Saturday, September 30, 2017

รายงาน: ประเทศจีนเตรียมทำให้สกุลเงินดิจิตอลถูกกฎหมายในวันพรุ่งนี้

สื่อท้องถิ่นในจีนนาม Jinse.com ได้ออกมารายงานว่ากฎหมายว่าด้วยการใช้สกุลเงินเสมือนจริง (virtual currencies) ในประเทศจีนนั้นจะถูกบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมปี 2017 ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ โดยทาง Jinse ได้รายงานต่อว่ากฎหมายด้าน cryptocurrency นั้นได้ถูกนำมารวมกับ “กฎหมาย แพ่งทั่วไปของสาธารณรัฐประชาชนจีน” ที่ได้ผ่านการเห็นชอบในที่ประชุมเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา

สกุลเงินเสมือนจริงนั้นจะถูกตราว่าเป็น “สินทรัพย์เสมือนจริง” ในวันที่ 1 ตุลาคม

Jinse รายงานว่า “กฎหมาย แพ่งทั่วไปของสาธารณรัฐประชาชนจีน” ที่จะถูกบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้จะมีการบังคับใช้กฎหมายด้าน cryptocurrency เป็นครั้งแรกของประเทศ โดยรายงานยังกล่าวว่าเหรียญเหล่านี้จะถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์เสมือนจริง” ภายใต้กฎหมายจีน ศาสตราจารย์ Deng Jianpeng ของวิทยาลัยการศึกษาแห่งหนึ่งกล่าวว่า “Bitcoin, [crypto]currency, และอื่นๆนั้นจะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์เสมือนจริงด้วย”

การนำเอากฎหมายด้านสกุลเงินเหมือนจริงมาใช้ใน “กฎหมาย แพ่งทั่วไปของสาธารณรัฐประชาชนจีน” สามารถบ่งชี้ได้ว่าการกวาดล้างเว็บเทรดเหรียญคริปโตในประเทศจีนก่อนหน้านี้จะไม่ถือเป็นการสั่งห้ามการใช้งานสกุลเงินดังกล่าวทั่วประเทศ โดยสำนักข่าว Jinse ยังได้เผยให้เห็นว่า “ทางผู้ออกกฎหมายในจีนนั้นไม่เคยกล่าวถึงการห้ามใช้ Bitcoin มาก่อน ซึ่งหมายความว่าทางรัฐบาลไม่คิดว่า Bitcoin นั้นถือเป็นปัญหาในตัวมันเอง”

Jinse รายงานเพิ่มว่าการกวาดล้างเว็บกระดานซื้อขายนั้นมีที่มาจาก “แพลทฟอร์มเทรดเหรียญบางเว็บไม่ยอมปฏิบัติตามนโยบายป้องกันการฟอกเงิน และทำ KYC อย่างจริงจัง” ที่สำคัญ ยังมีรายงานต่อว่าเว็บเทรดเหรียญคริปโตใหญ่ๆในจีนนั้นจะสามารถเปิดให้บริการต่อได้หลังจากที่ธนาคารกลางเข้าสืบสวนแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าการสั่งปิดเว็บเทรดเมื่อไม่นานมานี้เป็นเพียงแค่ชั่วคราว และไม่ควรที่จะมองว่าเป็นการสั่งห้ามใช้เหรียญ cryptocurrency ทั้งหมด

เว็บเทรดเหรียญ Bitcoin จะยังเปิดให้บริการหลังจากกฎหมายถูกบังคับใช้แล้ว

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือน ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานว่าทางรัฐบาลจีนได้ออกมาประกาศแบนการระดมทุนแบบ ICO และยังสั่งปิดเว็บผู้ให้บริการการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ในประเทศอีกด้วย ซึ่งเว็บเทรดทุกๆเว็บในประเทศจีนนั้นจะต้องปิดตัวลงก่อนวันที่ 1 ตุลาคมนี้ แต่อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเว็บ OkCoin และ Huoni นั้นจะสามารถเปิดให้บริการได้ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม

ในสัปดาห์นี้ หนึ่งในเว็บผู้ให้บริการซื้อขาย Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในจีนได้หยุดให้บริการฝากเงินหยวนและ cryptocurrency แล้ว แม้ว่าเว็บดังกล่าวจะหยุดให้บริการในวันนี้วันสุดท้าย แต่พวกเขากล่าวว่าจะยังเปิดให้บริการถอนเงินไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2017 หลายๆคนออกมาวิเคราะห์ว่าการที่เว็บสองเว็บ OKCoin และ Huobi ยังคงเปิดให้บริการเทรดได้ตามปกติจนกระทั่งสิ้นเดือนตุลาคมนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าทางรัฐบาลต้องการจะให้พวกเขาเปิดให้บริการต่อไปในอนาคตก็อาจจะเป็นได้

The post รายงาน: ประเทศจีนเตรียมทำให้สกุลเงินดิจิตอลถูกกฎหมายในวันพรุ่งนี้ appeared first on Siam Blockchain.

ราคา Bitcoin และ Ethereum พุ่งสวนทางข่าวการแบน ICO ของเกาหลีใต้

วันหยุดที่หลายๆคนเชื่อว่าน่าจะเป็นวันแห่งการพักผ่อนของนักเทรดเหรียญ cryptocurrency และตลาดนั้นดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอย่างที่หลายๆคนคิดไว้นัก โดยสืบเนื่องจากการประกาศแบน ICO ของรัฐบาลเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ทำให้ราคาของสองเหรียญอันดับต้นๆของกระดานร่วงลงอย่างทันทีที่มีการประกาศ โดยเฉพาะ Bitcoin ที่ลงไปแตะระดับราคาที่ 4,000 ดอลลาร์ ทว่าการร่วงของราคาและของ Ethereum ที่ลงไปแตะ 279 ดอลลาร์ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นได้ไม่นานนัก

โดยอ้างอิงจากเว็บ Coinmarketcap นั้น ปัจจุบันราคาของ Bitcoin อยู่ที่ 4293.82 ดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นมาถึง 2.51% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 71 พันล้านดอลลาร์

แต่นั่นคงเทียบไม่ได้กับราคาของ Ethereum ที่ดูเหมือนว่าจะร่วงหนักมากกว่า Bitcoin มาก โดยเกือบร่วงลงไปหาจุดต่ำสุดในรอบสัปดาห์ที่ 279.99 ดอลลาร์ ก่อนที่จะทะยานมาทะลุระดับสามร้อยดอลลาร์มาแตะจุดสูงสุดของวันนี้ที่ 301.62 ดอลลาร์

โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ราคาของ Ethereum อยู่ที่ 300.64 ดอลลาร์ และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 28.5 พันล้านดอลลาร์

ตามที่สยามบล็อกเชนได้วิเคราะห์ไปเมื่อวานนี้เกี่ยวกับผลกระทบต่อนักลงทุนเหรียญคริปโตนอกประเทศเกาหลีใต้ ว่าหลักๆแล้วผู้ออกกฎหมายในเกาหลีใต้นั้นคงไม่อยากที่จะละทิ้งโอกาสในการเป็นผู้นำด้านตลาดเหรียญคริปโตแบบที่จีนเคยทำอย่างแน่นอน หากดูจากจำนวนบริษัทใหม่ๆในวงการนี้ที่เพิ่มขึ้น และรวมถึงเม็ดเงินลงทุนที่กำลังหลั่งไหลออกมานอกประเทศจีนมาเข้าเว็บกระดานซื้อขายในเกาหลีใต้และญี่ปุ่นก็ถือเป็นหลักฐานที่ดี ว่าการแบนดังกล่าวมีขึ้นเพื่อกำจัด ‘มะเร็ง’ มากกว่าจะมาขัดขานักลงทุนที่ดีๆในประเทศ

ตลาดไทยตอบรับการแบน ICO ของเกาหลีใต้

สำหรับตลาดซื้อขายเหรียญคริปโตในไทยอย่าง Bx นั้นก็ได้มีการตอบสนองการแบน ICO ของเกาหลีใต้เช่นกัน โดยหากดูกราฟแบบ 4 ชั่วโมงของ Bitcoin ด้านล่างจะเห็นว่าช่วงที่มีข่าวออกเกี่ยวกับการแบน ICO ของเกาหลีใต้นั้น ราคาตกลงมาอยู่ที่ 130,500 บาท ก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปปิดที่ 134,449 บาทในสามชั่วโมงให้หลัง โดยในตอนนี้ ราคานั้นอยู่ที่ 138,522 บาท (4156.076 USD) ซึ่งน้อยกว่าตลาดโลกอยู่พอสมควร และมีโวลลุ่มการซื้อขายที่ 282.32 BTC

ในขณะที่ราคาของ Ethereum ในไทยนั้นก็มีการตอบรับการแบน ICO เหมือนๆกับของต่างประเทศเช่นกัน โดยกราฟด้านล่างแสดงให้เห็นถึงการพุ่งลงของราคาไปแตะจุดต่ำสุดที่ 9,251 ดอลลาร์ ก่อนที่จะขยับขึ้นมาอย่างรวดเร็วหลังจากที่นักเทรดเริ่มรับรู้ว่าการแบนครั้งนี้ไม่เหมือนกับการแบนของจีนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

ปัจจุบันราคาของ Ethereum บนตลาดไทยอยู่ที่ 9,756 บาท (292 ดอลลาร์) และมีโวลลุ่มการซื้อขายอยู่ที่ราวๆ 784 ETH

The post ราคา Bitcoin และ Ethereum พุ่งสวนทางข่าวการแบน ICO ของเกาหลีใต้ appeared first on Siam Blockchain.

ผู้ออกกฎหมายในสวิตเซอร์แลนด์กำลังสืบสวน ‘ขั้นตอนในการออกเหรียญ ICO’

ผู้ออกกฎหมายด้านการเงินในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (regulator) กำลังสืบสวนขั้นตอนในการออกเหรียญเพื่อเปิดขาย Initial Coin Offerings (ICO) ของบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศ

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เอ่ยชื่อของบริษัทใดๆก็แล้วแต่ที่เปิดขายเหรียญ Token แต่ทาง Swiss Financial Market Supervisory Authority กล่าวเมื่อวานว่าพวกเขากำลังตรวจสอบ “ICO จำนวนหนึ่งของบริษัทสตาร์ทอัพว่ามีการละเมิดกฎหมายด้านการเงินหรือไม่”

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้ออกกฎหมายต้องการที่จะดูว่าผู้ขาย ICO นั้นได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน หรือการลงทุนในสิ่งที่เป็นสินทรัพย์หรือไม่

โดย FINMA กล่าวว่า

“ถ้าหากลองตรวจดูดีๆแล้ว ในบางมุมมองสำหรับการสร้างเหรียญ ICO ออกมาขายและการทำธุรกรรมบนตลาดการเงินนั้น กฎหมายด้านการเงินอาจจะควบคุมแคมเปญการระดมทุน ICO เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง FINMA กำลังพยายามนำเอาเคสหลายๆตัวมาเปรียบเทียบกันอยู่”

การเริ่มทำการสืบสวนสอบสวนการระดมทุนดังกล่าวของ FINMA นั้นดูเหมือนว่าจะไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก หากเปรียบเทียบกับตัวเลขของผู้ออกกฎหมายในแต่ละประเทศที่เริ่มหันมาจริงจังกับการระดมทุนในแบบดังกล่าวเมื่อไม่กี้เดือนที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ที่มีการประกาศแบนการระดมทุน ICO แล้วเมื่อวานนี้ โดยกล่าวว่าการขายเหรียญโทเค็นดังกล่าวละเมิดกฎหมายด้านการเงินในประเทศ รวมถึงของประเทศจีนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เช่นกัน

ส่วนสถานการณ์ด้าน ICO ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องดูกันต่อไป โดยอ้างอิงจาก FINMA นั้น การระดมทุนแบบ ICO นั้นไม่ได้ตกอยู่ภายใต้กฎหมายใดๆของสวติเซอร์แลนด์ เนื่องจากว่ามันไม่ได้เป็นการระดมทุนผ่านตัวกลาง และถูกทำขึ้นบนระบบแพลทฟอร์ม อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่า ICO ในประเทศดังกล่าวจะไม่ได้ถูกทำขึ้นอย่างอิสระไรการควบคุม กล่าวโดย FINMA

“เนื่องมาจากลักษณะการลงทุนของ ICO ที่ไม่เหมือนใคร กฎหมายในปัจจุบันที่มีอยู่อาจจะสามารถบังคับใช้ได้ตามลักษณะโครงสร้างของการระดมทุนนั้นๆเป็นรายๆไป” กล่าวโดย FINMA

The post ผู้ออกกฎหมายในสวิตเซอร์แลนด์กำลังสืบสวน ‘ขั้นตอนในการออกเหรียญ ICO’ appeared first on Siam Blockchain.

SEC ลงโทษสองบริษัทในสหรัฐอเมริกาข้อหาฉ้อโกง ICO

SEC แห่งสหรัฐฯ หรือผู้ออกกฎหมายด้านการเงินในประเทศได้ออกมาตั้งข้อหาบริษัทเกี่ยวกับการระดมทุนผ่านโมเดล Initial Coin Offering (ICO)

โดยอ้างอิงจากการแถลงข่าวที่มีขึ้นเมื่อวานนี้ ทาง SEC ได้ทำการตั้งข้อหาบริษัทสองบริษัทและผู้ก่อตั้งนามว่า Maksim Zaslavskiy ในข้อหาละเมิดกฎหมายด้านการฉ้อโกง และบทบัญญัติการจดทะเบียนของกฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลาง

นาย Zaslavskiy ได้ขายเหรียญ cryptocurrency ที่อ้างว่ามี asset มาแบคมันไว้ ทั้งๆที่ความจริงแล้วเขาไม่มี asset อะไรมาแบคไว้เลย โดยโปรเจคแรกมีชื่อว่า Diamond Reserve Club World และอีกตัวหนึ่งชื่อว่า REcoin Group Foundation กล่าวโดย SEC

โดยทาง SEC กล่าวว่า ICO ของ REcoin นั้นถูกทำขึ้นมาเพื่อระดมทุนสำหรับให้ผู้ลงทุนได้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่ในขณะที่นาย Zaslavskiy บอกนักลงทุนว่า REcoin นั้นมี “ทีมกฎหมาย, ผู้เชี่ยวชาญ, โบรคเกอร์, และนักบัญชี” นั้น ทาง SEC เคลมว่าพวกเขาไม่ได้จ้างบุคลากรใดๆมาช่วยในการระดมทุนเลย

รวมถึงในขณะที่เขาอ้างว่าบริษัทของเขาได้ระดมทุนเป็นเงินประมาณ “2 ล้านถึง 4 ล้านดอลลาร์” แต่ความจริงแล้วระดมทุนได้มาเพียงแค่ 300,000 ดอลลาร์เท่านั้น อ้างอิงจาก SEC

ส่วน DRC World ถูกก่อตั้งขึ้นหลังจากที่รัฐบาลเข้ามาขัดขวางREcoin อ้างอิงจากคำกล่าวของนาย Zaslavskiy และโพสบนเว็บ bitcoin forum เมื่อวันที่ 11 กันยายน

โดยอ้างอิงจากทาง SEC นั้น บริษัท DRC World ได้โฆษณาว่าพวกเขาจะทำการลงทุนในเพชร และจะให้ส่วนลดกับนักลงทุนของพวกเขาที่เข้ามาลงทุนอีกด้วย แต่ข้อเท็จจริงก็คือ บริษัทดังกล่าวนั้นไม่ได้ลงทุนในเพชรหรือมีการดำเนินงานทางธุรกิจใดๆที่เกี่ยวข้องเลย

หลังจากนั้นทรัพย์สินของบริษัทและนาย Zaslavskiy ก็ถูกอายัดไว้โดยคำตัดสินของศาลในเมือง Brooklyn, New York

โดยรวมนั้น การประกาศจากทาง SEC ถือเป็นตัวบ่งชี้ล่าสุดว่าทางผู้ออกกฎหมายในสหรัฐฯเริ่มที่จะเอาจริงกับ ICO เถื่อนที่เริ่มจะมีมากขึ้นในทุกวันนี้แล้ว เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขากล่าวว่าได้ทำการสร้างหน่วยงานขึ้นมาสองหน่วย ที่จะโฟกัสไปในด้านการป้องกันและปราบปรามภัยอันตรายด้านไซเบอร์ รวมถึงการละเมิดกฎหมายด้านเทคโนโลยี distributed ledger และ ICO ด้วย เพื่อปกป้องนักลงทุน

ในขณะนี้ทาง SEC กำลังหามาตรการจัดการบริษัทดังกล่าว โดยอาจจะเป็นการจ่ายค่าปรับและคืนเงินที่ระดมทุนมาได้ให้กับนักลงทุนทั้งหมด และทาง SEC ยังวางแผนที่จะป้องกันไม่ให้นาย Zaslavskiy ในการเข้าร่วมกิจกรรมด้าน ICO อื่นๆอีกในอนาคต

The post SEC ลงโทษสองบริษัทในสหรัฐอเมริกาข้อหาฉ้อโกง ICO appeared first on Siam Blockchain.

“Zcash เป็นเหรียญทางเลือกที่น่าสนใจที่สุดต่อจาก Bitcoin” กล่าวโดย Edward Snowden

นาย Edward Snowden หรือนักเปิดเผยความลับ (whistle blower) ชื่อดังและหนึ่งในบุคคลที่รัฐบาลสหรัฐฯต้องการตัวมากที่สุด ได้ออกมากล่าวสนับสนุนเหรียญ cryptocurrency ที่มีฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวสูงอย่าง Zcash โดยบอกว่ามันเป็น “เหรียญทางเลือกที่น่าสนใจที่สุด” ต่อจาก Bitcoin

โดยอ้างอิงจาก Twitter ของเขาที่เขียนตอบคำถามของผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี Mason Borda ที่เขียนว่า “Zcash นั้นถือเป็นเหรียญ​ altcoin (ที่ผมรู้เกี่ยวกับ) ว่ามันถูกออกแบบและสร้างโดยนักถอดรหัสมืออาชีพระดับอาจารย์ ซึ่งยากที่จะไม่สนใจมัน” โดยนาย Snowden ตอบกลับมาว่า “เห็นด้วย”

เขายังเขียนต่อว่า

“เทคโนโลยีด้านความเป็นส่วนตัวของ Zcash ทำให้มันเป็นเหรียญทางเลือกที่น่าสนใจต่อจาก Bitcoin คือ Bitcoin นั้นก็เจ๋งนะ แต่ถ้ามันไม่มีความเป็นส่วนตัว มันก็ไม่ปลอดภัย”

นาย Snowden นั้นเป็นที่ปรึกษาในด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว และยังเป็นที่รู้จักกันดีเมื่อตอนที่เขาเปิดเผยข้อมูลความลับเอกสารของ NSA เมื่อปี 2013 เมื่อถามเขาถึงความเห็นเกี่ยวกับเหรียญ Monero เขาได้ตอบกลับมาว่ามันคือ “เหรียญอ่อนหัด” และชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่มีคนสามารถตามรอยได้ในเทคโนโลยีของเหรียญดังกล่าว

นาย Snowden กล่าวว่าข้อบกพร่องด้านการออกแบบนั้นอาจทำให้นักเปิดเผยความลับคนอื่นๆนั้นมีความเสี่ยง โดยกล่าวว่า “ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ และมันมักจะส่งผลกระทบตามหลังที่รุนแรงมาสู่คนแบบผม”

ภายหลังจากการแสดงความเห็นของเขาทำให้ผู้ใช้งาน cryptocurrency คนอื่นๆบน Twitter หลั่งไหลกันเข้ามาดีเบต โดยนักพัฒนา Monero คนหนึ่งนามว่า Richard Spagni ได้ออกมากล่าวป้องกันโปรเจ็คและเทคโนโลยีของเขาอย่างแข็งกล้า ในขณะที่ผู้สร้าง Litecoin อย่างนาย Charlie Lee ตอบเขาว่า “ผมถือ Monero แต่ไม่ใช่ Zcash”

Zcash และ Monero กำลังแข่งกันในการเป็นเหรียญที่หยิบยื่นความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้งาน แต่เหรียญสองเหรียญนี้มีโครงสร้างการพัฒนาที่แตกต่างกัน แต่ก็หวังผลแบบเดียวกัน

ในขณะที่ Zcash ใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสที่เรียกว่า zk-snarks เหรียญ Monero ใช้วิธีการปกปิดข้อมูลด้วย ring signatures และ stealth addresses

The post “Zcash เป็นเหรียญทางเลือกที่น่าสนใจที่สุดต่อจาก Bitcoin” กล่าวโดย Edward Snowden appeared first on Siam Blockchain.

