Saturday, June 30, 2018

ราคา Bitcoin กลับมาพุ่งทะลุ 6,400 ดอลลาร์ โวลลุ่มการซื้อขายแตะ 4.4 พันล้านดอลลาร์

ราคาของเหรียญอันดับที่ 1 ของโลกได้กลับมาพุ่งทะลุระดับราคา 6,400 ดอลลาร์ในวันนี้ รวมถึงโวลลุ่มการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ราคา Bitcoin ได้ร่วงลงทะลุระดับ 6,000 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ ก่อนที่จะเริ่มพุ่งทะลุขึ้นมาเหนือ 6,000 ดอลลาร์ในช่วงประมาณตีห้าครึ่งของวันนี้ โดยช่วงเวลาในการพุ่งขึ้นนั้นดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไปแตะที่จุดสูงสุดของวันที่ 6462.50 ดอลลาร์ ก่อนที่จะปรับตัวลงมาที่ 6409.44 ดอลลาร์ในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ อ้างอิงจาก Coinmarketcap

ก่อนหน้านี้ราคาของ Bitcoin ได้ร่วงลงมาถึงจุดต่ำสุดในรอบปี 2018 มาแล้วเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา โดยราคานั้นอยู่ที่ 5,845 ดอลลาร์

ในขณะเดียวกัน โวลลุ่มการซื้อขายในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมานั้นได้เพิ่มขึ้นจากเมื่อวานที่ 3 พันล้านดอลลาร์มาสู่ 4.4 พันล้านดอลลาร์ในวันนี้ ซึ่งบ่งบอกถึงความคึกคักของตลาดในช่วงวันหยุดได้ในระดับหนึ่ง

ตลาดไทยขยับตาม

ในขณะเดียวกัน ตลาดไทยอย่าง Bitkub ก็ได้มีการเพิ่มขึ้นของราคาเหรียญ Bitcoin ด้วยเช่นกัน โดยขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในรอบวันที่ 215,900 บาท ก่อนที่จะมีการเทขายเกิดขึ้น ส่งผลทำให้ราคาร่วงลงมาที่ 195,000 บาทตามกราฟด้านล่าง

ส่วนตลาด Bx นั้น ราคาได้มีการคงตัวอยู่ที่ 212,552 บาท หลังจากที่พุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในรอบวันที่ 216,499 บาท ซึ่งมากกว่าราคาของตลาด Bitkub ถึง 17,552 บาท

The post ราคา Bitcoin กลับมาพุ่งทะลุ 6,400 ดอลลาร์ โวลลุ่มการซื้อขายแตะ 4.4 พันล้านดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

Stable Coin คืออะไร ? มันมีหน้าที่และความสำคัญ อย่างไรในอุตสาหกรรมคริปโต ?

นอกเหนือจากสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ เช่น Bitcoin, Litecoin, Bitcoin Cash หรือ Ethereum แล้ว ในอุตสาหกรรมคริปโตยังมีสกุลเงินดิจิทัลที่เรียกว่า Stable Coin อีกด้วย หลาย ๆ คนอาจไม่ค่อยเห็นคำนี้เท่าไรนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว Stable Coin จัดว่ามีความสำคัญในวงการคริปโตเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน ในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับมันสำหรับผู้ที่ไม่ทราบว่ามันคืออะไร และมีหน้าที่ที่สำคัญอย่างไรกับวงการคริปโต

Stable Coin คืออะไร ?

หากให้อธิบายสั้น ๆ Stable Coin คือ Cryptocurrency ประเภทหนึ่งที่จะคงราคาของมันไว้อย่างคงที่ตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับคริปโตปกติที่ราคาของมันมีความผันผวนตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น USDT เป็น Cryptocurrency ที่เคลมว่ามีเงินดอลลาร์ค้ำอยู่ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 และถูกออกแบบมาเพื่อมีมูลค่า 1 USDT เท่ากับ 1 ดอลลาร์ตลอดเวลา

ในปัจจุบัน Stable Coin ในอุตสาหกรรมคริปโตมีมากมายหลายเหรียญไม่ใช่เพียง USDT สกุลเดียว ไม่ว่าจะเป็น TrueUSD หรือ TUSD หรือ DAI โดยแต่ละเหรียญนั้นก็มีการทำงานที่แตกต่างกันออกไป เพื่อส่งเสริมความน่าเชื่อถือของเหรียญตนเอง

ยกตัวอย่างเช่น TUSD จะมีจะถือเงินดอลลาร์ค้ำอยู่โดยบริษัทที่ได้รับการ KYC แล้ว ซึ่งสามารถแลกโทเคนกลับเป็นเงินได้ และ DAI จะถือทรัพย์สินดิจิทัลค้ำประกันอยู่แทน โดยทั้งหมดมีจุดประสงค์ที่มีอะไรมาค้ำประกันก่อนที่จะสร้างโทเคนขึ้น

Stable Coin มีหน้าที่อะไร ?

Stable Coin มีหน้าที่หลัก ๆ คือการรักษามูลค่าของเงินที่เราฝากไว้ เนื่องจากปกตินั้นเว็บเทรดคริปโตจะไม่มีคู่เทรดสำหรับเงิน Fiat ทำให้เวลาที่นักลงทุนอยากรักษามูลค่าของเหรียญไว้ จำเป็นต้องเลือกแลกเป็นคริปโตที่มีความผันผวนน้อย ซึ่งในตลาดคริปโตแล้วเป็นไปได้ยากมาก เลยมีโทเคน USDT ถือกำเนิดขึ้นมาแทนที่เงินดอลลาร์

เมื่อนักลงทุนอยากถือเงินดอลลาร์ไว้เฉย ๆ ในเว็บเทรดที่ไม่มีคู่เงิน Fiat พวกเขาแค่ทำการแลกคริปโตเป็น USDT หรือ Stable Coin อื่น ๆ ทำให้พวกเขาสามารถลดความเสี่ยงของการผันผวนได้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในเวลาที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อคริปโตตัวไหนดี หรือเป็นที่พักเงินในกรณีที่นักลงทุนคาดว่าตลาดจะเข้าสู่ขาลงเลยทำการขายเป็น Stable Coin ไว้ก่อน

Stable Coin ในไทย

อ้างอิงจาก Siam Blockchain เว็บเทรดในไทยนาม Cash2Coins ได้สร้าง Stable Coin ของพวกเขาขึ้นมาเหมือนกันนาม Thai Baht Digital หรือ TBD ซึ่งทำหน้าที่คล้าย USDT แต่เป็นเงินบาทแทนเงินดอลลาร์ หลังจากที่เปิดตัวเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า TBD ถูกนำมาใช้งานจริงหรือไม่อย่างไร และในเวลาต่อมาดูเหมือนว่าจะไม่มีเว็บเทรดคริปโตในไทยเว็บไหนรายงานว่า นำ Stable Coin ดังกล่าวมาใช้แต่อย่างใด

ความน่าเชื่อถือของ Stable Coin

หลาย ๆ คนอาจมีคำถามว่า ที่โปรเจกต์เหล่านั้นเคลมว่ามีสินทรัพย์ค้ำอยู่นั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เช่น USDT ที่เคลมว่านำเงินดอลลาร์ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 มาค้ำก่อนที่จะสร้างโทเคนขึ้นมา แต่จะผู้อื่นจะทราบได้อย่างไรว่า มีเงินดอลลาร์ค้ำประกันอยู่จริง ๆ ไม่ใช่สร้างขึ้นมาเฉย ๆ ซึ่งในอดีตไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้ ทำให้มีประเด็นภายในชุมชนคริปโตถึงคริปโตว่า USDT นั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีอะไรมาค้ำประกัน

ถึงแม้ว่าในเดือนที่ผ่านมา Tether หรือ USDT จะถูกตรวจสอบแล้วว่าจะมีเงินดอลลาร์ค้ำอยู่จริง ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการตรวจสอบอย่างไม่เป็นทางการ โดยบริษัทกฎหมายเป็นผู้ตรวจสอบ แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องให้บริษัทด้านการตรวจสอบเป็นผู้ตรวจสอบถึงจะถูกตามหลักการ เลยส่งผลให้ความสงสัยภายในวงการคริปโตยังไม่หายไปดี

ระยะเวลาก่อนที่ทาง Tether จะถูกตรวจสอบนั้นถูกทิ้งไว้นานหลายเดือนก่อนได้รับการพิสูจน์ ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้นไม่มีอะไรมารับรองว่า Tether มีเงินดอลลาร์ค้ำอยู่จริง ในช่วงนั้น Tether อาจสร้าง USDT ขึ้นมาเฉย ๆ และนำไปช้อน Bitcoin ในช่วงที่ราคาตก และขาย Bitcoin เป็น USDT ในช่วงที่ราคามันทะยานขึ้น และค่อยให้บริษัทอื่นมาตรวจสอบตอนที่พวกเขามีเงินดอลลาร์จากการกำไรที่ได้รับจากเงินที่สร้างขึ้นมาเปล่า ๆ ของพวกเขาก็เป็นได้

สรุป

Stable Coin เป็นหนึ่งในสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในอุตสาหกรรมคริปโต หากไม่มีเหรียญเหล่านั้น ก็เปรียบเสมือนไม่มีสถานที่ที่ปลอดภัยให้นักลงทุนสามารถพักเงินของพวกเขาไว้ได้เลย อย่างไรก็ตาม Stable Coin เช่น USDT จำเป็นต้องมีวิธีในการพิสูจน์ว่าโทเคนนั้น ๆ มีเงินหรือสินทรัพย์ค้ำอยู่จริง ๆ โดยสามารถพิสูจน์ได้ตลอดเวลา จึงจะสามารถสร้างความน่าเชื่อให้กับนักลงทุนส่วนใหญ่ได้

The post Stable Coin คืออะไร ? มันมีหน้าที่และความสำคัญ อย่างไรในอุตสาหกรรมคริปโต ? appeared first on Siam Blockchain.

Thursday, June 28, 2018

เหตุการณ์อะไรบ้างในวงการคริปโต ที่อาจทำให้เหรียญนั้น Moon ได้ ?

