Monday, July 31, 2017

สตาร์ทอัพด้านฟินเทคสัญชาติไอร์แลนด์เปิดตัวสายรัดข้อมือไฮเทคใช้จ่ายเหรียญ Dash ได้

บริษัท Bitcard หรือผู้ให้บริการทางด้านระบบ gift card เปิดตัวสายรัดข้อมือ wristband ที่สนับสนุนการจ่ายเงินได้ด้วยเหรียญ Dash ผ่าน NFC และ QR code โดยมันมีชื่อว่า Festy ซึ่งผู้ใช้งานสามารถที่จะใส่ไปใช้จ่ายสินค้าที่ไหนก็ได้ โดยพวกเขาเคลมว่าผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องพกกระเป๋าสตางค์, บัตรเครดิต หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือ ก็สามารถที่จะจ่ายด้วยเหรียญ Dash ได้

Festy นั้นจะทำการเชื่อมต่อผู้ใช้งานเข้ากับแอคเคาท์ของเหรียญ Dash ซึ่งนั่นหมายความว่าเหรียญของผู้ใช้งานนั้นจะไม่ถูกเก็บอยู่บนระบบของ Festy โดยความเร็วของการทำธุรกรรมนั้นจะคิดเป็นระดับวินาที ที่สำคัญ เจ้าของร้านค้ายังสามารถที่จะเลือกรับเป็นเหรียญ Dash ได้ หรือแปลงเป็นเงินสดเข้าบัญชีธนาคารก็ได้เช่นกัน เหรียญ Dash หรือเหรียญอันดับ 6 ของโลกในตอนนี้มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์ และเคลมว่าเป็นผู้นำทางด้านการใช้จ่ายแบบดิจิตอลที่ไฮเทคที่สุด

ข้อได้เปรียบของเหรียญ Dash

เทคโนโลยี InstantSend ของ Dash นั้นสามารถทำให้ผู้ใช้งานสามารถที่จะส่งเหรียญดังกล่าวหากันได้แบบทันทีไม่ต้องรอ โดยในการอัพเดตตัวต่อไปของ Dash พวกเขาเคลมว่าจะสามารถรองรับธุรกรรมได้ราวๆ 500,000 ธุรกรรมโดยมีค่าธรรมเนียมเพียงแค่ 10 เซนต์ (ประมาณสามบาท) ต่อธุรกรรม

ด้วยการที่ไม่มี private key หรือหมายเลขบัตรเครดิตแสดงตอนทำธุรกรรม Festy นั้นช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจถึงความเป็นส่วนตัว อีกทั้งผู้ใช้งานยังสามารถเติมเงินเข้าไปใน wristband ผ่านทางตู้ ATM ที่เข้าร่วมรายการ และทำการส่งเงินออนไลน์

Festy นั้นยังรองรับการทำงานของระบบ Visa Contactless หรือระบบจ่ายเงินของ Visa แบบไร้สายผ่าน NFC อีกด้วย

ค่าธรรมเนียมที่ถูกลง

“การเป็นหุ้นส่วนกับ Dash ทำให้เราสร้างระบบการจ่ายเงินในทุกวันนี้เป็นไปด้วยความสมบูรณ์แบบมากขึ้น” กล่าวโดย CEO ของ Bitcart นามว่า Graham de Barra “ไม่เหมือนกับค่าธรรมเนียมของธนาคารในปัจจุบันที่กินผู้ใช้งานไปราวๆ 2%-5% แต่การใช้ Dash นั้นมันแทบจะไม่มีค่าธรรมเนยีมเลย ผู้ประกอบการร้านที่รับเหรียญ Dash จะไม่มีการถูก chargeback (การคืนเงินสู่ผู้ซื้อหลังใช้งาน ซึ่งพบบ่อยในบัตรเครดิต) และมันก็ยังมีโอกาสดีๆในการประหยัดเงินอีกมาก หากเปรียบกับระบบจ่ายเงินที่โหดเหี้ยมในปัจจุบัน เราเชื่อว่านี่คือระบบจ่ายเงินแห่งอนาคต”

The post สตาร์ทอัพด้านฟินเทคสัญชาติไอร์แลนด์เปิดตัวสายรัดข้อมือไฮเทคใช้จ่ายเหรียญ Dash ได้ appeared first on Siam Blockchain.

เว็บกระดานแลกเปลี่ยน Bitcoin ในประเทศอินเดียประกาศไม่สนับสนุน Bitcoin Cash

ผู้ให้บริการกระดานแลกเปลี่ยน Bitcoin สามบริษัทอันดับต้นๆของประเทศอินเดียได้ออกมาเผยให้เห็นว่าพวกเขาจะไม่ทำการสนับสนุน Bitcoin Cash หรือเหรียญดิจิตอลตัวล่าสุดที่จะทำการเปิด hard fork (UAHF) ในวันพรุ่งนี้

โดยสามบริษัทดังกล่าวนั้นประกอบไปด้วย Zebpay, Unocoin และ Coinsecure ได้ออกมาประกาศว่าพวกเขาไม่มีแผนการที่จะทำการสนับสนุน Bitcoin Cash รวมถึงพวกเขาจะทำการหยุดให้บริการเกี่ยวกับ Bitcoin ในช่วงที่มีการ hard fork เกิดขึ้นอีกด้วย

Zebpay ที่มียอดผู้ใช้งานทะลุเป้าเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งพวกเขามียอดการดาวโหลดราวๆ 500,000 ครั้งบนโทรศัพท์มือถือ Android ออกมาประกาศเมื่อวันอังคารที่แล้วว่าพวกเขาจะไม่สนับสนุน BCC โดยบนบล็อกของพวกเขาได้มีเขียนว่า

“ถ้าหากคุณต้องการจะใช้งาน Bitcoin Cash โปรดถอน Bitcoin ของคุณออกจากกระเป๋า Bitcoin ของ Zebpay ที่คุณมี private key คุมอยู่ก่อนวันที่ 31 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ถ้าหากคุณเก็บ Bitcoin ของคุณไว้บนกระเป๋า Zebpay คุณจะไม่ได้รับ Bitcoin Cash แต่คุณก็ยังสามารถที่จะใช้ Bitcoin ของคุณบนแอพของ Zebpay ได้อย่างปกติ”

พวกเขายังกล่าวว่าการส่งและรับ Bitcoin ในเว็บนั้นจะถูกหยุดให้บริการจากวันที่ 31 กรกฎาคม ตอน 4 ทุ่มจนถึงวันที่ 2 สิงหาคมตอน 10 โมงเช้า โดยในช่วงระหว่างนี้ทางผู้ใช้งานจะไม่สามารถถอนหรือเพิ่ม Bitcoin ได้ผ่านแอพของ Zebpay

ในส่วนของ Unocoin ที่ได้ทำการประกาศเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทจากเมืองซาน ฟานซิสโกนามว่า Bitwage เพื่อให้บริการพนักงานบริษัทในประเทศอินเดียรับ Bitcoin ได้เร็วขึ้นก็ได้กล่าว่าพวกเขามีแผนสำรองในกรณีที่มีการเปิดใช้ user-activated soft fork (UASF) หรือ SegWit2x อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทได้บอกว่าพวกเขาจะไม่สนับสนุน ‘chain ที่ยังอ่อนหัด’

ในบล็อกของพวกเขาได้มีการรายงานว่า

“ทาง Unocoin นั้นไม่มีแผนการที่จะสนับสนุนหรือติดตั้งเหรียญที่มี chain ที่อ่อนหัด ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นมา”

ในการที่จะปกป้องไม่ให้ผู้ใช้งานตกเป็นเหยื่อของ replay attack (หรือการโจมตีที่มีผู้ใช้งานเอาเหรียญตัวใหม่มาหลอกขายจากการมีเหรียญอยู่บน 2 chain) ทาง Unocoin ได้ประกาศว่าพวกเขาจะมีการปิดระบบเพื่อปรับปรุงในวันที่ 30 กรกฎาคมถึงวันที่ 4 สิงหาคมที่จะถึงนี้

ส่วนเว็บ Coinsecure ที่ประสบปัญหาในการให้บริการถอน Bitcoin เมื่อเดือนพฤษภาคมเนื่องจากมีผู้คนแห่กันมาซื้อ Bitcoin เป็นจำนวนมากก็ได้กล่าวว่าพวกเขาจะไม่สนับสนุน Bitcoin Cash เช่นกัน

ในบล็อกของ Coinsecure ได้มีการประกาศว่า

“ในเหตุการณ์การเปิด user-activated hard fork ที่จะถึงนี้ ทาง Coinsecure อาจจะให้หรือไม่ให้การสนับสนุน BCC เพราะเราจะให้บริการเฉพาะ chain ที่มีการใช้งานบ่อยและมากที่สุด แม้แต่ BCC ก็ตาม ในกรณีที่มันพลิกตัวเองกลายมาเป็นเหรียญหลักขึ้นมา”

กระนั้นพวกเขาก็ต่อท้ายด้วยว่าถ้าหากผู้ใช้งานเกิดความสนใจที่จะใช้ Bitcoin Cash พวกเขาจะต้องทำการถอน Bitcoin ของพวกเขาออกจากกระเป๋าของ Coinsecure ก่อนวันที่ 31 กรกฎาคมเวลาสามทุ่มประเทศอินเดีย

พวกเขากล่าวว่า

“เพื่อเป็นการปกป้องและป้องกันเงินของลูกค้า ทางเราจะหยุดให้บริการการฝาก Bitcoin และถอนจากเว็บเทรดเริ่มตั้งแต่ 3 ทุ่มของวันที่ 31 กรกฎาคมเวลาอินเดีย เหรียญ Bitcoin ที่คุณฝากไว้กับ Coinsecure นั้นจะปลอดภัยในช่วงที่มีการ hard fork เกิดขึ้น”

The post เว็บกระดานแลกเปลี่ยน Bitcoin ในประเทศอินเดียประกาศไม่สนับสนุน Bitcoin Cash appeared first on Siam Blockchain.

“ตำรวจ FBI ได้ยึดกระเป๋า Bitcoin ของพวกเราไปแล้ว” กล่าวโดยเว็บ BTC-e

เว็บ BTC-e ที่กำลังเกิดปัญหาที่แอดมินถูกจับกุมอยู่ในขณะนี้ ซึ่งปัจจุบันเว็บดังกล่าวไม่สามารถเข้าได้เพราะทาง BTC-e อ้างว่าทางตำรวจ FBI ของสหรัฐฯกำลัง “เข้าไปตรวจสอบ data center” ของพวกเขาอยู่

ในโพสบน BitcoinTalk เมื่อวันจันทร์ ทาง BTC-e ที่เว็บล่มไปแล้วเป็นสัปดาห์ได้ออกมาอ้างว่าพวกเขาไม่สามารถติดต่อโฮสผู้ให้บริการได้มาเป็นเวลา 6 วันแล้ว

โดยบนโพสดังกล่าวยังมีการกล่าวถึงนาย Alexander Vinnik ชาวรัสเซียที่ถูกจับกุมที่ประเทศกรีซเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยอ้างว่าเขานั้น “ไม่เคยมามีส่วนเกี่ยวข้องกับทางเราแต่อย่างใด”

“การอัพเดตในอนาคตจะมีการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับวิธีกู้เอาเว็บและบริการของเราคืนมา” กล่าวเพิ่มโดย BTC-e และยังมีการอ้างถึงตำรวจ FBI ที่เข้าไปยึดกระเป๋า Bitcoin ของพวกเขาเมื่อวันที่ 25 ที่ผ่านมาอีกด้วย

“ถ้าหากเราไม่สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ภายในเดือนสิงหาคม เราจะคืนเงินทั้งหมดให้กับลูกค้าตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนเป็นต้นไป”

ทาง SEC ของาหรัฐอเมริการได้ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะทำการปรับ BTC-e เป็นเงินจำนวน 110 ล้านดอลลาร์ในข้อหาการฟอกเงินอีกด้วย

ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ทำการอัพเดตบน Twitter ว่าทาง BTC-e จะกลับมาเปิดให้บริการในวันที่ 6 สิงหาคมที่จะถึงนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าโอกาสดังกล่าวน่าจะดูริบหรี่ลง

“ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า เราจะทำการรายงานถึงข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนเงินของลูกค้าของเราที่ถูก FBI ยึดไป และรวมถึงจำนวนที่สามารถนำไปคืนให้กับลูกค้าได้” กล่าวโดย BTC-e

ภาพ FBI จาก Ron Paul Liberty Report

The post “ตำรวจ FBI ได้ยึดกระเป๋า Bitcoin ของพวกเราไปแล้ว” กล่าวโดยเว็บ BTC-e appeared first on Siam Blockchain.

Bitcoin Cash จะส่งผลกระทบต่อราคาของ Bitcoin หรือไม่

นักเทรด Bitcoin จะได้มีโอกาสเลือกเทรดเวอร์ชัน Bitcoin ที่พวกเขาต้องการได้ในวันพรุ่งนี้แล้ว

ถ้าหากคุณมองว่าดรามาการดีเบตในกลุ่มนักพัฒนา Bitcoin และนักขุดนั้นยังเข้มข้นไม่พอ ในวันพรุ่งนี้เราจะได้เห็นสิ่งที่ทำให้หลายๆคนต้องเกิดอาการงงงวยเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ Bitcoin มาเลย เมื่อมีกลุ่มนีกขุดและนักพัฒนาที่ถึงกับออกมาบอกว่าพวกเขาจะทำการสร้างเครือข่ายแยกตัวออกมจากจาก Bitcoin เพื่อพิสูจน์ให้ผู้ใช้งานทุกๆครเห็นว่าการเพิ่มขนาดบล็อกนั้นคือทางออกที่ดีที่สุดในการอัพเกรดการ scaling ของ Bitcoin

ชื่อของมันก็คือ Bitcoin Cash (BCC) ซึ่งเจ้าตัวเหรียญใหม่ดังกล่าวนี้จะถือเป็น hard fork ตัวแรกในประวัติศาสตร์ของ Bitcoin ที่จะมีการ “แจก” เหรียญใหม่ให้ผู้ใช้งาน Bitcoin ในปัจจุบันแบบฟรีๆทุกๆคนที่เก็บ Bitcoin ของพวกเขาไว้ในกระเป๋า Bitcoin ส่วนตัวอีกด้วย

ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าผู้ใช้งานคนหนึ่งมี Bitcoin จำนวน 2 BTC นั่นหมายความว่าเขาจะมี 2 BCC บน Blockchain ของ Bitcoin Cash ซึ่งฟังดูแล้วก็อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนสายคริปโตที่ต้องการจะ “รวยเร็ว” ในการฉวยโอกาสการ hard fork ดังกล่าว

ทว่าก่อนหน้านี้ก็มีตัวอย่างคล้ายๆกันเกิดขึ้นให้เห็นมาเมื่อปีที่แล้ว เหรียญ Ethereum หรือเหรียญอันดับสองของโลกรองจาก Bitcoin เกิดการ hard fork โดยกลุ่มนักพัฒนาซึ่งเกิดออกมาเป็นเหรียญใหม่นามว่า Ethereum Classic เพื่อเป็นการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ในกลุ่มนักพัฒนาด้วยกัน

กระนั้น ถ้าคุณคิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะหวนกลับมาทำให้นักเก็งกำไรเหรียญคริปโตหวาดกลัวในด้านราคาที่ผันผวนแล้วล่ะก็ อ้างอิงจากนาย Rafael Olaio หรือเจ้าหน้าที่จาก Ripple เขาได้กล่าวว่าอยากจะให้นักเทรดทุกคนหยุดคิดสักนิดก่อนที่จะแห่กันไปเอา Bitcoin Cash มาขาย

เขากล่าวว่า

“ผู้คนต้องการเหรียญใหม่เพิ่มขึ้นมาฟรีๆ และไม่มีใครต้องการขาย Bitcoin”

โดยรวมนั้น นักกวิเคราะห์ได้ออกมาแสดงความเห็นกันต่างๆนานาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างในเดือนหน้าหลังจากการ fork ไปแล้ว โดยแต่ละคนก็มีความเห็นที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของของวงการ cryptocurrency ที่อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปถ้าหากมี Bitcoin Cash โผล่ออกมา

อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่เราควรจะดูให้ดีก่อนว่า Bitcoin Cash นั้นอาจจะไม่เป็นไปตามที่หลายๆคนคิดเสมอไป

นาย Arthur Hayes หรือผู้ก่อตั้งเว็บเทรดเหรียญ cryptocurrency แบบตราสารอนุพันธ์นามว่า BitMEX ได้กล่าวว่าในทาง “ทฤษฎี” แล้ว การเปิดตัวของ Bitcoin Cash จะส่งผลทำให้ราคาของ Bitcoin ร่วงอย่างรุนแรง แต่กระนั้น เขาก็ยังตั้งข้อสงสัยว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะในอดีตนั้นยังไม่เคยมีเหรียญตัวไหนที่ถูก fork แยกออกมาจาก Blockchain ของ Bitcoin และหยิบยื่นเหรียญ fork ให้นักเทรดแบบฟรีๆ

“ก่อนหน้านี้มันมีเคสที่คล้ายๆกันที่มีการสร้างเหรียญจากกลุ่มนักพัฒนา Bitcoin ที่แยกตัวออกไปนามว่า Bitcoin clams, Byteball, และอื่นๆอีกมากมาย ผมคิดว่า Bitcoin Cash นั้นน่าจะไม่มีผลกระทบทางราคากับ Bitcoin แน่นอน” เขากล่าว

นาย Hayes ยังกล่าวเพิ่มอีกว่า

“ผมไม่เชื่อว่าผู้ถือ BCC จะมองว่าเจ้าเหรียญตัวนี้จะมีอนาคตที่ไปได้ไกล ก่อนที่พวกเขาจะรุมกันเทขายเหรียญดังกล่าวเพื่อเอา ‘เงินฟรี’ ไปซื้อ Bitcoin”

ความงุนงงของผู้ใช้ Bitcoin

บางทีสิ่งที่นักเทรดหลายๆคนกังวลมากที่สุดอาจจะไม่ใช่เรื่องของการแข่งขันกันของเหรียญสองตัวนี้ ว่าตัวไหนจะได้ไปต่อ ตัวไหนจะได้เฟดหายไปในความว่างเปล่า แต่สิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุดคือ Bitcoin Cash จะมีสภาพคล่องรองรับนักเทรด Bitcoin ทั่วโลกที่เล็งเอา BCC มาเทขายทิ้งเพื่อรับเงินได้มากขนาดไหน

นาย Charles Hayter หรือผู้ก่อตั้งร่วมของเว็บ CryptoCompare ได้กล่าวว่าเขาเชื่อว่าผู้บริโภคอาจจะถูกทำให้เข้าใจผิดโดยเหรียญสองเหรียญนี้ที่มีตัวตนเกิดขึ้นมาพร้อมกัน

“ในระยะยาว เจ้าเหรียญสองตัวนี้จะสร้างความงุนงงด้วยความที่ชื่อของมันเหมือนกัน และแน่นอนผมว่ามันต้องมีปัญหาเกิดตามมาแน่ๆ” เขากล่าว

นาย Marc Van der Chijs หรือนักลงทุนชาวดัชช์กล่าวว่า เขาเชื่อว่าพวกผู้ไม่ประสงค์ดีนั้นจะอาศัยจังหวะนี้ออกมาสร้างความงุนงงเพื่อทำกำไร

“ผมจินตนาการออกเลย ว่าพวกมิจฉาชีพจะออกมาแบบว่า ‘ขาย Bitcoin ลดราคา’ และจากนั้นก็โอน BCC ให้พวกเขา แทนที่จะเป็น BTC” เขาให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk “ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะทำให้พวกผู้ประกอบการธุรกิจที่กำลังจะเปิดรับ Bitcoin ต้องรู้สึกกังวลที่จะเปิดรับ Bitcoin ของเขาเป็นครั้งแรกแน่ๆ”

เพราะปัญหาแนวๆแบบนี้ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงปัญหาอื่นๆที่ยังไม่มีใครรู้ได้ในอนาคต นาย Van der Chijs กล่าวว่าเขาคาดเดาไว้ว่าราคาของ Bitcoin และ Bitcoin Cash นั้นน่าจะร่วงลงไปต่ำกว่า 2,700 แน่ๆ