Friday, September 29, 2017

รัฐบาลญี่ปุ่นออกใบอนุญาตให้กับบริษัทให้บริการเทรด Bitcoin ทั้งหมด 11 แห่งแล้ว

Japan’s Financial Services Agency (FSA) ได้ออกใบอนุญาตสำหรับทำธุรกิจด้าน cryptocurrency กับบริษัทในประเทศทั้งหมด 11 แห่งแล้ว

โดยประกาศเมื่อวันนี้ ผู้ออกกฎหมายของญี่ปุ่นได้ออกมาคอนเฟิร์มการอนุญาตดังกล่าว ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายที่เคยบังคับใช้ไปแล้วก่อนหน้านี้เมื่อเดือนเมษายนที่ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยน Cryptocurrency ทุกรายต้องลงทะเบียนกับรัฐบาลก่อนเดือนกันยายน กฎหมายดังกล่าวว่าด้วยการทำให้ Bitcoin นั้นถูกกฎหมายในประเทศ และยังมีแนวทางด้านความปลอดภัยสำหรับผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนที่ต้องปฏิบัติตามอีกด้วย

ใบอนุญาตที่ว่านี้จะบังคับใช้กฎและข้อต้องการที่จำเป็นสำหรับเว็บซื้อขาย, รวมถึงมาตรฐานในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์, การเก็บข้อมูลบัญชีของผู้ใช้งาน และการยืนยันตัวตน (KYC) ของลูกค้า

ยังมีแบบฟอร์มที่ถูกยื่นไปแล้ว 17 ฟอร์มและกำลังรอการถูกรีวิวอยู่ ในขณะที่อีก 12 บริษัทนั้นต้องปิดตัวเองลงไปเนื่องจากว่าไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่ผ่านเกณฑ์ของกฎหมายใหม่

เว็บผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเหรียญคริปโตนาม Quoine หรือหนึ่งใน 11 บริษัทที่ได้ใบอนุญาตกล่าวในงานแถลงข่าวว่าพวกเขาจะให้ความร่วมมือและทำงานร่วมกับผู้ออกกฎหมาย “เพื่อให้ตลาด cryptocurrency ในประเทศญี่ปุ่นมีการเติบโตไปพร้อมๆกับของตลาดโลก”

ผู้บริหารคนหนึ่งของ FSA ได้ออกมากล่าวเมื่อต้นสัปดาห์ว่าพวกเขานั้นต้องการจะ “ช่วยอุ้มและพัฒนาตลาดคริปโต” โดยการทำงานร่วมกับบริษัทผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนในประเทศ

ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่มีความกระตือรือร้นในด้านกฎหมายเกี่ยวกับ cryptocurrency มาก ผู้ออกกฎหมายเคยออกมากล่าวว่าความพยายามในการผลักดันกฎหมายนี้มีขึ้นเนื่องจากเหตุการณ์การล่มสลายของ Mt Gox เมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานเว็บดังกล่าวสูญเสียเงินนับล้านดอลลาร์

ข่าวดังกล่าวออกมาในช่วงที่ผู้ออกกฎหมายในหลายๆประเทศเริ่มออกมาดำเนินการเกี่ยวกับ cryptocurrency เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ธนาคารกลางแห่งประเทศจีนประกาศแบนการระดมทุนผ่าน ICO และรวมถึงประกาศปิดเว็บผู้ให้บริการซื้อขายในประเทศทั้งหมด ให้ปิดภายในวันพรุ่งนี้อีกด้วย

สำหรับในวันนี้ รัฐบาลประเทศเกาหลีใต้ได้ออกมาประกาศแบนการระดมทุน ICO ในประเทศ และรวมถึงสั่งห้ามการเทรด cryptocurrency บนมาร์จินด้วย

The post รัฐบาลญี่ปุ่นออกใบอนุญาตให้กับบริษัทให้บริการเทรด Bitcoin ทั้งหมด 11 แห่งแล้ว appeared first on Siam Blockchain.

“ICO ตอนนี้ไม่ต่างจากขี้ แต่จะปฏิวัติวงการในอีก 15 ปี” ​โดยนักประพันธ์หนังสือ Bitcoin ชื่อดัง

ICO จะ “แยกกระจายออกไปเหมือนกับคลื่อนสึนามิ” และจะ disrupt วงการการเงินในอีก 15 ปี กล่าวโดยาย Andreas Antonopoulos หรือนักประพันธ์หนังสือชื่อดัง ‘Mastering Bitcoin’ โดยเขายังกล่าวว่าประมาณ 99.999% ของ ICO ในตลาดขณะนี้คือ “ขี้”

โดยเขาได้ออกมาพูดในงาน Advanced Digital Innovation Summit ในเมืองแวนคูเวอร์ประเทศแคนาดาเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ซึ่งเขายังกล่าวว่าอีกความพยายามของรัฐบาลในการที่จะออกกฎหมายมาควบคุมโมเดลการระดมทุนแบบใหม่ที่จะมา “ปฏิวัติวงการการเงิน” ดังกล่าวนี้ว่า “เปล่าประโยชน์” อีกด้วย

“มันหยุดไม่ได้แล้ว มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก และมันจะมาเขย่าโลกนี้เลย” เขากล่าว

“99.999% ของ ICO ในตอนนี้คือขี้ พวกมันคือขยะดีๆนี่เอง และมันจะไม่ให้ค่าในการลงทุนอะไรเลย”

นาย Andreas เคยออกมาแสดงความเห็นเมื่อวันที่ 12 กันยายนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีน ที่เพิ่งจะออกมาแบนการลงทุนแบบ ICO และสั่งให้บริษัทสตาร์ทอัพในจีนที่ระดมทุนไปแล้วคืนเงินให้กับนักลงทุนให้หมดอีกด้วย

ซึ่งภายหลังส่งผลให้กับรัฐบาลในประเทศใกล้เคียงอย่างเกาหลีใต้ที่ออกมาประกาศว่าจะแบน ICO ในประเทศบ้างเช่นกัน ในขณะที่ผู้ออกกฎหมายบางประเทศทั่วโลกมีท่าทีที่ค่อนข้างเป็นบวกกับ ICO โดยเฉพาะประเทศไทย และออสเตรเลีย

หากลองมองภาพในระยะยาวแล้ว นาย Andreas ยังคงมีความเชื่อว่า “ความสุดยอดของ ICO” นี้ยังเป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น และผู้ออกกฎหมายก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถตามทัน หรือออกกฎหมายมาบังคับตามที่พวกเขาต้องการได้

“กฎหมายที่มีในตอนนี้มันไม่สามารถตามทันได้ โดยเฉพาะในด้านโวลลุ่ม, สภาพคล่อง และการเคลื่อนไหวของนวัตกรรมในวงการนี้” เขากล่าว

“ผู้ออกกฎหมายนั้นจะถูก disrupt มากกว่าใครเพื่อน พวกเขากำลังถูกทำให้ล้าสมัยไปอย่างรวดเร็ว พวกเขามีความต้องการ, พวกเขามีอำนาจ, แต่พวกเขาไม่สามารถ”

The post “ICO ตอนนี้ไม่ต่างจากขี้ แต่จะปฏิวัติวงการในอีก 15 ปี” ​โดยนักประพันธ์หนังสือ Bitcoin ชื่อดัง appeared first on Siam Blockchain.

การแบน ICO ของเกาหลีใต้ส่งผลอะไรต่อนักลงทุนนอกประเทศบ้าง

การเคลื่อนไหวของทางผู้ออกกฎหมายด้านการเงินในประเทศเกาหลีใต้ในวันนี้ ที่ทำให้ผู้ใช้งานเหรียญ cryptocurrency ทั่วโลกต้องช็อคไปตามๆกัน และเกรงกลัวว่าเหตุการณ์การแบนการระดมทุน Initial Coin Offerings (ICO) ของรัฐบาลเกาหลีใต้นั้นอาจจะมีผลลงเอยแบบครั้งก่อนของรัฐบาลจีนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาที่มีผลกับราคาของเหรียญ ICO บนกระดานในชนิดที่ทำให้สองสามวันในช่วงเวลาดังกล่าวกระดานแทบจะแดงทั้งกระดาน คำถามที่ตามมาก็คือ การออกมาประกาศแบน ICO ของ regulators ในประเทศเกาหลีใต้ในครั้งนี้แตกต่างจากของประเทศจีนอย่างไร และจะส่งผลอะไรต่อนักลงทุน ICO นอกประเทศเกาหลีใต้บ้าง

การแบน ICO ไม่ใช่เรื่องใหม่

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน หลังจากการประกาศแบน ICO ของธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (PBoC) มีขึ้นไม่กี่วัน เหมือนจะเป็นการเปิดสวิตซ์บังคับให้รัฐบาลแต่ละประเทศทั่วโลกออกมาแสดงจุดยืนของตัวเองต่อการระดมทุน ICO ดังกล่าว ซึ่งก็มีทั้งที่ต่อต้านและสนับสนุนปะปนกันไป ในขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้นั้นก็ถือเป็นหนึ่งในนั้นที่ออกมาประกาศว่าจะเริ่มคุมเข้มกฎหมายเกี่ยวกับ Bitcoin อีกทั้งจะลงโทษคนขาย ICO อีกด้วย

โดยในช่วงวันที่ 4 กันยายน นายคิม ยอง เบียอม (Kim Yong-beom) หรือประธานของ Financial Services Commission (FSC) ได้ออกมากล่าวว่า

“เราได้ทำการระบุข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเปิดการระดมทุนทางธุรกิจโดยไร้ซึ่งใบอนุญาตแล้ว ซึ่งก็ยังมีธุรกิจทางด้านสกุลเงินดิจิตอลที่ฝ่าฝืนกฎดังกล่าว และเราจะมีมาตรการลงโทษต่อไป”

ซึ่งหากลองดูให้ดีแล้วจะค้นพบว่าการออกมาประกาศในวันนี้ของทาง FSC นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นการเน้นย้ำการประกาศของเขาที่เคยมีไว้เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเหตุผลหลักๆที่างรัฐบาลเกาหลีต้องเอาจริงเอาจังในการปราบปรามการระดมทุนแบบดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการขัดขวาง แต่เป็นเพราะปัญหาด้านอาชญากรรมการฉ้อโกงและการจารกรรมข้อมูลของลูกค้า ที่ส่งผลทำให้สูญเสียเงินเป็นจำนวนมหาศาลเมื่อไม่นานมานี้

อีกทั้งยังมีรายงานมาว่าปัญหาการฉ้อโกงและมิจฉาชีพนั้นกำลังเกิดกับ Ethereum และการระดมทุนแบบ ICO อย่างมากในปัจจุบัน ด้วยตัวเลขความเสียหายที่พุ่งสูงขึ้นถึง 225 ดอลลาร์จากเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา การจะออกมาปกป้องนักลงทุนนั้นก็คงไม่แปลก

ดังนั้นในมุมมองของผู้เขียน การกระทำของรัฐบาลเกาหลีใต้ ณ จุดๆนี้ไม่ใช่เป็นการขัดขวางตลาดอุตสาหกรรม cryptocurrency ให้เติบโต แต่เป็นการปราบปรามพวก “มะเร็ง” ที่คอยกัดกินส่วนดีๆของตลาดดังกล่าวมากกว่า

นักลงทุนจีนหนีมาซบอกตลาดเกาหลีใต้

ก่อนหน้านี้รัฐบาลประเทศเกาหลีเคยออกมาประกาศทำให้ Bitcoin และเหรียญ cryptocurrency อื่นๆถูกกฎหมายมาแล้ว ซึ่งภายหลังจากนั้นทำให้อัตราการเกิดใหม่ของเว็บซื้อขายเหรียญคริปโตในประเทศเกาหลีใต้นั้นมีมากขึ้น ส่งผลให้หลายๆต่อหลายครั้งตลาดเกาหลีใต้เป็นผู้นำด้านโวลลุ่ม ไม่ว่าจะทั้งเหรียญ Ripple หรือ Bitcoin และ Ethereum ที่เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาราคาพรีเมียมของทั้งสองเหรียญนี้ในตลาดเกาหลีใต้ก็พุ่งแซงของตลาดโลกไปแบบไม่เห็นฝุ่น

ด้วยลักษณะนี้เอง ที่ทำให้ภายหลังจากการแบน ICO ในประเทศจีน รวมถึงการสั่งปิดเว็บกระดานซื้อขายเหรียญคริปโตในจีนนั้น ทำให้นักลงทุนในประเทศจีนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลจีนต้องดิ้นรนหาตลาดใหม่ หลั่งไหลเข้ามาในตลาดเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ดั่งที่ได้เห็นมาจากโวลลุ่มการซื้อขาย Bitcoin ของประเทศเกาหลีใต้ที่แซงหน้าของตลาดจีน ที่ก่อนหน้านี้ตลาดจีนเคยเป็นตลาดที่มีโวลลุ่มการซื้อขาย Bitcoin มากเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่ภายหลังก็ต้องกระจัดกระจายออกไปนอกประเทศหลังจากการเข้ามาแทรกแซงของรัฐบาลเมื่อช่วงตนปีที่ผ่านมา

ธุรกิจด้าน Cryptocurrency ในเกาหลีใต้กำลังเป็นขาขึ้น

หากผู้อ่านที่ติดตามอ่านสยามบล็อกเชนบ่อยๆจะทราบดีว่าก่อนหน้านี้ภาคเอกชนในประเทศเกาหลีใต้เริ่มที่จะหันมาลงทุนในตลาดอุตสาหกรรมเหรียญคริปโตกันมากขึ้นแล้ว

ดังที่ได้เห็นในรายงานข่าวเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม เมื่อกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติเกาหลีใต้แห่งหนึ่งได้ออกมาประกาศทำสัญญาหุ้นส่วนกับบริษัทผู้ให้บริการโอน Bitcoin รายหนึ่งในประเทศ

“เรากำลังร่วมงานกับพันธมิตรทางธุรกิจที่อยู่ในวงการนี้เพื่อเตรียมการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ภายใต้ระบบธนาคารแบบเก่า”

อ้างอิงจากการประกาศของหุ้นส่วนทั้งสอง

รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ Kakao เจ้าของแอพแชทบนโทรศัพท์มือถือเบอร์หนึ่งในประเทศเกาหลีใต้ KakaoTalk ที่เพิ่งจะประกาศร่วมมือกับ Bittrex หรือหนึ่งในเว็บผู้ให้บริการซื้อขายเหรียญคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก (อ้างอิงจาก Coinmarketcap) เพื่อเปิดตัวเว็บกระดานซื้อขาย cryptocurrency นามว่า Upbit.com ที่จะมีการลิสเหรียญทั้งหมด 111 เหรียญ รวมทั้งเหรียญ ICO อย่าง OmiseGO ลงไปด้วย

และยังมีบริษัท Nexon หรือหนึ่งในบริษัทด้านสื่อที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ ที่มีรายงานมาว่าพวกเขาได้เข้าทำการเทคโอเวอร์บริษัท Korbit หรือผู้ให้บริการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency อันดับสองของประเทศเกาหลีใต้ ด้วยการเข้าไปซื้อหุ้นถึง 65% ของบริษัทดังกล่าว เป็นมูลค่ากว่า 80 ล้านดอลลาร์

สรุป

หากถึงตรงจุดนี้แล้ว รัฐบาลประเทศเกาหลีใต้ยังมีความต้องการที่จะเดินรอยตามรัฐบาลจีนเพื่อ “แบนทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Cryptocurrency” (ยกเว้นการขุด) แล้วล่ะก็ เม็ดเงินเป็นจำนวนมากคงจะไหลออกนอกประเทศเกาหลีใต้ไปรวมอยู่ที่ประเทศคู่แข่งอย่างญี่ปุ่นอย่างแน่นอน ซึ่งในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน คาดว่าพวกเขาคงไม่อยากให้เรื่องน่าเสียดายแบบนี้เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในรายงานของสื่อเกาหลีท้องถิ่นนั้นจะไม่ได้มีการระบุที่ชัดเจนมากนัก โดยสื่อหนึ่งกล่าวว่า “จะแบนการซื้อขาย ICO ทั้งหมดในประเทศ” ในขณะที่อีกสื่อกล่าวว่า “การแบนนั้นจะมีผลเฉพาะบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศเกาหลีที่ต้องการจะเปิดขาย ICO เท่านั้น แต่การเทรดเหรียญ ICO ในประเทศยังคงทำได้ปกติ” ซึ่งหากวิเคราะห์ดูแล้ว ทางผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า

กระนั้น นักลงทุนทุกคนควรที่จะทำความเข้าใจถึงสาเหตุหลักๆของการเคลื่อนไหวดังกล่าวของรัฐบาลว่าพวกเขาทำไปทำไม หากลองดูตัวเลขของ ICO ที่มีมากขึ้นในปัจจุบันจนนับไม่ถ้วนแล้วนั้น นั่นน่าจะเป็นตัวอธิยายเหตุผลได้เป็นอย่างดี กล่าวคือไม่ใช่ ICO ทุกๆตัวที่ถูกสร้างออกมาเพื่อระดมทุนจริงๆ ซึ่งมันก็มีบางตัวที่ถูกทำออกมาเพื่อหลอกเอาเงินของนักลงทุนอีกด้วย

เมื่อไม่กี่วันมานี้บริษัทสัญชาติอเมริกัน Overstock และหุ้นส่วนถือเป็นกลุ่มบริษัทแรกที่จะประกาศเปิดตัวแพลฟอร์มกระดานซื้อขายเหรียญ ICO ที่รองรับกฎหมายจาก SEC และ FINRA เป็นแห่งแรกของประเทศ โดยจะมีหุ้นส่วนของพวกเขาคอยช่วยตรวจและคัดกรองเหรียญ ICO ที่จะถูกลิสขึ้นมาเทรดบนกระดาน ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าถือเป็นสัญญาณและแบบอย่างที่ดี ในการสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับนักลงทุน มากกว่าที่จะต้องให้นักลงทุนมาเสี่ยงกันเอง ว่าตัวไหนคือขอจริง ตัวไหนคือของปลอม

ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับนักลงทุนนอกประเทศเกาหลีนั้น ในมุมมองของผู้เขียนคิดว่า “คงจะไม่มีอะไรมากนัก” เพียงแต่ว่าต่อไปนี้บริษัทสตาร์ทอัพในประเทศเกาหลีใต้จะไม่สามารถเปิดระดมทุน ICO ในประเทศได้อีกต่อไป ส่งผลให้มี ICO ที่น้อยลง แต่ในทางกลับกัน มันจะเป็นข้อดีที่จะช่วยให้การระดมทุนแบบดังกล่าวมีสภาพแวดล้อมในด้านกฎหมายที่ดีขึ้นในอนาคต

The post การแบน ICO ของเกาหลีใต้ส่งผลอะไรต่อนักลงทุนนอกประเทศบ้าง appeared first on Siam Blockchain.