หลาย ๆ คนที่เข้ามาสู่วงการคริปโต อาจถูกดึงดูดเข้ามาด้วยความผันผวนที่ราคาของมันสามารถพุ่งขึ้นไปได้หลายเท่าภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ซึ่งนักลงทุนทุกคนนั้น คาดหวังให้เหรียญของพวกเขา Moon เป็นเรื่องปกติ สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ลงทุนในอุตสาหกรรมคริปโตจะเริ่มทราบว่า หากเกิดเหตุการณ์นี้ ๆ จะทำให้เหรียญ ๆ นั้นมีโอกาส Moon ได้ แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเทรดนั้น อาจไม่ทราบว่าจริง ๆ แล้วตลาดคริปโตมีปัจจัยหลัก ๆ อยู่ไม่กี่อย่างที่ทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

Moon คืออะไร ? ทำไมถึง Moon ?

สำหรับมือใหม่ที่ไม่ทราบ การที่เหรียญ ๆ นั้น Moon แปลว่าราคาของเหรียญ ๆ นั้นพุ่งขึ้นไปภายในระยะเวลาอันสั้น เปรียบเทียบกับการที่เดินทางทะลุชั้นบรรยากาศขึ้นไปสู่ดวงจันทร์

ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว สิ่ง ๆ หนึ่งจะมีราคามากขึ้นก็ต่อเมื่อมีความอยากได้ (Demand) มากกว่าคนอยากขาย (Supply) นั่นเอง ซึ่งใช้ได้ในกรณีเดียวกันกับเหรียญต่าง ๆ

การที่เหรียญนั้น ๆ ราคาขึ้นไปสูงเนื่องจากมีคนอยากซื้อมากกว่าคนอยากขาย จนทำให้ราคาของมันเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งความต้องการซื้อนั้น อาจจะมาจากเหตุการณ์ต่าง ๆ

ในวันนี้ผู้เขียนจะพูดถึง Pattern หรือเหตุการณ์หลัก ๆ ที่พบเจอบ่อย ในวงการคริปโต ซึ่งส่งผลให้ราคาของเหรียญนั้น ๆ มีโอกาส Moon ได้

Hard Fork

หากจำกันได้ในปีที่ผ่านมา ช่วงปลายปีที่แล้วเป็นช่วงที่ Bitcoin มีการ Hard Fork อยู่หลายครั้งมาก ซึ่งแต่ละครั้งราคาของมันพุ่งขึ้นไปทุกรอบ เนื่องจากการ Hard Fork แต่ละครั้งนั้น ผู้ที่ถือ Bitcoin จะได้เหรียญที่ Fork ออกมาฟรี ๆ นักลงทุนอาจรีบทยอยซื้อเหรียญนั้นเพื่อหวังของฟรี ยกตัวอย่างเช่น กรณีการ Hard Fork ของ Bitcoin Cash ราคาของ Bitcoin เกือบขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในเวลานั้นอีกรอบ

หลังจากเหตุการณ์นั้นผู้ที่ถือ Bitcoin ได้รับ Bitcoin Cash ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ไปแบบฟรี ๆ หากอ้างอิงจาก Coinmarketcap ราคาเปิดตัวของมันอยู่ที่ 550 ดอลลาร์เลยทีเดียว

ลิสต์ขึ้นเว็บเทรด

หากคุณคือผู้ที่ลงทุน ICO ต้องจำให้แม่นเลยว่า เมื่อไรที่เหรียญไหนจะถูกลิสต์ขึ้นเว็บเทรดแปลว่าเหรียญนั้นมีโอกาส Moon สูงมาก เนื่องจากหากเหรียญนั้นถูกลิสต์ขึ้นเว็บเทรด แปลว่าจะมีนักลงทุนคนอื่นสามารถซื้อเหรียญได้ง่ายยิ่งขึ้น อาจทำให้มีปริมาณการซื้อเหรียญนั้นมากขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม ต้องดูเว็บเทรดที่เหรียญจะถูกลิสต์ด้วยว่า มีความน่าเชื่อถือ, ปริมาณการซื้อขาย และกระแสของเว็บนั้นดีแค่ไหน หากเป็นเว็บที่มีปริมาณการเทรดอันดับต้น ๆ เช่น Binance, Bittrex, OKex หรือ Bitfinex เป็นต้น ก็ให้มั่นใจได้ในระดับนึงเลยว่า เหรียญนั้นมีโอกาส Moon สูง แต่ถ้าเป็นเว็บเทรดเล็ก ๆ เช่น KUCoin หรือ IDEX ก็ให้ทำใจไว้ระดับนึงเนื่องจากเว็บเหล่านั้นไม่ได้มีกระแสดีเท่าไรนัก

ประกาศ Partner ใหม่

การประกาศ Partners หรือการประกาศการจับมือร่วมกับคนอื่น ๆ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เหรียญ Moon ได้เช่นกัน เนื่องจากราคาของเหรียญส่วนใหญ่นั้นจะขึ้นอยู่กับมูลค่าที่โปรเจกต์สามารถสร้างให้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ และการที่มี Partners ใหม่ แปลว่าโปรเจกต์นั้นจะมีมูลค่ามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกับราคาเหรียญในเวลาต่อมา

เหตุการณ์เฉพาะของเหรียญ

เนื่องจากเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่า มูลค่าตลาดทั้งหมดของเหรียญยิ่งสูงเท่าไร จะยิ่งดึงดูดนักลงทุนอื่น ๆ มากเท่านั้น เท่ากับว่ามีคนมาสนับสนุนโปรเจกต์มากขึ้น แต่โปรเจกต์เลยมีวิธีการบริหารโทเคนของตัวเองเพื่อให้มูลค่าของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการประกาศว่าเหรียญนั้นจะทำ Masternode, เผาเหรียญตัวเองทิ้ง หรือการซื้อเหรียญคืน

สามเหตุการณ์ที่กล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่จะทำให้ปริมาณเหรียญที่หมุนเวียนอยู่ลดลง เท่ากับว่า Supply ในตลาดจะลดลง และ Demand ในตลาดจะมีเท่าเดิม ซึ่งทำให้เกิดกลไกราคาทำงาน เมื่อมูลค่าของโปรเจกต์นั้นมีเท่าเดิม แต่ว่าเหรียญทั้งหมดนั้นมีจำนวนลดลงเท่ากับว่า แต่ละเหรียญก็จะมีมูลค่ามากขึ้นนั้นเอง ยังไม่รวมถึงกระแส Hype ที่จะตามมาหลังประกาศที่จะช่วยผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปอีก

สรุป

จะสังเกตว่าหลัก ๆ แลว สาเหตุที่ทำให้ราคาของเหรียญเพิ่มขึ้นไปนั้นจะเกี่ยวข้องกับ Supply และ Demand ทั้งสิ้น การปรับเปลี่ยนทั้งสองปัจจัยนั้นจะส่งผลต่อราคาของเหรียญ แต่อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น หากคิดตามหลักเหตุและผลมันก็ควรเป็นไปตามนั้น แต่ต้องอย่าลืมว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้ทำตามหลักเหตุและผลเสมอไป พวกเขาใช้อารมณ์ควบคู่ไปด้วย ทำให้บางทีเหตุการณ์เหล่านี้อาจไม่ส่งผลอะไร หรือส่งผลตรงข้ามก็เป็นได้ ให้บริหารความเสี่ยงในการลงทุนของเราให้ดี

The post เหตุการณ์อะไรบ้างในวงการคริปโต ที่อาจทำให้เหรียญนั้น Moon ได้ ? appeared first on Siam Blockchain.

เหมาะหรือไม่ ถ้าบริษัทจ่ายเงินเดือนด้วย Cryptocurrency

ปัจจุบัน Cryptocurrency กำลังเป็นที่นิยมของผู้คนทั้งโลกเลยก็ว่าได้ เพราะจากเหตุการณ์ที่ราคา Bitcoin ได้พุ่งสูงถึง 20,000 ดอลลาร์เมื่อตอนปลายปี 2017 ทำให้ผู้คนจากหลากหลายอาชีพเข้ามาเล่นคริปโตกันหมด

และหลาย ๆ บริษัทก็ได้เล็งเห็นถึงการที่จะนำคริปโตมาประยุกต์ใช้กับพนักงานบริษัทของตัวเองเช่นการจ่ายเงินเดือนในรูปแบบคริปโตเช่นประเทศญี่ปุ่น ก็ได้นำร่องการจ่ายเงินเดือนพนักงานด้วยคริปโตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และในเมืองไทยก็มีบริษัท TARAD Group ของนาย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ที่พร้อมจะจ่ายเงินเดือนบางส่วนให้กับพนักงานของเขาด้วย Cryptocurrency อ้างอิงจาก Facebook ส่วนตัวของเขา

แต่คำถามก็คือมันเหมาะสมแล้วหรือไม่ที่จะจ่ายเงินเดือนพนักงานด้วยคริปโต…

ความผันผวน

สิ่งหนึ่งเลยที่พวกเราชาวคริปโตเจอกันก็คือความผันผวนของคริปโตอย่างเช่นเหรียญราชาอย่าง Bitcoin เพราะในหนึ่งวันนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงราคาได้เป็นหลักร้อยจนไปถึงหลักพันดอลลาร์เลยทีเดียว

อ้างอิงเมื่อปลายปีที่แล้ว โดยที่ราคา Bitcoin อยู่ที่ 13,000 ดอลลาร์และสามารถร่วงลงไปที่ 11,000 ภายในวันเดียวหลังจากมีการ Correction และด้วยความผันผวนนี้จะเป็นปัจจัยที่ทำให้หลาย ๆ คนคิดว่า เราจะรับเงินด้วยคริปโตดีหรือไม่แน่นอน

ความเร็วในการทำธุรกรรม

ปัจจุบันนั้นการทำธุรกรรมโดยการโอนเงินเริ่มมีความเร็วที่มากขึ้นแล้ว ถ้าเป็นในประเทศไทย พวกเราสามารถทำธุรกรรมผ่านการจ่ายด้วย Promptpay และไม่เสียค่าบริการถ้าไม่เกินจำนวนที่กำหนด