“เนื่องมาจากความไม่แน่นอน อาจส่งผลให้ผู้ใช้งานย้ายจาก BTC และ BCC ไปใช้งาน ETH หรือเหรียญอื่น ดังนั้นผมไม่เชื่อว่านี่จะเป็นเรื่องดีต่อราคา Bitcoin แน่ๆ”

ไม่มี Ethereum Classic

กระนั้น ผู้เฝ้ามองตลาดก็ยังหวังที่จะคิดว่าการ fork ของ Bitcoin ในครั้งนี้อาจจะไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจของนักลงทุนหลายๆคนก็ได้

ไม่เหมือนกับ Ethereum Classic ที่แยกตัวออกมาจาก Ethereum อีกทีหนึ่ง โดยมีอายุที่ยังไม่ถึง 1 ปีด้วยซ้ำ คำถามที่ตามมาก็คือ ราคาของ Bitcoin นั้นจะยังเข้มข้นเหมือนกับที่ผ่านๆมาหลังจากมีการ fork เกิดขึ้นหรือไม่

“Bitcoin นั้นก็เป็นเหมือนกับค่าเงินๆหนึ่ง ที่ไม่เหมือนกับ Ethereum ซึ่งระบบโครงสร้างพื้นฐานของ Bitcoin อย่างเช่นระบบการจ่ายเงินถูกสร้างขึ้นมาเรียบร้อยและใช้งานในหลายๆที่มาก่อน Ethereum อีก” กล่าวโดย Takao Asayama หรือ CEO ของเว็บเทรดเหรียญคริปโตนามว่า Zaif

นาย Kevin Zhou หรือพนักงานของบริษัทสายเฮ็ดจ์ฟันนามว่า Galois Capital ก็ได้กล่าวคล้ายๆกัน โดยโต้เถียงว่าการ fork นั้นจะทำให้เกิดอาการ “ไม่เท่าเทียมกัน” ในด้านของการจัดสรรค์เครือข่ายของเหรียญสองเหรียญนี้

กระนั้น นาย Kevin ก็มองว่านี่เป็นข้อดี เพราะเหมือนเป็นการทำให้ผู้ใช้งาน Bitcoin มีตัวเลือกที่พวกเขาต้องการมากขึ้น

“ความแตกต่างทั้งสองนี้จะทำให้เม็ดเงินถูกหมุนเวียนไปลงทุนในเหรียญใดเหรียญหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องซื้อสองเหรียญนี้พร้อมๆกัน” เขากล่าว

สิ่งที่ควรคาดหวัง

สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ดูเหมือนสิ่งที่ทุกๆคนทำได้ก็คงจะเป็นแค่การเดา

ในขณะที่นักขุดและนักพัฒนาของ BCC อยากจะแยกตัวออกมาใจจะขาด แต่อนาคตก็คืออนาคต บางทีพวกเขาอาจจะนึกสนุกอยากจะยกเลิกมันคืืนนี้ก็ได้ ในขณะที่บางคนก็กังวลว่าถ้าเกิดมันเกิดขึ้นจริงๆ นั่นอาจจะทำให้เกิดความผันผวนของราคาในตลาดอย่างรุนแรง ที่อาจจะเป็นผลดีกับนักเทรดมืออาชีพ แต่ไม่ใช่สำหรับมือใหม่อย่างแน่นอน

นาย Vinny Lingham หรือนักลงทุนเหรียญคริปโตที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าทำนายราคาของ Bitcoin ได้อย่างแม่นยำ ได้ชี้ให้เห็นว่าเขาจะทำเอาจำนวนเงินของเขาทั้งหมดออกจากตลาดประมาณ 3 เดือนก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น

“ความเสี่ยงที่สูงมักจะมาพร้อมกับรางวัลที่สูงตาม รวมถึงโอกาสในการสูญเสีย portfolio ทั้งหมดด้วยนั่นเอง ผมไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็นอยู่นี้ ดังนั้นผมจึงอยากจะนั่งมองมันอย่างเงียบๆจากข้างๆสนามมากกว่า” เขากล่าว

สำหรับคำแนะนำทั่วไปนั้น นาย Kevin กล่าวว่านักเก็งกำไรที่ยังอยากจะเทรดอยู่ควรจะถอน Bitcoin ของพวกเขาออกจากเว็บเทรดในกรณีที่เว็บเหล่านั้นไม่สนับสนุนเหรียญ fork ตัวใหม่นี้

นาย Kevin กล่าวสรุปว่า

“ผมอยากจะแนะนำให้เอา Bitcoin ของคุณออกมาจากเว็บเทรดให้หมด”

The post Bitcoin Cash จะส่งผลกระทบต่อราคาของ Bitcoin หรือไม่ appeared first on Siam Blockchain.

“Bitcoin คือหายนะแห่งอนาคต” กล่าวโดยสำนักข่าวผู้จัดการ

ปัจจุบันรัศมีของ Bitcoin และเหรียญ cryptocurrency อื่นๆได้ฉายแววไปแทบทั่วจะทุกๆซอกหลืบและเงาของทุกประเทศบนโลกนี้ จึงไม่แปลกที่ทั้งรัฐบาลที่หลายๆคนเชื่อว่าเป็นศัตรูอันดับ 1 ของ Bitcoin และธนาคารต่างๆนั้นก็เริ่มเกิดความกลัวในตัวของเจ้าสกุลเงินดิจิตอลดังกล่าว เนื่องมาจากคอนเซปตอนเริ่มแรกของมันที่ทางผู้สร้างมองว่าธนาคารและรัฐบาลนั้นเอาเปรียบประชาชน ไม่ว่าจะทั้งการนำเงินฝากของประชาชนไปใช้ในทางที่มิดีมิชอบ, ค่าธรรมเนียมแสนแพง และอื่นๆอีกมากมาย ทว่าความดังของมันยังส่งผลให้สื่อกระแสหลักซึ่งเป็นสื่อที่ผู้ใช้งาน Bitcoin หลายๆคนมักจะนำข้อมูลจากที่สื่อดังกล่าวนำเสนอมาหารสอง เพราะด้วยสาเหตุเกี่ยวกับความถูกต้องและความแม่นยำของข้อมูลที่อาจเปรียบเทียบได้กับตัวโกงในหนังเรื่องแรมโบ้ ซึ่งในกรณีนี้ สื่ออย่างผู้จัดการที่รายงานข่าวในหัวข้อ “Bitcoin คือหายนะแห่งอนาคต” นั้นก็อาจจะตกอยู่ในเคสดังกล่าวด้วยเช่นกัน

มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาที่จะทำความเข้าใจในเทคโนโลยีดังกล่าวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เนื่องมาจากความซับซ้อนของเทคโนโลยี cryptography และ Blockchain และศัพท์เทคนิคอื่นๆอีกมากมายซึ่งแม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็ยอมรับว่าตอนเข้ามาศึกษาใหม่ๆนั้นก็สร้างความปวดหัวพอสมควร

ในเนื้อหาข่าวดังกล่าวนั้นมีการพาดพิงถึงคดีอื้อฉาวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแอดมินเว็บ dark net (หรือ deep web ที่ไม่ใช่เว็บธรรมดาทั่วไป แต่ต้องใช้บราวเซอร์ชนิดพิเศษอย่าง Tor เพื่อเปิดชม) นามว่า AlphaBay ซึ่งการเสียชีวิตของนาย Alexandre Cazes ในประเทศไทยนั้นได้ปลุกให้สื่อหลายๆสื่อนำเสนอข่าวเกี่ยวกับ Bitcoin อย่างเมามัน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ผู้จัดการได้รายงานว่านาย Alexandre Cazes เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์ระดับ high-end นามว่า Blue Pearl มูลค่ากว่า 2,105,500 บาท โดยมีการบอกเป็นนัยว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เขาประกอบมานั้นใช้เพื่อขุด Bitcoin โดยเฉพาะ

” …นั่นคือข้อมูลสำคัญที่ทีมข่าว MGR Online นำเสนอไว้เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา….มีคำถามว่าทำไมจอมโจรอัจฉริยะ “อเล็กซานเดส แคซ” จึงต้องประดิษฐ์ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ขึ้นมา เขามีไว้เพื่อการอะไรและหลายท่านอาจลืมไปว่าในการแถลงของเจ้าหน้าที่ตอนหนึ่งได้เอ่ยถึงเงินสกุลออนไลน์ หรือเงิน “บิทคอยน์”ซึ่งผู้ตายมีอยู่ในครอบครองจำนวนมากนับล้านหน่วย….เงินออนไลน์หรือ “บิทคอยน์”เกี่ยวข้องกับขบวนการนอกกฎหมายอย่างไรข้อมูลต่อไปนี้คือคำเฉลย”

รายงานโดยผู้จัดการ

นอกจากนั้นยังมีการสัมภาษณ์กับบุคคลนิรนามที่ใช้นามแฝงว่า ป.นักธุรกิจ ที่ได้มีการอธิบายถึงการ “แย่งชิง” Bitcoin โดยใช้คอมพิวเตอร์แรงสูงที่มาจากการประกอบด้วยเงินหลักแสนอีกด้วย

“หากใครต้องการครอบครองเงินสกุลนี้จะต้องใช้คอมพิวเตอร์แรงสูงเพื่อแย่งชิงให้มากที่สุด แน่นอนว่ามองเผินๆนี่คือการหลอกขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้กับบรรดาพวกร้อนวิชา หลายคนทุ่มเงินซื้อโปรแกรมที่สร้างขึ้นมา”

กล่าวโดยนาย ป.นักธุรกิจ

ความจริงคือปัจจุบันนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ขุด Bitcoin ได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่เครื่อง Personal Computer (PC) สเป็คสูงๆทั่วๆไป (ต่อให้อัพเกรดระบบมาสูงสุดแล้วก็ตาม) แต่เป็นเครื่อง ASIC หรือชื่อตัวเต็มของมันคือ Application-specific integrated circuit หรือแปลตรงตัวก็คือ “ระบบแผงวงจรที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับแอพบางแอพ” โดยกำลังในการ “ขุด” หรือประมวลผลของมันนั้นจะมีการวัดด้วยหน่วยที่เรียกว่า hash power แม้ว่าเครื่องดังกล่าวจะมีราคาเป็นหลักแสนต่อเครื่อง แต่การมีเครื่องนี้แค่เครื่องเดียวนั้น ไม่สามารถการันตีได้ว่าผู้ขุดจะได้รายได้เป็น Bitcoin มากกว่าคนอื่นๆ เมื่อไม่นานนี้ทาง Siam Blockchain ได้รายงานภาพถ่ายของชาวจีนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโกดังขุด Bitcoin ซึ่งมีเครื่อง ASIC ดังกล่าวอยู่ราวๆ 7,000 เครื่องทั้งของเขาเองและของลูกค้าที่มาขอเช่าซื้อพื้นที่เพื่อวางเครื่องอีกด้วย ดังนั้น หากดูจากฐานะของนาย Alexandre แล้ว เครื่อง super computer ของเขาน่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อความสนุกมากกว่า ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขุด Bitcoin แต่อย่างใด

ยังไม่จบแค่นั้น

นาย ป.นักธุรกิจ ยังได้มีการอ้างอิงถึง Satoshi Nakamoto ที่เขาฟันธงว่าเป็นชาวญี่ปุ่น และบอกว่าบางทฤษฎีนั้นมาจากออสเตรเลียอีกด้วย

“บิทคอยน์ ถือกำเนิดมาจากชาวญี่ปุ่น สุดอัจฉริยะคนหนึ่งแต่บางทฤษฎีอ้างว่าเป็นชาวออสเตรเลีย แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ เหตุผลของการกำเนิดเงินสกุลนี้มีแรงบันดาลใจมาจากพี่ใหญ่ของโลกคือในยุคเศรษฐกิจอเมริกา ตกต่ำมีการพิมพ์แบงก์ดอลลาร์ขึ้นมาเองตามอำเภอใจ ผู้ติดเงินสกุล “บิทคอยน์”จึงมีความเชื่อว่าต่อไปในอนาคตเมื่อมีการติดต่อค้าขายในโลกออนไลน์มากๆ “บิทคอยน์”น่าจะตอบโจทก์และเข้ามามีบทบาทบางส่วนของธุรกิจการค้าได้”

กล่าวโดยนาย ป.นักธุรกิจ



ปัจจุบัน การดีเบตเกี่ยวกับที่มาของ Satoshi Nakamoto นั้นดูเหมือนว่าจะถูกล้มเลิกและหายไปแล้ว โดยข้อสรุปนั้นก็ยังไม่เป็นที่ปรากฎแน่ชัดว่าเขา หรือเธอคนนั้นคือใคร เป็นผู้ชาย? เป็นผู้หญิง? หรือเป็นนามแฝงของคนกลุ่มๆหนึ่ง? และที่สำคัญมาจากประเทศอะไร? ซึ่งก็ไม่มีใครทราบดี แม้แต่นาย Gavin Andresen หรืออดีตหัวหน้านักพัฒนา Bitcoin Core (ทีมพัฒนาหลักของ Bitcoin ในปัจจุบัน) ที่รับช่วงต่อมาจาก Satoshi Nakamoto ก็ยังไม่รู้ว่าเขาหรือเธอเป็นใครกันแน่

จริงอยู่ที่ Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงปี 2007-2008 ซึ่งอยู่ในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในประเทศสหรัฐฯในขณะนั้นพอดี ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าแนวคิดการกระจาย (decentralized) ของ Bitcoin นั้นถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อต่อต้านธนาคารและรัฐบาล ที่มีระบบการบริหารเป็นแบบจุดศูนย์รวม (centralized) ดังนั้นอำนาจและการตัดสินใจในเงินของประชาชนจึงไปตกอยู่ที่พวกเขาหมด ซึ่งต่างจาก Bitcoin ที่มีกฎ protocol ที่ชัดเจน และไม่มีใครสามารถควบคุมและเป็นเจ้าของมันได้

นาย ป.นักธุรกิจ ยังได้กล่าวถึงเหตุผลที่ใครๆหลายๆคนก็แห่กันมาซื้อ Bitcoin

“เหตุผลของความบ้าคลั่งเงินสกุล “บิทคอยน์”น่าจะมาจากเมื่อกลุ่มผู้ซื้อขายทางออนไลน์เล็งเห็นช่องหารายได้จึงเข้ามาแจมด้วยโดยให้อภิสิทธิ์สามารถซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ทุกชนิดไม่เว้นแม้แต่สินค้าแบรนเนมต่างๆ ล้วนหาซื้อได้ด้วยเงินบิทคอยน์” กล่าวโดยนาย ป.นักธุรกิจ

อีกทั้งยังมีการอ้างอิงถึง กลุ่มผู้ขายสินค้าออนไลน์ที่เล็งเห็นประโยชน์ของการใช้งาน Bitcoin เพื่อเป็นหนึ่งช่องทางการจ่ายเงินอีกด้วย และยังมีการอ้างอิงถึงบริษัทระดับโลกอย่าง Amazon, Alibaba และโบรคเกอร์ผิดกฎหมายอื่นๆอีกด้วย

“ทั้งกลุ่มอเมซอล -อาลีบาบา และบรรดาโบรกเกอร์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างแห่เข้ามาร่วม ช่องทางธุรกิจนี้จึงเอื้อให้กับเงินผิดกฎหมายจำนวนมหาศาลฉวยโอกาสเข้ามาฟอกอย่างต่อเนื่อง สังเกตจากชื่อบริษัทของบรรดาโบรกเกอร์ทั้งหลายก็จะร้องอ๋อ เงินสกปรกจากทั่วโลกทั้งบ่อนการพนัน ค้าอาวุธ ค้าของเถื่อน ค้ายาเสพติดและค้ามนุษย์จำนวนหลายล้านเหรียญแปลสภาพกลายเป็นเงินออนไลน์เนื่องจากไม่ต้องทำธุรกรรมผ่านธนาคาร ไม่ต้องมีตัวตนเพียงแต่ติดต่อผ่านโบรกเกอร์ทุกคนสามารถซื้อ “บิทคอยน์”ได้ตามใจชอบ”

นั่นไม่อาจเป็นเรื่องที่จะปฏิเสธได้ว่าส่วนหนึ่งของ Bitcoin ที่สามารถมีชื่อเสียงขึ้นมาได้นั้นเป็นเพราะกิจกรรมผิดกฎหมายต่างๆ ไม่ว่าจะทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยก่อนหน้านี้ได้มีโปรแกรมเรียกค่าไถ่นามว่า Petya ที่จะทำการล็อกเครื่องของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วๆไป และเรียกค่าไถ่เป็น Bitcoin อีกทั้งยังมีกรณีของนักลักพาตัวในประเทศอินเดียที่ลักพาตัวชายคนหนึ่งและเรียกค่าไถ่เป็น Bitcoin อีกด้วย

ทว่าความเป็นจริงก็คือ แม้ไม่มี Bitcoin อาชญากรรมทางด้านการเงินทั่วๆไปก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ซึ่งตัวเลือกที่พวกอาชญากรเลือกใช้เหล่านั้นก็คงไม่พ้นเงินสด ในอดีตการซื้อขายยาเสพย์ติดและอาวุธก็ใช้เงินสดเช่นกัน ดังนั้นหากจะกล่าวหาว่า Bitcoin คือต้นเหตุของอาชญากรรมดังกล่าวก็คงจะไม่ถูกต้องเสมอไป เมื่อไม่นานมานี้ทางสำนักข่าว Coin Telegraph ได้รายงานให้เห็นว่าผู้ก่อการร้ายนั้นใช้ Bitcoin เพื่อทำกิจกรรมทางด้านผิดกฎหมายน้อยกว่าเงินสดเสียอีก ดังนั้น Bitcoin ก็น่าจะเหมือนๆกับสกุลเงินทั่วๆไปที่มีตัวตนขึ้นมาแบบเป็นกลาง เพียงแค่ไม่สามารถจับต้องได้ กล่าวคือใครจะหยิบไปใช้ทำอะไรก็ได้ โดยไม่สนว่าสิ่งๆนั้นจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย แต่สิ่งหนึ่งที่ Bitcoin ได้เปรียบมากกว่าเงินสดก็คือความโปร่งใสของมันที่มีเทคโนโลยี Blockchain มาเป็นตัวขับเคลื่อน กล่าวคือผู้ใช้งานสามารถที่จะตรวจสอบที่มาที่ไปของธุรกรรมได้ตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เงินสดไม่สามารถทำได้ ดั่งที่เห็นในเคสตัวอย่างของการสืบสวนและจับกุมเจ้าของเว็บ BTC-e ที่มีการสืบหาต้นตอว่าเขาได้นำ Bitcoin ที่ถูกขโมยมาจาก Mt Gox เมื่อปี 2013 ไปฟอก และโอนเข้าหาบัญชีของตัวเองอีกด้วย

คุณธันวา สงวนสิน ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน cryptocurrency และเจ้าของกลุ่ม Bitcoin Thai Club ได้กล่าวแสดงความเห็นที่น่าสนใจไว้ โดยบอกว่า Bitcoin นั้นอยู่ที่ตัวผู้ใช้งานว่าจะเอาไปใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดี ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับที่ตัวสกุลเงินเลยแม้แต่นิดเดียว

“บิทคอยน์ เอาไปใช้ประโยชน์ในด้านเสียก็มี ด้านดีก็ได้ จะไปโทษบิทคอยน์ว่าเป็นเงินบาปอย่างเดียวก็ไมไช่ อยู่ที่ตัวบุคคลที่เอาไปใช้ ควรแก้ปัญหาที่ตัวบุคคลมากกว่าไปแก้ที่ตัวบิทคอยน์ต่อให้โลกนี้ไม่มีบิทคอยน์ คนไม่ดีเขาก็มีวิธีการไปใช้เครื่องมือตัวอื่นอยู่ดี”

กล่าวโดยคุณธันวา สงวนสิน


อาจต้องใช้เวลาอีกนานกว่าหลายๆคนจะเข้าใจ

นาย ป.นักธุรกิจยังได้กล่าวว่า Bitcoin นั้นเหมาะสมกับคนกลุ่มเล็กๆ โดยเฉพาะพวกที่มีเงินเยอะๆ, นักเก็งกำไร, พวกกลุ่มนายหน้า, พวกนอกกฎหมายอย่างแกงค์มาเฟีย และมิฉาชีพอีกด้วย