หัวหน้าของ SEC สหรัฐฯแสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับการปั่นราคาของตลาด ICO

หัวหน้าของ Securities and Exchange Commission (SEC) ประเทศสหรัฐฯได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของ Initial Coin Offerings (ICO) ว่านักลงทุนที่ซื้อเหรียญไปนั้นอาจจะถูกหลอกลวงในทางอ้อมได้

นาย Jay Clayton หรือประธานของ SEC ได้ออกมากล่าวที่งานอีเว้นท์หนึ่งใน Washington, D.C. เมื่อวานนี้ ว่าการระดมทุนในรูปแบบ ICO ที่บริษัทสตาร์ทอัพออกเหรียญดิจิตอลเพื่อมาแบคโปรเจคที่ตัวเองสัญญาว่าจะทำออกมานั้น บางตัวอาจจะเข้าข่ายปั่นราคาให้พุ่งขึ้น และทุบทีหลัง อ้างอิงจาก Bloomberg

“นี่คือจุดที่ผมรู้สึกเป็นห่วงว่ามันจะเกิดขึ้นกับนักลงทุนปลีกย่อย” เขากล่าว

ที่น่าสนใจคือเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานั้น ทาง SEC ได้ออกมาประกาศเปิดตัวหน่วยงานไซเบอร์ที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อออกกฎหมายควบคุมและปราบปราม “การละเมิดกฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยี distributed ledger และ ICO”

ก่อนหน้านี้ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาทาง SEC ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าการซื้อขาย ICO ในบางตัวนั้นจะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายสินทรัพย์ในบางสถานการณ์

ในส่วนของรายงานดังกล่าว ทาง SEC ยังได้เผยให้เห็นถึงการเข้าสืบค้นเหตุการณ์ The DAO หรือระบบช่วยจ่ายเงินทุนอัตโนมัติของ Ethereum ที่ล่มสลายเมื่อช่วงปีที่แล้ว เนื่องจากมีช่วงโหว่ในระบบทำให้คนแฮคไปได้

“กฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯจะมีผลกับเหตุการณ์ในหลายๆลักษณะ ซึ่งจะรวมถึงเทคโนโลยี distributed ledger ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และข้อเท็จจริง โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบขององค์กรหรือเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำให้เกิดการขาย” กล่าวโดย SEC

ในขณะเดียวกันเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมาได้มีรายงานจากสำนักข่าวท้องถิ่นในประเทศเกาหลีที่ได้รายงานว่าทางรัฐบาลเกาหลีนั้นจะทำการแบนการเปิดระดมทุน ICO ในประเทศเกาหลี เนื่องจากต้องการที่ปกป้องนักลงทุนจากพวกต้มตุ๋นอีกด้วย

The post หัวหน้าของ SEC สหรัฐฯแสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับการปั่นราคาของตลาด ICO appeared first on Siam Blockchain.

รัฐบาลออสเตรเลียออกแนวทางการระดมทุนผ่าน ICO เริ่มรู้ถึงศักยภาพ

ในขณะที่ผู้ออกกฎหมายด้านการเงินในต่างประเทศทั่วโลกกำลังออกมาเตือนเกี่ยวกับการลงทุนแบบ Initial Coin Offerings ICOนั้น ทาง Australian Securities & Investments Commission (ASIC) ได้ออกมาประกาศออกแนวทางสำหรับบริษัทหรือธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องการจะระดมทุนผ่าน ICO

ASIC ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ออกกฎหมายสำหรับตลาดหลักทรัพย์และด้านการเงินมีความต้องการที่จะทำให้แน่ใจว่าตลาดด้านการเงินนั้นมีความเป็นธรรมและโปร่งใสสำหรับผู้บริโภคและนักลงทุน

โดยหนึ่งในแผนการที่จะทำให้ผู้คนในประเทศมีความเข้าใจในตัว ICO มากขึ้นนั้น ทาง ASIC ได้ออกแนวทางสำหรับธุรกิจที่อยากจะเปิดขาย ICO เพื่อให้มีความเข้าใจในข้อกฎหมาย Corporations Act 2001

โดยแนวทางนั้นมีใจความว่า

“ASIC ได้เห็นว่า ICO นั้นมีศักยภาพที่จะมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญด้านการระดมทุนให้กับธุรกิจที่ต้องการจะระดมทุน และตัวเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการจะซื้อ”

อย่างไรก็ตาม แนวทางยังได้กล่าวว่าการขาย ICO นั้นจะต้องมีขึ้นในรูปแบบที่สามารถสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมันให้กับนักลงทุนได้ และจะต้องปฏบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย

สถานะของ ICO ในออสเตรเลีย

โดยอ้างอิงจากแนวทางนั้น สถานะของ ICO ในประเทศออสเตรเลียนั้นจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นวิธีที่ ICO ถูกวางโครงสร้างขึ้น และถูกเปิดขาย รวมถึงสิทธิประโยชน์ของผู้ที่จะซื้อและถือเหรียญด้วย

โดยใจความมีอยู่ว่า

“ในบางกรณีนั้น ICO จะตกอยู่ภายใต้กฎหมายทั่วไป และกฎหมายผู้บริโภคออสเตรเลียเกี่ยวกับการให้บริการและสินค้า ส่วนในกรณีอื่นๆ ICO อาจจะตกอยู่ภายใต้กฎหมาย Coporation Act”

เพื่อที่จะให้แน่ใจว่าประชาชนจะไม่เข้าใจผิดนั้น ทาง ASIC ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าการระดมทุนผ่าน ICO นั้นจะไม่ใช่แบบเดียวกับการระดมทุนแบบ crowd-source funding (CSF) ที่จะตกอยู่ภายใต้กฎหมาย Corporation Act ของวันที่ 29 กันยายน

โดยมีใจความว่า

“ภายใต้กฎหมายใหม่นั้น ทาง CSF จะเป็นบริการด้านการเงิน โดยมักจะรวมถึงระบบแพลทฟอร์มหรือตลาดที่บริษัทสตาร์ทอัพหรือธุรกิจมักจะระดมทุนมาจากจำนวนนักลงทุนเป็นจำนวนมากที่ช่วยกันระดมทุนกันด้วยเงินคนละนิดหน่อย”

ศูนย์รวมนวัตกรรม

สำหรับบริษัทที่กำลังพิจารณาระดมทุนผ่าน ICO แต่ยังไม่แน่ใจว่าการเปิดขายเหรียญของพวกเขาตกอยู่ภายใต้กฎหมาย Corporations Act หรือไม่นั้นจะต้องติดต่อศูนย์รวมนวัตกรรมของ ASIC

“ASIC เล็งเห็นถึงผลประโยชน์และความเสี่ยงของ ICO และทางเราต้องการที่จะยื่นมือเข้ามาในตลาดนี้”

The post รัฐบาลออสเตรเลียออกแนวทางการระดมทุนผ่าน ICO เริ่มรู้ถึงศักยภาพ appeared first on Siam Blockchain.

Thursday, September 28, 2017

สื่อยักษ์ใหญ่เกาหลีซื้อหุ้น 65% ของเว็บเทรด Bitcoin นาม Korbit มูลค่า $80 ล้าน

เว็บผู้ให้บริการกระดานซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศเกาหลีใต้นาม Korbit ได้ถูกขายให้กับบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่นาม NXC เป็นมูลค่ากว่า 80 ล้านดอลลาร์

NXC นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของแพลทฟอร์มเกมนามว่า Nexon อีกด้วย โดยพวกเขาได้คอนเฟิร์มกับสื่อท้องถิ่นถึงการเจ้าเทคโอเวอร์กิจการของ Korbit

“บริษัท NXC นั้นได้เข้าลงทุนบริษัทสตาร์ทอัพที่มีแนวคิดเกี่ยวกับดิจิตอลและเทคโนโลยี และการลงทุนในครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยมุมมองด้านบวก ที่พวกเรามองว่าตลาด cryptocurrency นั้นจะเติบโตได้ในอนาคต” ตัวแทน NXC ให้สัมภาษณ์กับ TechCrunch ในวันนี้

เว็บเทรด Korbit นั้นถือเป็นรายแรกที่เข้ามาในตลาดเหรียญคริปโตในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งในตอนนี้ถือเป็นหนึ่งในแหล่งซื้อขาย cryptocurrency ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การบังคับให้เว็บเทรดในประเทศจีนเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมานั้นส่งผลให้เม็ดเงินของนักลงทุนทั่วโลกไหลออกจากประเทศจีนไปเข้าตลาดเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งจากจุดๆนี้ช่วยเสริมให้เศรษฐกิจด้าน cryptocurrency ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นอีก

นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของเว็บ Korbit ที่ถูกผลัดเปลี่ยนเจ้าของ เสริมทัพด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง NXC โดยในอนาคตทางเว็บอาจจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆมานำเสนอลูกค้าก็เป็นได้

โดยอ้างอิงจากสื่อท้องถิ่น Hankung นั้น ทาง NXC ได้เข้าไปซื้อหุ้นเป็นจำนวนทั้งหมด 65%

แม้ว่า Korbit จะมาก่อน Bithumb ก็จริง แต่ความนิยมของ Bithumb นั้นได้รับความนิยมแซงหน้าไปในภายหลัง ทว่าก่อนหน้านี้มีข่าวด้านการแฮคเว็บของ Bithumb ที่ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนไปหลายๆคน

ด้วยการนำของ NXC บางที Korbit อาจจะกลับมาเป็นเบอร์หนึ่งอีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้

The post สื่อยักษ์ใหญ่เกาหลีซื้อหุ้น 65% ของเว็บเทรด Bitcoin นาม Korbit มูลค่า $80 ล้าน appeared first on Siam Blockchain.

Accenture ได้รับอนุมัติสิทธิบัตรสำหรับ ‘เทคโนโลยี Blockchain ที่สามารถถูกแก้ไขได้’

บริษัท Accenture ได้รับอนุมัติสิทธิบัตรเกี่ยวกับ “เทคโนโลยี Blockchain ที่สามารถถูกแก้ไขได้”

ถูกเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว บริษัทดังกล่าวต้องการที่จะสร้างระบบ Blockchain ที่สามารถมีการให้อนุญาตบุคคลที่สามสามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงข้อมูลภายในได้ ในกรณีที่มีการเหตุการการโกงกันเกิดขึ้น ทว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้นก็ทำให้หลายๆคนตั้งคำถามว่าการทำแบบนี้อาจจะเป็นการทำลายจุดประสงค์หลักๆของเทคโนโลยี Blockchain แบบต้นตำรับที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้การแก้ไขข้อมูลที่ถูกบันทึกลงไปแล้วเป็นไปด้วยความยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตาม สิทธิบัตรดังกล่าวได้อธิบายเกี่ยวกับการทำงานของระบบที่ว่านี้ในทางปฏิบัติ ซึ่งมันจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์, กลุ่มผู้ถือ secret key ที่อาจจะถือโดยบุคคลเดียวหรือหลายๆคน เช่นในบางกรณีนั้น ผู้คนหลายๆคนอาจจะสามารถถือส่วนใดส่วนหนึ่งของ secret key นั่นแปลว่าการจะเปิดระบบอนุญาตนั้น ทุกๆคนที่ถือ secret key อยู่จะต้องนำมันมาไขพร้อมๆกัน

นาย David Treat หรือ MD ของแผนก Blockchain ใน Accenture กล่าวว่าสาเหตุที่บริษัทมีแนวคิดดังกล่าวนั้นก็เพราะต้องการที่จะโฟกัสไปที่การ ‘แก้ไข’ เหตุการณ์เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น และเพื่อให้เทคโนโลยีนั้นเติบโตขึ้นด้วย

“นวัตกรรมนี้จะช่วยเพิ่มตัวเลือกเข้าไปในเซทที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะสำหรับโครงสร้างของข้อมูลแบบ on-chain และเรารู้สึกตื่นเต้นมากเกี่ยวกับการได้รับอนุมัติสิทธิบัตรของเรา เป้าหมายโดยรวมของเรานั้นเพื่อที่จะนำเอานวัตกรรมของ DLT มาสร้างเทคโนโลยีที่บริษัทขนาดใหญ่สามารถใช้งานได้จริง”

นาย Treat กล่าวว่าบริษัทกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาอยู่ และได้อธิบายว่ากำลังปรับปรุงตัวต้นแบบให้ดีขึ้น เขายังได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ของบริษัทที่จะทำให้เทคโนโลยีดังกล่าวเป็น open-source อีกด้วย

“เรามีความสนใจในอุตสาหกรรมด้านนี้มากมานานแล้ว และเราก็ได้รับคำร้องขอให้ทำระบบดังกล่าวเป็น open-source ซึ่งเราเองก็กำลังคิดดูอยู่” เขากล่าว

The post Accenture ได้รับอนุมัติสิทธิบัตรสำหรับ ‘เทคโนโลยี Blockchain ที่สามารถถูกแก้ไขได้’ appeared first on Siam Blockchain.

Omise ได้รับเงินลงทุนจากธนาคารกรุงศรีหลังจากระดมทุนผ่าน ICO ไปได้ 25 ล้านดอลลาร์

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ บริษัทลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น Omise และแบรนด์ลูก OmiseGO ได้ประสบความสำเร็จในการเปิดระดมทุนผ่ายการขายเหรียญ Initial Coin Offering (ICO) เพื่อพัฒนาระบบจ่ายเงิน โดยได้รับเงินมาทั้งหมด 25 ล้านดอลลาร์ และในตอนนี้บริษัทดังกล่าวยังได้ก้าวข้ามผ่าน milestone ไปอีกขั้นด้วยการรับเงินระดมทุนมาจากธนาคารกรุงศรีมาอีกด้วย

เหรียญ ICO ที่พวกเขาสร้างออกมานั้นมีชื่อว่า OmiseGO (OMG)ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหรียญดิจิตอลที่มีความนิยมมากที่สุดในโลกขณะนี้ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก โดยมีโวลลุ่มอยู่ที่ 1 พันล้านดอลลาร์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap

โดยการรับเงินทุนรอบใหม่มาจากธนาคารกรุงศรีนั้น อยู่ที่ 30 ล้านดอลลาร์รวมกันทั้งหมด ซึ่งความน่าสนใจคือธนาคารดังกล่าวนั้นถือเป็นหุ้นส่วนกับหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Mitsubishi UFJ Financial Group (MUFG) ที่มีมูลค่าตลาดอยู่ราวๆ 19 พันล้านดอลลาร์ และมีสาขาอยู่ในอีก 50 ประเทศ

ก่อนหน้านี้ธนาคาร MUFG นั้นเคยได้ทำการทดสอบการใช้งานเหรียญ cryptocurrency โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain และสร้างเหรียญดิจิตอลเป็นของตัวเองมาแล้ว รวมถึงพวกเขายังเป็นส่วนหนึ่งใน Enterprise Ethereum Alliance หรือกลุ่มบริษัทที่รวมตัวกันเพื่ออุทิศตัวเองเพื่อ Ethereum โดยปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 500 บริษัท รวมทั้งบริษัทสำคัญๆอย่าง Microsoft ด้วย

ซึ่งในอนาคตเราน่าจะได้เห็นบริษัท Omise ทำงานร่วมกับธนาคารกรุงศรีและธนาคารใหญ่ๆนอกระเทศมากขึ้น ด้วยการที่พวกเขานั้นเป็นผู้ให้บริการด้าน payment gateway ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งบางคนก็วิเคราะห์ว่าหลังจากที่พวกเขาติดตั้งระบบ Blockchain เป็นของตัวเองแล้วนั้น (ปัจจุบันยังใช้ ERC20 ของ Ethereum) ก็อาจจะมีการนำเหรียญ OMG เข้ามาประยุกต์ใช้กับระบบจ่ายเงินของพวกเขาแน่นอน

“เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ต้อนรับหุ้นส่วนใหม่ และจะนำเงินทุนที่ได้มานี้ไปสร้างระบบ OMG ของพวกเรา ซึ่งเราเชื่อว่ามันจะช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการจ่ายเงินในอนาคต และสร้างมูลค่าให้การแลกเปลี่ยนซื้อขาย และเราจะขยายกิจการของเราออกไปนอกประเทศไปสู่ประเทศอื่นๆในแถบเอเชียแปซิฟิก” กล่าวโดย CEO ของ Omise หรือนาย Jun Hasegawa

ก่อนหน้านี้บริษัท Omise เคยได้รับรางวัล “บริษัทสตาร์ทอัพแห่งปี” จากนายกรัฐมนตรีพลเอกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในงาน Digital Thailand Big Bang 2017 มาแล้วด้วย

The post Omise ได้รับเงินลงทุนจากธนาคารกรุงศรีหลังจากระดมทุนผ่าน ICO ไปได้ 25 ล้านดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

Overstock เปิดตัวกระดานซื้อขาย ICO แบบถูกกฎหมายในสหรัฐฯ

บริษัท Overstock และบริษัทลูก tZERO ประกาศร่วมมือกับ Argon Group และ RenGen LLC เพื่อเปิดตัวเว็บกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญ ICO ที่รองรับกฎหมายของ SEC และ FINRA ในประเทศสหรัฐอเมริกา

Overstock เปิดตัวเว็บเทรดเหรียญ ICO

ตลาดเหรียญ ICO ดังกล่าว ที่ทางบริษัทได้กล่าวว่ามันคือระบบตลาดแลกเปลี่ยนทางเลือก (ATS) ที่จะมีขึ้นเพื่อให้บริการแลกอำนวยความสะดวกนักลงทุนที่ต้องการจะซื้อขายเหรียญเหล่านี้ ในขณะที่ยังคงอยู่ภายใต้การกำกับของกฎหมายจาก Securities and Exchange Commission (SEC) และ Financial Industry Regulatory Authority (FINRA)

ณ ขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ มูลค่าตลาดรวมของ ICO นั้นมีมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์แล้วในปี 2017 นี้ ซึ่งรวมของไตรมาสที่สองของปีที่มีขนาดอยู่ที่ 800 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าบริษัทในประเทศสหรัฐฯนั้นจะต้องเจอปัญหาด้านความซับซ้อนทางกฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์ก็ตาม ทำให้มีโปรเจ็คเป็นจำนวนมากต้องทำให้การระดมทุนผ่านการขายเหรียญของพวกเขามีลักษณะเป็น “เหรียญสารพัดประโยชน์”