กลับกันถ้ารารับเงินเดือนด้วยคริปโตล่ะ ธุรกรรมที่ทางบริษัทจะโอนเงินมาให้แต่ละคนจะรวดเร็วแค่ไหนกัน ยิ่งถ้าโอนเงินเดือนด้วย Bitcoin ละก็อาจต้องรอนานกว่าจะได้ใช้เงินอย่างแน่นอน แต่ถ้าเปลี่ยนจาก Bitcoin กลายเป็น XRP ของ Ripple ก็อาจจะรวดเร็วก็เป็นไปได้

ความสะดวกในการใช้งานต่อ

ความสะดวกในการนำเงินเหล่านั้นไปใช้งานต่อ ถือว่าเป็นเรื่องที่พนักงานเดือนหลายคนให้ความสนใจอย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันสถานที่ หรือร้านค้าที่รับการชำระเงินด้วยคริปโตยังมีน้อยมากและยังคงไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก…

พนักงานหลายคนอาจขี้เกียจไปหาเว็บเทรดต่าง ๆ แล้วนำมันไปแลกเป็นเงิน Fiat หรือสกุลเงินทั่วไปนั่นแหละ และบางคนอาจไม่มีความเข้าใจในเรื่องคริปโตเลย ทางบริษัทอาจทำเป็นตัวเลือกในการรับคริปโตเป็นเงินเดือนก็เป็นได้ยกตัวอย่างเช่น รับเงินเดือนเป็นสกุลเงิน Fiat ครึ่งหนึ่งและเป็นคริปโตอีกครึ่งหนึ่ง

งานยากของระบบบัญชี

แค่เงินเดือนปกติก็ทำให้แผนกบัญชีเหนื่อยแล้ว เพราะว่านอกจากเรื่องการทำบัญชีเงินเดือนพนักงานด้วยสกุลเงิน Fiat ก็มีความวุ่นวายในระดับหนึ่ง และถ้ามีสกุลเงินคริปโตเข้ามาแล้วด้วยนั้น จะคำนวณอย่างไรนะ..

ลองคิดตามดูเช่น ถ้าจะจ่ายเงินเดือนทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน เราจะอ้างอิง Rate ราคาของคริปโตวันไหนดีนะ แล้วเมื่อคิดได้แล้วแต่วันรุ่งขึ้นราคามันขึ้นหรือลงแบบบ้าคลั่งเช่นมีการเท Bitcoin ในวันนั้นพอดี ต้องไปคำนวณใหม่อีกรอบหรือไม่นะ… นี่ก็จะเป็นการท้าทายของแผนกบัญชีอีกแน่นอน

สรุป

นักเขียนเชื่อว่าในอนาคตต้องมีหลายบริษัทหันมาจ่ายเงินเดือนด้วยคริปโตอย่างแน่นอน เพราะด้วยความเป็น Decentralized และค่าธรรมเนียมในการโอนที่ถูกกว่าใช้ระบบธนาคารในบางเหรียญ แต่พนักงานในบริษัทต้องปรับตัวกันอย่างมากเช่นกัน ต้องศึกษาในเหรียญนั้นหรือเทคโนโลยี Blockchain อีกด้วย

The post เหมาะหรือไม่ ถ้าบริษัทจ่ายเงินเดือนด้วย Cryptocurrency appeared first on Siam Blockchain.

LINE ประกาศเปิดเว็บเทรดคริปโต BITBOX ในเดือนกรกฎาคม ใช้งานทั่วโลกยกเว้นญี่ปุ่นและสหรัฐฯ

บริษัท LINE Corporation และ LVC Corporation (LVC) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจ LINE ที่ดำเนินธุรกิจด้านคริปโตและ Blockchain ได้ประกาศในวันที่ 28 มิถุนายนว่าจะทำการเปิดเว็บเทรดคริปโตนาม BITBOX ซึ่งจะให้บริการทั่วโลกยกเว้นที่ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมนี้

อ้างอิงจากประกาศบนเว็บไซต์ LINE ทางบริษัท LINE กล่าวว่า ทางบริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์และให้บริการด้านการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับชุมชน LINE และก็เพื่อปิดช่องว่างระหว่างผู้ใช้งาน (คน) และเงิน

เว็บเทรดคริปโตนาม BITBOX จะเป็นส่วนหนึ่งของบริการทางการเงินของ LINE โดยจะให้บริการทั่วโลกยกเว้ยในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ มากกว่า 30 สกุลเงินจะสามารถเทรดบนเว็บ BITBOX ได้เลย และจะสนับสนุนมากกว่า 15 ภาษายกเว้ยภาษาญี่ปุ่น เว็บ BITBOX จะรับแต่สกุลเงินคริปโตเท่านั้น และจะไม่รับสกุลเงิน Fiat (ทั่วไป)

อ้างอิงจากประกาศของบริษัท LINE บอกว่ามีความต้องการในการเทรดสกุลเงินคริปโตทั่วโลก LINE จึงเตรียมพร้อมในการให้บริการและจะดำเนินการอย่างปลอดภัย และระบบรักษาความปลอดภัยก็ได้ติดตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ที่มา: Linecorp

The post LINE ประกาศเปิดเว็บเทรดคริปโต BITBOX ในเดือนกรกฎาคม ใช้งานทั่วโลกยกเว้นญี่ปุ่นและสหรัฐฯ appeared first on Siam Blockchain.

มีรายงานว่า Facebook จะเข้าซื้อเว็บเทรด Coinbase ของสหรัฐฯ

ไม่แปลกใจ

อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ของอังกฤษนาม The Independent เมื่อวันพุธที่ผ่านมาระบุว่า มีแหล่งข่าวได้กล่าวถึงการที่ Facebook จะเข้าซื้อกิจการเว็บเทรด Coinbase ในครั้งนี้และยังกล่าวว่า “ไม่เป็นที่แปลกใจ” หากเกิดเหตุการณ์นี้

“ไม่เป็นที่แปลกใจเลยถ้า Facebook จะเข้าซื้อกิจการเว็บเทรด Coinbase” นาย Oliver Isaacs ผู้ประกอบการธุรกิจด้านเทคโนโลยีกล่าวว่า “CEO ของเว็บ Coinbase หรือนาย Brian Armstrong และทีมงานอาจไม่ตอบคำถามนี้หรอกนะ”

ข่าวลือนี้มาพร้อมกับที่ทาง Facebook ยกเลิกการแบนโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency โดยยังแบนโฆษณาที่เป็นการโฆษณาระดมทุน ICO อยู่ เพราะมันยังสามารถเป็นการโฆษณาชวนเชื่อได้อยู่ แต่ก่อนหน้านั้นทาง Facebook ได้ทำการแบนไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

นาย Armstrong: ถึงเวลาที่จะ “ทำให้มันคืบหน้า”

สัปดาห์ที่ผ่านมานาย Armstrong แถลงการณ์กับพนักงานของเขาว่า “สถานการณ์ปัจจุบันนั้นได้มอบเวลาที่จะสร้างโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาเว็บไซต์แล้ว”

“ในหลายปีมานี้ผมได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่ราคา Crypto ทั้งหลายร่วงลงตลอดเวลา และมันเป็นตัวช่วยที่ทำให้คนที่ไม่แข็งแกร่งในสมรภูมินี้ออกไปได้ ซึ่งมันทำให้ผมสามารถพัฒนาเว็บของเราให้มากขึ้นในขณะที่คนอื่นยังคงฟุ้นซ่านไปกับราคาที่กำลังตก”

ถึงแม้ว่าเว็บ Coinbase จะประสบปัญหาด้านเทคนิคและการสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แต่รายรับยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องรวมเป็นเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2017 และในเดือนเมษายนที่ผ่านมามีรายได้มากถึง 8 พันล้านดอลลาร์ โดยทางเว็บเคลมว่า พวกเขาเป็นบริษัทที่ยั่งยืน

นาย Armstrong ยังคงขยายอุตสาหกรรมด้าน Cryptocurrency อย่างต่อเนื่อง โดยทำการเข้าซื้อบริษัท Startup ที่ชื่อว่า Earn.com ในเวลาเดียวกันนั่นเอง

เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา CEO ของ Coinbase กล่าวว่า “ราคาของ Bitcoin จะย่อตัวก่อนที่จะพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่” อีกด้วย

The post มีรายงานว่า Facebook จะเข้าซื้อเว็บเทรด Coinbase ของสหรัฐฯ appeared first on Siam Blockchain.

มีการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Expedia เลิกรับ Bitcoin เป็นช่องทางในการชำระเงินแล้ว

Expedia เว็บไซต์สำหรับการจองสำหรับการท่องเที่ยวยักษ์ใหญ่ ได้รายงานกับ Cointelegraph ในวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า พวกเขาไม่ได้รับ Bitcoin เป็นช่องทางการชำระเงินสำหรับที่พักและเที่ยวบินแล้ว

ตัวแทนของ Expedia ยืนยันว่าบริการของพวกเขานั้น ไม่ได้รับ Bitcoin เป็นช่องทางในการชำระเงินแล้วตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา และได้กล่าวขอโทษหากเกิดความไม่สะดวกตรงไหน บริการดังกล่าวไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการในช่องทางเว็บไซต์ หรือ Social Media ของพวกเขาด้วยเช่นกัน

ชุมชนภายใน Reddit ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยถกเถียงกัน ซึ่งมีบริการทางเลือกจาก Expedia อย่างเช่น CheapAIr ที่รับ Bitcoin เป็นช่องทางการชำระเงินสำหรับการจองที่พักและเที่ยวบินตั้งแต่ปี 2013

ผู้ใช้งาน Reddit นาม bowiestar ได้กล่าวว่าพนักงานส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรม IT นั้นได้รับเงินเดือนส่วนหนึ่งเป็น Cryptocurrency ซึ่งกล่าวเป็นนัย ๆ ว่า Expedia อาจสูญเสียลูกค้าไปส่วนหนึ่งได้

“Expedia.com หนึ่งในเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการจองโรงแรมและเที่ยวบิน ที่เคยรับ Bitcoin เป็นช่องทางในการชำระเงินมาหลายปี ผมเข้าไปใช้งานเว็บไซต์ของพวกเขาหวังจะจองเที่ยวบิน และสังเกตเห็นว่าพวกเขาไม่รับ Bitcoin แล้ว Customer Support กล่าวว่า พวกเขาหยุดรับไปตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมาแล้ว มีพนักงานหลายคนที่ทำงานในอุตสาหกรรม IT และได้รับเงินเดือนส่วนหนึ่งเป็น Bitcoin และมันใช้งานได้เป็นอย่างดีในการจองเที่ยวบินผ่าน Expedia ผมจะไม่ใช้บริการพวกเขาอีกต่อไปแล้ว”

Expedia เปิดรับ Bitcoin เป็นช่องทางในการชำระเงินเดือนมิถุนายนปี 2014 โดยการร่วมมือกับเว็บเทรดคริปโตนาม Coinbase มีผู้คนบางคนในชุมชนคริปโตกล่าวว่า สาเหตุที่ Expedia หยุดรับ Bitcoin เนื่องจาก Coinbase ยกเลิก Solution สำหรับการคุ้มครองสินทรัพย์สำหรับผู้ค้า ทำให้การชำระเงินด้วย Bitcoin มีความยากลำบากขึ้น Cheapair ก็ได้สลับไปจับมือกับ Bitpay แทน Coinbase ด้วยเหตุผลเดียวกัน

ที่มา Cointelegraph

The post มีการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Expedia เลิกรับ Bitcoin เป็นช่องทางในการชำระเงินแล้ว appeared first on Siam Blockchain.