“พูดตรงๆ กลุ่มบุคคลที่เหมาะกับบิทคอยน์ ก็คือพวกมีเงินเยอะๆ พวกเก็งราคา พวกนายหน้าซื้อมาขายไป หรือพวกนอกกฎหมาย แก๊งมาเฟีย มิจฉาชีพตัวเอ้ๆ ต้องการฟอกเงิน ชนชั้นล่าง คนระดับกลางผมไม่แนะนำให้เล่นหรือมาสนใจไม่มีประโยชน์”

ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้รัฐบาลประเทศญี่ปุ่นได้ออกมาประกาศทำให้ Bitcoin ถูกกฎหมาย ซึ่งถือเป็นประเทศแรกของโลกที่มีการเคลื่อนไหวดังกล่าว หลังจากนั้นประเทศอินเดีย และรัสเซียก็ทยอยตามมาเรื่อยๆ จุดสังเกตคือหลังจากมีการประกาศทำให้ถูกกฎหมายและยกเลิกภาษีผู้บริโภค 8% ในประเทศญี่ปุ่นแล้วนั้น ทำให้มีร้านค้าในประเทศญี่ปุ่นมากมายที่เปิดรับ Bitcoin เป็นช่องทางในการชำระเงิน โดยหนึ่งในนั้นก็คือร้านค้าอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ BIC Camera รวมถึงสายการบิน Peach Airlines ด้วย และยังมีการคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะมีร้านค้าอีกราวๆ 300,000 ร้านในประเทศญี่ปุ่นที่รับ Bitcoin ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งก็เป็นที่เห็นๆกันอยู่ว่าพวกเขาไม่ใช่กลุ่มคนที่นาย ป.นักธุรกิจ กล่าวถึงแต่อย่างใด

ที่น่าสนใจคือเขาได้ยังแสดงความกังวลถึงการที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายด้านนี้มารองรับ อีกทั้งยังมีการอ้างอิงถึง OneCoin หรือสกุลเงินดิจิตอลแชร์ลูกโซ่อีกด้วย

“บิทคอยน์ จะเข้าสู่ความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ หากยังไม่มีกฎหมายหรือมาตรการอะไรที่ทันสมัย วันหนึ่งถ้ามันสามารถซื้ออะไรก็ได้นอกเหนือจากสินค้าออนไลน์ วันนั้นสังคมโลกและสังคมไทยวุ่นวายแน่ ขณะนี้มีเงินออนไลน์สกุลอื่นเข้ามาในตลาดกันแล้วเช่นเงิน “วันคอยน์” หรือสกุลจีนทราบว่ามีกลุ่มนักธุรกิจชาวจีนเข้ามามือเปล่าๆ แต่สามารถเชิญชวนให้นักลงทุนไทยซื้อเงินหยวน จำนวนเท่าไหร่ก็ได้เพื่อนำไปซื้อสินค้าในอาลีบาบา ถึงขนาดแลกเงินสกุลหยวนกับบาท โดยไม่ผ่านตลาดการเงินไทย ไม่ต้องทำธุรการอะไรทั้งสิ้นเขาก็ทำๆได้ ตรงนี้คือเรื่องที่น่าเป็นห่วง นี่คือรายละเอียดต่างๆที่ทำให้มองเห็นภาพอดีต ปัจจุบันและอนาคตของอานุภาพเงินออนไลน์” รายงานโดยผู้จัดการ

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2014 ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาประกาศว่า Bitcoin ในประเทศไทยนั้นไม่ผิดกฎหมายแต่ก็ยังไม่มีกฎหมายมารองรับ จึงควรที่จะใช้อย่างระมัดระวัง แต่ล่าสุดนั้น ทางแบงก์ชาติมีท่าทีที่เป็นบวกมากขึ้น เมื่อพวกเขาออกมาประกาศว่ากำลังศึกษา Bitcoin ซึ่งส่งสัญญาณอันดีว่าพวกเขาอาจจะทำให้ Bitcoin ถูกกฎหมายเร็วๆนี้ก็เป็นได้ (อ่านเพิ่มเติม 5 สิ่งที่อาจตามมาหากธนาคารแห่งประเทศไทยทำให้ Bitcoin ถูกกฏหมาย)

สรุปแบบย่อๆ

อาจเป็นที่กล่าวได้ว่าการทำความเข้าใจในตัว Bitcoin และเทคโนโลยี Blockchain อย่างถ่องแท้และลึกซึ้งนั้นทำได้ยากและต้องใช้เวลานานในการตกผลึก ดังนั้นความเข้าใจที่ผิดๆในตัวของมันอาจทำให้หลายๆคนต้องสูญเสียโอกาสมากมายที่จะได้ทำความรู้จักกับมันอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะจากสื่อกระแสหลัก

เพิ่มเติม: เมื่อไม่นานมานี้ทางธนาคารไทยพาณิชย์เปิดให้บริการระบบโอนเงินด้วย Blockchain ของ Ripple ระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่น ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ใช้เหรีย​ญ Ripple ซึ่งจัดอยู่ในหมวด cryptocurency เหมือนกับ Bitcoin แต่นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่ายุคแห่งเทคโนโลยี Blockchain นั้นกำลังคืบคลานเข้ามาถึงประเทศไทยแล้ว และอีกไม่นานไม่ช้าก็ดี ทุกๆคนก็อาจจะต้องโอบกอดเทคโนโลยีนี้แบบไม่รู้ตัว

ภาพแอพมือถือจาก Manager Online

The post “Bitcoin คือหายนะแห่งอนาคต” กล่าวโดยสำนักข่าวผู้จัดการ appeared first on Siam Blockchain.

Poloniex และ Bitfinex จะหยุดให้บริการในรัฐวอชิงตันเนื่องจากไม่มีใบอนุญาต

เว็บผู้ให้แลกเปลี่ยนเหรียญ cryptocurrency อย่าง Bitfinex และ Poloniex ได้ออกมาประกาศมเื่อเดือนมีนาคมและกรกฎาคมตามลำดับ ว่าพวกเขาจะปิดให้บริการในรัฐวอชิงตันประเทศสหรัฐฯ เพื่อให้เป็นไปตามหฎหมายใหม่ของรัฐในฉบับ Senate Bill 5031 หรือ Uniform Money Services Act

กระนั้นก็ยังมีบางเว็บเทรดที่ยังต้องการที่จะเปิดให้บริการต่อไป

ซึ่งประกอบไปด้วย Gemini ของสองพี่น้อง Winklevoss ที่ได้รับใบอนุญาตมาเรียบร้อยแล้ว พวกขาจึงวางแผนที่จะเปิดให้บริการในรัฐวอชิงตันต่อไป โดยผู้ใช้งานในรัฐดังกล่าวสามารถที่จะเข้าไปใช้บริการซื้อขายเหรียญคริปโตได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย

เว็บแลกเปลี่ยนเหรียญคริปโตในสหรัฐฯต้องมีใบอนุญาตอย่างถูกกฎหมาย

โดยข้อกฎหมายดังกล่าวนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริการทางด้านการแลกเปลี่ยนเงินตรา รวมถึงเหรียญ cryptocurrency นั้นตกอยู่ภายใต้กฎหมายและการควบคุมของรัฐบาล

โดยอ้างอิงจาก Poloniex และ Bitfinex นั้น กฎหมายใหม่ดูเหมือนว่าจะไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของพวกเขา และรวมถึงความสามารถของพวกเขาในการที่จะให้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Bitfinex ได้เคยออกมาประกาศว่ากฎหมายใหม่นั้นส่งผลให้พวกเขาต้องไปจดทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาต โดยทั้งหมดนั้นได้ถูกกล่าวไว้ในข้อตกลงการใช้งานของพวกเขาแล้ว โดยข้อความดังกล่าวมีอยู่ว่า

“สำคัญมาก: ผู้ให้บริการการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตนั้นจะไม่สามารถให้บริการได้ตามกฎหมาย ประชาชนในสหรัฐฯอาจจะไม่ได้เป็นลูกค้าบนเว็บไซตอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนในรัฐ New York และ Washington จะถูกห้ามไม่ให้ฝากและถอนเงินเข้ามาในเว็บเทรดดังของเรา”

ส่วนของ Poloniex นั้นก็มีใจความดังนี้

“หลังจากที่เราได้ทำการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงการประกาศของ Washington State Department of Financial Institutions แล้วนั้น ทาง Poloniex จะทำการหยุดให้บริการลูกค้าและปิดแอคเคาท์ที่อยู่ในรัฐวอชิงตันทั้งหมดจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต สำหรับลูกค้าในรัฐวอชิงตัน พวกคุณจะได้รับอีเมล์บอกวิธีปิดแอคเคาท์ของคุณ”

ภายใต้กฎหมายของบุคคลหรือใครก็ตามที่ต้องการจะเปิดบริการแลกเปลี่ยน cryptocurrency ในดรัฐดังกล่าวนั้นจะต้องไปขอใบอนุญาต และติดต่อบริษัทออดิตให้มาตรวจเช็คระบบเพื่อให้แน่ใจถึงความโปร่งใส และคุณภาพ

เว็บเทรดนั้นยังต้องออกพันธบัตรที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับจำนวนสกุลเงินที่ถูกทำธุรกรรมไปโดยเว็บเทรดนั้นๆเมื่อปีที่แล้ว

โดยส่วนหนึ่งของข้อกฎหมายได้ระบุว่า

“สำหรับบริษํทที่มีแผนธุรกิจที่มีการเก็บเหรียญของผู้อื่นไว้ที่ตัวเอง ทางผู้ขอใบอนุญาตจะต้องหาบริษัทออดิตที่ได้รับการยืนยันแล้วมาทำการตรวจสอบระบบทั้งหมด เพื่อให้เป็นที่ยอมรับได้”

The post Poloniex และ Bitfinex จะหยุดให้บริการในรัฐวอชิงตันเนื่องจากไม่มีใบอนุญาต appeared first on Siam Blockchain.

วัยรุ่นชาวอเมริกันอายุ 20 ปีเริ่มออมเงินเกษียณเป็น Bitcoin แม้จะทราบถึงความเสี่ยงแล้วก็ตาม

มีวัยรุ่นชาวอเมริกันในช่วงอายุ 20 ปีจำนวนหนึ่งกำลังลงทุนเงินของพวกเขาในเหรียญคริปโตที่มีชื่อว่า Bitcoin แม้ว่ามันจะมีความเสี่ยงสูงอย่างมากก็ตาม

โดยอ้างอิงจากสำนักข่าว CNBC ที่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขจำนวนหนึ่งของผู้ถือ Bitcoin ในช่วงอายุ 20 ปีในประเทศสหรัฐฯที่ลงทุนกับ Bitcoin IRA ซึ่งมีราวๆ 700 แอคเคาท์

ศาสตราจารย์ Campbell Harvey จากมหาวิทยาลัย Duke University สาขาการเงินได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงทางด้านการผันผวนของราคาที่รุนแรง อันเนื่องมาจากว่าไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้

“ผมรู้สึกกังวลว่าผู้คนจะเอาเงินเกษียณไปลงทุนมันมากเกินไป ถ้าดูๆตอนนี้ตลาดมันยังเล็กอยู่ และราคามันก็มีความผันผวนสูงมาก ถ้าคุณจะลองเสี่ยงแล้วละก็ นั่นแปลว่าคุณพร้อมที่จะเสียทุกๆอย่างแล้ว แต่ถ้าเกิดว่าคุณเอาเงินไปซื้อหุ้นในตลาดหุ้น มันก็ยังพอจะมีโอกาสที่คุณจะเหลือเงินออกมาบ้าง”

ปัจจุบันแพลทฟอร์มการลงทุนอย่าง Bitcoin IRA (individual retirement account) ให้ผู้ลงทุนได้เปรียบทางด้านภาษี รวมถึงอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงที่สูงอีกด้วย (high-risk, high reward)

ซึ่งก็เหมือนกับ IRA ตัวเก่าๆที่เคยมีและจัดหาโดยรัฐบาล เพียงแต่ Bitcoin IRA นั้นแทนที่เงินสด, ทอง และบอนด์ด้วย Bitcoin นั่นเอง

อ้างอิงจากนาย Roy Trimboli หรือนักลงทุน Bitcoin IRA คนแรกๆที่ลงทุนในแผน 10-Bitcoin นั้น ตอนนี้เขามีกำไรเพิ่มขึ้นมาราวๆ 300% แล้วในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น

ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแต่นักลงทุน IRA เท่านั้นที่ได้สนุกกับการทำกำไรเป็นกอบเป็นกำจาก Bitcoin ก่อนหน้านี้โพลสยามบล็อกเชนทำการสำรวจผู้ใช้งานเว็บ siamblockchain.com ในประเทศไทยและพบว่ามีนักลงทุน Bitcoin ราวๆ 3.4% จากโพลทำกำไรได้มากกว่า 1 ล้านบาทในช่วงตอนที่ราคา Bitcoin พุ่งไปที่ 3,000 ดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้

The post วัยรุ่นชาวอเมริกันอายุ 20 ปีเริ่มออมเงินเกษียณเป็น Bitcoin แม้จะทราบถึงความเสี่ยงแล้วก็ตาม appeared first on Siam Blockchain.

Sunday, July 30, 2017

ธนาคารในสวิสเซอร์แลนด์เปิดให้บริการปรึกษาด้านการลงทุนใน Bitcoin ที่แรกของประเทศ

ธนาคาร Falcon Private Bank ได้กลายเป็นธนาคารแห่งแรกในสวิสเซฮร์แลนด์ที่เปิดให้บริการลูกค้าทางด้านที่ปรึกษาด้านการลงทุน Bitcoin และ cryptocurrency โดยอยู่ในความร่วมมือกับ Bitcoin Suisse AG หรือผู้ให้บริการทางด้านที่ปรึกษาด้านการบริหารและลงทุนเหรียญ cryptocurrency ซึ่งทางธนาคารจะอนุญาตให้ทางลูกค้าของพวกเขาซื้อ, เก็บ และขาย Bitcoin ได้

ลูกค้าของธนาคารดังกล่าวจะสามารถซื้อและ liquidate Bitcoin ของพวกเขาผ่านระบบ e-banking ของธนาคารหรือในหน้าเครื่องมือลูกค้าบนเว็บไซต์ของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะสามารถที่ตรวจสอบจำนวน Bitcoin ในบัญชีพอร์ทของพวกเขาที่ฝากไว้ให้ธนาคารลงทุนได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

โดยทางธนาคารยังได้วางตู้ ATM Bitcoin ไว้หน้าธนาคารสาขาเมือง Zurich ไว้ให้ลูกค้าสามารถมาถอน Bitcoin เมื่อต้องการได้อีกด้วย

รัฐบาลอนุมัติบริการดังกล่าว

ทางรัฐบาลประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการเงินหรือ Swiss Financial Markets Regulatory Authority ได้อนุมัติผลิตภัณฑ์บริการดังกล่าว โดยทาง Bitcoin Suisse AG จะทำการช่วยเหลือธนาคาร Falcon Private Bank ทางด้านระบบพื้นฐานและจะช่วยทำตัวเป็นเหมือนกับ broker ที่ถูกต้องตามกฎหมายให้กับธนาคารดังกล่าวอีกด้วย

ธนาคาร Falcon Private Bank มีสาขาหลักอยู่ในเมือง Zurich ถือเงินเก็บของลูกค้าไว้ราวๆ 14.6 พันล้านสวิสฟรังค์ (ข้อมูลเมื่อปลายปี 2016) และมีสาขาอื่นๆอยู่ที่เมือง Abu Dhabi, Dubai, London และ Luxembourg

ผู้สนับสนุนเหรียญคริปโต

ในฐานะที่เป็นโบรคเกอร์ของสินทรัพย์ดิจิตอลประเภท cryptocurrency ให้กับธนาคารรวมถึงยังเป็นผู้วางระบบนั้น Bitcoin Suisse AG นั้นได้เป็นผู้ช่วยเหลือในด้านหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการแฮค, การบันทึกยอดการซื้อขายของเหรียญคริปโตทั้งขององค์กรและบุคคล

Bitcoin Suisse AG เปิดตัวในปี 2013 โดยให้บริการทั้งลูกค้าบุคคล, บริษัท และสถาบันใหญ่ๆในตลาดเหรียญคริปโต ซึ่งบริการของพวกเขานั้นประกอบไปด้วย บริการโบรคเกอร์, การเทรด, การช่วยบริหารจัดการทรัพย์สินคริปโต, บริการด้าน ICO, การติดตั้งซอฟต์แวร์ และการให้คำปรึกษา

นาย Nicolas Nikolajsen หรือ CEO ของ Bitcoin Suisse AG กล่าวว่า

“ธนาคารออกมาให้บริการเกี่ยวกับเหรียญ cryptocurrency นี่ถือเป็นการพลิกโฉมวงการธนาคารเลยก็ว่าได้ ซึ่งมันเป็นการดึงเอาลูกค้าไม่ว่าจะบุคคลหรือสถาบันใหญ่ๆที่มีรายได้สูงๆและอยากจะลองลงทุนในคลาดเหรียญคริปโตเข้ามาใช้บริการกับผู้ที่พวกเขาเชื่อถือ ซึ่งก็คือธนาคารสวิสเซอร์แลนด์นั่นเอง”

The post ธนาคารในสวิสเซอร์แลนด์เปิดให้บริการปรึกษาด้านการลงทุนใน Bitcoin ที่แรกของประเทศ appeared first on Siam Blockchain.

ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเปิดคอร์สสอนเกี่ยวกับ Cryptocurrency แบบฟรีๆ

สืบเนื่องมาจาก demand ความต้องการในตัวเหรียญคริโตนั้นมีสูงมาก จนทำให้ศาสตราจารย์ PhD แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดสาขา Cryptography ท่านหนึ่งต้องออกมาเปิดคอร์สสอนฟรีสำหรับผู้ที่สนใจ

โดยแบบการเรียนการสอนนั้นจะมีให้หาได้บนเว็บของสแตนฟอร์ด ซึ่งจะเป็นคอร์สแบบเรียนเค็มสมบูรณ์ที่มีชื่อว่า CS251: Bitcoin and Cryptocurrencies

โดยแบบการเรียนการสอนนั้นจะประกอบไปด้วย course syllabus ทั้งแบบเต็มและแบบสั้น โดยอ้างอิงจากรายละเอียดดังกล่าว

“คอร์สการสอนนั้นจะควบคุมเนื้อหาเกี่ยวกับ cryptocurrency ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น distributed consensus, Blockchain, smart contract และ application โดยเราจะโฟกัสไปที่รายละเอียดของ Bitcoin และ Ethereum รวมถึงกรณีศึกษาต่างๆ”

ศาสตราจารย์ดอกเตอร์ Dan Boneh คือผู้ที่เปิดตัวคอร์สการเรียนการสอนดังกล่าว โดยศาสตราจารย์ท่านนี้เกิดในปี 1969 และได้รับปริญญาเอกสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัย Princeton ในปี 1996

เขายังเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของโปรเจ็คเกี่ยวกับ cryptography หลายโปรเจ็คที่มีการทำงานร่วมกับนาย Weil Paring รวมถึงนาย Matt Franklin จากมหาวิทยาลัย California, Davis ด้วย

เขาเริ่มทำงานที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี 1997 และได้กลายเป็นศาสตราจารย์แห่งคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และวิศวกรไฟฟ้าอีกด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะศึกษาคอร์สดังกล่าวแบบฟรีๆ สามารถเข้าชมได้ที่นี่ (เนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ)

The post ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเปิดคอร์สสอนเกี่ยวกับ Cryptocurrency แบบฟรีๆ appeared first on Siam Blockchain.