นาย Patrick Byrne หรือ CEO ของ Overstock กล่าวว่าปัจจุบันมีสถาบันนักลงทุนเป็นจำนวนมากที่เริ่มให้ความสนใจกับการลงทุน ICO นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการสร้างแพลทฟอร์มสำหรับซื้อขายเหรียญพวกนี้ขึ้นมา โดยยังต้องรองรับกฎหมายของทาง SEC และ FINRA ด้วย

“ด้วยการลงทุนแบบ ICO และ Blockchain ที่แซงหน้าการลงทุนแบบมี venture captial และรวมถึงการได้รับการสนับสนุนด้านการขายเหรียญดังกล่าวจากผู้ออกกฎหมายในสหรัฐฯนั้น การร่วมมือระหว่างเรากับ tZERO จะทำให้มันนำหน้าตลาดการเงินเทคโนโลยีด้วย blockchain ต่อไป”

เมื่อปีที่แล้วทาง Overstock ได้เริ่มทำการซื้อขายหุ้นบนระบบ Blockchain ส่วนตัวของ tZERO และระบบของ tZERO นั้นจะเป็นเหมือนกับกระดูกสันหลังของกระดานเทรดเหรียญ ICO ที่ถูกเปิดตัวดังกล่าว บริษัท Argon Group หรือผู้ให้บริการด้านที่ปรึกษาจะทำการกลั่นกรองเหรียญ ICO ก่อนที่จะถูกลิสบนแพลทฟอร์มดังกล่าว ในขณะที่ RenGen จะให้บริการด้านสภาพคล่องโดยการทำตัวเป็น market-maker

ความปลอดภัย

แม้ว่าจะมีบริษัทสตาร์ทอัพในสหรัฐฯเป็นจำนวนมากที่พยายามจะหลบเลี่ยงกฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์เพื่อทำการเปิดขายเหรียญโทเค็น นาง Emma Channing หรือ CEO ของ Argon Group ได้ออกมาสนับสนุนให้นักลงทุนหันหน้าเข้าหาระบบดังกล่าว เนื่องจากว่ามันจะเป็นผลดีต่อตลาด ICO ในระยะยาว เนื่องจากว่ากฎหมายจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน

“เราได้ให้คำปรึกษามานานแล้วเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิตอลที่เป็นสินทรัพย์ ที่ทำให้ผู้ออกและผู้ซื้อมีความมั่นใจเกี่ยวกับด้านกฎหมายก่อนการเปิดขาย และรวมถึงตัวเลือกอื่นๆที่จะให้ผลตอบแทนอย่างดีกับนักลงทุน” กล่าวโดยนาง Channing “การร่วมมือระหว่าง tZERO, RenGen และ Argon จะมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนวงการ ICO ไปเลย”

ซึ่งก็น่าจะจริง เนื่องจากการเปิดขาย ICO ที่อยู่บนแพลทฟอร์มที่มีกฎหมายจาก SEC มารองรับนั้นน่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน ว่าบริษัทสตาร์ทอัพที่เปิดขายเหรียญนั้นคือของจริง ไม่ได้เป็น scam ที่ถูกสร้างออกมาเพื่อหลอกเอาเงินจากนักลงทุน

“ผมเชื่อมานานแล้วว่าความปลอดภัยนั้นถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างการใช้งานเทคโนโลยี Blockchain ที่ดีที่สุด และการยกระดับตลาด ICO ก็ช่วยพิสูจน์มันด้วย” กล่าวสรุปโดยนาย Suleyman Duyar หรือผู้จัดการหุ้นส่วนของ RenGen LLC “มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้เป็นนักลงทุน ICO”

The post Overstock เปิดตัวกระดานซื้อขาย ICO แบบถูกกฎหมายในสหรัฐฯ appeared first on Siam Blockchain.

เหรียญ NEO นำหน้าตลาดเหรียญคริปโต ราคาพุ่ง 30%

NEO หรือเหรียญดิจิตอลอันดับที่ 9 ของโลกหากอ้างอิงจากมูลค่าตลาดรวมได้พุ่งขึ้นไปถึง 30% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยไปแตะเพดานที่ 33.78 ดอลลาร์ และมีมูลค่าตลาดรวมถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap.com

ณ ราคาที่ 33.78 ดอลลาร์ถือว่าขึ้นมาถึงสองเท่าในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อราคาร่วงลงไปถึง 17.38 ดอลลาร์จากเมื่อวันที่ 14 กันยายนจากจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 48.01 ดอลลาร์ของเมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา

ข่าวด้านบวกที่มีผลต่อราคา

ราคาของเหรียญดังกล่าวพุ่งขึ้นไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากที่สื่อด้านการเงินสัญชาติดัชช์นามว่า Het Financieele Dagblad ได้ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับผู้ก่อตั้ง NEO หรือนาย Da Hongfei ที่ออกมากล่าวว่าในอนาคตนั้น NEO อาจจะได้ร่วมมือกับทางรัฐบาลจีน

โดยสาเหตุที่ทางรัฐบาลจีนติดต่อนาย Da ก่อนที่จะเริ่มการแบน ICO นั้น เขาบ่งชี้ว่าทางผู้ออกกฎหมายไม่อยากจะทำให้โปรเจ็คดีๆอย่าง NEO ต้องมาติดแหในการกวาดล้างของโปรเจ็คแย่ๆอื่นๆทั่วจีน

สาเหตุหลักๆอีกข้อหนึ่งก็คือหนึ่งในเว็บเทรด Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Bitfinex ตัดสินใจเพิ่มเหรียญ NEO เข้ามาบนกระดานซื้อขาย ทำให้ราคานั้นพุ่งขึ้นมาถึง 50% เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

ซึ่งในขณะนี้ เหรียญ NEO สามารถที่จะนำมาแลกเปลี่ยนเป็นสกุล USD, BTC และ ETH แบบตรงๆได้ ซึ่งจะทำให้มีสภาพคล่องสำหรับเหรียญ NEO อีกมาก ในการเข้าถึงตลาดสกุลเงินดอลลาร์ (รวมถึงเหรียญ USDT ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้อย่างปริศนาด้วย) ซึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงด้านผลกระทบจากราคาจากคู่ NEO/CNY หรือเงินหยวนในอนาคต

การพุ่งของราคาเริ่มต้นเมื่อเดือนมิถุนายน

เหรียญ NEO เริ่มเติบโตขึ้นในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากที่คงตัวอยู่เหนือ 1 ดอลลาร์มาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2016

เหรียญ NEO นำหน้าเหรียญอื่นๆไปในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาในด้านเหรียญที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุด รวมถึงเหรียญ Gnossis ที่อยู่อันดับที่ 47 ที่มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 134.556 ล้านดอลลาร์ก็อยู่ในลิสนี้ด้วยดช่นกัน โดยมีอัตราการเติบโตถึง 42%

The post เหรียญ NEO นำหน้าตลาดเหรียญคริปโต ราคาพุ่ง 30% appeared first on Siam Blockchain.

“ธนาคารกำลังกลัว Bitcoin” กล่าวโดยผู้ทำนายตลาดมืออาชีพ Gerald Celente

นักทำนายตลาดมืออาชีพนาม Gerald Celente ได้ออกมากล่าวในการให้สัมภาษณ์ของเขา โดยเขาเชื่อว่าธนาคารในปัจจุบันนั้นกำลัง “กลัว” Bitcoin

โดยในรายการ TheStreet นั้น นาย Celente ที่เป็นนักวิเคราะห์ตลาดและคอยเขียนคอลัมน์ด้านการลงทุนบนนิตยสาร Trends Journal ได้อออกมาเถียงว่าธนาคารนั้นกำลังกลัว Bitcoin และ cryptocurrency เพราะว่ามันกำลัง “แย่งงานของธนาคาร” อีกทั้งยังเสริมด้วยว่าธนาคารนั้นกำลังพยายามที่จะ “ฆ่ามัน”

แม้ว่าความเห็นของเขาจะถูกแสดงออกมาอย่างหุนหันพลันแล่น แต่นาย Celente ก็ดูเหมือนจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด “มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก” เขากล่าว

นาย Celente ยังได้มีการกล่าวถึงคนดังจาก Wall Street อย่าง CEO ของ JPMorgan Chase หรือนาย Jamie Dimon ที่ก่อนหน้านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงโดยกลุ่มผู้ใช้งาน cryptocurrency หลังจากที่เขาออกมากล่าวว่า Bitcoin นั้นคือเรื่องหลอกลวง โดยนาย Celente ได้ทำนายว่าการกล่าวโจมตีในลักษณะนี้จะยังมีให้เห็นออกมาเรื่อยๆตราบใดที่ Bitcoin ยังคงอยู่

โดยเขากล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า

“ธนาคารจะยังคงออกมาพูดแย่ๆเกี่ยวกับมัน เพราะว่ามันจะทำให้ธนาคารและนายธนาคารล้าสมัยไปเลย ดังนั้นพวกเขาเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดมันให้ได้”

และในขณะที่นาย Celente กล่าวว่าเขาเขาไม่ได้ลงทุนใน cryptocurrency เลยนั้น แต่กล่าวว่า “ผมไปลงทุนอะไรที่มันจับต้องได้ดีกว่า ดังนั้นผมเลยไปลงทุนในทองคำ” เขาเชื่อว่าตลาดนั้นจะยังคงอยู่ไปเรื่อยๆ ไม่ตายจากไปไหนในเร็วๆนี้แน่

“เราไม่เชื่อว่ามันจะหายไปไหน เราไม่รู้ว่า [ระยะยาว] แต่เท่าที่เห็นในตอนนี้ราคามันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมาก”

นาย Celente กล่าวว่าสาเหตุที่ cryptocurrency ดึงดูดนักลงทุนให้มาลงทุนเป็นจำนวนมากนั้นก็เพราะว่าโครงสร้างของตลาดนั้นไม่ต่างจากตลาดเก็งกำไรอื่นๆ เพราะมันมีตัวแปรเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องกับราคา

“สิ่งที่ Bitcoin แสดงถึงนั้นก็คือการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชานิยมทั่วโลก เพราะประชาชนนั้นไม่อยากจะได้รัฐบาลและธนาคารกากๆมาบริหารบ้านเมืองและเศรษฐกิจ” เขากล่าว

The post “ธนาคารกำลังกลัว Bitcoin” กล่าวโดยผู้ทำนายตลาดมืออาชีพ Gerald Celente appeared first on Siam Blockchain.

Wednesday, September 27, 2017

ราคา Bitcoin กลับมายืนเหนือ 4,000 ดอลลาร์อีกครั้ง ตลาดเริ่มกลับมาคึกคัก

หลังจากที่ราคากลับขึ้นมายืนอยู่บนเส้นแนวรับสำคัญได้ประมาณ 2-3 วัน ราคาของเหรียญราชาแห่ง cryptocurrency หรือ Bitcoin ได้กลับมายืนอยู่เหนือ 4,000 ดอลลาร์แล้วในที่สุด

โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ราคาของ Bitcoin อยู่ที่ 4,078 ดอลลาร์ ซึ่งพุ่งขึ้นมาถึง 3.45% ในวันนี้ แม้ว่าในรายเดือนนั้นยังคงเป็น -6% อยู่ก็ตาม

ด้วยการขึ้นมาของราคาในครั้งนี้ ดูเหมือนว่านักลงทุนเริ่มที่จะไม่สนใจแยแสรัฐบาลจีนจากการออกมาประกาศแบนเว็บเทรดเหรียญคริปโตในจีนเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งส่งผลให้เว็บทุกๆเว็บในจีนต้องปิดให้บริการภายในสิ้นเดือนนี้และสิ้นเดือนหน้า

“ลูกค้าทุกๆคนจะต้องถอนเงินทั้งหมดออกมาจากเว็บของเราภายใน 72 ชั่วโมง” กล่าวโดย BTCC ในการประกาศ

แต่กระนั้น ViaBTC หรือหนึ่งในเว็บผู้ให้บริการซื้อขาย Bitcoin ในจีนก็ไม่สนใจการกระทำของรัฐบาล โดยเขาออกมาประกาศแผนการออกไปเปิดธุรกิจนอกประเทศจีน โดยมีเป้าหมายที่จะมุ่งมั่นให้บริการลูกค้านอกประเทศจีนต่อไป

ก่อนหน้านี้คุณยุทธวิธีหรือผู้ก่อตั้งกลุ่ม Crypto Trading Club แห่งประเทศไทยได้ออกมาทำนายราคาของ Bitcoin ว่าหลังจากที่มันลงไปแตะราคาที่ 3,000 ดอลลาร์เพื่อปรับฐานนั้น มันมีโอกาสที่จะขึ้นไปถึง 6,000 ดอลลาร์ได้

คุณยุทธวิธีเคยทำนายราคาของ Bitcoin ว่าจะพุ่งไปแตะ 5,000 ดอลลาร์เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ อีกทั้งยังทำนายอีกครั้งหลังจากนั้นว่ามันจะลงไปปรับฐานที่ราวๆ 3,000-3,500 ดอลลาร์ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งสองดังกล่าวนี้ก็เกิดขึ้นมาแล้ว

ในขณะเดียวกัน ราคาของ Bitcoin บนตลาดไทยหรือ Bx ก็ได้มีการพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 131,799 บาท หรือประมาณ 3,954 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าราคาตลาดโลกอยู่พอสมควร

The post ราคา Bitcoin กลับมายืนเหนือ 4,000 ดอลลาร์อีกครั้ง ตลาดเริ่มกลับมาคึกคัก appeared first on Siam Blockchain.

“ราคาของ Bitcoin เหมือนกับแชร์ลูกโซ่ MMM” โดยรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจรัสเซีย

หัวหน้าของกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศรัสเซียได้ออกมาเปรียบเทียบ Bitcoin กับแชร์ลูกโซ่ตัวหนึ่งที่เคยโด่งดังในอดีตนามว่า MMM

โดยนาย Maksim Oreshkin หรือรัฐมนตรีของกระทรวงดังกล่าวได้ขึ้นพูดที่งาน Federation Council โดยได้กล่าวว่า “นักลงทุนที่ไม่ได้รับการรับรอง” ได้เข้ามาซื้อ cryptocurrency ที่มีความ “อันตราย”

“เพราะว่าถ้าคุณลองดูที่การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin แล้ว มันจะเหมือนกับราคาของ MMM” กล่าวโดยนาย Maksim

MMM นั้นถือกำเนิดขึ้นมาในประเทศรัสเซียเมื่อประมาณปลายปี 1980 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาโดยนาย Sergey Mavrodi หรือผู้ที่โด่งดังมากเนื่องจากคดีฉ้อโกงดังกล่าว โดยภายหลังทางตำรวจถึงกับต้องเข้าไปสั่งปิดกิจการ MMM และจับกุมนาย Mavrodi เมื่อปี 2003 แต่ทว่าเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา อยู่ๆ MMM ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง และตอนนี้กำลังแพร่กระจายอย่างมากในแถบทวีปแอฟฟริกา

“มันมีความเสี่ยงสูงมาก สำหรับผู้ที่มีความสนใจใน [Bitcoin]” กล่าวโดยนาย Maksim

“มันเป็นที่เห็นๆกันอยู่แล้วว่าทางรัฐไม่สามารถปกป้องผู้คนเหล่านี้ได้ พวกเขาจะต้องรองรับความเสี่ยงเอง ผมแค่อยากจะบอกให้ทุกๆคนระวังกับเรื่องๆนี้”

ที่น่าสนใจคือ การแสดงความเห็นของเขาดูเหมือนว่าจะเริ่มขัดแย้งกับท่าทีของทางรัฐเกี่ยวกับ Bitcoin

ก่อนหน้านี้นาย Alexey Moiseev หรือรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศรัสเซียออกมากล่าวว่าจะให้อนุญาตให้เฉพาะ “นักลงทุนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม” เท่านั้นที่สามารถซื้อ Bitcoin ได้

อีกทั้งที่ปรึกษาของประธานาธิบดีรัสเซียวลาดิเมียร์ ปูตินยังเคยออกออกมากล่าวว่าต้องการจะระดมทุน ICO เพื่อเปิดตัวบริษัทขุด Bitcoin ในประเทศรัสเซีย เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดมาจากจีนอีกด้วย

The post “ราคาของ Bitcoin เหมือนกับแชร์ลูกโซ่ MMM” โดยรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจรัสเซีย appeared first on Siam Blockchain.

เว็บชมรายการโทรทัศน์สัญชาติอเมริกัน Showtime ถูกจับได้ว่าฝัง script ขุดเหรียญคริปโต

หนึ่งในเว็บชมรายการทีวีที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ Showtime ถูกจับได้ว่าฝัง script ขุดเหรียญ cryptocurrency ลงในเว็บทั้งสองเว็บของพวกเขาเพื่อแอบดึง CPU ของผู้เข้าเว็บมาขุดเหรียญ Monero และถูกบังคับให้ลบโค้ดดังกล่าวออกไป อ้างอิงจากรายงาน

รายงานจากเว็บ Gizmodo และ The Register ได้กล่าวว่าเว็บไซต์ทั้งสองเว็บของ Showtime ซึ่งก็คือ Showtime.com และ ShowtimeAnytime.com นั้นได้ฝังโค้ดขุดเหรียญ cryptocurrency ของ CoinHive หรือ JavaScript ที่เอาไว้ใช้สำหรับฝังบนเว็บและจะดึงเอาแรง CPU ของผู้เข้าชมมาขุดเหรียญ Monero โดยผู้ให้บริการ script ดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปฏิวัติวงการหารายได้จากเว็บใหม่ด้วยการที่ไม่จำเป็นต้องใส่โฆษณาในหน้าเว็บอีกต่อไป แต่สามารถหารายได้จากการยืมเครื่องของผู้เข้าชมเว็บที่มาเข้าชมมาช่วยขุดเหรียญดังกล่าว

เว็บ BleepingComputer หรือผู้รายงานข่าวเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้ออกมาอธิบายถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ที่ได้ออกมาเผยให้เห็นว่ามีใครบางคนได้ใส่ script ดังกล่าวเข้าไปในเว็บของ Showtime และก็ไม่แน่ใจด้วยเช่นกันว่าโค้ดดังกล่าวนั้นขึ้นไปอยู่บนเว็บนานแค่ไหน โดยโค้ดนั้นถูกพบเมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมา และก็ถูกลบออกไปเมื่อวันจันทร์

กระนั้น ทาง Showtime ก็ยังไม่ได้ออกมาประกาศแต่อย่างใด และตัวแทนนั้นก็ปฏิเสธที่จะออกมาอธิบายถึงเหตุการณ์ดังกล่าว

เว็บ Showtime นั้นมีบริษัทยักษ์ด้านสื่อนามว่า CBS เป็นเจ้าของ โดยก่อนหน้านี้ก็มีรายงานมาว่าเว็บรวมแหล่งทอเรนท์ Pirate Bayนั้นก็เคยออกมายอมรับว่าพวกเขาได้ติดตั้ง script ดังกล่าวขึ้นไปบนเว็บแบบไม่บอกผู้ใช้งาน จนกระทั่งมีคนมาพบเข้า

The post เว็บชมรายการโทรทัศน์สัญชาติอเมริกัน Showtime ถูกจับได้ว่าฝัง script ขุดเหรียญคริปโต appeared first on Siam Blockchain.