รายงาน: สกุลเงินที่ออกโดยธนาคารกลางมีความเสถียรแต่คริปโตอื่น ๆ นั้นมีความผันผวนสูง

อ้างอิงจาก Cointelegraph auf Deutsch ได้รายงานเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า นักวิจัยด้านเศรษฐกิจของ Kiel Institute for World Economy ระบุว่าสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางมีความเสถียรมากกว่าคริปโตตัวอื่น ๆ

นักวิจัยของ Kiel ได้รายงานว่า Cryptocurrency อย่างเช่น Bitcoin ไม่ได้เป็นตัวเลือกของสกุลเงินที่ธนาคารกลางต้องการ

“ปัจจุบัน Cryptocurrency เช่น Bitcoin ไม่สามารถแทนที่สกุลเงินแบบดั้งเดิม และยิ่งไปกว่านั้นมันมีราคาแพงเกินไปที่จะนำมาดำเนินการในการทำธุรกรรม ถึงแม้ว่าส่วนแบ่งในการทำธุรกรรมนั้นเป็น Cryptocurrency เยอะแล้วก็ตาม”

รายงานจากสถาบัน Kiel ระบุว่าแทนที่ Cryptocurrency จะถูกนำมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง แต่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรทางการเงินแทนเสียเอง เนื่องจากมันไม่มีมูลค่าที่คงที่ มันไม่สามารถมีมูลค่าที่แท้จริงได้ มันจึงส่งผลให้มีความผันผวนและเป็นตัวดึงดูดให้นักเก็งกำไรเข้ามามากขึ้น แถมกฏหมายที่ยังไม่แน่นอนจึงทำให้เกิดความไม่โปร่งใสอีก

ผลการวิเคราะห์ยังระบุอีกว่าสกุลเงินดิจิทัลนั้นจะเป็นโอกาสให้กับธนาคารกลางด้วยแม้ว่าการมาของ Crypto จะเป็นการ Disrupt เนื่องจากจะมาทำลายความสำคัญของบัญชีธนาคารแบบดั้งเดิมก็ตาม

บางธนาคารทั่วโลกนั้นกำลังพิจารณาที่จะแนะนำสกุลเงินดิจิทัลของตนเองเช่นธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารกลางแห่งประเทศบาฮามาส แม้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศอังกฤษก็กล่าวว่าเขาได้เปิดกว้างกับความคิดของสกุลเงินดิจิทัลสำหรับธนาคารกลาง

The post รายงาน: สกุลเงินที่ออกโดยธนาคารกลางมีความเสถียรแต่คริปโตอื่น ๆ นั้นมีความผันผวนสูง appeared first on Siam Blockchain.

วิจัยเผย: ความเสถียรในการทำ Routing การทำธุรกรรมให้สำเร็จบน Lightinng Network ยังต่ำอยู่

ล่าสุดมีงานวิจัยจาก Diar เผยว่า “ความเสถียรในการ Routing การทำธุรกรรมให้สำเร็จบน Lightning Network ยังคงต่ำอยู่” Diar ให้การวิเคราะห์การพัฒนาที่สำคัญในอุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลก

Lightning Network หรือ LN คือ Protocol การชำระเงินชั้นที่สองของเครือข่ายที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา Scalability ของ Bitcoin LN ถูกออกแบบมาเพื่อการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นแทบจะทันที, ต้นทุนต่ำ และสามารถทำธุรกรรมได้ในจำนวนมากระหว่างสองฝ่าย ถึงแม้ว่า LN จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมคริปโต แต่ดูเหมือนวิจัยจะพบว่า Protocol เจอปัญหาเมื่อประมวลผลในจำนวนที่มาก

อ้างอิงจากวิจัย จำนวนของ Nodes และข้อจำกัดของเงินทุนที่ประมวลผลได้ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนความเสถียรในการ Routing การทำธุรกรรมให้สำเร็จบน Lightning Network ยังคงต่ำอยู่ โดยเฉพาะในปริมาณที่มาก โดยเฉลี่ยแล้วแต่ Nodes จะเปิดมากกว่า 4 Channels และแต่ละ Channel สามารถจุเงินได้ 20 ดอลลาร์ โอกาสในการทำธุรกรรมสำเร็จด้วยเงินไม่กี่ดอลลาร์อยู่ที่ 70 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่โอกาสในการธุรกรรมสำเร็จด้วยเงินที่ต่ำกว่า 200 ดอลลาร์ อยู่ที่ 1 เปอร์เซ็นต์

วิจัยระบุว่า อีกประการหนึ่งที่ทำให้ LN ถูกวิพากษ์วิจารณ์คือ ในขณะที่ทำธุรกรรมทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องออนไลน์อยู่ทั้งคู่ เพราะฉะนั้นมันเลยเหมาะสมกว่าที่จะสร้าง Channel กับฝ่ายที่ออนไลน์ตลอดเวลา และมีสภาพคล่องมากพอที่จะ Route ธุรกรรมขนาดใหญ่ได้

“การขาดสภาพคล่องระหว่าง Nodes และปัจจัยของการที่ต้องออนไลน์ ทำให้เกิดการกระจุกรวมกันเพียงไม่กี่ Nodes ที่ใหญ่ ๆ ปัจจุบัน Nodes ที่ใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรก (ประมาณ 0.4 เปอร์เซ็นต์ของเครือข่าย) กำลังประมวลผลธุรกรรมของ 53 เปอร์เซ็นต์ของเครือข่าย ในขณะที่ Nodes กว่า 2,500 Nodes ที่เหลือประมาณผลประมาณ 47 เปอร์เซ็นต์”

ล่าสุดวิศวกรรมซอฟแวร์ชาวโปรตุเกสได้สร้าง “Poketoshi” โดยการประยุกต์ใช้ LN ผู้ใช้งานแพลตฟอร์มสามารถเล่นเกม Pokemon ของ Nintendo บน LN ได้ Poketoshi ทำให้ผู้ใช้งานจะต้องใช้ Virtual-Controller ที่ทำงานด้วย LN ในการควบคุมคำสั่งต่าง ๆ ภายในเกม และจะเสีย 10 Satoshi ต่อคำสั่ง

The post วิจัยเผย: ความเสถียรในการทำ Routing การทำธุรกรรมให้สำเร็จบน Lightinng Network ยังต่ำอยู่ appeared first on Siam Blockchain.

เว็บเทรด Huobi Pro ระงับการเทรดคริปโตสำหรับผู้ใช้งานที่ญี่ปุ่น ตามเว็บเทรด HitBTC

เว็บเทรดนาม Huobi Pro จะระงับการให้บริการซื้อขาย Cryptocurrency ในญี่ปุ่นในวันที่ 2 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ เนื่องจากไม่มีการติดต่อลงทะเบียนกับทาง FSA ของญี่ปุ่น

สำนักข่าว Coinpost ในญี่ปุ่นรายงานว่าผู้ดำเนินการเว็บเทรดญี่ปุ่นนาม Huobi Pro ได้ส่ง Email ถึงผู้ใช้งานในญี่ปุ่นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยในรายละเอียดใน Email กล่าวว่าจะทำการลบหน้าของผู้ให้บริการที่ประเทศญี่ปุ่นออกไป พร้อมกับหยุดให้บริการในญี่ปุ่นด้วยเช่นกันในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้

ในขณะที่ทางเว็บ Huobi Pro ยังไม่ได้ประกาศออกมาเป็นทางการ โดยในรายงานกล่าวว่าเว็บเทรด Huobi Pro ได้ตัดสินใจที่จะถอนตัวออกจากประเทศญี่ปุ่นเนื่องจากยังไม่ได้จดทะเบียนกับทาง FSA หรือหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของประเทศญี่ปุ่น

นับตั้งแต่ที่ Bitcoin ถูกกฏหมายและสามารถนำมาใช้จ่ายได้ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2016 เว็บเทรดที่ดำเนินการในญี่ปุ่นก็ต้องลงทะเบียนกับทาง FSA ทั้งหมด

Huobi Pro เคยประกาศเป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์กับสถาบันทางการเงินยักษ์ใหญ่ของญี่ปุนนาม SBI ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาทาง SBI ก็ได้ยกเลิกการเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ โดยทาง SBI จะเปิดตัวเว็บเทรดแห่งแรกที่มีธนาคารคอยเป็นผู้สนับสนุนเมื่อต้นเดือนมิถนายนที่ผ่านมา

เว็บเทรด Huobi Pro ได้ระงับการให้บริการเทรดคริปโตในญี่ปุ่นตามเว็บเทรด HitBTC โดยทางเว็บเทรด HitBTC กล่าวว่า:

“เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัยใด ๆ กับผู้ให้บริการชำระเงินของญี่ปุ่น ทางเรา (HitBTC) จะขอระงับการให้บริการเทรดคริปโตกับผู้ใช้งานที่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น”

The post เว็บเทรด Huobi Pro ระงับการเทรดคริปโตสำหรับผู้ใช้งานที่ญี่ปุ่น ตามเว็บเทรด HitBTC appeared first on Siam Blockchain.