ภาพถ่าย: การใช้ชีวิตอยู่ในโกดังการขุด Bitcoin ขนาดใหญ่ในประเทศจีน

“พวกเราจะสนับสนุน Bitcoin เท่านั้น ไม่ใช่ Bitcoin Cash” กล่าวโดย CoinFlip ATM

บริษัท CoinFlip หรือหนึ่งในผู้ให้บริการตู้ ATM Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐฯได้ส่งจดหมายเปิดเพื่อบอกกับผู้ใช้งานทุกคนว่าพวกเขาจะไม่ทำการสนับสนุน Bitcoin Cash ถ้าหากว่ามีการ fork ของตัวดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคมนี้

ไม่เอา BCC

จดหมายของ CoinFlip นั้นถูกปล่อยออกมาท่ามกลางการปฏิเสธของผู้ให้บริการทางด้าน Bitcoin มากมาย ซึ่งดูเหมือนว่า CoinFlip ก็กำลังกลายเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกันที่จะไม่รองรับเหรียญอื่นๆใดนอกจาก Bitcoin

“CoinFlip นั้นไม่มีแผนการใดๆก็แล้วแต่ที่จะรองรับตัว altcoin ใหม่ที่จะแยกตัวออกมาจาก Bitcoin ซึ่งนั่นรวมถึง BCC ด้วยเช่นกัน เราจะยังคงเดินหน้าสนับสนุน Bitcoin Core เท่านั้น”

ปิดให้บริการชั่วคราว

ทางบริษัทดังกล่าวยังได้กล่าวอย่างชัดเจนถึงการปิดให้บริการในช่วงที่มีการ fork เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้พวกเขามีความคิดที่จะหยุดประมวลผลธุรกรรม 24 ชั่วโมงก่อนการ fork เกิดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีลูกค้าคนไหนเกิดปัญหาในการใช้งานตู้ ATM ของพวกเขา โดยหลังจากการแยกตัวเกิดขึ้นแล้ว ถ้าหากมีใครพยายามจะนำเอา BCC เข้ามาใช้จ่ายกับ ATM ของพวกเขา ธุรกรรมนั้นๆจะถูกแจ้งเตือนว่า “ไม่สำเร็จ” ทันที

The post “พวกเราจะสนับสนุน Bitcoin เท่านั้น ไม่ใช่ Bitcoin Cash” กล่าวโดย CoinFlip ATM appeared first on Siam Blockchain.

สรุป: Bitcoin Cash อีกหนึ่งทางสายแยกของ Bitcoin

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทางกลุ่มผู้ใช้งาน Bitcoin รวมถึงนักลงทุนต่างก็รู้สึกโล่งอกถึงการ lock in ของการเปิดสัญญาณ BIP 91 ว่า SegWit2x นั้นมาให้ใช้งานอย่างแน่นอน รวมถึงการพุ่งขึ้นของราคาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความมั่นใจของกลุ่มนักลงทุนจึงทำให้พวกเขาหันกลับมาเทเงินของตัวเองกลับเข้าไปในพอร์ท Bitcoin ของพวกเขา

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

ในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมานั้นดูเหมือนว่าทิศทางของตลาด Bitcoin กำลังตกไปอยู่ในกลุ่มคนบางคนที่ต้องการจะทำการเปิด UAHF หรือ user-activated hard fork เพื่อให้เกิดมาเป็นอีกเหรียญหนึ่งนามว่า Bitcoin Cash ซึ่งพวกเขาก็ฉวยโอกาสเปิดตัวเจ้าเหรียญตัวนี้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2017 ซึ่งถือเป็นวันเดียวกันกับที่ SegWit หรือ UASF (user-activated soft fork) วางแผนจะเปิดใช้งานพอดี

Bitcoin Cash คืออะไร

Bitcoin Cash คือเหรียญ altcoin (alternative coin หรือเหรียญทางเลือกที่ไม่ใช่ Bitcoin) ตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นมาบนไอเดียจากการอยากจะแยกให้ Bitcoin แบ่งออกเป็นสองเหรียญ หรือ hard fork ที่ได้กล่าวไปด้านบน ซึ่งหากอธิบายแบบง่ายๆนั่นหมายความว่า Blockchain ของ Bitcoin นั้นจะถูกแบ่งแยกออกเป็นสอง chain โดยตัวหนึ่งจะเป็นของ Bitcoin และอีกตัวหนึ่งจะเป็นของ Bitcoin Cash

ในตอนแรกนั้น แพลนการทำ UAHF หรือการ hard fork ดังกล่าวเป็นเพียงแค่แผนสำรองที่ถูกเสนอโดยบริษัท Bitmain หรือบริษัทด้านการขุด Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นด้วยกับไอเดียของ SegWit เพราะว่าแนวทางดังกล่าวอาจจะมีการเปิดใช้งาน Lightning Network ที่ไม่จำเป็นต้องมีนักขุดมาช่วยคอนเฟิ์รมธุรกรรมก็ได้ โดยนั่นหมายความว่าทางนักขุดนั้นจะสูญเสียรายได้มหาศาล

ณ ที่งานประชุม Future of Bitcoin Conference ที่จัดขึ้นในเมือง Arnhem ประเทศ Netherlands เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนถึง 1 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น นาย Amaury Sachet หรือวิศวกรด้านซอฟต์แวร์ได้ประกาศเปิดตัว Bitcoin client (โปรแกรมของ Bitcoin) ชื่อ Bitcoin Adjustable Blocksize Cap (Bitcoin ABC)

ซึ่งภายหลังมีการเผยให้เห็นว่าตัวเหรียญที่จะถูกนำมาใช้กับ client ตัวนี้เรียกว่า Bitcoin Cash

ซึ่งความแตกต่างระหว่าง Bitcoin Cash กับ Bitcoin นั้นจะประกอบไปด้วย

  • SegWit: Bitcoin Cash นั้นจะไม่สนับสนุนและติดตั้ง SegWit
  • ขนาดของบล็อก: ของ Bitcoin Cash นั้นจะถูกเพิ่มจาก 1MB เป็น 8MB
  • เกิดเป็นเหรียญใหม่: เหรียญ Bitcoin และ Bitcoin Cash จะมีการแชร์ Blockchain ด้วยกันตอนเริ่มต้น และหากเป็นไปด้วยดี พวกเขาจะแยกตัวออกไป และทำการก็อป Blockchain ของ Bitcoin ตั้งแต่ต้นจนจบและอ้างอิงว่าเป็นของ Bitcoin Cash เอง ซึ่งลักษณะนี้อาจจะใกล้เคียงกับของ Ethereum และ Ethereum Classic

แล้วนี่จะมากระทบการใช้ Bitcoin ของคุณอย่างไร

เอาแบบสั้นๆง่ายๆ มันจะไม่กระทบการใช้งาน Bitcoin ของคุณเลย (เว้นแต่เรื่องราคาที่อาจมีความผันผวนสูงระหว่างแยกตัว) รวมถึงจำนวน Bitcoin ที่คุณถืออยู่ด้วย แต่ว่า chain นั้นจะเกิดการแยกตัวออกไป ซึ่งจะส่งผลให้คุณมีจำนวนเหรียญ Bitcoin Cash เพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนที่เท่ากับ Bitcoin ที่คุณมี อย่างไรก็ตาม มูลค่าของเหรียญทั้งสองตัวนี้จะมีความแตกต่างกัน และอาจจะขึ้นอยู่กับสภาพตลาดรวมถึงการยอมรับจากผู้ใช้งาน และบริษัทผู้ให้บริการต่างๆอีกที

ปฏิกิริยาตอบรับของกลุ่มผู้ใช้งาน

นักขุด

ในขณะนี้มีพูลนักขุดที่ได้ออกมากล่าวถึง Bitcoin Cash แล้ว ซึ่งประกอบไปด้วย Bitmain ที่บอกว่าพวกเขาจะยังคงสนับสนุน SegWit2x รวมถึง chain ของ Bitcoin ตัวต้นฉบับด้วย แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้บอกอย่างเป็นทางการว่าจะสนับสนุน Bitcoin Cash เช่นกัน ในขณะที่ ViaBTC ที่ให้บริการทั้ง pool ขุดและกระดานเทรดนั้นได้ทำการลิส Bitcoin Cash ขึ้นบนกระดานซื้อขายบนเว็บของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อถามถึงการสนับสนุน Bitcoin Cash ของพวกเขา พวกเขากลับอ้างตัวเป็นกลาง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นใดๆ

เว็บกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน

เว็บเทรดนั้นดูเหมือนว่าจะแตกตัวกันมากกว่ากลุ่ม pool นักขุด โดยเฉพาะทางเว็บเทรดใหญ่ๆดังๆอย่าง Coinbase, Coinfloor และ Bitstamp ที่ไม่ได้มีการออกมาสนับสนุน Bitcoin Cash อย่างจริงจังและชัดเจน อีกทั้งยังบอกผู้ใช้งานให้ใช้เหรียญ fork ตัวใหม่อย่างระมัดระวังด้วยตัวเอง กระนั้นก็มี Bitfinex และ Kraken สองในเว็บเทรดเหรียญคริปโตชื่อดังที่ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะทำการเพิ่มเหรียญ Bitcoin Cash เข้าไปในบัญชีของผู้ใช้งานรวมถึงจะทำกระดานเทรดสำหรับเหรียญดังกล่าวด้วย ซึ่งนี่อาจถือเป็นจุดสำคัญของเหรียญ Bitcoin Cash ที่จะอยู่รอดเลยก็ว่าได้ ในกรณีที่ถ้าหากไม่มีเว็บเทรดหลายๆเว็บมาให้การสนับสนุนมันนั้น เหรียญดังกล่าวก็อาจจะตายไปอย่างช้าๆ

สำหรับในประเทศไทยนั้น ก่อนหน้านี้เว็บ Bx หรือเว็บกระดานเทรดเหรียญ Cryptocurrency อันดับ 1 ของประเทศไทยก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนไม่สนับสนุน Bitcoin Cash อย่างเต็มตัว โดยทางพวกเขาได้บอกกับผู้ใช้งานว่าถ้าอยากจะได้ Bitcoin Cash จากการ Fork นั้นให้ทำการถอน Bitcoin ของพวกเขาไปเข้ากระเป๋าตัวเองก่อนวันที่ 1 สิงหาคมนี้อีกด้วย

จะว่าไปแล้ว วันที่ 1 สิงหาคมก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โดยเหลืออยู่อีกแค่ต่ำกว่า 2 วันเท่านั้น ซึ่งวันดังกล่าวนี้อาจกล่าวได้ว่าจะเป็นวันที่จะได้เห็นการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของกลุ่มวงการ Bitcoin เลยก็ว่าได้ ซึ่งต่อจากนี้ไปสิ่งที่เราจะต้องจับตาดูให้ดีๆนั้นคงจะเป็นราคาของตลาด Bitcoin และเหรียญ altcoin ตัวอื่นๆที่ว่ากันว่าจะเกิดการผันผวนอย่างรุนแรง บางทีอาจจะรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ Bitcoin ซึ่งเราก็ต้องคอยจับตาดูให้ดีๆ

The post สรุป: Bitcoin Cash อีกหนึ่งทางสายแยกของ Bitcoin appeared first on Siam Blockchain.

เว็บ BTC-e ถูกยึดแล้วโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ Alexander Vinnik ถูกตั้งข้อหาในชั้นศาล

ชายชาวรัสเซียที่เป็นแอดมินเว็บ BTC-e ที่ถูกจับกุมได้ในประเทศกรีซเมื่อไม่นานมานี้ ถูกตั้งข้อหาฟอกเงินกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ด้วย Bitcoin ที่ได้มาโดยมิชอบ ในขณะนี้ถูกตั้งข้อหาในชั้นศาลโดยคณะลูกขุนใหญ่แล้ว

จากที่ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานไปเมื่อก่อนหน้านี้ ว่านาย Alexander Vinnik ชาวรัสเซียอายุ 38 ปีถูกจับกุมในประเทศกรีซโดยร่วมมือกับตำรวจในประเทศสหรัฐฯ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเว็บที่ชายคนนี้เป็นแอดมินอยู่นั้นถือเป็น “เว็บด้านอาชญากรรมที่สำคัญมากที่สุดในโลกเว็บหนึ่ง” เลยก็ว่าได้

โดยเมื่อมีการสืบคดีไปเรื่อยๆ ภายหลังก็เป็นที่ทราบกันว่านาย Alexander Vinnik นั้นเป็น “ผู้เปิดกิจการ BTC-e” และเว็บไซต์ดังกล่าวนั้นก็ดูเหมือนว่าจะใช้การไม่ได้ทันทีก่อนที่ข่าวเกี่ยวกับตัวเขานั้นจะถูกจับกุม โดยบนเว็บไซต์นั้นมีการแปะทวิตเตอร์ของเขาไว้ว่า “กำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง” และมีการอัพเดตเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 26 ที่ผ่านมาโดยบอกว่า “จะใช้เวลาประมาณ 5-10” วันก่อนที่จะปรับปรุงเสร็จ แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ โดเมนของเว็บ BTC-e ดูเหมือนจะถูกยึดไว้โดยทางตำรวจเรียบร้อยแล้ว


อดีต CEO ของ Mt Gox นามว่า Mark Karpeles ได้ออกมาทวีตเกี่ยวกับนาย Vinnik ว่าเป็น “ผู้ขโมย Bitcoin จากเว็บ Mt Gox” และหลังจากนั้นนักสืบอิสระนามว่า “WizSec” ก็ได้ทำการสืบสวนจนค้นพบว่านาย Alexander Vinnik นั้นเป็นผู้ต้องสงสัยหลักในการเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินที่ได้มาโดยมิชอบจาก Mt Gox โดยเขายังสืบจนพบอีกว่าจำนวนหนึ่งของ Bitcoin ที่ถูกขโมยมานั้นถูกโอนไปยังกระเป๋าของเว็บ BTC-e อีกด้วย

ตั้งข้อกล่าวหาโดยคณะลูกขุนใหญ่

นาย Vinnik ถูกตั้งข้อหาโดยคณะลูกขุนใหญ่ของศาลในสหรัฐอเมริกาโดยข้อหาการฟอกเงินแล้ว และยังมีอีก 21 ข้อหาซึ่งประกอบไปด้วยฟอกเงินที่ได้มาโดยมิชอบจาก Mt Gox, แฮคระบบคอมพิวเตอร์และนำเข้ายาเสพย์ติด โดยในขณะนี้ นาย Vinnik ยังไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อใดๆเกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้ โดยอ้างอิงจาก BBC นั้นเขาเป็นเหมือนกับ “สมอง” ของปฏิบัติการนี้ทั้งหมด

อ้างอิงจากสำนักงานอัยการในตำบลเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ข้อหาหลักของนาย Vinnik นั้นคือการรับเงินมาจากการแฮคที่ได้มาจาก Mt Gox ซึ่งนั่นจะถูกนำไปใช้เป็นแรงจูงใจในการกระทำผิดในชั้นศาล และภายหลังจากนั้นเขาก็ทำการฟอกเงินเหล่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นสำหรับเขาเองหรือไม่ก็สำหรับคนอื่น

นาย Brian Stretch หรืออับการของศาลตำบลเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียได้กล่าวว่า

“ก็พอๆกันกับที่คนเราทั่วๆไปใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อการเปลี่ยนการสื่อสารกับมนุษย์ด้วยกันและใช้ท่องโลกใหม่ๆเพื่อหาประสบการณ์ พวกอาชญากรก็จะใช้เทคโนโลยีพวกนี้เพื่อนำมาทำอะไรมิดิมิชอบเพื่อพวกเขาเอง”

ทางรัฐบาลประเทศปรีซนั้นกำลังเตรียมตัวต่อรองกับรัฐบาลสหรัฐฯในการส่งตัวของนาย Vinnik กลับไปที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งภายหลังจากนั้นเขาอาจจะต้องถูกสั่งจำคุกเป็นเวลาประมาณ 20 ปี ซึ่งขั้นตอนในการส่งตัวดังกล่าวนั้นอาจต้องใช้เวลาถึง 2 เดือนเพื่อทำการสืบสวน อ้างอิงจากกฎหมายประเทศกรีซ

การจับกุมของนาย Vinnik นั้นเกิดขึ้นภายหลังจากที่เว็บใน dark net ชื่อดังอย่าง AlphaBay และ Hansa ถูกทลายล้างโดยรัฐบาลสหรัฐฯ โดยนาย Jeff Sessions หรือหัวหน้าอัยการของ Department of Justice (DOJ) ได้กล่าวว่าเขาได้รับคำสั่งมาจากนาย Donald Trump โดยตรงว่าให้จัดการกวาดล้างพวกนี้

เขายังกล่าวว่า

“ปัญหาที่พวกคุณก่อไว้ ในตอนนี้เรามีองค์กรและเอเจนท์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านพวกนี้คอยทำงานเพื่อจัดการพวกคุณแล้ว อย่าคิดว่าจะรอด พวกเราจะหาคุณ, ทำลายล้างองค์กรของคุณรวมถึงเครือข่าย และจะดำเนินคดีพวกคุณให้ถึงที่สุด”

The post เว็บ BTC-e ถูกยึดแล้วโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ Alexander Vinnik ถูกตั้งข้อหาในชั้นศาล appeared first on Siam Blockchain.

Saturday, July 29, 2017

ViaBTC อ้างตัวเป็นกลาง เมื่อ Bitcoin Cash กำลังเข้าใกล้วันเปิดตัวขึ้นมาเรื่อยๆ

ViaBTC มักจะถูกเรียกว่า “เจ้าแห่งสนาม” ในแผนการ fork Bitcoin ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ โดยพูลขุดดังกล่าวกำลังออกมาพูดปฏิเสธคำกล่าวหาที่หลายๆคนออกมากล่าวว่าพวกเขาเป็นตัวช่วยผลักดันแนวคิดเรื่องของการ hard fork ตัว Bitcoin Cash (BCC) ดังกล่าวนี้

การ fork ดังกล่าวถือเป็นการแยกตัว Bitcoin ออกไป โดยจะถือเป็นเหรียญใหม่, เครือข่ายใหม่ และกฎโพรโตคอลใหม่ โดย Bitcoin Cash นั้นยังเป็นที่รู้ๆกันว่า “ไม่เอา SegWit” ที่ทางนักพัฒนา Bitcoin Core เสนอขึ้นมา จนเป็นที่มาของการ hard fork ดังกล่าว

แต่อะไรคือความแตกต่างของโปรเจคนี้และตัว hard fork อื่นๆของ Bitcoin ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอย่าง Bitcoin XT และ Bitcoin Unlimited ล่ะ? อย่างแรกเลยคือ Bitcoin Cash นั้นจะแชร์ blockchain ที่ใช้เก็บประวัติการทำธุรกรรมกับตัว Bitcoin ซึ่งกล่าวได้ว่านั่น “ไม่ใช่การสร้างเหรียญใหม่” แบบธรรมดาหรือที่เหรียญ ICO ทั่วๆไปทำกัน แต่เป็นการมาเกาะใช้ชื่อของ Bitcoin ที่ทุกๆคนรักและยกย่อง

แม้ว่าฟังดูมันอาจจะเป็นเหมือนเพียงแค่ข้อเสนอๆหนึ่ง (ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่ทำเอาหลายๆคนตื่นกลัว) แต่ Bitcoin Cash นั้นได้ทำให้มันเหนือกว่า hard fork ตัวอื่นๆของ BTC ที่เคยมีมานั่นคือการขึ้นไปอยู่บนกระดานซื้อขายฟิวเจอร์สของ ViaBTC และเริ่มการซื้อขายขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (โดยมันมีโวลลุ่มราวๆ 11 ล้านดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา)

โดย ViaBTC กำลังจะลองทำอะไรบางอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน กล่าวคือ ให้มูลค่าของ Bitcoin Cash ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ cryptocurrency โดยการกระทำดังกล่าวทำให้หลายๆคนมองว่าเป็น “ของจริง” ที่ส่งผลให้เว็บเทรดอื่นๆต้องหันมาปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นการออกมาประกาศบอกผู้ใช้งานของพวกเขาถึงวิธีการรับมือกับการ fork ดังกล่าวเพื่อให้ได้เหรียญ BCC เพิ่มขึ้นมาแบบฟรีๆ โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ราคา 1 Bitcoin Cash มีค่าเท่ากับ 2250 หยวน หรือราวๆ 333 ดอลลาร์