ราคาเหรียญ Zcash พุ่งทะลุ 290 ดอลลาร์หลังจากข่าวลือว่า Bithumb จะลิสเหรียญดังกล่าว

เหรียญ Zcash (ZEC) หรือเหรียญ cryptocurrency ที่ใช้เทคโนโลยี Zero-knowledge proof นามว่า zk-SNARKs ได้มีราคาที่พุ่งขึ้นมาจาก 230 ดอลลาร์ไปแตะจุดสูงสุดในรอบเดือนที่ 296.87 ดอลลาร์ โดยคิดเป็นราวๆ 22% จากเมื่อ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อ้างอิงจาก Coinmarketcap

โดยอ้างอิงจาก Twitter ของนักเทรดเหรียญคริปโตชาวเกาหลีใต้ผู้หนึ่งที่ได้มีการโพสภาพโค้ดไอค่อนของเหรียญ ZEC บนหน้า transaction history ของเว็บเทรด Bithumb โดยมีใจความว่า

“ผมรู้สึกรอไม่ไหวแล้วที่จะให้ Bithumb ออกมาประกาศว่าจะลิสเหรียญ Zcash มันมีข่าวลือว่าโค้ดของ Zcash นั้นอยู่บนหน้าเว็บของ Bithumb ดังนั้นผมเจอว่าโค้ดดังกล่าวนั้นอยู่ในหน้า “ประวัติการทำธุรกรรม” มันเป็นที่คอนเฟิร์ม 100% ว่าพวกเขากำลังเตรียมการในการลิสเหรียญดังกล่าว”


ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเท่าไรนัก ว่าเหรียญ Zcash ที่ก่อนหน้านี้ราคาของ Zcash นั้นกลายเป็นขาลงทันทีตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อเหรียญนี้มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 3,300 BTC (ราวๆ 89 ล้านบาท) ในวันแรก และดรอปลงมาอยู่ที่ 48 BTC ในวันเดียวกัน

ก่อนหน้านี้ Zcash กับ Ethereum นั้นก็ประสบความสำเร็จในการยืนยันธุรกรรมแบบส่วนตัวบนตัว testnet ของ Byzantium ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจะถือเป็นหนึ่งในตัวผลักดันด้านราคาด้วยก็เป็นได้

โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ราคาของเหรียญ Zcash อยู่ที่ 271 ดอลลาร์ และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 616 ล้านดอลลาร์ ส่วนในตลาดไทยอย่าง Bx นั้นดูเหมือนว่าตลาดจะได้รับผลกระทบพอสมควร โดยราคาอยู่ที่ 0.06700000 BTC ต่อ 1 ZEC หรือราวๆ 8764 บาท หรือ 263.45 ดอลลาร์

The post ราคาเหรียญ Zcash พุ่งทะลุ 290 ดอลลาร์หลังจากข่าวลือว่า Bithumb จะลิสเหรียญดังกล่าว appeared first on Siam Blockchain.

ธนาคารในประเทศญี่ปุ่นเตรียมเปิดตัวเหรียญดิจิตอลเป็นของตัวเองนาม J-Coin

กลุ่ม Consortium ของธนาคารในประเทศญี่ปุ่นหลายๆธนาคารกำลังวางแผนเปิดตัวเหรียญดิจิตอลสำหรับประเทศญี่ปุ่น เพื่อถูกนำมาใช้แทนเงินจริง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนลดการใช้เงินสดให้น้อยลง อ้างอิงจากรายงานของ Financial Times

กลุ่มธนาคารดังกล่าวนำโดยธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ Mizuho Financial Group และ Japan Post Bank มีแผนการที่จะเปิดตัวเหรียญดิจิตอลนาม J-Coin ในช่วงงานกีฬาโอลิมปิกที่จะถูกจัดขึ้นในปี 2020 ในกรุงโตเกียว

โปรเจคเหรียญดิจิตอลดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกลางในประเทศญี่ปุ่นและหน่วยงานผู้ออกกฎหมายด้านการเงินอื่นๆ โดยมีแผนการเพื่อให้ประชาชนในประเทศญี่ปุ่นใช้เหรียญดิจิตอลดังกล่าวเพื่อจ่ายซื้อสินค้าและบริการอื่นๆเพิ่มเติมผ่านโทรศัพท์สมาร์ทโฟน

ปัจจุบันการทำธุรกรรมด้วยเงินสดคิดเป็นประมาณ 70% ของธุรกรรมทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทางธนาคารเริ่มมองว่าเป็นปัญหาเนื่องจากเงินสดนั้นมีค่าบำรุงรักษาที่แพง ไม่ว่าจะทั้งสำหรับธนาคารและรัฐบาล โดยเฉพาะธนาคารที่ต้องจ่ายเงินในด้านการข่นส่งธนบัตร, ค่าดูแล และค่าออดิตเงินเป็นจำนวนมาก ในขณะที่รัฐบาลก็มีความเสี่ยงในด้านการสูญเสียการเก็บภาษีสำหรับเงินสดที่ไม่ได้ถูกจดบันทึกไว้ หรือเงินสดที่ถูกนำไปทำธุรกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ

กลุ่ม consortium ธนาคารดังกล่าวคาดว่าอัตราการปรับใช้เหรียญดิจิตอลตัวใหม่นี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าประมาณ 10 พันล้านเยน (ประมาณ 90 ล้านดอลลาร์) เข้าไปในเศรษฐกิจ โดย J-Coin นั้นจะถูกแลกเปลี่ยนกับเงินเยนด้วยอัตรา 1:1

รัฐบาลทั่วโลกกำลังผลักดันประเทศตัวเองเข้าสู่สังคมไร้เงินสด

ที่น่าสนใจคือรัฐบาลแห่งยุโรปกำลังพยายามที่จะอัพเกรดกลุ่มในเครือยูโรให้เป็นสังคมไร้เงินสด ด้วยการนำเอาระบบจ่ายเงินดิจิตอลมาใช้ โดยอ้างอิงได้จากรายงานของอัตราการใช้เงินสดที่ลดลงถึง 27% ตั้งแต่ปี 2011 ที่ผ่านมาในประเทศสวีเดน รวมถึงประเทศเดนมาร์กที่มีการอนุญาตให้ร้านค้าต่างๆรวมทั้งร้านอาหาร, ปั๊มน้ำมันและร้านขายเสื้อผ้าให้หยุดรับเงินสดได้ ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศเกาหลี (Bank of Korea) นั้นได้กล่าวว่าพวกเขามีแผนการที่จะทำให้ประเทศตัวเองเป็นสังคมไร้เงินสดภายในปี 2020 ให้ได้

ประเทศที่ดูเหมือนว่าจะนำหน้าสังคมไร้เงินสดไปอย่างเห็นได้ชัดดูเหมือนว่าจะเป็นประเทศจีน ที่ปัจจุบันมีบริหารให้จ่ายเงินใหญ่ๆอยู่สองบริษัทด้วยกันคือ Alibaba และ Tencent ที่มีการนำเอาระบบ epayment เข้าไปใส่ในแอพอย่าง Alipay และ WeChat โดยมีรายงานว่าปัจจุบันชาวจีนส่วนใหญ่นั้นออกจากบ้านไปซื้อสินค้าโดยที่ไม่ต้องพกเงินสดอีกต่อไป อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังมีรายงานว่าธนาคารกลางแห่งประเทศจีนได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยเงินดิจิตอลเพื่อพัฒนาเหรียญดิจิตอลสำหรับตัวเองด้วยเช่นกัน

ส่วนประเทศไทยเรานั้น ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยออกมาประกาศว่าจะผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่สังคมไร้เงินสดเช่นกัน เพื่อป้องกันอาชญากรรมด้านการฉกชิงวิ่งราว โดยได้มีการพูดถึงโปรเจคของธนาคารนามว่า “พร้อมเพย์” ที่เราๆรู้จักกันดีมาเป็นตัวชูโรงอีกด้วย

The post ธนาคารในประเทศญี่ปุ่นเตรียมเปิดตัวเหรียญดิจิตอลเป็นของตัวเองนาม J-Coin appeared first on Siam Blockchain.

Ripple ก่อตั้งสาขาออฟฟิซในสิงคโปร์ หวังขยายตลาดในเอเชียเพิ่ม

ในแผนการรุกตลาดเอเชียอย่างต่อเนื่องของ Ripple นั้น พวกเขาได้ออกมาประกาศเปิดตัวออฟฟิซใหม่ในประเทศสิงคโปร์

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศศูนย์การเงิน (financial hub) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งความพยายามดังกล่าวของ Ripple ในการเจาะตลาดเอเชียนั้นเกิดขึ้นไม่นานนักหลังจากที่พวกเขาออกมาประกาศเปิดสาขาออฟฟิซในประเทศอินเดียเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

ด้วยการที่เป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านฟินเทคที่ได้รับเงินลงทุนสนับสนุนจาก venture captial นั้น Ripple เป็นบริษัทด้านโซลูชันการจ่ายเงินผ่าน Blockchain ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลก โดยฟีเจอร์เรื่องความเร็วในการโอนเงินข้ามประเทศที่ใช้เวลาระดับวินาที และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ ซึ่งการเลือกสิงคโปร์เป็นฐานนั้น ถือเป็นหนึ่งในแผนการที่จะใช้ประเทศดังกล่าวเป็นประตูสู่ตลาดประเทศอื่นๆในทวีปเอเชีย มีเม็ดเงินไหลเข้าออกสิงคโปร์ปีละประมาณ 550 พันล้านดอลลาร์ อีกทั้งยังมีอัตราการเติบโตในทุกๆปีด้วย

นาย Dilip Rao หรือ MD ของ Ripple Asia Pacific กล่าวว่า

“สิงคโปร์นั้นถือเป็นผู้นำในเรื่องของการมีเม็ดเงินไหลเข้าออกในประเทศ, ระบบการจ่ายเงินและโอนเงิน ซึ่งออฟฟิซของเราจะช่วยสนับสนุนในด้านนี้ให้กับประเทศด้วย และจะทำให้เราได้เข้าใกล้ฐานลูกค้าแถบเอเชียแปซิฟิก ทำให้ธนาคาร, ผู้ให้บริการด้านการจ่ายเงิน และบริษัทใหญ่ๆสามารถทำการจ่ายเงินได้อย่างรวดเร็วในระหว่างประเทศผ่านเทคโนโลยี Blockchain”

Ripple นั้นได้พัฒนาระบบ Ripple Consensus Ledger (RCL) หรือ Blockchain สาธารณะพร้อมติดตั้งสำหรับบริษัทใหญ่ๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อธนาคารและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งเหรียญ XRP ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยทีมของ Ripple นั้นจะถูกใช้รองรับ Blockchain ของ RCL โดยในปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมราวๆ 7 พันล้านดอลลาร์

ประเทศสิงคโปร์นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำทางด้าน hub ของบริษัทสายฟินเทค เนื่องจากมีสภาพกฎหมายที่เอื้ออำนวยให้เกิด “สังคมเป็นมิตรต่อเทคโนโลยี” ในประเทศ ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทางธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ได้ออกเหรียญดิจิตอลสำหรับเงินดอลลาร์สิงคโปร์บน Blockchain แบบ private ของ Ethereum อีกทั้งยังเคยเข้าร่วมเซ็นสัญญากับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อร่วมมือกันทางด้านฟินเทคบนข้อตกลง Fintech Cooperation Agreement (CA) เพื่อทำการพัฒนาระบบ ecosystem ทางด้านการเงินของภูมิภาคเอเซียนในปัจจุบันอีกด้วย

The post Ripple ก่อตั้งสาขาออฟฟิซในสิงคโปร์ หวังขยายตลาดในเอเชียเพิ่ม appeared first on Siam Blockchain.

[Guide] วิธีการขุดเหรียญ Zcoin ด้วย GPU หรือการ์ดจอ

สวัสดีครับนักขุดทั้งหลาย วันนี้ทางทีมงาน Siam Blockchain มีเหรียญทางเลือกให้กับนักขุดทั้งหลายที่อยากลองมองหาเหรียญอื่นๆขุดเป็นทางเลือกและเหรียญที่เราจะขอแนะนำนั่นคือ Zcoin

Zcoin เป็นเหรียญ Zero-knowledge-proof มีหลักการ Zcash ที่ไม่สามารถระบุตัวตนผู้รับส่งและจำนวนเงินได้แต่ Zcoin นั้นจะสามารถ Track Supply ว่ามีอยู่ในระบบเท่าไหร่ได้ โดย Zcoin ตัวผู้คิดค้นนั้นยังเป็นคนไทยคือคุณ ปรมินทร์ อินโสม หรือคุณหนึ่งเจ้าของบริษัท Satang และเวปเทรด Tdax ซึ่งอีกไม่นานทาง Tdax จะมีเหรียญ Zcoin ให้เทรดอีกด้วย

เนื่องจากว่าเมื่อไม่นานมานี้ทาง Zcoin ได้มีการอัพเดท Core Wallet ทำให้ราคาพุ่งถึงสูงเกินกว่า 50% ทำให้ราคาในทุกวันนี้อยู่ที่ 11.2 ดอลลาห์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap

ทำให้มันกลายเป็นเหรียญที่คุ้มค่าพอๆกับเหรียญอื่นๆในแง่รายได้ โดยตัว Zcoin นี้ใช้ algorithm ในการขุดที่เรียกว่า Lyra2z ซึ่งตามข้อมูลที่อ้างอิงจากอินเทอร์เนตมันขุดได้ดีมากสำหรับการ์ดจอ Nvidia แต่ทำได้ไม่ค่อยดีใน AMD สำหรับกำลังขุดของอัลกอริทึ่มนี้ในการ์ดจอแต่ละรุ่นทางทีมงานต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถหามาให้ได้เนื่องจากแหล่งข้อมูลที่หาได้นั้นมีน้อยมากแต่ทีมงานจะขอทดสอบด้วย GTX1070 ที่ทางทีมงานมีซึ่งได้ Hashrate ที่ 1500 kh/s และอ้างอิงจากผู้ใช้ในอินเทอร์เนตบางคนกล่าวว่าได้ Hashrate ถึง 2200 kh/s ในรุ่น 1080

ซึ่งทางหน้าเวปไซต์ของ Whattomine นั้นไม่มีอัลกอริทึ่มนี้ให้เปรียบเทียบทำให้หลายๆคนอาจจะไม่ทราบถึงรายได้จากการขุดเหรียญนี้ซึ่งเหรียญที่ดีที่สุดในตอนนี้สำหรับ 1070 คือ Hush รายได้ 1.81 ดอลลาห์ในรุ่น 1070 และกินไฟ 120 watt

หากเราต้องการรู้รายได้ที่ถูกต้องเราต้องเข้าไปในหน้าเมนูของเหรียญ Zcoin ใน Whattomine เองผลที่ได้คือมันได้รายได้ที่ 1.96 ดอลลาห์และจากการทดสอบในรุ่น 1070 มันกันไฟเพียง 74-77 Watt เท่านั้นซึ่งน้อยมาก

และสำหรับพูลที่จะของแนะนำก็คือ mining pool hub ซึ่งมันมี Hashrate เยอะที่สุดเมื่อเทียบกับพูลอื่นๆ

สำหรับการ์ดจอ Nvidia ให้ใช้ ccminer ตามด้วยคำสั่งดังนี้

ccminer -a lyra2z -o stratum+tcp://us-east.lyra2z-hub.miningpoolhub.com:20581 -u username.workername -p x

และ sgminer สำหรับ AMD

sgminer -k lyra2z -o stratum+tcp://us-east.lyra2z-hub.miningpoolhub.com:20581 -u username.workername -p x

สำหรับ AMD หากใครรันไม่ผ่านให้ลองเปลี่ยน -k เป็น –algorithm แต่ว่ามีผู้ใช้ในอินเทอร์เนตกล่าวอ้างว่า AMD นั้นขุดได้ช้ากว่า Nvidia ถึงสามเท่า

หลังจากขุดได้จนถึงในปริมาณที่พึงพอใจก็ให้เรานำเลข Wallet ของ zcoin ไปใส่ใช้ช่อง Wallet address และโอนไปที่ Wallet ของเราซึ่งสามารถหาเลข Wallet ได้ที่เวปไซต์Bittrex

ในปัจจุบัน Zcoin เป็นเหรียญที่มีความคุ้มค่าในการขุดมากแต่ก็ต้องอย่าลืมว่ามันเกิดจากมูลค่าที่สูงขึ้นกระทันหันและนักขุดส่วนใหญ่ยังไม่ตื่นตัวเท่าไหร่ซึ่ง Hashrate ทั้งหมดที่มีเพียงราว 53 Gh/s เท่านั้นซึ่งไม่ได้มากเท่าไหร่เลยและเมื่อมีคนมาขุดเยอะแน่นอนว่า Share นั้นจะต้องถูกแบ่งส่วนแน่นอน

The post [Guide] วิธีการขุดเหรียญ Zcoin ด้วย GPU หรือการ์ดจอ appeared first on Siam Blockchain.