“Bitcoin คือสิ่งมหัศจรรย์ แต่ Blockchain ต่างหากคือฟองสบู่” กล่าวโดย ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple

นาย Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Apple ได้ให้ความเห็นว่า Blockchain คือฟองสบู่ที่สามารถเทียบเท่ากับฟองสบู่ดอทคอมได้เลย

อ้างอิงจาก CNBC ในงานประชุม NEX technology ที่ New York เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

นาย Wozniak กล่าวว่า “ผมว่า Blockchain กำลังจะเป็นฟองสบู่นะ”

นาย Wozniak เคยกล่าวว่า Bitcoin จะกลายเป็นสกุลเงินสากลบนโลกใบนี้ และกล่าวว่าตัว Blockchain ไม่ได้มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงหรือเข้ามา Disrupt อุตสาหกรรมอะไรหรอกยกตัวอย่างเช่น บริษัท Startup ด้าน Blockchain ทั้งหลายไม่สามารถออกผลิตภัณฑ์ด้าน Blockchain มันก็เหมือนผิดคำสัญญาที่ให้กับนักลงทุนนั่นแหละ

นาย Wozniak ยังเคยกล่าวว่า Bitcoin หรือ Ethereum จะกลายเป็นทองคำในรูปแบบดิจิทัล และมันจะกลายเป็นยุคถัดไปของ Apple ได้

อ้างอิงจากนาย Wozniak เขาเคยซื้อ Bitcoin ในช่วงที่ราคา Bitcoin ราคา 700 ดอลลาร์และในเวลาต่อมา เขาขาย Bitcoin จนทิ้งไว้เหลือเหรียญเดียวเพื่อนำมันมาทดลอง และจะไม่ลงทุนกับมันอีก นอกจากนี้เขายังเก็บ Ethereum ไว้สักสองเหรียญ เพื่อนำไปทดลองอีกเช่นกัน

เขาเคยกล่าวว่า Bitcoin คือสิ่งมหัศจรรย์ เพราะมันไม่เหมือนกับเหรียญอื่น ๆ ที่เลียนแบบขึ้นมาและ Bitcoin นั้นคือ Decentralized จริง ๆ

The post “Bitcoin คือสิ่งมหัศจรรย์ แต่ Blockchain ต่างหากคือฟองสบู่” กล่าวโดย ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple appeared first on Siam Blockchain.

มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศรัสเซียกำลังจะบันทึกปริญญาบัตรด้วยเทคโนโลยี Blockchain

อ้างอิงจากการประกาศบนเว็บไซต์ในวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศรัสเซียได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาจะบันทึกข้อมูลของปริญญาบัตรด้วยเทคโนโลยี Blockchain

มหาวิทยาลัยดังกล่าวมีนามว่า Financial University อยู่ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลประเทศรัสเซีย พวกเขาได้ทวีตว่า สถาบันของพวกเราจะบันทึกข้อมูลของปริญญาบัตรทั้งหมดใน 10 ปีที่ผ่านมาด้วยเทคโนโลยี Distributed Ledger

โดยพวกเขาจะเริ่มบันทึกอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ทำให้ผู้ที่จะว่าจ้างนักศึกษาเหล่านั้นในอนาคตสามารถตรวจสอบความถูกต้องของปริญญาบัตรได้ ผ่านเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย

อ้างอิงจากประกาศ ดูเหมือนว่าข้อมูลของปริญญาบัตรจะถูกเข้ารหัสด้วย Algorithm SHA-256 ซึ่งเป็นการเข้ารหัสรูปแบบเดียวกับเครือข่ายของ Bitcoin

มหาวิทยาลัย Financial University ถูกจัดว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ “แข็งแกร่งที่สุด” เป็นอันดับที่ 5 ในประเทศรัสเซีย และกลายเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในรัสเซียที่ใช้เทคโนโลยี Distributed Ledger ในการเก็บข้อมูลปริญญาบัตร

ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคมปี 2017 มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT ได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยแรกของโลกที่เก็บบันทึกข้อมูลปริญญาบัตรด้วยเทคโนโลยี Blockchain เช่นกัน

The post มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศรัสเซียกำลังจะบันทึกปริญญาบัตรด้วยเทคโนโลยี Blockchain appeared first on Siam Blockchain.

ค่า Dominance Index ของ Bitcoin ไปแตะจุดสูงสุดในรอบ 9 สัปดาห์ ชี้นักลงทุนเลือก Bitcoin

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา อ้างอิงจาก Coinmarketcap ส่วนแบ่งตลาดของ Bitcoin ได้ไปแตะจุดสูงสุดภายในช่วงระยะเวลา 2.5 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่านักลงทุนส่วนใหญ่นั้นหันไปครอบครอง Bitcoin มากกว่า Altcoins

ตัวเลขของตัวชี้วัดขึ้นไปแตะที่ 42.83 เปอร์เซ็นต์ ในวันพุธที่ผ่านมา โดยตัวชี้วัดเคยขึ้นไปสูงระดับนั้นเมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมาที่ 42.5 เปอร์เซ็นต์

Dominance Index เป็นตัวชี้วัดที่คอยติดตามมูลค่าโดยรวมของคริปโตตัวนั้น ๆ เทียบกับมูลรวมของตลาดคริปโต คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ Dominance Index ของ Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นนั้น แปลว่ามีนักลงทุนต้องการ Bitcoin มากกว่าเหรียญอื่น ๆ

การที่เงินไหลมาที่ Bitcoin ส่วนใหญ่จะเป็นสัญญาณว่าตลาดกระทิงกำลังจะเริ่มแล้ว เนื่องจากการครอบครอง Bitcoin เป็นเส้นทางที่นักลงทุนคุ้นชินมากที่สุดในการที่จะนำเงินเข้าสู่ตลาดคริปโต

ยกตัวอย่างเช่น ในปีที่ผ่านมา Dominance Index ของ Bitcoin เพิ่มขึ้นจาก 38 เป็น 66.5 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 6 เดือน ก่อนถึงเดือนธันวาคมของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาของ Bitcoin ทะยานจาก 1,760 ไปแตะ 20,000 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม Dominance Index ของ Bitcoin อาจตีความได้อีกอย่างคือ ผู้คนแลกคริปโตตัวอื่น ๆ เป็น Bitcoin เพื่อที่จะได้ขายมันและถอนเงินของพวกเขาออกจากตลาด ซึ่งดูเหมือนว่าในรอบนี้จะเป็นกรณีนี้เสียมากกว่า ใน 7 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาของ Bitcoin ร่วงลงจาก 9,999 ไปแตะ 5,755 ดอลลาร์ ซึ่ง Dominance Index ของ Bitcoin ก็เพิ่มขึ้นจาก 35.78 เป็น 42.75 เปอร์เซ็นต์ เช่นกัน

หากในอนาคตราคาของ Bitcoin เพิ่มขึ้นตาม Dominance Index ของมัน ก็อาจแปลได้ว่า ขาลงของตลาดคริปโตสิ้นสุดแล้ว หลังจากที่มูลค่าของมันลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายเดือนที่ผ่านมา

ที่มา Coindesk

 

The post ค่า Dominance Index ของ Bitcoin ไปแตะจุดสูงสุดในรอบ 9 สัปดาห์ ชี้นักลงทุนเลือก Bitcoin appeared first on Siam Blockchain.

เว็บไซต์ Pornhub รับเหรียญ TRX ซึ่งเจ้าของเพิ่งซื้อ BitTorrent ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อุตสาหกรรมเว็บไซต์ผู้ใหญ่หลายแห่งเริ่มปรับตัวโดยการยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา ล่าสุดก็ได้ยอมรับ Cryptocurrency เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Pornhub คือเว็บไซต์สำหรับผู้ใหญ่ที่ใหญ่ที่สุด กำลังจะรับเหรียญคริปโตนาม Tron ซึ่งผู้ก่อตั้งนาย Justin Sun เพิ่งได้เข้าซื้อกิจการ BitTorrent ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

เมื่อ Tron สามารถใช้จ่ายในการซื้อบริการบนเว็บไซต์ Pornhub ได้ ทาง Tron เคลมว่าจะมีผู้ใช้งานมากกว่า 90 ล้านคนต่อวัน

จริง ๆ แล้วทาง Pornhub มีแผนที่จะรับเหรียญ ZenCash เช่นกัน และเดือนเมษายนที่ผ่านมาเว็บ Pornhub ก็ได้ประกาศที่จะรับเหรียญ Verge ในการชำระเงินเช่นกัน ซึ่งในตอนนั้นรองผู้บริหารของเว็บ Pornhub ออกมากล่าวว่า:

“การประกาศนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราและวงการหนังผู้ใหญ่ตื่นเต้นเท่านั้น แต่ยังเป็นวงการคริปโตด้วย ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าวงการหนังผู้ใหญ่สามารถเป็นส่วนสำคัญในการนำเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เราได้เห็นทั้ง VHS, Beta Max, บัตรเครดิต และล่าสุด แว่น VR เราคาดหวังว่าจะได้เห็นการนำเอา Crypto และ Blockchain มาใช้อีก”

ก่อนหน้านี้ Tron เพิ่งได้ประกาศ Mainnet ไป และวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมาก็ได้ประกาศว่า “จะทำการเผาเหรียญทั้งหมด 1,000 ล้าน TRX” มูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์ อีกด้วย

The post เว็บไซต์ Pornhub รับเหรียญ TRX ซึ่งเจ้าของเพิ่งซื้อ BitTorrent ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว appeared first on Siam Blockchain.

Wednesday, June 27, 2018

รวบรวมคำศัพท์ หรือ Terms สำหรับนักเทรดคริปโต HODL, Moon, Lambo คืออะไร ?

