขอให้เธอป้อนผมหน่อย ผมทานเค้กจนหมดเหลือแหวนในปาก แล้วค่อยๆจูบมือเธอ และสวมแหวนให้เธอที่นิ้วนางข้างซ้าย เธอเป็นผู้หญิงที่ผมอยากอยู่ด้วยตลอดชีวิต เธอสวยทั้งข้างนอกและข้างใน!! ตอนนี้ผมอายุ 30 ปี ได้แต่งงานแล้ว และมีลูกชายวัยแบเบาะคนหนึ่ง ผมกับภรรยากำลังเขียนหนังสือเรื่องความสัมพันธ์ เพื่อให้กำลังใจคนโสด คนแต่งงาน และคนหย่าร้าง

เวลาเหนื่อยหรือท้อแท้ มีวิธีสร้างพลังใจอย่างไร

ผม จะอ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลซ้ำๆ มีหลายบทที่อ่านแล้วได้พลังกลับมา วิธีให้กำลังใจตัวเองดีที่สุดคือการออกไปช่วยเหลือผู้อื่น แล้วคุณจะได้ความสุขแบบที่เงินซื้อไม่ได้ กำลังใจจากครอบครัวก็สำคัญ พ่อแม่ผมทำให้เห็นว่าบ้านคือที่พักใจที่ดีที่สุด น้องชายผมก็ช่วยเหลือผมทุกอย่าง ไม่ว่าผมเจออะไรร้ายๆก็จะนึกถึงคนคนหนึ่ง เขาเป็นคนป่วยใกล้ตายเป็นโรคกล้ามเนื้อลีบไม่สามารถทำอะไรได้ ผมเจอเขาตอน 2 ปีก่อนเสียชีวิต เขายิ้มตลอดเวลา แม้จะขยับตัวไม่ได้เลย พูดก็ไม่ได้ เขาก็ยังแบ่งปันเรื่องราวและให้ความหวังแก่คนป่วยใกล้ตายผ่านทางเว็บไซต์ เขาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ผมลุกขึ้นพูดเพื่อจุดประกายความหวังให้คน อื่น เป็นคนต้นแบบที่ไม่มีวันลืม

อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนหนังสือ “ชีวิตไร้ขีดจำกัด” และ “หยุดไม่อยู่”

ผม เชื่อว่าการพูดไม่สามารถเข้าถึงคนทุกคน แต่การเขียนหนังสือเป็นการสื่อสารแบบตัวต่อตัว หนังสือเล่มแรกเล่าว่าทำไมผมจึงมีศรัทธาแรงกล้าต่อพระเจ้า หลังต้องเจอความเจ็บปวดและอับอายจากความพิการของตัวเอง ศรัทธาในพระเจ้าทำให้ผมก้าวข้ามอุปสรรคด้านร่างกายและมีแรงใจ ส่วนหนังสือ “หยุดไม่อยู่” ถ่ายทอดชีวิตช่วงที่เผชิญความท้าทาย ทั้งปัญหาส่วนตัว, ปัญหาความสัมพันธ์, อุปสรรคอาชีพการงาน, ความพิการ, ความคิดทำลายตัวเอง, ปัญหาทางอารมณ์ และการถูกกลั่นแกล้ง กระทั่งรับมือได้ และพร้อมมีชีวิตอยู่อย่างที่ไม่มีอะไรมาหยุดยั้ง

ทำอะไรที่อะเมซซิ่งมาเยอะ ยังมีอะไรอยากลองอีกไหม

ผม ชอบว่ายน้ำ เล่นเซิร์ฟ เคยกระโดดดิ่งพสุธามาแล้ว และรอดมาได้ (หัวเราะ) สิ่งที่อยากทำต่อไปคือ การเป็นพ่อที่ดีของลูกชาย และสามีที่ดีของภรรยา อยากทำให้ดียิ่งกว่าการเป็นนักพูดที่ดีที่สุด ผมยังฝันว่าอยากให้คนหลายล้านคนทั่วโลกบริจาคเงินคนละ 1 ดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อนำมาช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทั้งโลก