Tuesday, September 26, 2017

ผู้จัดการ Omise กล่าวทำ ICO ไม่ใช่เรื่องง่าย แนะนำคนทำอย่าหยุดแค่ในตลาดไทย

ท่ามกลางกระแสการเปิดขาย Initial Coin Offering (ICO) ที่ในปัจจุบันบริษัทสตาร์ทอัพหลายๆบริษัทต่างก็เล็งเห็นถึงศักยภาพในด้านการระดมทุนดังกล่าว เนื่องมาจากความเร็วในการระดมทุน ความยืดหยุ่นที่สามารขายให้กับใครก็ได้ทั่วโลก และยังไม่จำเป็นต้องมีโปรเจ็คแบบเป็นชิ้นเป็นอันก็สามารถเปิดระดมทุนได้นั้น ทำให้มีบริัทสตาร์ทอัพหลายๆบริษัทต่างก็กระโดดเข้ามาในตลาด cryptocurrency เพื่อหวังแจ้งเกิดบ้าง

ทว่าในปัจจุบันไม่ใช่ทุกๆธุรกิจสตาร์ทอัพที่จะสร้างเหรียญและเปิดระดมทุนนัน้จะประสบความสำเร็จเสมอไป เนื่องจากว่าความหลากหลายบริษัทด้าน ICO ที่มีนั้นทำให้นักลงทุนมีตัวเลือกมากขึ้น อีกทั้งยังมีปัญหาด้านมิจฉาชีพที่หากินโดยการหลอกว่าจะเปิดขาย ICO แต่ก็เชิดเงินนักลงทุนหนีในตอนหลัง โดยก่อนหน้านี้มีบริษัทที่เปิดขาย ICO เป็นจำนวนมาก แต่ก็ล้มเหลวเนื่องจากว่าไม่สามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมาย

แต่ก็มีหนึ่งในบริษัทสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งก็คือบริษัทสัญชาติไทยที่ผู้ใช้งาน cryptocurrency นั้นมีความคุ้นเคยกันดี โดยพวกการเปิดระดมทุนผ่าน ICO ของพวกเขาเป็นไปด้วยความยาก และต้องใช้เวลานานในการเตรียมตัว

โดยอ้างอิงจาก นายวิศิษฏ์ ยินดีสิริวงศ์ หรือผู้จัดการบริษัท Omise แห่งประเทศไทยที่ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว TNN16 นั้น เขากล่าวว่า

“การที่เราจะเริ่มทำ ICO เองเราก็ไม่ได้ทำแบบข้ามวันข้ามคืนอยากจะคิดจะทำได้เลย มันมีการเตรียมงาน เตรียมพิจารณา เตรียมทีมปรึกษามากันเป็นแรมปีครับ อยากจะฝากไว้ว่าอย่ามองเรื่องของ ICO เป็นเรื่องของการที่จะเข้ามาในตลาดแล้วก็เพิ่มมูลค่าของบริษัทได้อย่างง่ายนะครับ”

โดยเขายังได้กล่าวเสริมว่า

“การที่จะเริ่มธุรกิจลักษณะเป็นสตาร์ทอัพนะครับ อยากให้มองเป็นลักษณะที่สามารถเติบโตได้ในนานาประเทศนะฮะ ไม่ใช่เฉพาะเริ่มในประเทศไทยและก็หยุดที่ประเทศไทยเท่านั้น เพราะว่าลักษณะการตอบโจทย์หรือการให้บริการเนี่ย มันก็สามารถที่จะสามารถขยายไปต่างประเทศได้แล้วก็ให้บริการในลักษณะคล้ายกันได้ครับ”

OmiseGO นั้นเป็นแบรนด์ที่แยกมาจาก Omise ที่ก่อนหน้านี้เคยเปิดระดมทุน ICO เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาโดยการขายเหรียญ OMG เพื่อมาแบคโปรเจ็คในการทำให้เงินธรรมดาเงินดิจิตอลหรืออะไรก็ตามที่มีค่าสามารถแลกเปลี่ยนกันได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องมีตัวกลาง ภายหลังพวกเขาสามารถระดมทุนไปได้ทั้งหมด 25 ล้านดอลลาร์

หลังจากที่มูลค่าตลาดรวมของเหรียญ OMG แตะ 1 พันล้านดอลลาร์จนได้เป็น unicorn ตัวแรกของ Ethereum นั้น พวกเขาก็ได้ขึ้นรับรางวัล Digital Startup of The Year จากนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในงาน Digital Thailand Big Bang 2017 ที่ผ่านมาไม่นานอีกด้วย

ICO นอกนอกประเทศจะเข้ามาหาตลาดในไทยมากขึ้น

ในวีดีโอการสัมภาษณ์ของ TNN16 ยังได้มีการเข้าไปพูดคุยกับคุณปรมินทร์ อินโสม หรือเจ้าของเหรียญดิจิตอลอีหนึ่งตัว Zcoin และเว็บซื้อขายเหรียญคิรปโตทั้งสอง Satang และ TDAX โดยเขาได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเปิดขาย ICO ที่อยู่นอกประเทศไทย ที่อาจจะเข้ามาเปิดตลาดขายในประเทศไทย เนื่องจากท่าทีของ ก.ล.ต. ที่ก่อนหน้านี้เคยออกมากล่าวว่าโมเดลดังกล่าวช่วยตอบโจทย์การระดมทุนให้ธุรกิจ

“คือ ก.ล.ต. เองนะครับไม่ได้เหมือนกับว่า ไม่ได้ปิดกั้นในเรื่องของการทำ ICO ตรงนั้นนะครับ ซึ่งตรงนี้นะครับเรามองว่าคือต่อไปก็จะมีทั้งสตาร์ทอัพและก็ company หรือบริษัทต่างๆ ซึ่งอยู่ในไทยนะคับทำ ICO แล้วก็ตัว token ที่เกิดจากการทำ ICO เนี่ยนะครับ ก็ต้องหาตลาดที่เป็น secondary market เพื่อมาทำการเทรด ซึ่งตัว TDAX ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในนั้น”

กล่าวโดยคุณปรมินทร์

เว็บ TDAX นั้นถือเป็นเว็บกระดานตลาดแลกเปลี่ยนเหรียญ cryptocurrency เว็บแรกของไทยที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยคนไทย ซึ่งก่อนหน้านี้คนที่อาศัยอยู่ในไทยมีตัวเลือกแค่เว็บเดียวซึ่งก็คือ Bx

แม้ว่าในปัจจุบันจะเปิดให้บริการเทรดแค่สองคู่ คือ BTC/THB และ ETH/THB แต่พวกเขาก็มีแผนการที่จะลิสเหรียญ altcoin ยอดนิยมอื่นๆเข้ามาในตลาดในอนาคตอย่างเช่น OMG และ Zcoin อีกด้วย

ประเทศไทยจะได้เป็นศูนย์กลางด้าน ICO?

หากดูจากท่าทีของผู้ออกกฎหมายในไทยทั้งของ ก.ล.ต. และของแบงก์ชาติที่ก่อนหน้านี้เคยออกมาประกาศว่ากำลังศึกษา Bitcoinอยู่นั้น บางทีเรื่องพวกนี้อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวของคนไทยอีกต่อไป

ปัจจุบันตลาดเหรียญ cryptocurrency ในประเทศไทยนั้นเริ่มที่จะมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยหากดูจากโวลลุ่มการซื้อขายบนเว็บ Bx ที่มีการแลกเปลี่ยน Bitcoin ต่อวัน อยู่ที่ 375.45 BTC หรือประมาณ 49 ล้านบาท และเหรียญอันดับสองของโลก Ethereum อยู่ที่ 1,405.1 ETH หรือราวๆ 13 ล้านบาท ซึ่งนี่ยังไม่รวมเหรียญอื่นๆ และตลาดแลกเปลี่ยนอื่นๆในประเทศนั้น มันอาจจะช่วยบ่งชี้ได้ว่าตลาด cryptocurrency ในไทยนั้นกำลังเติบโตอย่างช้าๆ และมั่นคง หากเทียบกับเมื่อของ 2-3 ปีที่แล้ว

ซึ่งหากลักษณะดังกล่าวนี้ยังเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคต เราอาจจะได้เห็น ICO ฝีมือคนไทยที่สามารถเปิดระดมทุนจากนักลงทุนทั่วโลกจนประสบความสำเร็จก็อาจจะเป็นได้

The post ผู้จัดการ Omise กล่าวทำ ICO ไม่ใช่เรื่องง่าย แนะนำคนทำอย่าหยุดแค่ในตลาดไทย appeared first on Siam Blockchain.

บริษัทให้บริการเทรดเหรียญ Cryptocurrency ในสิงคโปร์บางแห่งถูกระงับบัญชีธนาคาร

ธนาคารในประเทศสิงคโปร์ได้ทำการระงับบัญชีธนาคารของบริษัทในประเทศที่ให้บริการด้านเว็บซื้อขายแลกเปลี่ยน cryptocurrency และระบบช่องทางการชำระเงิน อ้างอิงจากสำนักข่าว Today Online

ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้บริษัทดังกล่าวเคยมีปัญหากับธนาคารที่พวกเขาใช้บริการในประเทศอื่นๆมาแล้ว โดยหัวหน้าของสมาคม Cryptocurrency และ อุตสาหรกรรมบล็อกเชนแห่งสิงคโปร์ (Singapore’s Cryptocurrency and Blockchain Industry Association) หรือ Access ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาช่วยจัดการแก้ไข

“จากการวิเคราะห์ของเราแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับบริษัทด้านฟินเท็ค” กล่าวโดยนาย Anzon Zeall หรือประธานของ Access “หากเป็นกรณีนี้ เราจะต้องร้องเรียนให้รัฐบาลสิงคโปร์เข้ามาแทรกระหว่างกลางและคอยควบคุมเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้สำหรับทุกๆฝ่ายๆ”

นาย Zeall กล่าวว่าเขานั้นได้รับร้องเรียนมาจากบริษัทราวๆ 10 บริษัทที่ประสบปัญหาในด้านความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารในประเทศสิงคโปร์ โดยที่ธนาคารนั้นไม่ได้ให้เหตุผลว่าสาเหตุอะไรถึงได้ระงับบัญชี

การระงับบัญชีธนาคารนั้นดูเหมือนจะมีขึ้นในระหว่างที่วงการ cryptocurrency ทั่วโลกนั้นกำลังตกเป็นเป้าสายตาของรัฐบาลในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศจีนที่ก่อนหน้านี้เคยออกมาประกาศแบนการซื้อขาย cryptocurrency ในประเทศ และสั่งปิดเว็บเทรดเหรียญทั้งหมด รวมถึงนาย Jamie Dimon หรือ CEO ของธนาคาร JPMorgan Chase ออกมากล่าวหา Bitcoin ว่าเป็นเรื่องหลอกลวง และจะไล่นักเทรดในบริษัทที่ทำการซื้อขาย Bitcoin ออกด้วย โดยด่าว่าพวกเขานั้น “โง่”

การระงับบัญชีธนาคาร

ทางธนาคารกลางแห่งประเทศสิงคโปร์ (MAS) กล่าวในการประกาศว่าพวกเขาไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงการตัดสินใจของธนาคารพาณิชย์ต่างๆได้ “รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปิดบัญชีธนาคารของเว็บเทรดเหล่านั้นด้วย”

กระนั้น ธนาคารพาณิชย์ต่างๆในประเทศสิงคโปร์จะต้องเป็นผู้ออกมาควบคุมธุรกรรมที่ถูกทำผ่านธนาคาร เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้งานนั้นจะปฏิบัติตามกฎหมายป้องกันการฟอกเงินและต่อต้านผู้ก่อการร้าย

นาย Chia Hock Lai หรือประธานของสมาคมฟินเทคแห่งประเทศสิงคโปร์ หรือสมาคมที่มีสมาชิกมากกว่า Access ได้กล่าวว่าบริษัทในสมาคมของเขานั้นก็ประสบปัญหาถูกระงับบัญชีธนาคารเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกมาให้รายละเอียดมากนัก

เว็บ CoinHako หรือหนึ่งในเว็บผู้ให้บริการด้านการเทรดเหรียญ cryptocurrency ในสิงคโปร์นั้นได้ออกมาประกาศว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารของพวกเขา และถอนเงินดอลลาร์สิงคโปร์ออกมาได้

“เราเข้าใจว่าธนาคารมีความกังวัลเกี่ยวกับเรื่องปัญหาการฟอกเงินและเรื่องการทำ KYC” กล่าวโดยนาย Yushuo Liu หรือผู้ก่อตั้งร่วมของ CoinHako โดยเขายังกล่าวเสริมอีกว่า

“ถ้าดูในข้อกฎหมายปัจจุบันแล้ว มันไม่รองรับบริษัทของเราเลย”

ก่อนหน้านี้ทาง MAS ในสิงคโปร์เคยออกมาเตือนนักลงทุนในประเทศเกี่ยวกับเรื่องการระดมทุนแบบ Initial Coin Offerings (ICO) โดยบอกว่าเหรียญที่ถูกสร้างออกมาขายบางตัวนั้น อาจจะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายสินทรัพย์ (securities) อีกด้วย

The post บริษัทให้บริการเทรดเหรียญ Cryptocurrency ในสิงคโปร์บางแห่งถูกระงับบัญชีธนาคาร appeared first on Siam Blockchain.

นักขุด Ethereum ออกมาถกเถียงแสดงความไม่พอใจกับตัวอัพเกรด Byzantium

ความขัดแย้งระหว่างนักพัฒนา Ethereum และนักขุดกำลังเป็นไปด้วยความรุนแรงมากขึ้น เกี่ยวกับตัว hard fork อัพเกรดตัวใหม่ล่าสุดของเหรียญดังกล่าวที่จะเข้ามาปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่

โดยการพูดคุยดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งการถกเถียงดังกล่าวนั้นว่าด้วยการแก้ไขระบบโพรโตคอลของ Ethereum หรือ EIP 649 ที่จะเข้ามาใช้ลดระยะเวลาในการ “ขุด” เหรียญ ETH ในแต่ละบล็อกลง (นักขุดเหรียญจะได้รางวัลเป็นเหรียญใหม่หลังจากการปิดบล็อกเก็บธุรกรรมได้)

ทว่าประเด็นหลักๆที่สร้างความไม่พอใจให้กับนักขุดก็คือ หลังจากการ hard fork นั้น บล็อกหลังจากนั้นทีจะอยู่ภายใต้ตัวอัพเกรดตัวใหม่ “Byzantium” จะถูกทำให้ขุดเร็วขึ้น 10 วินาทีจากในปัจจุบัน แต่ทว่าทางทีมนักพัฒนาก็ต้องการที่จะทำให้แน่ใจด้วยว่าการกระทำดังกล่าวจะไม่ทำให้มูลค่าของ Ethereum (ที่ ณ ตอนนี้มีมูลค่าราวๆ 290 ดอลลาร์ต่อเหรียญ) ลดลง โดยโค้ดตัวใหม่นั้นจะลดจำนวนรางวัลต่อบล็อกลงจาก 5 ETH (ราวๆ 1,200 ดอลลาร์) ให้เหลือแค่ 3 ETH (ประมาณ 840 ดอลลาร์)

ซึ่งการอัพเกรดดังกล่าวนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นภาคเสริมของ difficulty bomb ที่จะทำให้ค่าความยากในการขุดเพิ่มขึ้น

ความยากในการขุดที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายนี้ได้ถูกตั้งค่าลงไปในโพรโตคอลของ Ethereum และ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะทำให้บล็อกใช้เวลาน้อยลงเรื่อยๆในการถูกขุดขึ้นมา ซึ่งแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีขึ้นเพื่อจูงใจให้นักขุดหันไปขุด chain อื่นๆในกรณีที่มีการ fork เกิดขึ้น แต่บางคนก็กังวลว่า “การเพิ่มขึ้นของค่า difficulty และการลดลงของรางวัลต่อบล็อก” จะทำให้ผลที่ตามมานั้นตรงกันข้าม

ด้วยความที่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ส่งผลต่อนักขุดและผู้ใช้งาน Ethereum แตกต่างกันไป มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะให้ทุกๆคนยอมรับในตัว Hard fork ตัวนี้ นักขุดบางคนถึงกับมองว่า EIP ตัวดังกล่าวถือเป็นการ “โจมตีกลุ่มนักขุด Ethereum ทั้งหมด” เนื่องจากว่าพวกเขานั้นมีต้นทุนการ์ดจอที่สูงมาก แต่รายได้จากรางวัลในการขุดนั้นลดลง

โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ การถกเถียงยังคงมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ามันจะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ที่ออกมาถกเถียงนั้นสามารถสะท้อนความคิดของนักขุดโดยรวมทั้งหมดได้หรือไม่ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขาจะมีอำนาจพอที่จะเปลี่ยนแปลงการ hard fork ของ Byzantium ที่จะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

ปัจจุบันค่าความยากในการขุดของ Ethereum นั้นอยู่ที่ 2960.802 TH อ้างอิงจาก Etherscan.io ซึ่งหากดูจากชาร์ทด้านล่างจะเห็นได้ว่า Ethereum โดน difficulty bomb มาแล้วตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา

The post นักขุด Ethereum ออกมาถกเถียงแสดงความไม่พอใจกับตัวอัพเกรด Byzantium appeared first on Siam Blockchain.

ธนาคารในจีน China Construction Bank จับมือ IBM สร้าง Blockchain ด้านประกัน

ธนาคารสัญชาติจีน China Construction Bank (CCB) หรือธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกตามมูลค่าตลาดรวมได้ร่วมมือกับบริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ IBM เพื่อพัฒนาระบบ Blockchain สำหรับธุรกิจนายหน้าประกันภัยผ่านธนาคาร (Bancassurance) สำหรับสาขาย่อยและในฮ่องกง

การทำประกันภัยผ่านธนาคาร (Bancassurance) หมายถึง การซื้อประกันโดยมีธนาคารทำหน้าที่เป็นผู้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันภัย ซึ่งธนาคารจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากเบี้ยประกันที่เรียกเก็บได้ ในอัตราประมาณร้อยละ 18-40 ขึ้นอยู่กับประเภทการประกัน และรูปแบบการประกัน ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่วินวินกันระหว่างธุรกิจประกันและธนาคาร เนื่องจากว่าธนาคารก็จะได้รายได้จากค่านายหน้า ในขณะที่บริษัทประกันก็สามารถขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นได้ผ่านช่องทางคอนเน็คชันของธนาคาร ทว่าปัญหานั้นก็ยังมี กล่าวคือการเก็บข้อมูลลูกค้านั้นยังมีความไม่ละเอียดมากพอ และบางข้อมูลนั้นก็มีการตกหล่น

นั่นจึงเป็นแนวคิดที่ทำให้ทาง IBM และ CCB ต้องออกมาร่วมมือกันเพื่อพัฒนาระบบ Blockchain ที่จะสามารถนำมาใช้ในด้านนี้ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการตัดขั้นตอนการตรวจสอบสถานะที่มักจะทำให้เกิดการดีเลย์เมื่อมีการจัดการผลิตภัณฑ์ด้านการประกันภัย ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนั้นจะถูกบันทึกบนบัญชีสาธารณะที่ไม่สามารถถูกแก้ไขได้บน Blockchain ของ IBM

นาย Francias Ngai หรือผู้จัดการภูมิภาคของ IBM Hong Kong กล่าวว่า

“เทคโนโลยี Blockchain จะช่วยให้การทำธุรกรรมธุรกิจสามารถเป็นไปด้วยความไหลลื่นไม่มีสะดุด และมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยในการทำงานร่วมกับ CCB (Asia) และหุ้นส่วนนั้น เราได้มองเห็นแล้วว่าเทคโนโลยีดังกล่าวกำลังเข้ามา disrupt ขั้นตอนในการทำธุรกิจ ซึ่งมันจะเข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการธนาคารในท้องถิ่นไปตลอดจนสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในอนาคต”

ทว่าระบบ Blockchain ดังกล่าวยังคงอยู่ในช่วงทดสอบโดยธนาคาร China Construction Bank กับหุ้นส่วนด้านประกันภัยและลูกค้าของพวกเขา ซึ่งระบบ Blockchain ดังล่าวจะถูกเปิดตัวขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่สามของปีนี้

ระบบ Blockchain ที่พวกเขานำมาใช้นั้น ถูกพัฒนาโดยใช้ Hyperledger Frabic 1.0 หรือระบบ Blockchain แบบ open-source ที่สามารถนำไปติดตั้งและใช้งานได้ทันที ซึ่งผู้พัฒนาก็คือ Hyperledger project

นาย Guo Zhipeng หรือผู้บริหารของ CCB ได้ออกมากล่าวว่า

“หลังจากการเปิดตัวระบบ blockchain ดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์แล้วนั้น เรามีแผนการที่จะขยายประสบการณ์ดีๆนี้ไปให้หุ้นส่วนด้านประกันภัยของเรา ในการที่จะปรับใช้กับธุรกิจด้าน Bancassurance ที่ว่านี้”

The post ธนาคารในจีน China Construction Bank จับมือ IBM สร้าง Blockchain ด้านประกัน appeared first on Siam Blockchain.