ในช่วงนี้ด้วยสภาพตลาดปัจจุบันที่เริ่มเข้าสู่ขาลง อาจทำให้ผู้ที่ลงทุนคริปโตหลาย ๆ คนย้ายจากสายขุด มาเป็นสายเทรดมากขึ้น หรือหลาย ๆ คนอาจจะเล็งเห็นว่าช่วงนี้ราคาของหลาย ๆ เหรียญเริ่มต่ำลงเลยอยากเริ่มเข้ามาเทรดในช่วงนี้ ซึ่งเมื่อเวลาลองศึกษาข้อมูลตามแหล่งต่าง ๆ อาจพบกับความมึนงง เนื่องจากมีคำศัพท์ด้านการเทรดเต็มไปหมด

ในวันนี้ผู้เขียนจะมานำเสนอศัพท์พื้นฐานทีนักเทรดคริปโตเจอบ่อย ๆ เพื่อให้ผู้อ่านมีความรู้พื้นฐาน เมื่อเวลาไปอ่านบทความ หรือพูดคุยประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเทรดคริปโตจะได้ตามคนอื่น ๆ ทัน

ศัพท์ที่นักเทรดคริปโตเจอบ่อย

ตกรถ: การที่เราไม่ได้ซื้อเหรียญนั้น ๆ และราคาของมันพุ่งขึ้นไปแล้ว

ยกตัวอย่างการใช้เช่น Bitcoin ราคา 20,000 ดอลลาร์แล้วมีใครตกรถบ้าง ?

ติดดอย: การที่เราไม่ได้ขายเหรียญนั้น ๆ และราคาของมันร่วงลงไปต่ำกว่าราคาที่ซื้อแล้ว

ยกตัวอย่างการใช้เช่น ถ้าไม่ซื้อ Bitcoin ในราคา 20,000 ดอลลาร์ ตอนนี้คงไม่ติดดอย

HODL: จริง ๆ มาจากภาษาอังกฤษคำว่า Hold แปลว่าการถือเหรียญนั้น ๆ ไว้ไม่ยอมขาย ส่วนใหญ่จะใช้เวลาติดดอย

ยกตัวอย่างการใช้เช่น เวลาราคา Bitcoin เหลือ 6,000 ดอลลาร์ ถ้าเกิดซื้อมาในราคา 7,000 ดอลลาร์ ให้ HODL ไว้

Moon: การที่ราคาของเหรียญ ๆ นั้นพุ่งทะยานขึ้นไปสูงมาก ๆ เปรียบเทียบกับการที่เดินทางไปดวงจันทร์เนื่องจากราคาขึ้นไปสูงมาก ๆ หากอยู่ในกลุ่ม Telegram ของต่างชาติมักเจอคำว่า When Moon ?

ยกตัวอย่างการใช้เช่น เมื่อไร Bitcoin จะ Moon ?

Lambo: คล้าย ๆ กับ Moon คือแปลว่าการที่ราคาเหรียญพุ่งขึ้นไปสูงมาก ๆ เปรียบเทียบกับราคาของเหรียญที่เพิ่มขึ้น จนสามารถซื้อรถ Lamborghini ได้หนึ่งคัน หากอยู่ในกลุ่ม Telegram ของต่างชาติมักเจอคำว่า When Lambo ?

FOMO: การที่เรากลัวที่จะตกรถ เลยรีบซื้อเหรียญนั้น ๆ ตาม ย่อมาจากคำว่า Fear of Missing Out แปลว่า ความกลัวที่จะถูกทิ้งไว้คนเดียว

ยกตัวอย่างการใช้เช่น ราคา Bitcoin เพิ่มขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ใน 24 ชั่วโมง แต่อย่าเพิ่ง FOMO ตาม

Cut Loss: การขายเหรียญนั้นทั้ง ๆ ที่ขาดทุน ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อรักษาทุนไว้ มักใช้หลังจากที่ติดดอย

ยกตัวอย่างการใช้เช่น ถ้าติดดอย Bitcoin ที่ราคา 20,000 ดอลลาร์ควร Cut Loss เลยดีไหม ?

Take Profit (TP): การขายเหรียญนั้นเพื่อเอากำไร

ยกตัวอย่างการใช้เช่น หากซื้อ Bitcoin ในราคาที่ 15,000 ดอลลาร์ ตอนนี้ควรเริ่ม Take Profit ได้แล้ว

Money Management (MM) : การจัดการเงินที่นำไปลงทุน

ยกตัวอย่างการใช้เช่น หากจะเทรดคริปโต นักลงทุนจำเป็นต้องมี Money Management ที่ดี

แบ่งไม้: เป็นส่วนหนึ่งใน Money Management แปลว่าให้นำเงินของเราที่จะไปเทรดนั้นแบ่งเป็นหลาย ๆ ก้อน เพื่อนำไปลดความเสี่ยง

ยกตัวอย่างการใช้เช่น หากต้องการไม่แน่ใจในราคาตอนนี้ ให้ลองทยอยแบ่งไม้ซื้อดู

All-in: เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับ Money Management แปลว่าการเทรดเงินทั้งหมดของเราในการซื้อ หรือขายครั้งเดียว

ยกตัวอย่างการใช้เช่น Dogecoin จะ Moon แล้ว All-in เลย

Dip: เป็นการย่อของราคาในเหรียญนั้น ๆ หากอยู่ในกลุ่ม Telegram ของต่างชาติมักเจอคำว่า BTFD ย่อมาจาก Buy the F**king Dip แปลว่าให้ซื้อในราคาที่ปรับตัวลงมา

ยกตัวอย่างการใช้เช่น หากใครซื้อ Dip ของ Bitcoin เมื่อวาน วันนี้จะได้กำไร 10 เปอร์เซ็นต์

Whale: นักลงทุนรายใหญ่

ยกตัวอย่างการใช้เช่น มีข่าวลือมาว่า Whales จากประเทศญี่ปุ่นเทขาย Bitcoin แล้ว

ตลาดหมี (Bearish Market): ตลาดในช่วงขาลง

ยกตัวอย่างการใช้เช่น นักวิเคราะห์คาดว่า ตลาดคริปโตจะเข้าสู่ตลาดหมีเป็นเวลา 1 ปี

 

ตลาดกระทิง (Bullish Market): ตลาดในช่วงขาขึ้น

ยกตัวอย่างการใช้เช่น ดูเหมือนว่านาย Tom Lee จะมองว่าตลาดคริปโตจะกลับมาเป็นตลาดกระทิงอีกครั้งในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้

FUD: ความกลัว ความไม่แน่นอน และความความสงสัย ย่อมาจาก Fear, Uncertainty และ Doubt

ยกตัวอย่างการใช้เช่น มีนักลงทุนใน Telegram ชอบเผยแพร่ FUD

ATH: ราคาที่สุดในประวัติศาสตร์ของเหรียญนั้น ๆ ย่อมาจาก All Time High

ยกตัวอย่างการใช้เช่น ราคาของ Bitcoin ไปแตะ ATH เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

Arbitrage: การซื้อในราคาที่ถูกจากที่นึงไปขายอีกที่นึงที่แพงกว่า เพื่อสร้างกำไร

ยกตัวอย่างการใช้เช่น หากเราเฝ้าสังเกตตลาดในบางช่วงจะสามารถทำ Arbitrage ระหว่าง Binance และ Bitkub ได้

สำหรับศัพท์หรือ Term ที่นักเทรดคริปโตเจอบ่อย ๆ นั้นจะมีประมาณนี้ หวังว่าผู้อ่านที่อ่านบทความนี้ไป จะได้ความรู้ และสามารถคุยกับนักเทรดคนอื่น ๆ รู้เรื่องมากขึ้นไม่มากก็น้อย และขอให้ลงทุนอย่างมีสติ ใช้เงินเย็นในการลงทุนเท่านั้น

The post รวบรวมคำศัพท์ หรือ Terms สำหรับนักเทรดคริปโต HODL, Moon, Lambo คืออะไร ? appeared first on Siam Blockchain.

ถ้านักลงทุนคริปโตโดนแฮ็ค ต้องทำอย่างไรบ้างหลังจากนั้น

ใคร ๆ ก็อยากเข้ามาลงทุนในโลกแห่งคริปโต โดยวิธีการลงทุนก็มีมากมายไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่เว็บขาย Bitcoin โดยตรง การขุดเหรียญคริปโตทั้งหลาย หรือสุดก็ท้ายก็คือการเทรดคริปโตบนเว็บเทรดนี่แหละ…

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหลาย ๆ คนก็อาจจะเลือกวิธีการเทรดก็เป็นได้ เพราะว่าไม่ยุ่งยากเท่าวิธีการขุด เมื่อเลือกว่าจะเทรดแล้วก็เข้าไปเทรดตามเว็บต่าง ๆ ได้เลย

แต่เมื่อเราซื้อคริปโตและเก็บเหรียญไว้บนเว็บเว็บเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว ภายหลังเรากลับมาดูปรากฏว่าเหรียญเหล่านั้นถูกแฮ็คหรือหายไปเราต้องทำอย่างไรบ้าง

ตั้งสติ

อย่างแรกสุดเลยคือจงตั้งสติ อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น เตลิดเปิดเปิงไป จงคิดว่าเราได้ส่งเหรียญไปที่ไหนหรือไม่หรือเผลอไปกดอะไรหรือเปล่า

เมื่อตั้งสติได้แล้วเปิด Log บนเว็บเทรดว่าเกิดอะไรขึ้น นั่งไล่เช็คทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพราะมันอาจเกิดข้อผิดพลาดอะไรบางอย่างก็เป็นได้

Call Center

ติดต่อ Call Center ของเว็บเทรดที่เราใช้บริการอย่างเร็วที่สุด เพราะพวกเขาจะเป็นผู้ที่สามารถตรวจสอบรายละเอียดให้เราได้

ยิ่งถ้าเว็บเทรดไหนมีบริการตลอด 24 ชั่วโมง ก็จะยิ่งสามารถทำให้นักเทรดสบายใจได้มากขึ้นอีกด้วย เพราะนักเทรดจะรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่มีความใจใส่ต่อลูกค้าจริง ๆ