แม้ว่าการกระทำของ ViaBTC จะเป็นที่เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีเจตนาที่จะผลักดันให้ Bitcoin Cash ก้าวไปข้างหน้าได้ แต่นาย Haipo Yang หรือ CEO ของ ViaBTC และนาง Sara Ouyang หรือ COO ของ ViaBTC นั้นได้ออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบดังกล่าวว่าพวกเขาคือต้นเหตุของการมาถึงจุดๆนี้ของ BCC โดยพวกเขาออกมาโต้เถียงว่ามันถูกพวกชาวตะวันตก (ฝรั่ง) สร้างขึ้นมา

นาย Yang ให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk ว่าทาง ViaBTC นั้นไม่แม้แต่จะมีแผนการที่จะขุดเหรียญ Bitcoin Cash โดยในการเป็น pool สำหรับขุดนั้น สิ่งที่พวกเขาจะทำก็แค่เปิดให้ขุดเหรียญดังกล่าว และผู้ขุดสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะขุดไหม

เขากล่าวว่า

“มันก็ขึ้นอยู่กับนักขุดสิครับแหม่ พวกเขาเป็นผู้เลือก พวกเขาจะเลือกขุด Bitcoin ก็ได้หรือ Bitcoin Cash ก็ได้ เราเป็นแค่เว็บเทรด เราเป็นตัวกลางนะครับ”

นาย Yang ยังได้กล่าวว่าการที่ ViaBTC นั้นเป็นแค่พูลขุด จึงยังต้องพึ่งพานักขุดคนอื่นๆเพื่อให้มาใช้แพลทฟอร์มของพวกเขา

โดยในลักษณะนี้ นาย Yang กล่าวว่าสิ่งที่เขาต้องทำก็คือการเปิดเว็บเทรดเพื่อมารองรับคนที่อยากจะขุด Bitcoin Cash ในกรณีที่พวกเขาอยากนำมันมาขายต่อ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะทำการเปิดตัวคู่เทรดสำหรับข้อเสนอ UASF มาแล้ว แต่เขาเองก็ยังไม่เชื่อว่าจะมีคนให้ความสนใจมากนัก

“เราไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีหรือแย่ เพราะมันเป็นตัวเลือกของตลาด เราเป็นแค่ผู้ให้บริการทารด้านเทคนิค และกระดานเทรด” กล่าวโดยนาย Yang

ต่างคนต่างความคิด

นาย Yang นั้นเป็นที่รู้ในวงการ Bitcoin ดีว่าเขาไม่ชอบหน้าของกลุ่มนักพัฒนาหลัก Bitcoin (บางครั้งเขาถึงกับเลยเถิดไปโดยการบอกว่าเขาจะไล่พวกนักพัฒนาออกให้หมด) กระนั้น นาย Yang ก็ยังคิดว่าเขานั้นเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมากในการดีเบตเรื่องการ scaling ของ Bitcoin



โดยในการให้สัมภาษณ์นั้น เขาได้มองตัวเองว่าเป็นคนๆหนึ่งที่มีความกล้าพอที่จะออกมาทดสอบไอเดียใหม่ๆที่คนอื่นๆไม่กล้า​ (โดยการเพิ่มการเทรดแบบฟิวเจอร์สและออปชันบนกระดานเทรด) และยอมรับผลของมัน

“เมื่อเดือนที่แล้ว เราได้เปิดตัวฟิวเจอร์สของ BIP 148 สำหรับเทรด แต่การซื้อขายนั้นไม่ค่อยคึกคักเท่าไรนัก ตอนนี้เราเลยอยากจะลองมองดูว่าผู้คนทั่วโลกจะเข้ามาซื่อ Bitcoin Cash (BCC) มากน้อยขนาดไหน ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าทุกๆคนจะชอบมันมาก!” เขากล่าว

วันที่ 1 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ViaBTC จะมีการหยุดให้บริการถอนเพื่อที่พวกเขาจะได้ทำการลิส Bitcoin Cash ตัวจริง (แบบไม่ใช่ฟิวเจอร์ส) และทางกลุ่มนักขุดในพูลนั้นก็กล่าวว่าพวกเขาจะใช้คำว่า BCC สำหรับ Bitcoin Cash เพื่อจะได้ไม่ซ้ำกับ BTC ของ Bitcoin ตัวต้นฉบับ

และในขณะที่ Via BTC นั้นเคยออกมาบอกว่าพวกเขาจะไม่ทำการเปลี่ยนจำนวนยอดเงินของลูกค้าให้กลายเป็น “BTC” เพราะพวกเขากล่าวว่ามันจะมีความซับซ้อนด้านการ fork แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาได้เปลี่ยนใจแล้ว

กระนั้น เขายังหวังและคาดว่า Bitcoin Cash นั้นจะกลายมาเป็นอันดับหนึ่ง และมาบดบังรัศมีของ Bitcoin ได้ในที่สุด

“ผมมีความรู้สึกว่า BCC นั้นจะมีคนเข้ามาขุดอย่างเยอะมาก และมันจะกลายเป็น Bitcoin ที่แท้จริงไปในที่สุด” กล่าวโดยนาย Yang

ไม่ว่านั่นจะเป็นจริงหรือไม่ ก็ต้องรอดูกันต่อไป แต่ที่ทราบกันดีในขณะนี้คือแนวคิดของเขานั้นเป็นที่ชัดเจนแล้ว


ปัญหาด้านการสื่อสาร

โดยรวมนั้น นาย Yang ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาในการพูดคุยกันระหว่างทางประเทศตะวันออกและประเทศตะวันตก

โดย ณ ขณะนี้แนวคิดของ Bitcon Cash นั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นที่นิยมทางฝั่งตกวันตกมากนัก แต่เขาก็เถียงว่า ในเอเชียนั้นมันเป็นที่นิยมกันมากเลยทีเดียว โดยเขารายงานว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ใน ViaBTC นั้นมาจากประเทศเกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และจีน

กระนั้น นาย Yang ก็กล่าวว่าการ hard fork ตัวนี้ควรที่จะเกิดขึ้นในท้ายสุด แม้ว่าจะมีปัญหาทางด้านการสื่อสารกันระหว่างทางประเทศตะวันตกและตะวันออกก็ตาม

ด้วยการที่เริ่มมีกระแสการสนับสนุนเกิดขึ้นมาอย่างมากนั้น นาย Yang คิดว่า Bitcoin Cash น่าจะมีตัวตนไปพร้อมกับ Bitcoin เหมือนอย่างที่ Ethereum และ Ethereum Classic กำลังทำกันอยู่ในตอนนี้

นาย Yang สรุปว่า

“ผมคิดว่า [เว็บเทรดในประเทศตะวันตก] จะให้การสนับสนุนมันในท้ายสุด ซึ่งนั่นถือเป็นการต่อสู้ที่มีผู้ใช้งานเป็นเดิมพัน พวกเขาไม่มีทางเลือกแน่ๆ ถ้าเขาไม่สนับสนุน พวกเขากจะสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดนี้ไป”

The post ViaBTC อ้างตัวเป็นกลาง เมื่อ Bitcoin Cash กำลังเข้าใกล้วันเปิดตัวขึ้นมาเรื่อยๆ appeared first on Siam Blockchain.

เก็บตกงานสัมนา Biostar Mining Decode ณ ดุสิตธานีกรุงเทพฯ

การอนุมัติของ Apple ทำให้แอพของ Dash มียอดโหลดไปแล้วเกือบ 2000 คน กล่าวโดย CEO ของ Dash

ในขณะที่ราคาของเหรียญคริปโตอื่นๆกำลังร่วงอย่างรุนแรงนั้น Dash ได้ทำการสวนกระแสดังกล่าวด้วยการอัพเดตช่วงต่อของข่าวดีก่อนหน้านี้ที่ทาง App Store ได้ทำการอนุมัติให้แอพกระเป๋าของ Dash ขึ่้นไปอยู่บน App Store ได้

โดยหลังจากการเขียนจดหมายขอร้อง Apple อยู่นานพักใหญ่ๆนั้น ในที่สุด Dash ก็ได้ประสบความสำเร็จในการนำแอพของพวกเขาขึ้นไปวางไว้บน App Store ของ Apple ที่ว่ากันว่ามีกฎข้อบังคับสำหรับนักพัฒนาที่แข็งยิ่งกว่าหิน

โดยในขณะนี้ App Store ของ Apple นั้นมีแอพที่เกี่ยวกับเหรียญ cryptocurrency อยู่เพียงแค่ 10 เหรียญเท่านั้น ซึ่งในจำนวนนั้นประกอบไปด้วยเหรียญที่มีชื่อเสียงอย่าง Dash, Bitcoin, Ethereum, Lisk, Steem, Litecoin และ Ripple

การทำงานหนักที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ

ทางนักพัฒนาหลักของ Dash หรือทีม Dash Core ได้ทำงานกันอย่างหนักในการสร้างระบบแอพพลิเคชันสำหรับโทรศัพท์มือถือเพื่อรองรับผู้ใช้งานเหรียญ altcoin ที่มากขึ้นในอนาคต

โดยการทำงานหนักของพวกเขานั้นได้ทำให้ทางผู้ใช้งานเกิดแรงบันดาลใจ และรู้สึกถึงความมั่นใจที่จะใช้แอพและเหรียญตัวดังกล่าวนี้ “ความมั่นใจว่าซอฟต์แวร์ของเราจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั้นจะเป็นตัวผลักดันทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ไกลขึ้นอีก” กล่าวโดยนาย Ryan Taylor หรือ CEO ของ Dash Core

ซึ่งความพิเศษของแอพกระเป๋า Dash ที่พัฒนาโดยทีมนักพัฒนา Dash Core นั้นจะไม่เหมือนกับแอพกระเป๋าเหรียญ altcoin แบบเก็บได้หลายเหรียญแบบอื่นๆ กล่าวคือมันจะรองรับฟีเจอร์เฉพาะตัวของเหรียญ Dash เช่นการส่งแบบทันที (ไม่มีการคอนเฟิร์มหรืออะไรทั้งสิ้น คือกดส่งแล้วจะไปถึงปลายทางทันที)

คุ้มค่ากับความเหนื่อยที่เสียไป

ด้วยเวลาพัฒนาที่มากกว่า 2 ปี ก่อนหน้านี้ทีม Dash Core นั้นได้ทำการรวบรวมเอกสารต่างๆเพื่อนำไปขอยื่นอุทธรณ์กับ Apple เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าทำไมแอพของ Dash และตัวเหรียญถึงจะสามารถเป็นประโยชน์กับผู้ใช้งานนับล้านคนทั่วโลกได้ถ้าหาก Apple อนุมัติแอพของพวกเขาบน App Store

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2016 ทาง Apple ได้เผยถึงลิสรายชื่อของสกุลเงินดิจิตอลที่พวกเขาอนุมัติให้ทำแอพที่เกี่ยวของกับมันได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีของ The DAO (หลังแยกตัว) ด้วย แต่ไม่มีของ Dash (ก่อนหน้านี้เหรียญ Dash เคยอยู่ในอันดับท็อป 10 ของกระดาน Coinmarketcap ก่อนที่จะร่วงลงมา) โดยหลังจากการอนุมัติของ Apple นั้น ทำให้เหรียญ Dash ได้กระแสตอบรับด้านบวกต่างๆมากมาย

นาย Taylor กล่าวว่า

“สองวันแรกหลังจากการอนุมัติแล้วนั้น ได้มีคนโหลดไปเกือบ 2,000 คนแล้ว ซึ่งรีวิวต่างๆที่เคยมีคนเขียนไว้ก็กลับมาหมดเลย รวมถึงการโหวต 5 ดาวด้วย”

โดย CEO ของ Dash นั้นได้ทำการขอบคุณทีมนักพัฒนาของเขา โดยเฉพาะ ‘quantumexplorer’ (นามแฝง) หรือคนที่ช่วยพัฒนาแอพได้อย่างไม่ย่อท้อจนทำให้แอพแทบจะไม่มีบัคหลงเหลืออยู่

เขายังกล่าวเพิ่มว่า

“ทั้งความใส่ใจในรายละเอียดของเขาที่ใส่ลงไปในแอพนั้น เป็นหลักฐานที่บ่งบอกอย่างดีว่าเขามี passion ให้กับโปรเจคของ Dash มากขนาดไหน”

Dash ไปข้างหน้า

เมื่อไม่นานหลังจากที่มีการอนุมัติโดย Apple นั้นส่งผลทำให้ราคาของเหรียญ Dash พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง บวกกับการสูญเสียของเหรียญ Ethereum นั้น ทำให้สองเหรียญนี้อาจกลายเป็นคู่แข่งคู่สำคัญได้ในเร็วๆนี้

แม้ว่าที่กล่าวมาจะเป็นเพียงแค่ในระยะสั้น แต่ถ้าหากมองในระยะยาวแล้วนั้น ความเอาใจใส่ของทีมนักพัฒนาเหรียญน่าจะเป็นตัวช่วยบ่งชี้ได้ดีว่าเหรียญดังกล่าวน่าจะมีอนาคตที่สดใส เนื่องจากเหรียญดังกล่าวนั้นโฟกัสไปที่ความเร็วในการส่ง รวมถึงความโปร่งใสในการทำธุรกรรม

และในตอนนี้ แอพกระเป๋า Dash นั้นสามารถโหลดมาใช้งานได้แล้วทั้งบน Android และ iOS ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้ใช้งานเหรียญ Dash ทุกๆคนจะได้เห็นการพัฒนาแอพในด้านต่างๆในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น UI, ฟีเจอร์ใหม่ๆ และอื่นๆอีกมากมาย

ด้วยความสามารถของเหรียญ บวกกับความจริงจังของนาย Taylor และทีมนั้น อาจกล่าวได้ว่าเหรียญนี้น่าจะเป็นคู่แข่งของเหรียญราชาอย่าง Bitcoin และอันดับสองอย่าง Ethereum ได้ในอนาคตก็เป็นได้

The post การอนุมัติของ Apple ทำให้แอพของ Dash มียอดโหลดไปแล้วเกือบ 2000 คน กล่าวโดย CEO ของ Dash appeared first on Siam Blockchain.

ส่วนแบ่งการตลาดของ Bitcoin ทะลุ 50% ในตลาดเหรียญ Cryptocurrency ราคาใกล้แตะ $2,800

เมื่อวานนี้ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Bitcoin นามว่า Turr Demeester ได้เผยให้เห็นว่ามูลค่าส่วนแบ่งทางการตลาดของ Bitcoin นั้นได้ทะลุ 50% ของตลาดโดยรวมของเหรียญ Cryptocurrency แล้ว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสุดในรอบสองเดือนเลยทีเดียว

แม้ว่ามูลค่าตลาดรวมของทั้งตลาดเหรียญคริปโตนั้นจะร่วงลงมาจาก 115 พันล้านดอลลาร์มาสู่ 89 พันล้านดอลลาร์ แต่ว่าการครองตลาดของ Bitcoin นั้นดูมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในขณะนี้มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin นั้นกำลังวิ่งเข้าสู่ระดับ 46 ล้านดอลลาร์

และด้วยประการฉะนั้น ทำให้ราคาของ Bitcoin เคลื่อนไหวเข้าสู่ระดับราคาที่ 2,800 ดอลลาร์ ซึ่งสาเหตุหลักๆนั้นมาจากสภาพจิตใจของนักลงทุนในตลาด Bitcoin ที่เริ่มมองมันเป็นด้านบวก อันเนื่องมาจากว่าจะมีการเปิดใช้งาน SegWit ในวันที่ 1 สิงหาคมที่จะถึงนี้

การแยกตัวของ Bitcoin นั้นใกล้เข้ามา แต่ทำไมตลาดยังมั่นใจในตัว Bitcoin?

เว็บเทรดชื่อดังในวงการเหรียญคริปโตอบ่าง Coinbase, Bifinex และ Bitstamp ได้ออกมาแสดงจุดยืนของพวกเขาเกี่ยวกับ Bitcoin Cash แล้วซึ่งข้อเสนอ hard fork ดังกล่าวนั้นได้ถูกเสนอโดย ViaBTC

ในตอนเริ่มต้นนั้น Bitmain เป็นผู้พัฒนา Bitcoin ABC เพื่อเป็นแผนการสำหรับรองรับ BIP 148 หรือการเปิดสัญญาณการใช้งาน UASF (user-activated soft fork) ของเครือข่าย Bitcoin แต่ภายหลังกลุ่ม community ของนักขุดนั้นได้ทำการประชุมกันและได้ข้อตกลงว่าจะทำการเปิดใช้งาน BIP 141 หรือการเปิดสัญญาณการใช้งาน SegWit ตัวดั้งเดิมนั่นเอง โดยภายหลังจากนั้น โอกาสในการแยกตัวของ Bitcoin ไปเป็น Bitcoin ABC หรือ Bitcoin Cash นั้นก็ลดลง

แต่กระนั้น ViaBTC หรือผู้ให้บริการด้านการขุดและเว็บเทรดในประเทศจีนก็ได้ทำการประกาศเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเขาสนับสนุนการ hard fork เพื่อให้เป็น Bitcoin Cash เพื่อสร้างเวอร์ชันของ Bitcoin ที่แตกแยกออกมาจาก Blockchain ของ Bitcoin อีกทีหนึ่ง ซึ่งการประกาศของ ViaBTC นั้นทำให้ทาง Bitmain ถึงกับตกใจอย่างรุนแรง จนต้องออกมาประกาศหลังจากนั้นว่า Bitcoin ABC เป็นโค้ดที่ทำไว้เพื่อเป็นแผนรองรับ BIP 148 เท่านั้น

อีกทั้งราคาของ Bitcoin Cash ที่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็น “Bitcoin Crash” นั้น กล่าวคือเมื่อวานนี้ราคาของ Bitcoin Cash ได้ร่วงลงไปอย่างรุนแรง จนหลายๆคนเชื่อว่าเหรียญดังกล่าวนั้นน่าจะมีชะตากรรมที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกก่อนที่จะถูกพัฒนาขึ้นมาเสียอีก

The post ส่วนแบ่งการตลาดของ Bitcoin ทะลุ 50% ในตลาดเหรียญ Cryptocurrency ราคาใกล้แตะ $2,800 appeared first on Siam Blockchain.

บริษัทด้านเคมี Lysergi แนะให้ใช้ Litecoin ดีกว่า Bitcoin

บริษัทผู้ค้นคว้าวิจัยและผลิตสารเคมี Lysergi แนะนำให้ลูกค้าของพวกเขาและคนทั่วๆไปใช้เหรียญคริปโตอย่าง Litecoin มากกว่า Bitcoin เนื่องจากบริษัทดังกล่าวนั้นเคลมว่า Litecoin มีข้อดีและข้อได้เปรียบมากกว่า Bitcoin ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าและเวลาในการโอนส่งกันที่เร็วกว่า

โดยในอีเมล์ที่ส่งหาลูกค้าของพวกเขานั้น ทาง Lysergi ได้กล่าวว่าทางลูกค้าสามารถที่จะใช้ Litecoin แทน Bitcoin เมื่อใดก็ได้ที่มีโอกาส

“เราสนับสนุนให้ลูกค้าของเราใช้ Litecoin มากกว่า Bitcoin เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส เนื่องจากทางลูกค้าจะได้ประหยัดเงินเป็นจำนวนมากเวลาส่ง ซึ่ง Litecoin นั้นสามารถที่จะหาซื้อได้ตามเว็บเทรดใหญ่อย่างเช่น Coinbase”

ค่าธรรมเนียมของ Litecoin VS Bitcoin

หากกล่าวถึงข้อได้เปรียบของ Litecoin ตามที่บริษัทดังกล่าวได้แนะนำออกมา ไม่ว่าจะเป็นราคาค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าและความเร็วในการส่งแล้วนั้น ข้อที่เด่นชัดที่สุดคงจะเป็นในเรื่องของความเร็วในการส่งหากัน ซึ่งข้อนี้เป็นความจริง โดยปกติแล้ว Bitcoin ในปัจจุบันจะใช้เวลาส่งประมาณ 10 นาทีโดยเฉลี่ย และถ้าหากมีช่วงไหนที่เครือข่ายของ Bitcoin มีผู้ใช้งานเยอะแล้วนั้น ระยะเวลาส่งอาจกลายเป็นหลายชั่วโมงไปจนถึงระดับวันเลยทีเดียว

แต่กระนั้น ในด้านของค่าธรรมเนียมก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้ เนื่องจากในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ทางเครือข่ายของ Bitcoin จะมีการติดตั้งระบบที่เรียกว่า SegWit ที่ซึ่งจะทำให้การส่ง Bitcoin หากันนั้นมีความเร็วมากขึ้น

The post บริษัทด้านเคมี Lysergi แนะให้ใช้ Litecoin ดีกว่า Bitcoin appeared first on Siam Blockchain.