ผู้ออกกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มจับตาดูการซื้อขาย Bitcoin นับตั้งแต่เดือนหน้า

สำนักงานบริการทางการเงินแห่งประเทศญี่ปุ่นหรือ Financial Services Agency (FSA) จะเริ่มจับตามอนิเตอร์ดูการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ตั้งแต่เดือนหน้าที่จะถึงเป็นต้นไป

โดยอ้างอิงจาก Japan Times นั้น การเพิ่มมาตรการการตรวจสอบดูแลดังกล่าวมีขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเหรียญคริปโตนั้นทำตามกฎหมายด้านการเงินตัวล่าสุดที่มีการบังคับใช้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยกฎหมายดังกล่าวได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการทำงานของเว็บเทรดเหรียญ​ cryptocurrency ในญี่ปุ่น อีกทั้งยังประกาศให้เหรียญเหล่านี้สามารถใช้ชำระเงินได้ตามกฎหมายอีกด้วย

โดยผู้บริหารคนหนึ่งของ FSA ได้บ่งชี้ให้เห็นสาเหตุของการเข้มงวดเรื่องการจับตาเฝ้าดูว่าต้องการที่จะให้เว็บผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนในประเทศนั้นให้ความร่วมมือด้านกฎหมาย และเพื่อให้ตลาดดังกล่าวเติบโตอย่างแข็งแรง โดยกล่าวว่า

“เราต้องการที่จะสร้างตลาดให้แข็งแกร่งและบังคับใช้กฎหมาย…และต้องการที่จะให้มีพัฒนาการในตลาดด้วย”

หนึ่งในข้อบังคับของร่างกฎหมายฉบับใหม่ได้มีการพูดถึงการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการทำ KYC (Know your customer) บนเว็บซื้อขายเหรียญคริปโตด้วย และรวมถึงการบังคับให้เว็บเทรดเหล่านี้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อปกป้องเงินของผู้ใช้งานจากการถูกแฮค

กฎหมายยังได้กล่าวว่าเว็บแลกเปลี่ยนเหรียญทุกๆเว็บนั้นจะต้องรายงานกับทางรัฐบาลภายในสิ้นเดือนนี้ และจะต้องรับทราบว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามข้อกฎหมายใหม่ ทาง FSA ยังมีแผนการในการตรวจตราสถานที่ถ้าหากว่าจำเป็นอีกด้วย

เมื่อเดือนที่ผ่านมามีรายงานว่าทาง FSA ได้ก่อตั้งทีมขนาด 30 คนที่เอาไว้ใช้จับตาดูเว็บผู้ให้บริการซื้อขาย cryptocurrency ทั้งหมด 20 เว็บในประเทศ

สาเหตุหลักๆนั้นน่าจะมาจากก่อนหน้านี้มีคดีฉ้อโกงด้าน cryptocurrency ที่เพิ่มขึ้นถึง 33 คดีในประเทศญี่ปุ่น และมีเม็ดเงินทั้งหมดราวๆ 500,000 ดอลลาร์ที่สูญเสียไปในการฉ้อโกงนี้แล้ว

อีกทั้งเมื่อปี 2014 ก่อนหน้านี้ อดีตเว็บผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเหรียญ Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนาม Mt Gox ล่มสลายทำให้ลูกค้าของเว็บดังกล่าวต้องสูญเงินไปนับล้านดอลลาร์รวมกัน ซึ่งทางผู้ออกกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นได้หยิบยกความล้มเหลวของเว็บดังกล่าวมาเป็นแรงบันดาลใจในการร่างกฎหมายด้าน cryptocurrency ขึ้น

The post ผู้ออกกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มจับตาดูการซื้อขาย Bitcoin นับตั้งแต่เดือนหน้า appeared first on Siam Blockchain.

“ICO จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินหากมีกฎหมายรองรับ” โดย MD ของ SmartContract Thailand

ในปี 2017 นี้กระแสความนิยมของการลงทุนผ่าน Initial Coin Offerings (ICO) ได้แผ่มาถึงประเทศไทยแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าภายใต้ความอิสระในการระดมทุนของมันนั้น ได้ทำให้ผู้ใช้งาน cryptocurrency ทั่วโลกได้เห็นปรากฏการณ์ประวัติศาตร์การระดมทุนระดับหลักหลายสิบล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลาแค่ 30 วินาที ซึ่งกระแสมาแรงถึงขั้นมีนักมวยและนักฟุตบอลชื่อดังออกมาช่วยโปรโมทและโฆษณาเหรียญ ICO ด้วยเช่นกัน

ด้วยฟีเจอร์ของเทคโนโลยี Blockchain ที่ถูกนำมาพัฒนาให้ใช้งานง่ายขึ้นไปอีกบนระบบ ERC20 Token ของ Ethereum ที่ใครๆก็สามารถสร้างเหรียญดิจิตอลเป็นของตัวเองและเปิดขายเพื่อระดมทุนจาก “ทั่วโลก” ได้นั้น ทำให้บางคนเชื่อว่าจะสามารถช่วยลดต้นทุนของบริษัทในประเทศไทยได้ และจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนยูกลางด้านการเงิน หากมีกฎหมายที่เหมาะสมมาควบคุม

โดยในการให้สัมภาษณ์กับช่อง TNN16 นายสถาพน พัฒนาคูหา หรือผู้ก่อตั้งและ MD บริษัท SmartContract Thailand ได้ออกมากล่าวว่า

“ส่วนตัวเชื่อว่าคงต้องดูกฎหมายด้วยนะครับว่าหน้าตาออกมาเป็นยังไงครับ แต่ว่าถ้าเกิดเราควบคุมมันได้อย่างเหมาะสมและเปิดกว้างให้มีการทดลองการระดมทุนได้ในหลายๆรูปแบบเนี่ย ก็เชื่อว่าจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของการทำธุรกิจในประเทศไทยเนี่ยลดลงด้วย แล้วก็จะทำให้ประเทศไทยเราก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางทางการเงินในโลกยุคใหม่ได้อย่างดีครับ”

กฏหมายกับ ICO

ทว่าภายใต้ความอิสระและความสะดวกของ ICO ที่ตามมาด้วยช่องโหว่ให้มิจฉาชีพหรือผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถใช้เครื่องมือด้านการระดมทุนดังกล่าวนำมาหลอกเอาเงินจากนักลงทุนได้นั้น ทำให้ผู้ออกกฎหมายในหลายๆประเทศออกมาเตือนถึงความอันตราย และวางแผนหาวิธีกำกับและควบคุม ไม่ว่าจะเป็น SEC ประเทศสหรัฐ, MAS ของสิงค์โปร์, BNM ของมาเลเซีย และล่าสุด PBoC ของประเทศจีนที่ตัดปัญหาทั้งหมดด้วยการสั่งแบนการซื้อขาย ICOทั้งหมดในประเทศ

สำหรับประเทศไทยเรานั้น ล่าสุดทาง ก.ล.ต. ได้มีมุมมองที่ค่อนข้างเป็นบวกกับการระดมทุนแบบ ICO โดยกล่าวว่ามันจะช่วยตอบโจทย์การระดมทุนให้ธุรกิจ แต่ก็อาจจะยังต้องมีการหาวิธีกำกับให้มันอยู่ภายใต้กฎหมาย เนื่องจากว่าเหรียญ ICO บางตัวนั้นอาจจะตกอยู่ภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ (securities) แต่อาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย cryptocurrency ที่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายมารองรับเพื่ออาศัยข้อได้เปรียบด้านกฎหมาย

“ทุกคนก็ต้องไปดูว่ากฎหมายของตัวเองมี gap มั้ย ถ้ามีก็ต้องปิด เพราะถ้าเผื่อไม่ปิด ก็จะมีคนที่ออกสิ่งที่เป็นหลักทรัพย์แต่ว่าไปตกอยู่ใน gap นี้ที่กฎหมายมันบอกว่ามัยยังไม่ใช่ และเราก็จะทำอะไรเค้าไม่ได้[…]คือเราไม่ได้อยากจะปิดกั้นไม่ให้มันเกิด แต่เราอยากจะให้มันเกิดภายใต้สายตาการกำกับที่เหมาะสม”

กล่าวโดยทิพยสุดา ถาวรามร รองเลขาธิการ ก.ล.ต.

สำหรับในประเทศไทยนั้น ก่อนหน้านี้ก็มีบริษัทสตาร์ทอัพลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น OmiseGO ที่ประสบความสำเร็จในการเปิดระดมทุนผ่าน ICO ขายเหรียญ OMG ไปแล้ว โดยระดมทุนไปได้ทั้งหมดกว่า 25 ล้านดอลลาร์ ซึ่งภายหลังเหรียญที่ว่านี้เคยมีมูลค่าตลาดรวมทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์

ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดของการระดมทุนแบบ ICO นั้นอยู่ที่ 2.2 พันล้านดอลลาร์ อ้างอิงจาก CoinDesk

The post “ICO จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินหากมีกฎหมายรองรับ” โดย MD ของ SmartContract Thailand appeared first on Siam Blockchain.

Monday, September 25, 2017

สองยักษ์ใหญ่ ธนาคาร Mizuho และกลุ่มบริษัท Hitachi จับมือพัฒนา Blockchain เพื่อโลจิสติก

ธนาคาร Mizuho Financial Group เซ็นสัญญาหุ้นส่วนกับกลุ่มบริษัท Hitachi เพื่อสร้างแพลทฟอร์ม Blockchain เพื่อห่วงโซ่อุปทานหรือโลจิสติก

โดยประกาศเมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา สองบริษัทดังกล่าวนั้นได้เซ็นสัญญาร่วมกันเพื่อทดสอบระบบ blockchain แบบ open-source ของ Hyperledger เพื่อดูว่าพวกเขาสามารถที่จะใช้ระบบบัญชีที่ไม่สามารถถูกแก้ไขได้ในการบันทึกใบกำกับภาษี, ออเดอร์สินค้า และข้อมูลในด้านอื่นๆเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท

โดยอ้างอิงจากบริษัททั้งสองนี้ เป้าหมายหลักก็คือการสร้างระบบแพลทฟอร์มที่ทุกๆคนในบริษัทสามารถที่จะเข้าถึงได้ ซึ่งจะทำให้ขั้นตอนการทำงานรับออเดอร์ของพนักงานในบริษัทมีความชัดเจน และโปร่งใสมากขึ้น

ในขณะนี้หน้าที่ของบริษัท Hitachi คือการรับออเดอร์สินค้า, คอนเฟิร์มออเดอร์, เขียนใบกำกับภาษี และอนุมัติใบกำกับภาษี แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเทคนิคและปัญหาหลายๆอย่างทำให้ขั้นตอนดังกล่าวเหล่านี้ไม่สามารถเป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวังไว้ได้

บริษัท Hitachi ต้องการที่จะนำเอาระบบแพลทฟอร์ม Lumada Internet of Things เข้าไปใช้เพื่อทดสอบในการเก็บข้อมูลและสร้างผลิตภัณฑ์ออกมาด้วย

แต่กระนั้น Hitachi ไม่ใช่รายแรกที่มีแนวคิดในการนำเอาเทคโนโลยี Blockchain มาใช้กับวงการโลจิสติก ก่อนหน้านี้ยังมี IBM ที่ทดสอบเทคโนโลยี Blockchain กับท่าเรือสิงคโปร์, บริษัท Maersk ที่วางแผนจะนำเอา Blockchain มาใช้เพื่อการประกันภัยทางการเดินเรือ และบริษัทสัญชาติฮ่องกง 300cubits ที่เปิดตัวเหรียญคริปโต TEU เพื่อแก้ปัญหาการผิดนัดในการจองตู้คอนเทนเนอร์อีกด้วย

The post สองยักษ์ใหญ่ ธนาคาร Mizuho และกลุ่มบริษัท Hitachi จับมือพัฒนา Blockchain เพื่อโลจิสติก appeared first on Siam Blockchain.

“GoldMint ต้องการจะปฏิวัติวงการการจำนำสิ่งของ” กล่าวโดยผู้ก่อตั้ง GoldMint

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นการเล่าเรื่องในมุมมองของนาย Alex Krol หรือนักลงทุนที่มีโอกาสได้เข้าไปทำความรู้จักกับผูก่อตั้งของ GoldMint ทางสยามบล็อกเชนได้รับการติดต่อจาก GoldMint เพื่อขอให้เผยแพร่การสัมภาษณ์ดังกล่าวแล้ว

เมื่อ Dmitry Plushchevsky  ผู้สร้างแพลตฟอร์ม GoldMint ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับโปรเจคของเค้า สารภาพตามตรงว่าฉันไม่ได้สนใจมันในทันที ในทุกวันนี้ ICO ที่เป็น Scam นั้นมีมากมายเหลือเกินจนเหมือนว่ากลายเป็นเทรน แต่ว่า Dmitry Plushchevsky ก็ไม่ได้ลดความพยายาม และเมื่อฉันเข้าไปดูที่เวปไซต์ของเค้าฉันก็ไม่เค้าใจว่ามันคืออะไรซักเท่าไหร่นั้น แต่ฉันกลับไปสะดุดชื่อของ Igor Ryabenky, Yulia Zegelman และ Eduad Gurinovich ซึ่งมันอยู่ในหมวดของที่ปรึกษาและฉันคุ้นเคยกับชื่อเหล่านั้น และยังรวมถึง Mr. Martynov นักลงทุนคนแรกของ Vitaliy Buterin.

ฉันถามคนฉันรู้จักเป็นการส่วนตัวบางคนว่า พวกเค้าเป็นใคร และโปรเจคของพวกเค้าเป็นอย่างไร คนที่ฉันรู้จักกล่าวว่าพวกเค้านั้นมีความสำเร็จที่น่าประทับใจและอยู่ในจุดที่น่าสนใจมาก

ฉันเริ่มรู้สึกว่าทุกๆอย่างมันเริ่มเข้าท่ายกเว้นแค่อย่างเดียวคือ ฉันไม่เข้าใจโปรเจคนี้ ฉันจึงขอให้ Dmitry อธิบายให้ฉันฟังซัก 15 นาทีฉันอยากรู้ว่าสิ่งที่พวกเค้าทำนั้นมันเป็นยังไง พวกเค้าขายอะไร และมันจะส่งผลต่อคนกว่า 8 พันล้านคนได้อย่างไร

เราคุยกันสองชั่วโมงจนฉันเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับโปรเจคนี้ว่า

  • พวกเค้ากำลังทำในสิ่งที่น่าสนใจมาก เมื่อฉันหมายถึงในมุมมองของธุรกิจ มันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและน่าจะก่อให้เกิดกำไรถึงแม้ว่าจะไม่มีแทคโนโลยี Blockchain
  • แต่ว่าการที่พวกเค้าใข้เทคโนโลยี Blockchain ในการยกระดับโปรเจคนี้ รวมถึงสร้างโอกาสที่ไม่เหมือนใครในการเปลี่ยนแปลงตลาดสินเชื่อขนาดเล็ก
  • พวกเค้าไม่รู้วิธีที่จะอธิบายให้คนทั่วไปเข้าว่ามันจะเกิดประโยชน์ยังไง พวกเช้าอธิบายเชิงเทคนิคมากไป

ถึงแม้ว่าฉันตัดสินใจที่จะช่วยพวกเค้าในเรื่องการสื่อให้คนทั่วไปเข้าใจ ว่าโปรเจคนี้มีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้นำในตลาดนี้ แต่ก่อนหน้านั้นฉันอยากจะบอกสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก่อนว่าทำไมฉันถึงสนใจโปรเจคนี้ เพื่อคลายความสงสัยแก่ทุกคน

ผู้คนมากมายที่เผชิญกัยสถานการณ์ที่ยากลำบากในการกู้เงินทุนเพื่อให้รอดผ่านช่วงที่ยากลำบาก แต่ด้วยเหตุผลมากมาย ผู้คนเหล่านี้ไม่สามรถไปที่ธนาคารและกู้เงินได้ ทำให้คนเหล่านี้เลือกที่จะไปหาตัวเลือกหรือองกรณ์ที่ให้กู้อื่นๆอย่างโรงรับจำนำหรือสถานธนานุเคราะห์ ซึ่งมันเป็นวิธีที่มีมานานและบางครั้งมันก็กลายเป็นธุรกิจที่ผิดกฏหมาย

อย่างไรก็ตามธุรกิจพวกนี้ให้โอกาสแก่ผู้คนจำนวนมากที่ไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารเพราะฉะนั้นเทคโนโลยีที่ GoldMint ให้ในตลาดนั้นเป็นการปฏิวัติในระดับเดียวกับการคิดค้นโทรศัพท์ และมันทำให้ฉันสนใจที่จะสนุบสนุนโครงการนี้ในช่วงที่มันกำลังพัฒนา

ฉันเชื่อว่าสิ่งที่พวกเค้าสร้าง แต่คุณจะเชื่อหรือเปล่านั้นก็เป็นเรื่องของคุณ และด้านล่างนี้คือบทสับภาษณ์จากการสนทนาจริงๆ

วันนี้เรากำลังคุยกับ Dmitry Plushchevsky co-founder ของโปรเจค GoldMint  Dmitry ช่วยบอกเราซักเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวคุณแล้วก็ไอเดียของโปรเจคนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?

ผมทำงานในธุรกิจ IT กว่า 20 ปี ถึงแม้ว่าผมจะอายุแค่ 36 ปี ผมได้มีส่วยร่วมในการพัฒนาและบริหารโปรเจคมากมายเป็นเวลานาน จะในไม่กี่ปีสุดท้ายผมทำงานให้กับกองทุนรวม Typhoon Digital Development ซึ่งผมได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาโปรเจคมากมายรวมถึง NtechLab Starttrack ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดมทุน ในปี 2015 ผมได้ศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดสินเชื่อและพบว่าธุรกิจสถานธนานุเคราะห์ (pawn shop)นั้นดึงดูดความสนใจของผม

ผมแปลกใจว่ามันสามารถทำกำไรได้มากและเห็นช่องว่างของเทคโนโลยีในเวลาเดียวกันและคิดว่ามันจะสามารถสร้างกำไรได้เท่าไหร่

ในปี 2016 ผมรวบรวมคนที่มีประสบการณ์เชิงลึกที่ทำงานเกี่ยวกับทองคำ พวกเราได้มองเห็นปัญหาหลัก 4 อย่างที่ตลาดสถานธนานุเคราะห์กำลับประสบในทุกวันนี้และเริ่มหาวิธีแก้ปัญหา

เป้าหมายของเราคือการปฎิวัติธุรกิจสถานธนานุเคราะห์แล้วสร้างระบบสินเชื่อแบบ peer to peer  ที่คนในประเทศนึงหรือตัวกลางองกรณ์ใดๆก็ตามสามารถให้สินเชื่อแก่คนอื่นๆแม้จะอยู่คนละประเทศ

เมื่อตอนที่เราเริ่มโปรเจุนี้ปัญหาแรกที่เราต้องเผชิญคือของหลุดค้ำประกัน เราจึงแก้ปัญหานี้โดยการสร้างบริษัท “Lot-Zoloto” ซึ่งสร้างกำไรให้เราในธุรกิจนี้กว่า 10 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปีเดียว

แล้วหลังจากคุณเข้าไปอยู่ในธุรกิจสถานธนานุเคราะห์ คุณมีไอเดียที่จะสร้างกำไรจากธุรกิจนี้ โดยการเสริมพลังของเทคโนโลยีเข้าไปใช่มั้ย?