ช่วยแบ่งปันแรงบันดาลใจ และจุดประกายความหวังให้คนท้อแท้หน่อยสิคะ

คน เราไม่ต้องมีความกล้าที่จะเอาชนะ แต่ต้องกล้าลองเสี่ยงแม้จะล้มเหลว เพราะก่อนจะประสบความสำเร็จ คนเราต้องล้มเหลวมาก่อน อยากให้เปลี่ยนอุปสรรคเป็นโอกาส พยายามฝันให้ไกล และอย่ายอมแพ้ ผมหวังว่าทุกคนจะได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวชีวิตของผม ได้เห็นความรักของผม และความหวังยิ่งใหญ่ ทุกคนถูกสร้างมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง พระเจ้ารักคุณนะครับ ถ้าคุณเปิดรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิต คุณก็จะสามารถทำในสิ่งที่เหลือเชื่อ พระเจ้าทำให้ผมมีความมั่นใจที่จะดำรงชีวิตอยู่ ผมไม่ใช่คนยิ่งใหญ่จากไหน พระเจ้าเป็นแบบอย่างของผมในการรับใช้ผู้อื่น และรู้จักให้อย่างไม่หวังผลตอบแทน สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิตผม เกิดจากการสวดมนต์ และพลังศรัทธาที่มีต่อพระองค์ ทำให้ผมรักคนอื่นด้วยความจริงใจ สำหรับคนที่ประสบปัญหาชีวิต ก็อยากให้เปิดใจรับพระเจ้า เงินไม่สามารถทำให้หัวใจงดงามขึ้นได้ งานหรือชื่อเสียงก็ไม่มีคุณค่าใดๆ ที่งานศพของผมจะไม่มีใครพูดว่าผมทำอะไรไปบ้าง แต่จะพูดว่าผมเป็นใคร คุณเป็นใครสำคัญกว่าคุณได้ทำอะไรมา ผมบอกตัวเองทุกวันว่าต้องเป็นคนอย่างที่เป็นอยู่ ผมไม่ใช่คนเพอร์เฟกต์ แต่ทุกวันผมต้องให้อภัยมากขึ้น รู้จักให้คนอื่นมากขึ้น และไม่เห็นแก่ตัว ไม่หลงชื่อเสียงเงินทอง

แรงบันดาลใจจากผู้ชายไม่ธรรมดาชื่อ  “นิก วูยิชิช” คือแสงสว่างส่องนำทางผู้สิ้นหวังทั้งโลก!!

บทความจากไทยรัฐ ขอขอบพระคุณ

Thursday, January 23, 2014

ไอเดียหาเงิน ของพ่อค้าไอติม เครดิตรบทความโดยคุณ วิชญ์


เพื่อนๆท่านผู้อ่านที่รักก็เป็นคนหนึ่งหรือเปล่าครับ ที่เคยถามหรือมีความคิดที่จะถามหมอดูว่าชีวิตนี้เราจะทำธุรกิจอะไรดี วันนี้ผมมีเรื่องราวดีๆ (อีกแล้ว) มาแชร์ให้เพื่อนๆท่านผู้อ่านที่รักได้กระตุกต่อมคิดครับ
ตอนนั้นผมเดินเตล็ดเตร่หน้าโรงแรมพลาซ่า แอททีนี่ เจอรถเข็นไอติมตักสั่นกระดิ่งลั่น ผมโบกเพื่อขออุดหนุนไอติม พอถามว่าใส่เครื่องอะไรได้บ้าง เขายิ้มกลับพร้อมตอบว่า “หมดแล้วครับ”
ผมมองนาฬิกา ยังไม่ทันเที่ยงเลย ขายหมดแล้วได้ยังไง ผมบอกว่าเอาขนมปังใส่ไอติมอย่างเดียว พอเขาเปิดฝาไอติม ผมมองลงไปในถัง ปรากฏว่าเหลือเพียงก้นถังเท่านั้น แสดงว่าขายดีจริง ระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆ เขาก็หยิบขนมปังไอติมห่อถุงพลาสติกมาให้ครับ (ดั่งที่ท่านผู้อ่านที่ัรักเห็นในรูป)


ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยกินขนมปังพร้อมถุงพลาสติก พอผมมองลงไปในตระกร้าขนมปัง ผมเห็นขนมปังทุกชิ้นห่ออยู่ในถุงพลาสติกอยู่แล้ว ขอย้ำว่าทุกชิ้นนะครับ คือปรกติขนมปังจะถูกยื่นให้แบบมือต่อมือ แต่การตักไอติมของเขานี้ มือของเขาจะไม่โดนขนมปังเลย เพราะเขาห่อมันตั้งแต่ในตระกร้า หยิบขึ้นมาก็แค่เปิดปากถุง ใส่เครื่อง ใส่ไอติมขายได้เลยโดยไม่โดนมือ พอผมถามเขาว่าทำอย่างนี้เพื่ออะไร เขาตอบกับมาว่าเพื่อเพิ่มยอดขายครับ
ปรกติเขาเข็นขายไอศกรีม มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเข็นขายหน้าโรงพยาบาล มีลูกค้าจำนวนหนึ่งมาอุดหนุน แต่พวกหมอกับพยาบาลไม่เคยสั่งขนมปังใส่ไอติมเลย ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าทำไม วันหนึ่งเขาได้ยินกับหูว่าหมอกับพยาบาลไม่กล้ากินขนมปัง เพราะกลัวว่าจะไม่สะอาด ไหนจะเหงื่อ ไหนจะขี้เกลือ คนรักอนามัยเลยไม่กล้ากิน ไม่กล้าสั่ง เดี๋ยวจะมีเชื้อโรค
พอเขาได้ยินอย่างนั้น เขาเลยคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา เอายังไงดีหว่าเพื่อจะให้หมอกับพยาบาลยอมอุดหนุน เขาเลยทดลองด้วยการเอาขนมปังห่อด้วยถุงพลาสติก จากนั้นก็วางเรียงในตระกร้าอย่างสวยมาก หลังจากนั้น ไอติมของเขาไม่เคยเหลือเกินบ่ายโมงเลย
แค่เข็นผ่านโรงพยาบาล ก็ขายเกือบหมดถังแล้ว วันนี้ผมโชคดีที่ยังพอเหลือ ไม่งั้นคงอดกินไอติมแสนอร่อยแน่นอน
ผมเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ไอเดียง่ายๆแค่นี้สามารถเพิ่มยอดขายไอติมได้หลายเท่าตัว ผมนับถือหัวใจของพ่อค้าที่ยอมขาดทุนเพื่อเพิ่มมาตรฐานให้กับไอติมตัวเอง ทำให้ลูกค้าที่รักสะอาดได้สมหวังกับไอติมที่หอมหวานมากๆ
ไอเดียง่ายๆแบบนี้ทำให้พ่อค้าขายไอติมสามารถขายหมดได้เงินพันไปกอดก่อน เที่ยงทุกวัน ผมแค่อยากจะบอกท่านผู้อ่านที่รักทุกๆท่านครับ ว่าความคิดสรา้งสรรค์เพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างความสุขให้กับคนอื่นๆได้แล้ว ถ้าเพื่อนๆอยากจะเริ่มต้นหาเงินจากสิ่งที่ตัวเองรัก ไม่จำเป็นต้องถามหมอดูว่าตัวเองเหมาะกับงานหรือธุรกิจอะไร แต่ให้ลองถามว่าเรามีความคิด หรือมีความสามารถที่จะทำให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง จากนั้นคิดหาวิธีทำเงินกับมันครับ…!!! แล้วความปรารถนาดีของเราจะแปรเปลี่ยนเป็นเงินเป็นทองอย่างแน่นอน

เครดิตรบทความโดยคุณ วิชญ์

พลังแห่งรักและศรัทธา The Power of love



วันนี้ขอแนะนำ เรื่องราวของ "ความเพียรอันนำไปสู่ความสำเร็จเพื่อประโยชน์ของชนส่วนมาก"
Dashrath Manjhi (ดาสราช แมนจิ) เป็นชายฐานะยากจนคนหนึ่งในจำนวน 1.2 พันล้านของ ของอินเดีย เขาอาศัยอยู่ใน หมู่บ้านกัลลอร์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในหุบเขา หากจะเดินทางออกจากหมู่บ้าน เขาต้องอ้อมภูเขาไปยังอีกเมืองหนึ่งซึ่งมีความเจริญกว่า ด้วยระยะทางถึง 55 กิโลเมตร!!
และด้วยระยะทางที่ไกลขนาดนั้นล่ะครับ เป็นสาเหตุให้เขาไม่สามารถพาภรรยาอันเป็นที่รักซึ่งป่วยหนัก ไปส่งยังโรงพยาบาลได้ทันท่วงที
แต่เรื่องราวอันแสนเศร้านั้น กลับทำให้เกิดเรื่องราวอีกเรื่อง ซึ่งจะสร้างกำลังใจให้แก่ผู้ที่รู้ถึงเหตุการณ์ที่

จะตามมานี้...
มือสองมือกับ ค้อนในมือ 1 อัน ความตั้งใจจะไม่ให้ใครต้องประสบชะตากรรมอย่างภรรยาเขา และมานั่งเศร้าอย่างที่เขาเคยเป็นในอดีต
ภูเขาที่ว่าสูง ที่ว่าเป็นอุปสรรคอยู่ตรงหน้า นั้นล่ะ คือที่ที่เขาตั้งใจจะทำลายมันทิ้งให้จงได้!!!
สุดท้าย เขาใช้เวลาทั้งหมด 22 ปี ตั้งแต่ปี 1960-1982 ในการร่นระยะทางจาก 55 กิโลเมตร ให้เหลือเพียง 15 กิโลเมตร ด้วยการเจาะถนนกว้าง 9 เมตร ผ่านภูเขาที่มีความยาว 110 เมตร และต้องขุดลงไปจากยอดเขาให้ลึกถึง 7.5 เมตร
เขาทำได้อย่างไร?
จริงๆไม่ใช่ด้วยมือ ไม่ใช่ด้วยค้อน หรอกครับ
แต่เขาทำได้ ด้วยแรงใจที่มุ่งมั่น ในขณะที่คนอื่นเอาแต่บอกว่า "เป็นไปไม่ได้" ต่างหาก