เช็ค 2FA หรือ IP

ปัจจุบันในหลายเว็บเทรดมีการรักษาความปลอดภัยมากมาย แล้วแต่เว็บเทรดว่าจะเลือกวิธีการไหนมาใช้ แต่ส่วนใหญ่แล้วนั้นจะมีระบบที่เรียกว่า 2FA นี่แหละที่นิยมใช้กัน เพราะเป็นวิธีที่มีความรัดกุมสูง

ถ้าผู้ใช้งานเว็บเทรดไม่ได้เปิด 2FA เอาไว้อันนี้ก็จบกัน เพราะแฮ็คเกอร์สามารถแฮ็คบัญชีได้อย่างง่ายดายนั่นเอง

อีกอย่างที่ควรตรวจสอบก็คือมีผู้ใช้งานคนอื่นพยายาม Login เข้าเว็บเทรดหรือไม่ ถ้ามีมันจะขึ้น IP ของผู้ใช้งานคนนั้นขึ้นมา และเราสามารถเอา IP นั้นไปตรวจสอบได้ว่า Login มาจากที่ไหนประเทศไหนได้อีกต่างหาก

แช่แข็งบัญชี

เมื่อเจอเหตุการณ์ที่โดยแฮ็คแล้ว เราควรที่จะแช่แข็งบัญชีของตัวเองไว้ก่อนเพื่อไม่ให้มีใครสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบัญชีเทรดเราได้ และเราก็สามารถทำการตรวจสอบได้อีกด้วย

การแช่งแข็งบัญชี (Freeze Account) ก็เพียงติดต่อผู้ให้บริการเว็บเทรดนี่เอง ไม่ใช่เรื่องยากอะไร และผู้ให้บริการเว็บเทรดก็จะรีบดำเนินการให้

ตรวจเช็คอุปกรณ์ในการเทรด

เครื่องมือในการเทรดคริปโต ถ้าไม่นับบนโทรศัพท์มือถือก็คือเครื่องคิมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น PC, Notebook หรือเครื่อง Mac นั่นเอง ถ้าเป็นฝั่ง Mac อาจไม่ต้องกังวลเท่าไรนัก เพราะไม่มีไวรัส แต่ก็มี Malware นะ อย่าไว้ใจมันมากไปเพราะมีรายงานว่า Malware ตัวใหม่ที่สามารถรันบนเครื่อง Mac ได้แล้ว

ถ้าเราโดนแฮ็คแล้ว เราลองตรวจสอบอุปกรณ์ที่เราทำการเทรดทันทีเลยว่ามีสิ่งแปลกปลอมอะไรไหมบนเครื่อง หรือเราโปรแกรมที่สามารถ Remote เข้าเครื่องมาได้หรือไม่ เช่น TeamViewer (ไม่แท้) เพราะถ้าเราใช้แบบไม่แท้หรือเวอร์ชั่น Crack แน่นอนว่าจะเป็นการเปิดประตูให้เหล่าแฮ็คเกอร์แน่นอน ฉะนั้นรีบลบหรือลอง Scan Virus ในตัวเครื่องดูนั่นเอง (ควรใช้ Anti-Virus แท้ด้วยนะ)

ทำใจ

แน่นอนว่าเมื่อโดนแฮ็คแล้ว เราไม่สามารถนำสินทรัพย์นั้นกลับมาได้ เพราะมันโอนไปในรูปแบบที่ถูกต้อง และถ้าเราไปแจ้งความ ตำรวจอาจไม่รับคดีในรูปแบบนี้ก็เป็นได้

ฉะนั้นเมื่อโดนแฮ็คก็คิดเสียว่า ทำบุณทำทานให้กับผู้ยากไร้ (T^T) หรือคิดว่าทำ Private Keys หายก็ได้ และปลอบใจว่า สะสมใหม่ก็ได้ และครั้งนี้จะคอยตรวจสอบให้ดีไม้ว่าจะเป็นเรื่องของอุปกรณ์ในการเทรด และการรักษาความปลอดภัยในรูปแบบต่าง ๆ อีกด้วย

สรุป

ไม่มีใครอยากโดนแฮ็คคริปโตของตัวเองแน่นอน ผู้เขียนแนะนำว่าถ้าไม่อยากฝากเหรียญไว้บนเว็บเทรดละก็ ลองหา Hardware Wallet สักตัวมาเก็บสินทรัพย์ของตัวเองดีกว่า เพราะเมื่อเรานำเงินเข้า Hardware Wallet แล้ว เราก็ไม่ต้องไปสนใจมันอีก และมันจะคงอยู่กับเราไปตลอดแน่นอน

The post ถ้านักลงทุนคริปโตโดนแฮ็ค ต้องทำอย่างไรบ้างหลังจากนั้น appeared first on Siam Blockchain.

FOMO เพื่อ Dogecon: นี่คือสิ่งที่คุณพลาด ในงานการรวมตัวกันของ “Shibes” ชุมชม DogeCoin

เมื่อวันที่ 21 ถึง 24 มิถุนายนที่ผ่านมามีการจัดงาน Dogecon Vancouver 2018 หรือก็คืองานที่ร่วมเฉลิมฉลอง ของชุมชนคริปโต โดยจะมีการสร้างมีม (Meme) จากทวิตต่าง ๆ มากมายที่เกี่ยวกับ Dogecoin

สิ่งที่สำคัญก็คือพวกเขาไม่ได้สนใจกับราคาของ Cryptocurrency ที่กำลังตกลงอย่างเรื่อย ๆ แต่พวกเขาสร้างความเฮฮาให้กับผู้เข้างานตลอดเวลา

อันที่จริงแล้วนาย Matt Condon กล่าวใน Twitter ว่า “radical positivity” คือชื่อวันของ Dogecon

ในการจัดงานเฉลิมฉลองจำนวนสี่วันที่เกี่ยวกับ “ชนชั้นทางสังคมของวัฒนธรรม Cryptocurrency” จัดขึ้นที่แวนคูเวอร์ โคลัมเบีย เต็มไปด้วยผู้คนที่รักในเหรียญ Dogecoin หรือเหรียญ Shiba Inu การประชุมได้รับการวิจารณ์เชิงบวกอย่างท่วมท้นจากผู้เข้าร่วมประชุมและผู้ชมทางบ้าน

แม้แต่ผู้สนับสนุนส่วนใหญ่ของอีเว้นท์ที่จัดนี้ก็ออกมาทวิตมากมายบนโลก Social Media

งาน Dogecon Vancouver ประสบความสำเร็จเพราะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 200 คน และยังถูกเผยแพร่บรรยากาศงานผ่านชุม Crypto บน Twitter อีกด้วย นี่เป็นการทำให้บรรยากาศของโลกคริปโตนั้นสดใสมากขึ้น เพราะหลายอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นมีแต่ข่าวโดนแฮ็ค ตลาดหมีหรือการ Fork ของเหรียญต่าง ๆ

เหรียญที่อยู่เบื้องหลัง Dogecon

Dogecoin ให้ความสำคัญกับชุมชนของตนเองมากกว่าไปแข่งกับเหรียญราชาอย่าง Bitcoin และใช้เวลาในแต่ละบล็อกน้อยมาก อันที่จริงแล้วนั้น เมื่อตอนที่ Dogecion เปิดตัวเป็นครั้งแรกก็สามารถดึงดูดผู้คนใหม่ ๆ ที่เพิ่งเข้ามาในโลกแห่งคริปโต

หรืออย่างน้อยก็ขอสรรเสริญ Lord Doge เสียหน่อย

กลางเดือนที่ผ่านมามีการรายงานว่าเหรียญ Dogecoin มีปริมาณในการทำธุรกรรมมากกว่า Bitcoin Cash ถึง 3 เท่า นอกจากนี้ Weiss ซึ่งเป็นผู้ให้คะแนนสินทรัพย์และสถาบันทางการเงิน ได้ให้คะแนน Dogecoin ว่าอยู่ในระดับ C เช่นเดียวกับที่เขาให้ Ripple อีกด้วย แน่นอนว่า แฟน ๆ ของ Ripple นั้นไม่เป็นที่พอใจอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม Weiss ยังคงยืนกรานการตัดสินใจของพวกเขาโดยกล่าวว่า:

“Dogecoin สามารถใช้งานได้ดีกว่า Bitcoin Cash และมากกว่า Dash และ ZCash รวมกันซะอีก”

The post FOMO เพื่อ Dogecon: นี่คือสิ่งที่คุณพลาด ในงานการรวมตัวกันของ “Shibes” ชุมชม DogeCoin appeared first on Siam Blockchain.

ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเงิน ก.ล.ต. คาด ปล่อยเกณฑ์ ICO Portal สัปดาห์หน้า

หลังจากที่พ.ร.ก. สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้ออกมา ดูเหมือนว่าทางก.ล.ต. จะมีการหารือรับฟังความคิดเห็น เฮียริ่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้กฎหมายนั้นค่อย ๆ มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยพ.ร.ก. ดังกล่าวนั้นครอบคลุมไปถึง ICO Portal ด้วย

ปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มี ICO Portal ที่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากทางก.ล.ต. แต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขายังไม่ได้เผยรายละเอียดที่แน่ชัดสำหรับเกณฑ์ทั้งหมด แต่ดูเหมือนว่า ในวันอังคารที่ผ่านมา คุณอาจารีย์ ศุภพิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเงิน ก.ล.ต. ได้เผยในงาน Crypto Asset Revolution ในหัวข้อ “ก.ล.ต. กับการกำกับ ICO” ว่า อาจมีการเปิดเผยรายละเอียดของเกณฑ์ในการเป็น ICO Portal ในสัปดาห์หน้าที่จะถึงนี้

To the เม่า

อ้างอิงจากคุณอาจารีย์ ก.ล.ต. มีความกังวลอยู่หลายประการว่าด้วยกระแสที่ร้อนแรงของคริปโตนั้นอาจทำให้นักลงทุนถูกหลอกได้:

“เมื่อไตรมาสสามปีที่แล้วที่ราคาของ Bitcoin ทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว Bitcoin มีความ To the Moon แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความ To the เม่า ด้วยเช่นกัน คนที่ไม่ได้ศึกษา ICO หรือ Cryptocurrency อย่างแท้จริงก็กลัวจะตกรถ เลยรีบกระโจนเข้ามา ก.ล.ต. เล็งเห็นว่า มันเป็นตลาดที่เน้นการเก็งกำไรมาก ๆ เลยมีความเป็นห่วง”