นักขุด Ethereum เช่าเครื่องบิน Boeing 747 เพื่อส่งชิพการ์ดจอ AMD ราคาหุ้นพุ่ง

นักขุด Ethereum ที่ทำการซื้อชิพ AMD กำลังช่วยผลักราคาหุ้นของ AMD ให้สูงมากขึ้น เมื่อมีนักขุดบางคนได้ทำการเช่าเครื่องบิน Boeing 747 จำนวนหลายลำเพื่อทำการข่นส่งชิพเหล่านี้มาให้พวกเขา

อ้างอิงจากรายงานของ Quartz นั้น ราคาหุ้นของบริษัท AMD เพิ่มขึ้นถึง 11% เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยหากนับย้อนหลังไป 12 เดือนนั้น ราคาตลาดหุ้นของบริษัทดังกล่าวพุ่งขึ้นไปแล้วถึง 152% ซึ่งนั่นทำให้ AMD ได้ขึ้นแท่นอันดับ 4 ของ S&P500 ในหมวดหุ้นที่มีอัตราการเพิ่มที่มากที่สุดอีกด้วย

นาง Lisa Lu หรือ CEO ของบริษัท AMD กล่าวยอมรับว่าทางบริษัทได้มีการขายชิพประมวลผลให้กับนักขุดเหรียญคริปโตในอัตราที่สูงมาก

“ในขณะที่ทีมการจัดการไม่ได้บอกมาว่าเป็นจำนวนเท่าไร แต่ทางเราก็แน่ใจว่าการพุ่งขึ้นของยอดขายนั้นส่วนใหญ่มากจากนักขุดเหรียญ cryptucurrency เสียเป็นส่วนใหญ่”

เช่าเครื่องบินโบอิ้ง 747

เหรียญ Ethereum นั้นเป็นเหรียญคริปโตอันดับสองของโลกรองจาก Bitcoin โดยมีมูลค่าตลาดรวมที่ 18.3 ล้านดอลลาร์ ซึ่งได้รับความสนใจจากนักเก็งกำไรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านของการลงทุน ICO ที่กำลังมีเพิ่มมากขึ้นในทุกๆวัน อย่างไรก็ตาม มูลค่าของมันนั้นก็ได้ร่วงลงราวๆเกือบ 8% จากเมื่อวาน และมีมูลค่าตลาดรวมเหลือเพียงแค่ 17.6 พันล้านดอลลาร์

แม้จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น แต่นักลงทุนส่วนมากก็ยังหันมาลงทุนกันอย่างเป็นจำนวนมาก เพราะด้วยธรรมชาติของมันที่สามารถสร้างกำไรได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นทำให้นักขุด Ethereum นั้นได้ทำการเช่าเครื่องบินโบอิ้ง 747 เพื่อทำการชนส่งชิพ AMD และ Nvidia เป็นการส่วนตัว เพื่อที่พวกเขาจะได้รับมันอย่างรวดเร็ว

นาย Marco Streng หรือ CEO ของบริษัท Genesis Mining ผู้ที่เช่าเครื่องบินดังกล่าวได้ออกมาพูดว่า

“เวลานั้นเป็นสิ่งสำคัญ มากถึงมากที่สุด เพราะงั้นเราถึงได้ทำการเช่าเครื่องบิน Boeing 747 แบบเหมาลำทั้งลำเพื่อให้การขนส่งนั้นรวดเร็วตรงเวลา แต่ถ้าขนส่งทางเรือเหรอ รับรองว่ากำไรคุณสูญเสียไปเยอะแน่”

ในขณะที่รายงานข่าวอยู่นี้ ราคาของ Ethereum อยู่ที่ 188.13 ดอลลาร์ อ้างอิงจากเว็บ Coinmarketcap

โอกาสในการสร้างกำไร 40 เท่า

ในการใช้ชิพประมวลผล GPU จากค่าย AMD หรือ Nvidia จะทำให้นักขุดสามารถทำรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้อุปกรณ์ในการขุดที่มากนั้น ต้นทุนที่จะตามมาอย่างมหาศาลก็คือค่าไฟฟ้า

อ้างอิงจาก Quartz นั้น การเพิ่มขึ้นของราคาของเหรียญ Ethereum จาก 8 ดอลลาร์เมื่อต้นปีจนกระทั่งไปแตะจุดสูงสุดที่ 400 ดอลลาร์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาหมายถึงนักขุดนั้นจะได้กำไรไปราวๆ 40 เท่า

นาย Marco กล่าวเพิ่มว่า

“ทุกๆคนเริ่มจะรู้ถึงการทำกำไรแบบนี้แล้ว และก็มีความต้องการในตัว GPU เพื่อมาทำกำไรแบบพวกเราบ้าง ซึ่งอัตราผลตอบแทนจากการขุดเหรียญ Ethereum นั้นได้พุ่งสูงไปถึง 40% แต่ราคาการ์ดจอก็ยังอยู่เท่าเดิม ซึ่งนั่นถือเป็นโมเดลธุรกิจการลงทุนที่มีต้นทุนที่ถูกมาก สำหรับผู้คนที่อยากจะลองมาขุดดู”

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ก่อนหน้านี้ได้มีรายงานว่ามีกลุ่มนักขุด Ethereum ออกมาขายการ์ดจอของตัวเองทิ้งเพื่อหนีตายเอาตัวรอดจากราคาของเหรียญ ETH ที่กำลังร่วงอย่างรุนแรง โดยอ้างอิงจาก Motherboard

The post นักขุด Ethereum เช่าเครื่องบิน Boeing 747 เพื่อส่งชิพการ์ดจอ AMD ราคาหุ้นพุ่ง appeared first on Siam Blockchain.

Friday, July 28, 2017

รู้เท่าทันแชร์ลูกโซ่ Cryptocurrency

กระแสความนิยมของ Bitcoin และ Cryptocurrency อื่นๆ มีแต่จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ประกอบกับราคาที่เพิ่มขึ้นเคียงคู่ไปเช่นกัน หลังจาก Bitcoin ผ่านบททดสอบใหญ่จาก BIP91 ซึ่งก็ได้จบลงด้วยดีที่จะไม่เกิดการแบ่งแยกเป็น 2 เหรียญขึ้น ทำให้ราคากลับขึ้นมาอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นอีกครั้ง ความเชื่อมั่นจึงเริ่มกลับมา

การลงทุนใน Cryptocurrency จึงเริ่มเป็นอะไรที่คนสนใจ ทำให้เกิดการดึงดูดให้คนที่ไม่ได้ศึกษาในเชิงลึก และไม่ได้มีความเข้าใจที่แท้จริงเข้ามาลงเงินในสิ่งนี้ได้ คนเหล่านี้อาจจะโดนกลลวงจากแชร์ลูกโซ่หรือองค์กรที่หลอกลวงโดยนำ Cryptocurrency มาบังหน้าได้ และเมื่อเกิดการโกงที่มากขึ้น ข่าวแย่ๆเหล่านี้จะส่งผลร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ของ Cryptocurrency ในสายตาของคนส่วนมาก ยิ่งทำให้คนต่อต้านมากขึ้น ในบทความนี้ Siam Blockchain จะมาสร้างภูมิคุ้มกันให้ทุกๆท่าน ปลอดภัยจากภัยหลอกลวงอันตรายจากการลงทุนใน Cryptocurrency

4 รูปแบบกลโกงแฝง Cryptocurrency

การนำ Cryptocurrency มาใช้เป็นเครื่องมือในการฉ้อโกงนั้น หลักๆแล้วมักจะมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ

  1. Cloud Mining
  2. การลงทุนโดยใช้ Cryptocurrency
  3. Cryptocurrency ปลอม
  4. เว็บเทรด Cryptocurrency

นี่คือ 4 รูปแบบหลักที่ผู้อ่านทุกท่านจะต้องระวัง และทำความเข้าใจกับสิ่งที่เราถูกเสนอหรือหยิบยื่นมาอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะทำการลงทุนใดๆ

Cloud Mining

Cloud Mining ถือเป็นสิ่งที่สร้างความสะดวกสบายให้กับนักลงทุน Cryptocurrency ระดับเริ่มต้นที่สนใจการขุดได้เป็นอย่างดี โดยการที่เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลา และทรัพยากรในการดูแลเหมืองขุดของเราเอง แต่เราจะทำการซื้อหรือเช่ากำลังขุดจากเหมืองออนไลน์นี้ สำหรับบาง Cloud Mining มีการเปิดเผยชัดเจนว่าเหมืองอยู่ที่ไหน มีการถ่ายวีดีโอทัวร์รอบโรงงาน แต่สำหรับบางเจ้าก็ไม่ได้มีการเปิดเผยที่มากมายขนาดนั้น โดยที่ Cloud Mining บางเจ้าก็อาจจะไม่ได้เป็นเจ้าของกำลังขุดที่ปล่อยขายอยู่ 100% บางส่วนอาจจะทำการซื้อกำลังขุดมาจาก Cloud Mining เจ้าอื่นก็ได้ แต่ยังไงก็ตาม Cloud Mining ก็เป็นการลงทุนที่เสี่ยง ถึงแม้เจ้าที่เราลงเงินไปจะมีชื่อเสียงก็ตาม แต่ไม่ได้แปลว่าเขาพลาดไม่ได้ ล่าสุด Genesis Mining ซึ่งเป็นเจ้าใหญ่ของฝั่งยุโรปก็โดน hack ได้

วิธีป้องกันตัวเอง

ถ้าต้องการลงทุนใน Cloud Mining จริงๆ

  1. เลือกผู้ให้บริการที่โปร่งใส จัดการอย่างมีระบบ น่าเชื่อถือ ไม่มีข่าวเสียหายในอดีต หรือถ้ามีก็ต้องพิจารณาจากการแก้ปัญหานั้นๆว่าทำได้อย่างถูกต้องและยุติธรรมต่อลูกค้าหรือไม่
  2. หมั่นนำเงินที่ได้จากการขุด Cloud Mining ออกมาเก็บในที่ที่ปลอดภัยอยู่เป็นประจำ

การลงทุนโดยใช้ Cryptocurrency

Cryptocurrency ทำให้การทำธุรกรรมและการใช้จ่ายเงินเกิดได้ง่ายขึ้น ทำให้มีธุรกิจในเชิงของการลงทุนเกิดขึ้นมาใหม่ๆเรื่อยๆ แต่เดิมการลงทุนด้วยเงินในอะไรสักอย่างนั้นจะต้องผ่านกระบวนการหลายอย่าง เช่น จะต้องเปิดพอร์ตหุ้น และตลาดหุ้นก็ต้องมีหน่วยงานมาคอยรองรับและตรวจสอบ แต่สำหรับ Cryptocurrency ที่มีความอิสระและไร้ศูนย์กลาง ทำให้การลงทุนเกิดขึ้นได้จากปลายนิ้วสัมผัส บ้างก็อ้างว่า เป็นการนำ Cryptocurrency ที่เราลงทุน ไปทำการแลกเปลี่ยนและเทรดแล้วจะนำกำไรมาแบ่ง ซึ่งทำกำไรได้ดีและคงที่มาก หรือ บ้างก็อ้างว่าเป็นการระดมทุน ICO สำหรับโปรเจ็คใหม่ที่มีคอนเซปต์สวยหรู แต่ความจริงแล้วอาจจะยังไม่เริ่มพัฒนา หรือยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำได้จริงหรือไม่

วิธีป้องกันตัวเอง

  1. อยากให้ทุกท่านฉุกคิด และทำความเข้าใจว่า การลงทุนไม่ว่าอะไรก็ตาม แม้แต่สุดยอดนักลงทุน ก็ต้องมีจังหวะขาลงที่ขาดทุนบ้าง การที่เราเจอกับโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่มีแต่ได้กับได้ ด้วยกำไรที่สูงและสม่ำเสมอนั้น แทบเป็นไปไม่ได้จริง
  2. การลงทุนที่สำเร็จไม่ใช่การที่เราชนะตลอด ไม่ใช่การที่เราหยั่งรู้ได้ล่วงหน้าอย่างถูกต้องแม่นยำว่าควรจะลงทุนกับอะไรในจังหวะไหน แต่การกระจายและจัดการกับความเสี่ยงอย่างชาญฉลาดและรอบคอบต่างหากที่สร้างความสำเร็จให้กับการลงทุน เพราะเราไม่สามารถตอบได้เลยว่าเราจะได้หรือเราจะเสียกันแน่

Cryptocurrency ปลอม

เงินดิจิตอลสกุลใหม่ปรากฎตัวขึ้นมาในทุกๆวัน แต่ละเหรียญนั้นก็มีข้อแตกต่างและจุดประสงค์ของตัวเองในการสร้างมันขึ้นมา เหรียญเหล่านี้มักมีอะไรที่เหมือนๆกัน อย่างเช่น ใช้ Blockchain เหมือนกัน ใช้ Proof of Work สำหรับการขุดเหมือนกัน หรือถูกใช้งานเหมือนเป็นสกุลเงินได้เหมือนกัน แต่ภัยร้ายที่มักแอบแฝงเข้ามาได้คือ Cryptocurrency ปลอมที่อาจจะสร้างโดยองค์กรแชร์ลูกโซ่ที่จะล่อลวงให้คนมาเข้าร่วมกลุ่มและลงทุนในสิ่งนี้ อีกทั้งอาจจะยังมีการแบ่งลำดับขั้นให้สำหรับผู้ที่ชักชวนคนมาลงทุนเพิ่มพร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมาย

ถ้าเห็นมาแนวอย่างนี้ ไม่ต้องสงสัยครับว่ามันคือแชร์ลูกโซ่แน่นอน ถึงแม้เหรียญจอมปลอมบางเจ้าจะทำการบ้านมาดี อ้างว่าตนเองนั้นตั้งอยู่บน Blockchain อันสุดแสนจะน่าเชื่อถือก็ตาม พร้อมทั้งมี Blockexplorer ของตัวเองด้วย ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะพูดจริงตามที่ว่ามา มันอาจจะเป็นเว็บที่ทำหลอกๆให้ดูเหมือนว่ามี Block และ Transaction เกิดขึ้นเรื่อยๆก็ได้

วิธีการป้องกันตัวเอง

  1. ศึกษาหลักการทำงานของเหรียญนั้นในเชิงลึก
  2. สิ่งที่ควรเน้นคือการศึกษาว่าเหรียญนี้มีความโดดเด่นต่างจากเหรียญอื่นๆยังไง ถ้าเหรียญนี้ไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่ๆ ให้โยนทิ้งได้เลย เพราะในเมื่อในตลาดมันมีอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ของซ้ำๆเดิมๆจะมาทำรายได้หรือมีอนาคต
  3. อย่าหลงเชื่อคำกล่าวอ้างว่ามีคนดัง ที่น่าเชื่อถือเป็นผู้พัฒนาและเป็นเจ้าของ หรือใช้เทคโนโลยี Blockchain เหมือนเหรียญอื่นๆ ให้ศึกษาและพิสูจน์ด้วยตัวเองก่อนว่าคนดังเหล่านี้น่าเชื่อถือจริงแน่ๆนะ และ Blockchain นี้มันย้อมแมวหรือเหล่า
  4. ถ้าเข้าเว็บ Coinmarketcap แล้วไม่เจอชื่อเหรียญนี้ ก็ควรจะคิดทบทวนซ้ำๆก่อนลงทุนแล้วล่ะครับว่าจะเสี่ยงกับเหรียญนี้หรือไม่ เพราะเว็บนี้คือเว็บที่รวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนทั้ง Market Cap และ Daily Trade Volume ของแต่ละเหรียญ ถ้าเค้ามาอยู่ในเว็บนี้แล้ว แปลว่าต้องมีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง
  5. เว็บ BadBitcoin.org เป็นที่รวมเว็บหรือเหรียญที่หลอกลวงชาวบ้านไว้โดยเป็นฝีมือของผู้ใช้งานทั่วไปในวงการ Cryptocurrency ที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ถ้ามีชื่ออยู่ในเว็บนี้ก็ให้ระวังตัวไว้ให้มากยิ่งขึ้น

เว็บเทรด Cryptocurrency

การเทรด Cryptocurrency น่าจะเป็นช่องทางการลงทุนที่ง่ายที่สุด แต่ก่อนนั้นมีไม่กี่เว็บเทรดที่คนไทยเข้าถึงได้ แต่ ณ ตอนนี้เริ่มมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางตัวเลือกก็อาจจะเป็นของปลอมที่สร้างมาหลอกลวงก็ได้

วิธีป้องกันตัวเอง

  1. ศึกษาที่มาที่ไปของบริษัท และเจ้าของบริษัท ว่าเคยมีข่าวเสียหายหรือไม่ และจดทะเบียนมานานแค่ไหน ผลประกอบการเป็นอย่างไร ได้รับการอนุมัติจากธนาคารแห่งชาติหรือไม่
  2. ศึกษาข้อมูลความโปร่งใสของบริษัท ว่ามีการแจกแจงชัดเจน อย่างเช่น http://ift.tt/2vQcEHa แบบนี้หรือไม่ และถ้ามีแล้ว ให้เข้าไปตรวจสอบด้วยว่าข้อมูลเหล่านี้จริงเท็จแค่ไหน เราอาจจะเจอกรณีแปลกๆที่ปริมาณเหรียญที่เทรดๆกันอยู่ อาจจะมากกว่าปริมาณที่เว็บเทรดถือไว้ ณ ปัจจุบันก็ได้
  3. ดูระบบความปลอดภัยที่เว็บนั้นๆมีให้ ถ้ามีระบบอย่าง 2 Factor Authentication หรือ SMS Verification และมาตรการความปลอดภัยที่ดูมีมาตรฐานเป็นสากล ก็จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าไม่มี หรือมีแค่ไม่กี่อย่างและทำงานได้ไม่ดีด้วย ก็ให้เพิ่มความระมัดระวัง
  4. นำเหรียญที่อยู่ในเว็บเทรดออกไปเก็บใน Wallet ที่ปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ

สรุปสัญญาณอันตรายแชร์ลูกโซ่ Cryptocurrency ที่คุณต้องรู้

  1. อ้างว่าได้กำไรสูง สม่ำเสมอ และรวดเร็ว
  2. การได้กำไร หรือได้ผลตอบแทน มีการนำระบบของการเชื้อเชิญคนเพิ่มเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นหลัก ทั้งนี้ อย่าสับสนระหว่างระบบ Affliate หรือ Referral ของเว็บเทรดต่างๆ ซึ่งเป็นแค่การตลาดของการเพื่อนชวนเพื่อนธรรมดา ที่เราจะได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อยในฐานะผู้เชิญชวน แต่ถ้ารายได้หลักมาจากการเชิญชวน หรือยิ่งมีการสร้างลำดับขั้นแตกกิ่งแบ่งสายอัพไลน์ดาวน์ไลน์แล้วล่ะก็ ให้มั่นใจได้เลยว่านี่คือแชร์ลูกโซ่แน่นอน เพราะ Cryptocurrency มีมูลค่าได้จากการแลกเปลี่ยน และความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี ไม่ใช่รูปแบบจากการเชื้อเชิญแบบนี้
  3. ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้สร้าง หรือใครเป็นเจ้าของ โดยมักจะมีการอ้างชื่อคนนู้นคนนี้ว่ามีชื่อเสียง เป็นนักลงทุนชื่อดังจากต่างประเทศ แต่ลองเสียเวลาหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาสักนิด อาจจะเจอข่าวไม่ดี พัวพันกับการฉ้อโกง
  4. ไม่มีแหล่งข้อมูลสาธารณะที่เข้าถึงง่าย เช่น เว็บไซต์แบบ Bitcoin.org จำเป็นต้องเข้าร่วมกลุ่มจึงจะได้ข้อมูล เพราะถ้าเปิดข้อมูลให้เข้าถึงได้ง่ายๆ เดี๋ยวก็รู้กันหมดว่าโกง
  5. Blockchain เป็น Closed Source หรือเป็น Blockchain แบบส่วนตัว ถ้า Search Google ว่า “ชื่อเหรียญ source code” แล้วไม่เจอเว็บที่เก็บ Source Code ของโปรแกรม Blockchain ของเหรียญนั้นๆ ให้ระวังไว้ และบางเหรียญใช้ Private Blockchain ไม่เหมือน Public Blockchain แบบ Bitcoin หรือ Ethereum ก็ให้ระวังไว้เช่นกัน เพราะเหตุผลที่พวกเขาไม่เปิดเผย Source Code หรือ Blockchain สู่สาธารณะ เพราะพวกเขาอาจมีความลับบางอย่างอยู่ ว่าเหรียญนั้นอาจจะไม่ได้ทำงานแบบที่โฆษณาไว้จริงๆ
  6. มีแต่ระบบแลกเปลี่ยนกันภายใน ไม่มีกระดานเทรดที่รองรับ
  7. ไม่มีชื่อใน Coinmarketcap และ/หรือ มีชื่อใน
  8. BadBitcoinไม่มีการแจกแจงข้อมูลในการทำธุรกิจอย่างชัดเจนและโปร่งใส เช่น การโชว์เหมือง Cloud Mining ให้ดู หรือ การโชว์จำนวน และ Transaction ของเหรียญในกระดานเทรดนั้นๆ
  9. ไม่มีการจดทะเบียนเป็นบริษัท หรือเพิ่งจดทะเบียนใหม่ๆ หรือจดทะเบียนมานานพอสมควรแต่ไม่เห็นผลประกอบการ สำหรับ Cryptocurrency ที่ถูกสร้างใหม่มักจะไม่มีใครจดบริษัทมาเป็นเจ้าของมันเนื่องมาจากความไร้ศูนย์กลาง แต่สำหรับ Cloud Mining หรือ เว็บเทรด แล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา

ทุกวันนี้เทคโนโลยีก้าวไปไกลมากขึ้น เมื่อมีทั้งการเกิดขึ้นมาของ Bitcoin, Blockchain หรือ Cryptocurrency ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ทำเงินได้อย่างมหาศาล ทำให้เป็นสิ่งที่ดึงดูดคนที่ชอบฉวยโอกาสจากความไม่รู้ ความประมาท และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคน เพื่อหาประโยชน์เข้าตัวเอง หลังจากอ่านบทความนี้จบ เชื่อว่า Siam Blockchain จะสามารถให้ความรู้กับผู้อ่าน และยังสร้างความตื่นตัวในการระมัดระวังแชร์ลูกโซ่และการหลอกลวงที่ใช้ Cryptocurrency มาบังหน้าได้มากขึ้น เพื่อลดโอกาสการโดนหลอกและทำให้สังคมของ Cryptocurrency เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีแห่งอนาคตนี้ สืบต่อไป

The post รู้เท่าทันแชร์ลูกโซ่ Cryptocurrency appeared first on Siam Blockchain.

“การขุดเหรียญ Cryptocurrency ไม่ใช่ตัวช่วยผลักดันธุรกิจในระยะยาว” กล่าวโดย AMD

บริษัทผู้ผลิตชิปอิเลคทรอนิคส์ AMD ได้มียอดขายของเดือนสองเดือนที่ผ่านมาพุ่งขึ้นอย่างไม่เป็นปกติ เนื่องจากความต้องการในตัวการ์ดจอของนักขุดเหรียญคริปโตมีขึ้นสูงอย่างมาก

อ้างอิงจากรายงานด้านการเงินฉบับล่าสุดนั้น AMD ได้ทำยอดขายที่ 1.22 พันล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2017 ซึ่งพุ่งขึ้นถึง 19% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยการเพิ่มขึ้นของยอดขายดังกล่าวนั้น ทางบริษัท AMD ได้ออกมาเผยว่าส่วนใหญ่แล้วมาจากการขายการ์ดจอทั้งสิน

กระนั้น ตลาดการขุดเหรียญคริปโตก็ยังไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแผนการที่จะทำให้บริษัทเติบโตได้ในระยะยาว อ้างอิงจากนาง Lisa Su ประธานและ CEO ของบริษัท AMD

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปได้อย่างต่อเนื่องเพราะว่าอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน

นาง Lisa กล่าวว่า

“ในส่วนของ Cryptocurrency นั้น เราได้พบว่าไม่นานมานี้มี demand ที่พุ่งขึ้นสูงอย่างมาก แต่มันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะบอกว่าเราไม่มีแพลนเกี่ยวกับเหรียญคริปโตในแผนการในอนาคตของเรา และเราไม่ได้มองมันเป็นตัวช่วยผลักดันธุรกิจในระยะยาว แต่เราจะยังคงเฝ้าดูการเติบโตของตลาดเทคโนโลยี Blockchain ต่อไป”

การขุดเหรียญคริปโตนั้นคือขั้นตอนที่หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ทำการบันทึกธุรกรรมใหม่ๆเข้าไปใน Blockchain โดยทุกๆการขึ้น Block ใหม่ นักขุดจะได้รางวัลเป็นเหรียญต่างๆที่พวกเขาขุดขึ้นมา โดยผลตอบแทนนั้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถของชิปประมวลคอมพิวเตอร์นั้นๆ, ค่าความยากง่ายในการขุดที่กฎโพรโตคอลกำหนดไว้ และราคาของเหรียญนั้นๆ

ซึ่งการ์ดจอของ AMD ส่วนใหญ่นั้นทางนักขุดเชื่อว่ามีความเหมาะสมในการขุดเรียญ Ethereum มากกว่า ในขณะที่การ์ดจอของ Nvidia จะเหมาะสำหรับการขุดเหรียญ Zcash ในขณะเดียวกันการขุด Bitcoin นั้นจะไม่สามารถใช้การ์ดจอขุดได้ แต่จะมีเครื่องสำหรับขุดที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะที่มีชื่อว่า ASIC

The post “การขุดเหรียญ Cryptocurrency ไม่ใช่ตัวช่วยผลักดันธุรกิจในระยะยาว” กล่าวโดย AMD appeared first on Siam Blockchain.

Bitcoin Crash? ราคาฟิวเจอร์ของ Bitcoin Cash ร่วง 50% ของ Bitcoin ขึ้น 9%

ราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้น ในขณะที่ของ Bitcoin Cash Futures (BCC) ร่วงลงมาแล้วกว่า 50% ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 สิงหาคมนี้

ข้อมูลจาก ViaBTC แสดงให้เห็นถึงราคาของ Bitcoin Cash ที่ร่วงลงไปจาก 0.15 BTC ไปที่ 0.08 BTC ต่อ 1 BCC ในเวลา 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

โดยหลังจากนั้นเวฟ correction ก็ส่งให้ราคา BCC ขึ้นมาที่ 0.109 ซึ่งก็ยังคิดเป็นอัตราสูญเสียอยู่ที่ราวๆ 27% ต่อวัน

นาย Alistair Milne หรือนักลงทุนสาย cryptocurrency ได้ออกมาทวีตแสดงความเห็นถึงการตกของราคาว่ามันถือเป็นโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่ก่อนที่จะสร้าง Bitcoin Cash ขึ้นมาเสียอีก


อย่างไรก็ตาม บางคนก็มีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นนาย Roger Ver ที่ก่อนหน้านี้ออกมาบอกว่าเขาจะให้การสนับสนุน BCC โดยหลายๆคนคาดว่าหลังจากนั้นราคาน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในด้านที่ดีขึ้นแต่ก็ทว่าทุกอย่างก็จะกลับตาลปัตรไปหมด

เมื่อวานนี้ HitBYC ประกาศว่าพวกเขาจะเดินรอยตาม ViaBTC ในการเปิดกระดานเทรดฟิวเจอร์สสำหรับเหรียญ Bitcoin Cash

ในขณะเดียวกัน ราคาของ Bitcoin ก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในตอนนี้ทะลุระดับราคาที่ 2,800 ดอลลาร์แล้ว โดยขณะที่รายงานข่าวอยู่นี้ ราคา Bitcoin อยู่ที่ 2,833 ดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นมาถึง 9.44% และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 46.6 ล้านดอลลาร์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap

The post Bitcoin Crash? ราคาฟิวเจอร์ของ Bitcoin Cash ร่วง 50% ของ Bitcoin ขึ้น 9% appeared first on Siam Blockchain.

บริษัท Blockchain Global กำลังสร้างระบบเทรดสำหรับเหรียญ NEM โดยเฉพาะ

บริษัทสัญชาติออสเตรเลีย Blockchain Global หรือบริษัททางด้านการขุด Bitcoin และผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ Blockchain ของ Bitcoin จะทำการเปิดตัวเว็บเทรดสำหรับเหรียญ NEM โดยเฉพาะ โดยอ้างอิงจากนิตยสาร Finance Magnates บริษัท Blockchain Global ได้เคลมว่าพวกเขาได้ทำการซื้อขายมันมามากกว่า 600 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียแล้ว

เหรียญ NEM ปัจจุบันนั้นอยู่อันดับที่ 5 บนกระดาน Coinmarketcap ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์

นาย Sam Lee หรือ CEO ของ Blockchain Global กล่าวว่าการร่วมมือกันระหว่างบริษัทของเขากับทาง NEM นั้นจะทำให้เว็บเทรดของเขากลายเป็นอันดับต้นๆของโลก เนื่องจากในปัจจุบันไม่มีบริษัทไหนในประเทศออสเตรเลียที่ทำเว็บเทรดเหรียญคริปโตเลย นาย Sam ยังกล่าวอีกว่าทาง Blockchain Global นั้นรู้สึกตื่นเต้นที่มีทางทีมงานของ NEM เข้ามาช่วยสร้างระบบซื้อขาย, blockchain IP และวิธีการบริหารจัดการการพัฒนาระบบในกรณีที่มีเหรียญใหม่ๆในอนาคตเข้ามา

เว็บเทรดอื่นๆกำลังตามมา

นาย William Saunders หรือผู้จัดการฝ่าย business development ของ Blockchain Global กล่าวว่าเว็บเทรด NEM นั้นจะปูทางสู่การเป็นผู้นำทางด้านเว็บเทรดเหรียญคริปโต และกุมอนาคตของวงการนี้ไว้ด้วยระบบซื้อขายของพวกเขา

นาย Lon Wong หรือประธานของ NEM Foundation กล่าวว่าทางสมาคมนั้นต้องการที่จะแน่ใจว่าทางบริษัท Blockchain Global จะสามารถใช้ระบบ NEM ได้โดยไม่ถูกเว็บเทรดอื่นสร้างปัญหาทางด้าน demand เนื่องจากปัจจุบันตลาด cryptocurrency ระดับโลกและระบบ ecosystem นั้นกำลังบูมอย่างมาก

ราคาเหรียญ NEM พุ่ง

ดูเหมือนว่า NEM จะเป็นหนึ่งในเหรียญที่เกาะกระแสการบูมของตลาดได้ดีมากกว่าเหรียญอื่นๆในปีนี้ ซึ่งมันได้มีการเพิ่มขึ้นของราคาได้อย่างเห็นได้ชัดในเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยมันเคยมีมูลค่าตลาดรวมสูงสุดอยู๋ที่ 2 พันล้านดอลลาร์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จากนั้นก็ร่วงไปที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ก่อนที่จะเด้งไปที่ 1.6 พันล้านดอลลาร์ในวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา อ้างอิงจากเว็บ Coinmarketcap

เหรียญ NEM นั้นถูกสร้างและพัฒนาโดยชาวญี่ปุ่นนามว่า Makoto Takemiya หรือผู้ก่อตั้งร่วมและ CEO ของบริษัท Soramitsu บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทที่นำเสนอโคงการ Iroha blockchain ให้กับ Hyperledger project ของ Linux

นาย Takemiya มีส่วนเกี่ยวข้องในการช่วยรัฐบาลญี่ปุ่นในการพัฒนาโครงการหลายๆโครงการ อาทิเช่นการทำให้ Bitcoin ในประเทศญี่ปุ่นถูกกฎหมายจนทำให้ตลาดเหรียญคริปโตทั่วโลกเกิดการบูม และเป็นจุดำเนิดเหรียญ NEM ขึ้นมา โดยในปัจจุบันนาย Takemiya นั้นไม่ได้มีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าวแล้ว

The post บริษัท Blockchain Global กำลังสร้างระบบเทรดสำหรับเหรียญ NEM โดยเฉพาะ appeared first on Siam Blockchain.

Coinbase ประกาศไม่สนับสนุน Bitcoin Cash บอกลูกค้าถ้าอยากได้ให้โอน BTC ออก

ท่ามกลางความตื่นกลัวของนักเทรด Bitcoin ที่เกรงว่า hard fork ตัวใหม่ของ Bitcoin Cash ที่จะมาในวันที่ 1 สิงหาคมนี้จะมาทำให้ตลาด Bitcoin ผันผวนนั้น เว็บเทรด Coinbase ได้ออกมาประกาศจุดยืนและแนวทางสำหรับผู้ใช้งาน

ไร้ความแน่นอน

ทางเว็บ Coinbase นั้นได้ทำการกล่าวในอีเมล์ที่ส่งถึงลูกค้าของพวกเขาว่าจะไม่สนับสนุนเหรียญ Bitcoin Cash (BCC) ที่จะถูกสร้างขึ้นมาหลังจากมีการ fork เกิดขึ้น โดยสาเหตุก็เพราะว่าทางบริษัท Coinbase นั้นไม่รู้ถึงอนาคตของมูลค่าตลาดของมันหลังการ fork รวมถึงอนาคตโดยรวมของเหรียญดังกล่าวว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน และที่สำคัญที่สุดคือความไม่ชัดเจนทางด้านข้อมูลเบื้องลึกของเหรียญ ทำให้ทาง Coinbase มองว่ามันอาจจะไม่ปลอดภัยหากนำมาเปิดให้เทรด

แนวทางฏิบัติสำหรับวันที่ 1 สิงหาคม

ทาง Coinbase นั้นยังได้กล่าวเตือนผู้ใช้งานของพวกเขา โดยบอกว่าให้พวกเขาถอน Bitcoin ออกมาก่อนการ fork ถ้าหากมีความประสงค์ที่จะใช้ Bitcoin Cash โดยในอีเมล์มีใจความว่า

“ลูกค้าที่มมีความประสงค์จะใช้ Bitcoin (BTC) และ Bitcoin Cash (BCC) จะต้องทำการถอน Bitcoin ของคุณออกมาจาก Coinbase ก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 31 กรกฎาคม 2017 แต่ถ้าหากคุณไม่มีความประสงค์ที่จะใช้ BCC ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไร”

ทาง Coinbase จะทำการหยุดให้บริการเทรดเป็นระยะเวลาสั้นๆหลังจากการ fork เพื่อปกป้องเงินของผู้ใช้งานจนกว่าสถานการณ์ของ Bitcoin จะปลอดภัย

ก่อนหน้านี้เว็บเทรดในประเทศไทย Bx.in.th ก็ออกมาแสดงจุดยืนไม่สนับสนุน Bitcoin Cash เช่นกัน โดย CEO ของบริษัทดังกล่าวนามว่า David Barnes ได้ออกมากล่าวว่า Bitcoin Cash นั้นดูเหมือนจะเป็น “Bitcoin Crash” มากกว่า เพราะมันถูกทำออกมาเพื่อหวังผลประโยชน์ในระยะสั้นๆ และราคาหลังจากการเปิดตัวก็จะร่วงอย่างรวดเร็ว

The post Coinbase ประกาศไม่สนับสนุน Bitcoin Cash บอกลูกค้าถ้าอยากได้ให้โอน BTC ออก appeared first on Siam Blockchain.

แชมป์นักมวยมืออาชีพ Floyd Mayweather โปรโมท ICO ผ่าน Instagram

Bitcoin ควรที่จะถูกกฎหมายเพื่อที่ผู้คนทั่วไปจะได้เข้าถึงมันได้ กล่าวโดยธนาคารแห่งอเมริกา

MD ของธนาคารแห่งอเมริกา (Bank of America) นามว่า Francisco Branch คิดว่า Bitcoin ไม่สามารถที่จะเป็นที่นิยมและขยายไปทั่วโลกได้อย่างสำเร็จ ถ้าหากไม่มีกฎหมายมารองรับมันแบบแน่ชัด

เขายังได้กล่าวถึงตัวแปรอื่นๆที่ยังล่ามโซ่ Bitcoin ไว้ไม่ให้ไปไหนไดไกลนั่นก็คือสิ่งของผิดกฎหมาย, การแฮค, และการที่ไม่มีตลาดและร้านค้าที่มากพอมาใช้งานมัน

“กุญแจสำคัญสำหรับ Bitcoin ที่จะให้มันเป็นสกุลเงินทียอมรับได้นั้นก็คือมันจะต้องเป็นสินทรัพย์ที่สามารถถูกใช้ค้ำประกันได้เสียก่อน อย่างไรก็ตาม ปัญหาและอุปสรรคใหญ่ๆที่มันยังมีอยู่ก็คือการหลอกลวง, การแฮค, การขโมย, การเปลี่ยนแปลงกฎโพรโตคอล, การที่ไม่มีร้านค้าเพียงพอมารองรับมัน และข้อสุดท้ายคือการที่มันยังไม่มีกฎหมายมารองรับในหลายๆประเทศ จึงทำให้ประชาชนในประเทศเหล่านั้นไม่ค่อยอยากที่จะหัรเข้าหามัน”

จุดยืนของสถาบันการเงินต่อสกุลเงินดิจิตอล

จุดยืนและแนวคิดของนาย Francisco มีผู้ให้การสนับสนุนใหญ่ๆอย่างเช่น Morgan Stanley อย่างไรก็ตาม มีรัฐบาลของบางประเทศที่เคยพยายามที่จะทำให้เงินดิจิตอลเหล่านี้ถูกกฎหมายเพื่อที่จะควบคุมมัน แต่ก็ล้มเหลว

หนึ่งในสาเหตุหลักๆน่าจะเป็นการที่เหรียญ cryptocurrency นั้นถูกออกแบบขึ้นมาไม่ให้ถูกควบคุมได้ง่ายๆ เนื่องจากเทคโนโลยี Blockchainที่มาหนุนหลังมันอยู่

ซึ่งในขณะนี้ องค์กรรัฐบาลอย่าง SEC จึงต้องหันมาควบคุมผู้ให้บริการเหรียญดิจิตอลแทน ด้วยการออกกฎหมายให้พวกเขามาขึ้นทะเบียน อีกทั้งพวกเขายังมองเหรียญคริปโตเป็นสกุลเงินที่สามารถเก็บภาษีได้ แต่มันก็ไม่อาจเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ

ลองดูรัฐบาลประเทศญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่เพิ่งจะยกเลิกภาษีผู้บริโภค 8% Bitcoin

ธนาคาร VS เหรียญ Cryptocurrency

อาจจะเป็นที่เข้าใจได้ว่าธนาคารบางธนาคารอย่างเช่น Bank of America และ Morgan Stanley นั้นมีจุดยืนที่อยู่ตรงข้ามกับสกุลเงินดิจิตอล เนื่องจากจำนวนผู้ใช้งาน cryptocurrency ที่มากขึ้นจะทำให้ธนาคารสูญเสียผลประโยชน์อย่างมหาศาลในระยะยาว

กระนั้น รายงานล่าสุดก็ยังได้แสดงให้เห็นว่ามีบางธนาคารที่มองว่าถ้าต่อต้านมันไม่ได้ ก็ผนวกตัวเองเข้ากับมันเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร Barcleys ที่กำลังเตรียมออกเหรียญคริปโตเป็นของตัวเองที่คล้ายๆ Bitcoin, ธนาคารกลางแห่งประเทศจีนที่เปิดสถาบันวิจัยสกุลเงินดิจิตอลและ ธนาคารไทยพาณิชย์ที่อัพเกรดระบบโอนเงิน นำเอาเทคโนโลยี Blockchain ของ Ripple มาใช้เพื่อการโอนเงินระหว่างประเทศ

The post Bitcoin ควรที่จะถูกกฎหมายเพื่อที่ผู้คนทั่วไปจะได้เข้าถึงมันได้ กล่าวโดยธนาคารแห่งอเมริกา appeared first on Siam Blockchain.

รถ Renault ใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อเก็บข้อมูลพาสปอตรถยนต์

บริษัทรถยนต์ชื่อดังอย่าง Renault ได้จับมือกับบริษัท Microsoft และ VISEO เพื่อทดสอบและทำระบบพาสปอตรถยนต์ และให้แน่ใจว่าข้อมูลนั้นจะถูกเก็บอยู่บนระบบ Blockchain อย่างปลอดภัยและโปร่งใส

ซึ่งในปัจจุบันนั้น วิธีการเก็บข้อมูลของลูกค้าและรถยนต์นั้นมีอยู่หลายแบบแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์, บริษัทประกัน, ร้านซ่อมรถ และอื่นๆอีกมากมาย

แต่ Renault นั้นกำลังจะเปลี่ยนวิธีใหม่ มาใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่โดยธรรมชาติของมันแล้วมีความโปร่งใสและมีความเปิดกว้างแบบ open source ซึ่งนั่นหมายความว่าข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับรถนั้นสามารถที่จะถูกเก็บไว้ในจุดใดจุดหนึ่งที่ทางลูกค้านั้นสามารถเข้ามาดูเมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ

ในการขายสินค้าที่เป็นรถยนต์นั้น ผู้ผลิตสามารถที่จะสร้างข้อมูลที่ไม่สามารถมีใครเข้ามาวุ่นวายหรือเปลี่ยนแปลงได้, สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ที่นำไปขายต่อได้

นาง Elie Elbaz หรือผู้อำนวยการแผนก Digital & Connected Vehicles ของ Groupe Renault ได้อธิบายว่า

“หนังสือคู่มือการบำรุงรักษารถแบบดิจิตอลจะสามารถทำให้เรามีบริการใหม่ๆบนระบบ ecosystem รวมถึงบริษัทประกันและตัวแทนขายรถด้วย เทคโนโลยี Blockchain นั้นสามารถที่จะสร้างกฎโพรโตคอลที่ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือกันได้ ซึ่งหลังจากโปรเจคนี้ทำเสร็จ เทคโนโลยีนี้จะกลายเป็นก้าวครั้งสำคัญไปสู่รถยนต์ไฮเทค และการนำระบบ micro-transactions รวมถึงความปลอดภัยเข้ามาเชื่อมต่อ”

Microsoft Azure, VISEO และคุณค่าของเทคโนโลยี Blockchain

การที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft กระโดดเข้ามาศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain และตั้งตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เพื่อคอยช่วยเหลือบริษัทอื่นๆนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนั้นถือเป็นนวัตกรรมของโลกอย่างแท้จริง

“ด้วยความเป็นหุ้นส่วนของพวกเราในวงการรถยนต์ไฮเทค เรารู้สึกดีใจที่ได้ช่วยเหลือ Renault ในการยกระดับความเป็นดิจิตอลของพวกเขา และเพื่อทำงานร่วมกันเพื่อสรรค์สร้างโซลูชันเทคโนโลยี Blockchain ที่มีศักยภาพที่จะสรรสร้างระบบ ecosystem รวมถึงการทำให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ถูกนำมาเก็บไว้สามารถที่จะไว้ใจได้” กล่าวโดยนาย Bernard Ourghanlian หรือ CTO ของ Microsoft

VISEO หรือบริษัทที่ให้บริการด้านการปรึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งโปรเจค Blockchain ใหม่รวมถึงการออกแบบ UI ซึ่งปัจจุบันพวกเขาทำงานร่วมกับบริษัท BitSe หรือบริษัทสตาร์ทอัพในจีน

“เราเชื่อในศักยภาพของเทคโนโลยี Blockchain โดยเฉพาะในเรื่องของสิ่งที่มันจะสามารถนำพาความโปร่งใสของหุ้นส่วนทางธุรกิจในระบบ ecosystem ของ B2B เราได้อุทิศตัวเพื่อสร้างทีมงานที่อุดมไปด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญในโรงงานดิจิตอลของเรา ซึ่งนั่นทำให้เราสามารถสร้างโปรเจคใหม่ๆได้ โดยเฉพาะของ Renault ที่ซึ่งเราสามารถที่จะทำมันให้เสร็จได้ภายใน 2-3 สัปดาห์”​กล่าวโดยนาย Eric Perroer หรือ MD ของ VISEO

The post รถ Renault ใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อเก็บข้อมูลพาสปอตรถยนต์ appeared first on Siam Blockchain.

Thursday, July 27, 2017

“เงินสกุลดิจิตอลไม่ใช่ของจริง” กล่าวโดยผู้ก่อตั้ง Oaktree Capital Management

นักลงทุนพันล้านและผู้ก่อตั้งบริษัท Oaktree Capital Management ได้เคลมว่าสกุลเงินดิจิตอลอย่าง Bitcoin นั้น “ไม่ใช่ของจริง”

โดยในโน๊ต 22 หน้าที่นาย Howards Mark เขียนถึงลูกค้าของเขานั้น ได้มีการพาดพิงถึงตลาดเหรียญดิจิตอลและ ‘นวัตกรรมการลงทุน’ อย่างเช่น Bitcoin และ Ethereum อย่างไรก็ตาม อ้างอิงจากจากนาย Mark นั้น สกุลเงินดิจิตอลมันไม่ใช่ของจริง ซึ่งเขาได้ทำการกล่าวถึงเรื่องนี้ทั้งหมดสามครั้งในโน๊ตของเขาเลยทีเดียว

โดยเขาเขียนว่า

“ผมเดาว่าเจ้าเหรียญเหล่านี้น่าจะผุดขึ้นมาจากแนวคิดด้านความปลอดภัยทางการเงินซึ่งรวมถึงสกุลเงินระดับชาติที่เพิ่งจะเกิดปัญหาไปก่อนหน้านี้ ซึ่งดูเหมือนเด็กๆหรือคนหนุ่มสาวสมัยนี้จะชอบอะไรที่เป็นแบบเสมือนจริง (virtual) แต่พวกเขาควรจะจำไว้ว่ามันไม่ใช่ของจริง”

ในรายงานแบบละเอียดของเขาที่มีการอ้างอิงถึงรายงานจากแหล่งที่มาหลายๆแห่ง เขาได้กล่าวว่าผู้คนลงทุนใน Bitcoin และ Ethereum เพื่อใช้มันในการจ่ายซื้อสินค้าในชีวิตประจำวัน หรือไม่ก็แรงขุดบนเว็บ cloudmining หรือไม่ก็พวกเขาอาจจะไม่อยากจะตกกระแส “ต้องรีบซื้อเดี๋ยวตกรถ” แต่เขาก็ต่อท้ายว่า “มันไม่ใช่ของจริง”

นาย Howards ยังได้กล่าวว่าผู้คนที่เขาพบหรือคุยด้วยนั้น ยังไม่มีใครทำให้เขาเข้าใจได้เกี่ยวกับแนวคิดของคนพวกนั้นเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิตอลได้เลยสักคน

“คุณสามารถใช้สกุลเงินในจินตนาการอย่าง ether เพื่อซื้อสกุลเงินในจินตนาการอื่นๆ หรือเพื่อลงทุนในบริษัทใหม่ๆที่จะสร้างสกุลเงินใหม่อื่นๆ”

กระนั้น เขาได้ยอมรับว่าในขณะที่ตลาดเหรียญดิจิตอลนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักพักใหญ่ๆเพราะว่ามีผู้สนับสนุนมันเข้ามาเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังตั้งคำถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับราคาของ Bitcoin ถ้าหากว่าผู้คนนั้นอยู่ๆก็ตัดสินใจเปลี่ยนไปถือเงินดอลลาร์หรือทองคำแทน

ธนาคารแห่งอเมริกาออกมาเตือนอย่ามอง Bitcoin ในแง่ดีเกินไป

โน๊ตของนาย Howards ได้ถูกปล่อยออกมาก่อนที่ทาง Bank of America หรือธนาคารแห่งอเมริกาจะออกมาเตือนว่าเหรียญคริปโตนั้นมีความเสี่ยง และได้ขอให้นักลงทุนอย่ามองมันในแง่ดีเกินไป

นาย Francisco Blanch หรือหัวหน้าฝ่ายการซื้อขายสินค้าทั่วโลกและแผนกวิจัยตราสารอนุพันธ์ของธนาคารแห่งอเมริกาได้กล่าวว่าการที่ Bitcoin จะประสบความสำเร็จได้นั้น มันจะต้องเป็นสินทรัพย์ที่สามารถถูกใช้ค้ำประกันได้เสียก่อน เขายังกล่าวด้วยว่าสกุลเงินดิจิตอลนั้นจะต้องถูกมองว่าปลอดภัยก่อนที่มันจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทรัพย์สินที่มีค่าในตัวเอง

โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวสารอยู่นี้ Bitcoin นั้นถูกซื้อขายอยู่ที่ 2,575 ดอลลาร์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap ซึ่งเพิ่มขึ้น 2% จากเมื่อวานนี้ เมื่อตอนช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ราคาของ Bitcoin มีความผันผวนสูงมากเนื่องจากเริ่มมีความไม่แน่นอนของอนาคตของ Bitcoin เกิดขึ้น หลังจากที่ Bitcoin Cash อยู่ๆก็โผล่ขึ้นมาแบบกระทันหัน

The post “เงินสกุลดิจิตอลไม่ใช่ของจริง” กล่าวโดยผู้ก่อตั้ง Oaktree Capital Management appeared first on Siam Blockchain.

บริษัท Biostar จัดงานสัมมนา Bitcoin ที่กรุงเทพฯและเชียงใหม่ และจัดกิจกรรมแจกการ์ดจอ

ดูเหมือนว่าความนิยมในตัวของ Bitcoin และเทคโนโลยี Blockchain นั้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของประเทศไทยในเวลาขณะนี้ เมื่อเราได้เห็นผู้คนเป็นจำนวนมากในกลุ่ม Bitcoin Thai Club บนเฟสบุคที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงความนิยมดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนี้ที่จะเป็นสถานที่ๆผู้ใช้งานเหรียญ cryptocurrency มารวมตัวกันเพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ ซึ่งความนิยมนี้เองที่ได้ส่งผลให้ธุรกิจประกอบการในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจประเภทผู้ขายและผู้ผลิตการ์ดจอ GPU ที่ดูเหมือนจะถูกหวย เมื่อการขุดเหรียญ cryptocurrency นั้นมีการประยุกต์นำ GPU มาช่วยในการขุด จนส่งผลให้ความต้องการในตัวของการ์ดจอนั้นสูงขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งบริษัท Biostar Thailand หรือบริษัทผู้ผลิตเมนบอร์ดคอมพิวเตอร์และบอร์ดสำหรับการ์ดจอชื่อดัง ที่ดูเหมือนว่าจะไม่อยากปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปง่ายๆ และยังมองเห็นศักยภาพของเหรียญคริปโตที่วันๆมีแต่จะโตขึ้นๆ ซึ่งพวกเขาได้วางแผนจัดงานสัมนาให้ความรู้ด้าน Bitcoin ในชื่อ “Biostar Mining Decode” และการขุดเหรียญคริปโต ที่กรุงเทพฯและเชียงใหม่ ในวันที่ 29 กรกฎาคม และ 5 สิงหาคมนี้

โดยอ้างอิงจากเพจเฟสบุคของ Biostar Thailand นั้น พวกเขาได้มีการโพสโปสเตอร์กิจกรรมงานสัมนาดังกล่าวที่จะมีขึ้นที่กรุงเทพฯก่อนในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้ ซึ่งรายละเอียดของงานนั้นจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อ Bitcoin คืออะไร และการทำกำไรจาก Bitcoin ด้วยการขุดโดยทีมงานของสยามบล็อกเชน ที่ก่อนหน้านี้เคยขึ้นพูดที่งานของศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์มาแล้ว อีกทั้งในงานจะมีการแจกการ์ดจอของ Biostar รุ่น TB 250BTC Pro, TB250BTC+, TB250BTC, TB350BTC, และ TA320BTC อีกด้วย ซึ่งงานสัมนาดังกล่าวจะมีจัดขึ้น ณ ที่ดุสิตธานี กรุงเทพฯ เวลาบ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถที่จะลงทะเบียนได้ที่นี่ ซึ่งมีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 100 คนเท่านั้น

กระแส Bitcoin ไปไกลถึงเชียงใหม่

อ้างอิงจากคุณ Boo Mil (นามแฝง) หรือหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมสัมนาของออกาไนเซอร์งานอีเว้นท์ที่ช่วยเหลือ Biostar Thailand ในการจัดงานสัมนาได้บอกว่างานสัมนาดังกล่าวจะมีขึ้นอีกที่เชียงใหม่ด้วย เนื่องจากกระแสและความต้องการในตัวของการ์ดจอและเหรียญคริปโตนั้นเพิ่มสูงมากขึ้นไม่แพ้กับที่กรุงเทพฯ

ซึ่งกำหนดงานสัมนาของ Biostar เกี่ยวกับ Bitcoin ของที่เชียงใหม่นั้นจะถูกจัดขึ้นในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ ณ ที่โรงแรม Grandview เวลาบ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น ซึ่งในงานจะมีการแจกการ์ดจอของ Biostar เช่นเดียวกับงานที่กรุงเทพฯ โดยจะมีรุ่น TB 250BTC Pro, TB250BTC และ TA320BTC โดยผู้ที่สนใจที่งานสัมนาที่เชียงใหม่นี้สามารถที่จะลงทะเบียนได้ที่นี่

The post บริษัท Biostar จัดงานสัมมนา Bitcoin ที่กรุงเทพฯและเชียงใหม่ และจัดกิจกรรมแจกการ์ดจอ appeared first on Siam Blockchain.

FinCen ปรับ BTC-e เป็นมูลค่า 12 ล้านดอลลาร์ ข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายการฟอกเงินสหรัญฯ

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2017 องค์กร Financial Crimes Enforcement Network (FinCEN) หรือองค์กรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ทำหน้าที่สืบสวนอาชญากรรมด้านการฟอกเงินในประเทศได้ทำการประกาศแถลงข่าวว่าได้ทำการปรับเว็บเทรด Bitcoin ชื่อดังนามว่า BTC-e หรือมีชื่อบริษัทอีกชื่อว่า Canton Business Corporation (BTC-e) ในข้อหา “จงใจฝ่าฝืนกฎหมายป้องกันการฟอกเงิน (AML)”

FinCEN นั้นได้ทำงานร่วมกับทางอัยการของศาลเขตเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยอ้างอิงจากเอกสารของทางการ นาย Alexander Vinnik หรือแอดมินของ BTC-e ที่เพิ่งจะถูกจับกุมประเทศกรีซและถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ช็อควงการณ์ Bitcoin ในคดี Mt Gox ได้ถูกศาลของเขตแคลิฟอร์เนียฝั่งเหนือตัดสินว่าทำผิดกฎหมายภายใต้ข้อ 8 U.S.C. §§ 1956, 1957, and 1960 ที่ว่าด้วยการฟอกเงิน, สมรู้ร่วมคิดเพื่อทำการฟอกเงิน, มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางด้านการเงินที่ผิดกฎหมาย และเปิดบริการส่งย้ายเงินแบบไม่มีใบอนุญาต โดยทาง FinCEN ได้ทำการปรับนาย Vinnik เป็นมูลค่าถึง 12 ล้านดอลลาร์

ผู้รักษาการผู้อำนวยการของ FinCEN นามว่า El-Hindi ได้ออกมาเตือน BTC-e ว่าทางพวกเขานั้นจะทำการยึด และถือเงินของบริษัทที่ให้บริการทางด้านการโอนหรือจ่ายเงินระหว่างประเทศในสหรัฐฯแบบผิดกฎหมายการป้องกันการฟอกเงิน เขากล่าว

“การกระทำดังกล่าวนี้น่าจะเป็นตัวอย่างที่จะช่วยยับยั้งใครก็แล้วแต่ที่มีแนวคิดที่จะทำ ransomware, ขายยาเสพย์ติดผ่าน dark net, หรือทำเรื่องผิดกฎหมายอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับเหรียญ cryptocurrency ทางทีม FinCEN และตำรวจจะทำการประสานงานร่วมกับรัฐบาลของประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั่วโลก เพื่อให้แน่ใจว่าสกุลเงินดิจิตอลนั้นถูกใช้ซื้อขายอย่างถูกต้อง และตกอยู่ภายใต้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายด้านการป้องกันการฟอกเงินของประเทศสหรัฐฯ”

โดย FinCen นั้นจะประสานงานกับทางตำรวจกรองปราบเพื่อทำทุกอย่าง ตั้งแต่ตักเตือนหรือบังคับปิดกิจการของ BTC-e รวมไปถึงการจับกุมนาย Vinnik ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังได้ทำงานร่วมกับ Internal Revenue Service-Criminal Investigation Division, Federal Bureau of Investigation, United States Secret Service, และ Homeland Security Investigators เพื่อทำการสืบสวนคดีดังกล่าวอีกด้วย

สำหรับ BTC-e นั้นมีคนกล่าวว่าเป็นผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนที่มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางด้านอาชญากรรมมากมายไม่ว่าจะเป็นการแอบขโมยข้อมูลของผู้ใช้งานบนเว็บบางคน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า, อีเมล์, รหัสผ่าน และ username โดยอ้างอิงจากรายงานนั้น ผู้ใช้งานบนเว็บมักจะมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายในช่องแชทเป็นประจำ รวมถึง customer service ของ BTC-e ยังมีการช่วยชี้แนะผู้ใช้งานทางด้านกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างเช่นการซื้อยาเสพย์ติดบน dark net อย่างเช่น Silk Road, Hansa Market และ AlphaBay อีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น BTC-e นั้นยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ช่วยฟอกเงินจากที่ขโมยมาได้จาก Mt Gox ใรระหว่างปี 2011 จนถึง 2014 รวมถึง Bitcoin จำนวน 300,000 BTC ที่สามารถตามได้บน Blockchain จนไปถึงตัวผู้ขโมยได้อีกด้วย FinCen ได้กล่าวว่าพวกเขาได้ตรวจสอบพบธุรกรรมราวๆ 3 ล้านดอลลาร์ที่เชื่อมโยงไปถึงการโจมตีของ ransomware เช่นกัน โดยเฉพาะของ Cryptolocker และ Locky อีกทั้ง BTC-e นั้นยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมผ่านเว็บให้บริการทางด้านฟอกเงินที่ถูกปิดตัวไปแล้วนามว่า Liberty Reserve ซึ่งเว็บนี้มีเจ้าของเดียวกันกับ BTC-e

FinCEN ได้รายงานว่า BTC-e ได้ทำธุรกรรมที่มากกว่า 296 ล้านดอลลาร์ทั้งใน Bitcoin และเหรียญคริปโตอีกราวๆหมื่นกว่าเหรียญโดยไม่มีการสนใจถึงประเทศที่พวกเขาให้บริการ ทาง FinCEN ได้กล่าวว่า BTC-e นั้นจะต้องทำตามกฎหมายการป้องกันการฟอกเงินของสหรัฐอย่างเคร่งครัด

ในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ เว็บ BTC-e นั้นกำลังปิดให้บริการอยู่ โดยขึ้นประกาศว่าเว็บไซต์กำลังปิดปรับปรุง ขออภัยในความไม่สะดวก และมีการทวีตล่าสุดจากทาง BTC-e ที่บอกว่า

“ทางเรากำลังเร่งดำเนินการเพื่อให้เว็บกลับมาเปิดใช้บริการได้อีกครั้ง โดยอาจใช้เวลา 5-10 วัน”

The post FinCen ปรับ BTC-e เป็นมูลค่า 12 ล้านดอลลาร์ ข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายการฟอกเงินสหรัญฯ appeared first on Siam Blockchain.