เธออธิบายถึงความกังวลของก.ล.ต. อีกประการว่า:

“ประการที่สองที่ก.ล.ต. กังวลคือความไม่รู้ บางคนอาจไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้เลย ซึ่งตอนนั้นมีคนบางคนใช้เรื่องของ ICO, Cryptocurrency หรือ Blockchain เป็น Back Story เพื่อนำไปหลอกหลวงหรือ Scam ผู้อื่น และการ Scam มีคู่กับประเทศไทยมาช้านาน”

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังกังวลถึงปัญหาการฟอกเงินด้วย Cryptocurrency อีกด้วย:

“ผู้คนอาจเอา Cryptocurrency ไปทำอะไรสีเทา ๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้น ก.ล.ต. เลยเลือกที่จะกำกับดูแลทั้งระบบ”

ประเด็นของ ICO Portal

เมื่อพูดถึงการกำกับดูแล แน่นอนว่า ประเด็นของ ICO Portal เป็นเรื่องที่ผู้คนยังอาจมีความสงสัยอยู่ว่ามันคืออะไร คุณอาจารย์อธิบาย และเผยเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ว่า:

“ICO Portal จะคล้าย ๆ กับที่ปรึกษาทางการเงินที่เข้ามาช่วย ดูเรื่องของความเป็นไปได้ของโครงการ พวกเขาจะช่วยคัดกรองแผนธุรกิจของโปรเจกต์ต่าง ๆ ว่ามีความชัดเจนไหม ไม่ใช่ว่าเขียนอะไรมาก็ได้ แล้วก็พุ่งตัวหนีออกไป และพวกเขาจำเป็นต้องดูเรื่อง Source Code ด้วย”

“สิทธิต่าง ๆ ของ Token Holder และผู้สร้างโทเคนจะอยู่บน Smart Contract และไม่ใช่ทุกคนที่จะอ่าน Smart Contract รู้เรื่อง ICO Portal เลยเข้ามาช่วย Audit ด้วยว่าสิ่งที่โปรเจกต์ต่าง ๆ เขียนใน Whitepaper พอนำไปแปลงเป็น Code แล้ว มันถูกต้องตรงกัน”

และเธอได้เผยถึงสิ่งที่หลาย ๆ คนอยากทราบเกี่ยวกับ ICO Portal ว่า กำลังจะมีเกณฑ์ออกภายในเร็ว ๆ นี้

“เนื่องจากว่าเกณฑ์เรากำลังจะออก ปัจจุบันเลยยังไม่มี ICO Portal ในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าเกณฑ์เราน่าจะออกภายในอาทิตย์หน้า พอเกณฑ์เราออกมาแล้ว น่าจะมีหลาย ๆ คนพุ่งตัวมาขอเป็น ICO Portal หลังจากนั้นน่าจะอีกซักระยะนึงถึงจะมีการใช้งานจริง เพราะต้องรอกระบวนการคัดกรองก่อน”

ภาพรวมของอุตสาหกรรมคริปโตในประเทศไทยเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ต้องติดตามต่อไปว่า หลังจากที่เกณฑ์ออกมาจริง ๆ แล้วนั้น จะส่งผลอย่างไรต่ออุตสาหกรรมคริปโตภายในประเทศ

The post ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเงิน ก.ล.ต. คาด ปล่อยเกณฑ์ ICO Portal สัปดาห์หน้า appeared first on Siam Blockchain.

วิจัยจาก Nasdaq เผย: 5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้บริการ IT ของตลาดหุ้นใช้เทคโนโลยี Blockchain

Nasdaq ให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ในวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า ผู้ให้บริการ IT สำหรับตลาดหุ้นและเว็บเทรดต่าง ๆ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain อย่างเชื่องช้า

อ้างอิงจากงานวิจัยโดย Nasdaq และบริษัทด้านการวิจัยในการเงินและเทคโนโลยีนาม Celent ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก ยังคงอยู่ในช่วงแรกเท่านั้นสำหรับการวิจัยและศึกษาศักยภาพของเทคโนโลยี Distributed Ledger

รายงานระบุว่า มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เริ่มใช้เทคโนโลยี Blockchain, มี 40 เปอร์เซ็นต์ที่เริ่มใช้เทคโนโลยี Cloud Computing, มี 70 เปอร์เซ็นต์ใช้ Robotic Process Automation และ 35 เปอร์เซ็นต์ใช้ AI

ถึงแม้ว่าจะมีผู้ให้บริการด้าน IT กว่า 70 เปอร์เซ็นต์เคลมว่า กำลังใช้ Blocckahin ในโปรเจกต์ทดลอง แต่ก็มีถึง 20 เปอร์เซ็นต์ที่ระบุว่าไม่มีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในอนาคต และมี 5 เปอร์เซ็นต์ระบุว่า พวกเขาขาดความรู้ในด้านนี้

งานวิจัยดังกล่าว เก็บข้อมูลมาจาก CIO, CTO และ ผู้นำอาวุโสด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ จากบริษัทผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของตลาดทั่วโลกกว่า 20 บริษัท

อ้างอิงจาก International Data Corp ทุนโดยประมาณที่ใช้ในการนำBlockchain มาใช้ของทั่วโลกอยู่ที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปี 2017 ซึ่งอยู่ที่ 945 ล้านดอลลาร์

อ้างอิงจากนาย Arin Ray เจ้าของงานวิจัย และนักวิเคราะห์อาวุโสที่ Celent และนาย Joséphine de Chazournes กล่าวว่า ก่อนที่จะนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้นั้น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานในตลาดต้องมีความมั่นใจว่า Blockchain ต้องมีสามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก, ความปลอดภัย และความเร็ว

นาย Ray ย้ำว่าการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้จริงภายในการดำเนินการหลักของโครงสร้างพื้นฐานตลาดนั้นต้องใช้เวลา และนาย De Chazournes ย้ำอีกด้วยว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากที่ผู้ถือผลประโยชน์ร่วมจะพัฒนาโปรเจต์ที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อนำมาแทนที่ระบบเดิมที่ใช้งานอยู่ โดยเฉพาะกับเว็บเทรดระดับสากล

The post วิจัยจาก Nasdaq เผย: 5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้บริการ IT ของตลาดหุ้นใช้เทคโนโลยี Blockchain appeared first on Siam Blockchain.

ING: กล่าว ลงทุนใน Cryptocurrency ได้ผลกำไรอย่างน้อยสองเท่า

อ้างอิงจากผลสำรวจของบริษัทด้านประกันชีวิตนาม ING ที่ได้เปิดเผยในงาน “Cracking the Code on Cryptocurrency” ประจำปีครั้งที่ 6 โดยการสำรวจนี้ได้สำรวจจากหลากหลายประเทศ มีผู้ร่วมทำแบบทดสอบราว 15,000 คน ใน 13 ประเทศในยุโรปนอกเหนือจากประเทศสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย

การเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อได้ทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว เป็นที่ชัดเจนว่าการลงทุนใน Cryptocurrency จะสามารถเพิ่มมูลค่าได้มากว่ากว่าสองเท่า ING กล่าว

อ้างอิงจากผลสำรวจ 66 เปอร์เซ็นต์ของผู้คนในยุโรปกล่าวว่าพวกเขาเคยได้ยินเรื่อง Cryptocurrency, 9 เปอร์เซ็นต์เป็นเจ้าของเหรียญ อีก 16 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่าพวกเขาคาดหวังว่าจะเป็นเจ้าของในอนาคต นี่แสดงให้เห็นว่ามันสามารถมีมูลค่ามากกว่าสองเท่าโดยพิจารณาว่าหนึ่งในสามของผู้ที่อยู่ในยุโรป (34 เปอร์เซ็นต์) ยังไม่เคยรู้จัก Cryptocurrency ทำให้อัตราการเติบโตมีโอกาสที่จะมากกว่านี้

ในขณะเดียวกัน หนึ่งในสามของคนในยุโรป (35 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่า Cryptocurrencies เช่น Bitcoin จะเป็นสิ่งที่ใช้จ่ายในการซื้อของออนไลน์ในอนาคต ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก เนื่องจากตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปี 2015 นอกจากนี้ 30 เปอร์เซ็นต์จากผลสำรวจรายบุคคล (Individual polled) ในยุโรปเผยว่า พวกเขาจะพิจารณาใช้ Cryptocurrency สำหรับการซื้อของออนไลน์ระหว่างประเทศ

15 เปอร์เซ็นต์ของชาวยุโรปกล่าวว่าพวกเขาจะพิจารณาการรับเงินในรูปแบบ Bitcoin หรือ Cryptocurrency

การเป็นเจ้าของ Cryptocurrency อาจมีมูลค่ามากกว่าสองเท่าในอนาคต

นาง Jessica Exton นักวิทยาศาสตร์ด้านพฤติกรรมของ ING ในกรุงอัมสเตอร์ดัมกล่าวสรุปว่าความสนใจในการลงทุนใน Cryptocurrency จะเติบโตขึ้นตามกาลเวลา โดยเธออธิบายว่า:

“Cryptocurrency ยังคงเป็นเงินลงทุนในรูปแบบที่จับต้องไม่ได้สำหรับหลาย ๆ คน และจากการสำรวจของเราผู้ที่ถือครอง Cryptocurrency มูลค่าอาจเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในอนาคตแม้ว่าเราจะไม่ทราบว่าเมื่อไรก็ตาม”

นี่เป็นผลสำรวจจาก ING เท่านั้น แต่ก็ถือว่าบุคคลทั่วไปนั้นเริ่มตื่นตัวกับการลงทุนใน Cryptocurrency มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแค่การรู้จักรวมไปถึงได้ซื้อคริปโตมาเก็บเองก็ตาม และในอนาคตคริปโตจะเป็นสิ่งทั่วไปที่ทุกคนอยากที่จะลงทุน

ที่มา: Bitcoinist

The post ING: กล่าว ลงทุนใน Cryptocurrency ได้ผลกำไรอย่างน้อยสองเท่า appeared first on Siam Blockchain.