ถูกต้องครับ ในธุรกิจสถานธนานุเคราะห์นั้นก่อนที่เราจะเข้าไปในธุรกิจนั้นด้านเทคโนโลยีของธุรกิจนั้นถือว่าค่อนข้างขาด แน่นอนว่าคอมพิวเตอร์นั้นถูกใช้เป็นเครื่องคิดเลขในการนับว่าใครมีเงินหรือสิ่งของจำนวนเท่าไหร่

และเราได้เห็นความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีไปผนวกกับมันซึ่งจะเสริมประสิทธิภาพและกำไรในธุรกิจนี้ มันก็เป็นอย่างที่คุณพูด นั้นคือเหตุผลที่ไอเดียนี้ถูกนำมาเป็นนวัตกรรมของธุรกิจสถานธนานุเคราะห์

อย่างที่ผมได้กล่าวไป เราได้กำหนดเป้าหมายของเราคือการแก้ไขปัญหา 4 อย่างในธุรกิจสถานธนานุเคราะห์

  • มูลค่าของของหลุดค้ำประกัน
  • การจ่ายเงินผ่านการโอน
  • สินเชื่อสำหรับสถานธนานุเคราะห์
  • การสร้างมาตรฐานครบวงจร

อย่างเช่นการแก้ปัฐหาในเรื่องความรวดเร็วในการคือของค้ำประกันให้ตรงเวลาทันทีที่จ่ายสินเชื่อครบ เราจึงได้คิดค้นโมเดลธุรกิจใหม่ขึ้น

เราได้เริ่มรับของหลุดค้ำประกันจากสถานธนานุเคราะห์ต่างๆในเงื่อนไขที่แตกต่างกันและตีราคามันในวิธีที่แตกต่างกัน เรารอบคอบในกระบวนการนี้มากและสร้างบริการขึ้นมา และทำให้สถานธนานุเคราะห์กว่า 140 ร้านในประเทศเข้าร่วมกับเรา

และเราก็กำลังแก้ปัญหาถัดไปโดยเราได้สร้างโปรดัคโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยซึ่งมันก็คือ Payment system สำหรับสถานธนานุเคราะห์และบัตรพิเศษจากธนาคาร “Bogatstvo” ที่จะทำให้ลูกค้าของสถานธนานุเคราะห์สามารถขอสินเชื่อผ่านการ์ดได้โดยตรง

และในการโอนเงินที่ขอสินเชื่อเข้ามาในการ์ดนั้นจะไม่เกิดขึ้นในทันทีจะต้องรอเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ถึง 2 วันนั้นหมายความว่ามันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่เพราะว่าผู้ที่นำสิ่งของไปคำประกันนั้นมักจะต้องการเงินในทันที

ทำให้เราได้นำเสนอการ์ดพิเศษ “Bogatstvo” (Mastercard) สิ่งนี้จะทำให้สถานธนานุเคราะห์สามารถโอนเงินได้ทันที คุณสามารถถอนเงินโดยไม่มีค่าธรรมเนียมจากตู้ ATM ของธนาคารใดก็ได้ในรัสเซียและสามารถจ่ายเงินผ่านการ์ดผ่านร้านค้าหรือทางออนไลน์

การ์ดนี้มีกฏหมายรองรับแล้วและตอนนี้สถานธนานุเคราะห์ต่างๆแม้กระทั่งสถานธนานุเคราะห์ขนาดใหญ่ก็กำลังพัฒนาระบบเข้าร่วมกับมัน มันเป็นนวัตกรรมที่ดีมากและไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน

จากที่ฉันเข้าใจการ์ดของคุณไม่ได้เปลี่ยนแปลงหลักการพื้นฐานของสถานธนานุเคราะห์ คุณเป็นผู้ออกหลักทรัพย์ผ่านการ์ดใบนั้นให้บริการและทำให้ลูกค้าสะดวกสบายขึ้นแต่ว่ามันจำเป็นยังไงกับเจ้าของสถานธนานุเคราะห์?

คำถามนี้คือปัญหาที่ 3 ของสถานธนานุเคราะห์ ปัญหาคือสถานธนานุเคราะห์นั้นเป็นธุรกิจที่ขอเครดิตยากมากด้วยลักษณะของธุรกิจปัญหาเรื่องความโปร่งใสและปัญหาเรื่องเงินหมุนเวียนเพราะสิ่งของหลายๆอย่างยากที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อบันทึกในระบบบัญชี สิ่งของที่นำมาค้ำประกันนั้นไม่ถือเป็นหลักทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในทางกลับกันสถานธนานุเคราะห์กลับต้องการเครดิตเป็นอย่างยิ่ง ในรัสเซียธุรกิจสถานธนานุเคราะห์มีมูลค่ากว่าพันล้านดอลลาร์และในประเทศอื่นๆก็ไม่ด้อยไปกว่ากันในสเปนมันมีมูบลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ ในอังกฤษ 6 พันล้านฟอนด์ซึ่งมันเป็นปริมาณที่มหาศาลมากแน่นอนว่าเรากำลังพูดถึงเงินทุนหมุนเวียนสถานธนานุเคราะห์มีปัญหานี้มาตลอดเพราะพวกเค้าไม่สามารถหา “สินเชื่อราคาถูก” ได้

ดังนั้นการมอบสิ่งของหลุดประกันมาให้เราจะทำให้สถานธนานุเคราะห์สามารถมูลค่าหมุนเวียนได้ที่ไม่ใช่เงินสด และนำเงินทุนที่ได้จากเราไปจ่ายให้กับลูกค้าผ่านบัตรโดยในวิธีนี้พวกเรากำลังสร้าง “ระบบติดตางของที่ไม่ใช่เงินสด” (non cash track)

และตอนนี้เรากำลังจะเปิดตัวโปรดัคตัวที่ 3 ในการให้เครดิตแก่สถานธนานุเคราะห์ และมันเป็นแก่นของโปรเจค GoldMint เราคิดว่า GoldMint เป็นเหมือนระบบเครดิตของสถานธนานุเคราะห์ซึ่งเราสามารถขยายมันไปในสถานธนานุเคราะห์อื่นๆที่อยู่ในรัสเซีย สเปน จีน เราสามารถเข้าถึงตัวผู้ใช้และผู้ให้สินเชื่อโดยรับประกันดอกเบี้ยได้

ในการให้สินเชื่อแก่สถานธนานุเคราะห์ด้วยวิธีนี้เราต้องมีระบบตรวจสอบธุรกรรมของสิ่งของที่ไม่ใช่เงินสดเพราะปัญหาที่เราพบซึ่งมันเป็นคอนเซปต์ของ GoldMint

ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าสถานธนานุเคราะหืนั้นต้องการเงินทุนแต่มักจะถูกปฎิเสธเนื่องจากปราศจากกระแสเงินสดทำให้พวกเค้าต้องมองหาธุรกิจที่ให้สินเชื่อการ์ดของคุณมอบโอกาสให้พวกเค้าสามารถแสดงกระแสเงินสดในบัญชี ทำให้เค้าเป็นผู้ขอเครดิตที่มีความโปร่งใสขึ้น และในกรณีนี้ไม่ใช่แค่ธนาคารที่สามารถให้สินเชื่อได้ แต่สามารถเป็นใครก็ได้ มันกลายเป็นว่าคุณกำลังเชื่อมต่อสถานธนานุเคราะห์เข้ากับผู้คนที่พร้อมให้สินเชื่อถูกต้องไหม?

แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่พวกเรากำลังจะทำ และปัญหาอีกอย่างนึงคือ ธนาคารผู้ออกเงินกู้มีหน้าที่ต้องทำการตรวจสอบหลักประกัน เพื่อให้แน่ใจว่ามันมีอยู่จริง

และนี่คงจะเป็นคำตอบของปัญหานั้นซึ่งเป็นสิ่งที่มีคนถามมากที่สุด Custody Bot คืออะไร ”?

มันง่ายมากเลย Custody Bot เป็นกระบวนการที่จะจำแนกประเภทของสิ่งค้ำประกันอย่างอัตโนมัติ มันเหมือนตู้เซฟที่มี spectrometer ข้างใน อุปกรณ์ตัวนี้จะวิเคราะห์และตรวจสอบโลหะ ร้านค้าเพชรและสถานธนานุเคราะห์จะใช้ scpectrometer ในร้านของพวกเขา และ CustyBot มีระบบขนส่งสิ่งของจากถาดรับไปยัง Spectrometer ได้ด้วยตัวเอง

หลังจากการประเมินผลโดย spectrometer (ซึ่งมีความแม่นยำอยู่ที่ 70% เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะวิเคราะห์ส่วนประกอบหลักของสิ่งของชิ้นนั้น ) มันถูกส่งไปยังระบบวัดโดยสมดุลของน้ำโดยใช้หลักการ Archimedes ว่ามันมีความหนาแน่นเท่าไหร่ (โดยการชั่งน้ำหนักต่อเนื่องในอากาศและของเหลว)

หลังจากวัดความหนาแน่นและประเมินส่วนประกอบแล้ว แม้การตรวจสอบจะเป็นการลดข้อผิดพลาด หลังตากนั้นมันจะถูกเก็บไว้ในกล่องที่ทำมาพิเศษ

การวิเคราะห์และคำนวนทั้งหมดจะทำโดยคอมพิวเตอร์ที่จะเข้ารหัสน้ำหนักและข้อมู,ต่างๆและส่งไปยัง Blockchain ถ้าหลังจากนั้นผู้ค้าต้องการคืนของให้กับลูกค้า เขาต้องใส่เงินเข้าไปใน Custody bot ที่มีมูลค่าเท่ากับตอนที่วิเคราะห์ ระบบจะคืนสิ่งของค้ำประกันไปให้กับผู้ค้า และส่งข้อมูลไปให้ล๊อคเกอร์เพื่ออัพเดทข้อมูลทองคำที่เหลือ

ฉันเข้าใจละ คุณแบ่งฟังชั่นในที่ใช้ในการยอมรับสิ่งของกับฟังชั่นในการเก็บออกจากกัน ในขั้นตอนการประเมินนั้นมันเกิดในขั้นตอนที่ยอมรับสิ่งของหรือเปล่า?

ระบบการประเมินหลักนั้นสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ CustodyBot ถูกสร้างโดย AirLab หลังจากนั้นมันจะส่งข้อมูลไปยัง Blockchain

ทำไม GoldMint ถึงใช้ blockchain?

เพราะ Blockchain นั้นแก้ปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือในระบบได้

คุณจะรับประกันยังไงว่านักลงทุนจะได้ผลตอบแทนของการลงทุน?

ในกรณีนี้ผู้ที่จะรับประกันผลตอบแทนของเงินทุนคือ CustodyBot ที่เป็นหุ่นยนที่ทำงานอัตโนมัติที่เชื่อมต่อกับระบบ Decentralized

ฟงัชั่นสองอย่างนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่ข้อมูลจะมีโอกาสผิดพลาด สำหรับเรามันก็เหมือนกับการลดความเป็นไปได้ที่จะเกิดการโกง

การที่มีทองคำอยู่ใน CustodyBot นั้นเป็นการรับประกันผลตอบแทนของเงินทุน ไม่ว่าเจ้าของจะกลัะบมาไถ่ของคืนหรือว่าขายมันไปในรูปแบบสิ่งของหลุดประกันในสองกรณีนี้ เงินทุนจะกลับไปยังพวกเราและผู้ลงทุน

แผนของคุณในอนาคตคืออะไร?

ในขั้นตอนถัดไป CustodyBot จะถูกใช้ในการจัดการร้านค้าปลีกตามถนน ยุคใหม่ของสถานธนานุเคราะห์จะเป็นเหมือนตู้กดน้ำตามปั้มน้ำมัน และต่อไปจะเป็นการติดตั้งตามบ้านทำให้คุณสามารถตรวจสอบมูลค่าของทองคำในขณะที่อยู่ที่บ้านได้

นั้นหมายความว่าฉันสามารถนำสิ่งของไปค้ำประกันได้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน?

ถูกต้องแล้ว ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีทองคำกว่า 60,000 ตันถูกขุดขึ้นมาแต่ทองคำที่มีทั้งหมดในธนาคารและหน่วยงานต่างๆในแต่ละประเทศนั้นมีเพียง 30,000 ตันนั้นหมายความว่าทองคำ 30,000 ตันที่เหลือนั้นถูกกระจายไปในรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะแหวนเครื่องประดับถูกฝังไว้ในดินอยู่ในทะเล และนั้นหมายความว่าทองเหล่านั้นจะไม่ถูกนำมาใช้เลยถ้าเทคโนโลยีไม่สามารถนำทองคำ 30,000 ตันนั้นมาสร้างมูลค่าและด้วยทองคำปริมาณขนาดนี้ผมคิดว่าทุกคนคงเห็นมูลค่าของมัน

กลับมาที่หัวข้อของเราซักหน่อยทำไมคุณถึงใช้เทคโนโลยี Blockchain?

ในตอนแรกเราต้อง พวกเราต้องการหน่วยมูลค่าที่จะใช้ขนย้ายมูลค่าจากคนนึงไปสู่อีกคนนึงและประเมินมูลค่าของมัน และเราไม่ได้ต้องการใช้ค่าเงินดอลลาร์ เพราะเราไม่มั่นใจในมัน ทองคำ 1 ออนซ์จึงเป็นตัวเลือกของเราและเราเลือกเงินดิจิตอลที่มีมูลค่าเท่ากับมัน

ในตอนที่เราพูดคุยถึงมันและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทาง Blockchain พวกเค้าทำให้เราเห็นถึงปัญหาของตลาดเงินดิจิตอลนั้นคือ สกุลเงินที่ปลอดภัยมั่นคง

มากไปกว่านั้นในตอนนี้มันมีปัญหาในเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินสกุลปกติกับเงินปกติเพราะมันมีเงินดิจิตอลมากมายและแต่ละอย่างนั้น พวกคนที่ซื้อต้องใช้ข้อมูลการตัดสินใจทางบัญชีเกี่ยวกับผลลัพท์ที่เป็นไปได้

วิธีแก้ปัญหานี้คือการสร้างเหรียญมีที่ความมั่นคง เพราะมันจะง่ายต่อธนาคารที่จะใช้เงินดินิจตอลแค่สกุลเดียวเพื่อให้พวกเค้าไม่ต้องกังวล และหลังจากเปลี่ยนจากเงินดอลลาร์มาเป็น GOLD ที่เป็นเงินดิจิตอลนั้นคุณสามารถนำมันไปแลกกับเงินดิจิตอลสกุลอื่นที่ตลาดแลกเปลี่ยนได้

เพราะฉะนั้นโปรเจคของเราจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเงินสกุลปกติและเงินดิจิตอลที่จะทำให้ธนาคารสามารถทำงานร่วมกับเงินดิจิตอลได้

ประโยชน์ของ GoldMint

  • ไว้ Hedge ความเสี่ยงเพราะมีความมั่นคง
  • เป็นระบบ Blockchain สำหรับ payment ที่ทำได้รวดเร็ว
  • เป็นสะพานระหว่าเงินดิจิตอลและเงินสกุลปกติ
  • การให้สินเชื่อแบบ peer to peer

ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ในโปรเจคของเราทำให้เรามีโอกาสมาเริ่มต้นในโลกของเงินดิจิตอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ความเชื่อมั่นจากในรัสเซีย

ช่วยบอกฉันหน่อยว่าโทเคนนี้ทำอะไรได้บ้างมันใช้ยังไง จะมั่นใจในสภาพคล่องได้ยังไง?

ระบบของเรามีโทเคนสองแบบโดย GOLD จะเป็นเหรียญที่รองรับโดยทองคำโดยเราจะขายมันโดยแลกกับเงินสกุลปกติเท่านั้น และการที่เราสร้าง Blockchain ของตัวเองเราจึงต้องการกำลังประมวลผล

และในการจูงใจนักขุดเพื่อประมวลผลให้เรา เราจึงมีโทเคนแบบที่สองคือ MNT ที่มีกว่า 10 ล้านโทนเคนที่เราขายออกไปเพื่อใช้ในการประมวล ธุรกรรมทั้งหมดของเราจะถูกเก็บในบล็อคและปิดทุกๆ 4 วินาทีเท่ากับว่ามันสามารถทำธุรกรรมได้ 100000 ธุรกรรมใน 1 วินาทีและแน่นอนบล็อคพวกนี้จะต้องถูกยืนยันโดยบางคน

ในระบบ proof of chain นี้นักขุดจะต้องแข่งกันประมวลผลซึ่งหมายความว่ามันต้องใช้พลังประมวลผลซึ่งเรามีทางเลือกที่ต่างกัน MNT นั้นจะเป็นตัวรับประกันว่าผู้ที่ถือจะได้ค่าธรรมเนียมจากการยืนยันธุรกรรม โดยคิดเป็นอัตราส่วน MNT จาก MNT ทั้งหมด

ถ้างั้นหมายความว่าคนที่ซื้อ MNT จะมีสิทธิที่จะได้รางวัลจากการยืนยันธุรกรรม เหมือนรายได้ประจำอย่างนั้นใช่มั้ย?

ใช่ แต่จะเป็นก็ต่อเมื่อเค้ามอบบริการให้เราโดยการตรวจสอบธุรกรรมบนคอมพิวเตอร์ของเค้าผ่านอินเทอร์เนต

ทุกวันนี้คอนเซปต์ของนักขุดนั้นถูกลดบทบาทลง ดังนั้นผมจึงขอบอกว่าคุณจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ก็ต่อเมื่อต้องการ Blockchain wallet เท่านั้น

ค่าธรรมเนียมของธุรกรรมคือ 0.3% โดยนักขุดที่ยืนยันธุรกรรมจะได้ค่าคอมมิชชั่น 75% และ 25% ที่เหลือนั้น 12.5% จะเป็นรายได้ให้กับเราและ 12.5% 0ะถูกนำไปบริจาคการกุศล

แล้วโทเคน GOLD หละ

เมื่อคนซื้อ GOLD ด้วยเงินปกติเงินทั้งหมดจะถูกแลกเป็นทองคำ

แล้วธุรกรรมจะมาจากที่ไหนได้บ้าง มาจากสถานธนานุเคราะห์ต่างๆหรือเปล่า

ไม่ ธุรกรรมจะมาจาก Payment ที่เกิดขึ้นใน Blockchain

มันจริงหรือเปล่าที่การขายโทเคน GOLD จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องเงินทุนในสถานธนานุเคราะห์?

เป้าหมายหลักของโทเคน GOLD ไม่ใช่การให้เงินทุนแก่สถานธนานุเคราะห์ แต่ว่าคนที่ถือโทเคน GOLD สามารถเพิ่มมูลค่ามันได้ โดยการส่งมันมาให้เราเพื่อทำ Trust management ในการขอเงินทุน

แล้วโทเคนตัวไหนที่คุณขายใน ICO ในวันที่ 20 กันยายน 2017?

แค่ MNT เท่านั้นเราตั้งใจที่จะสร้าง blockchain และโทเคน GOLD จะถูกเปิดตัวในช่วงแรกของปี 2018โทเคน GOLD นี้จะมีความมั่นคงและผูกกับค่าของทองคำทำให้ค่าของมันจะไม่ผันผวน

ในส่วนของ MNT นั้นจะถูกใช้ในการยืนยันธุรกรรมของ GOLD ด้วยเช่นกันทำให้คุณมีโอกาสในการได้รางวัลจากการยืนยันทำธุรกรรม ในฤดูใบไม้ผลิของปี 2017 เราได้ทำการเปิดขายระยะแรกและขายได้กว่า 6 แสนดอลลาร์ใน 36 ชั่วโมง

และในบรรดาที่ปรึกษาของเรานั้นเป็นที่รู้จักดีในแวดวงการเงินระดับโลกและในวงการกองทุน เราตั้งใจจะขาย MNT จำนวน 7 ล้านโทเคนที่ราคา 7 ดอลลาร์ต่อโทเคนโดยวันนี้เรามีผู้สนใจกว่า 3,000 คนที่ลงทุนใน ICO ของเราจากทั่วโลก

ปัจจุบัน GoldMint นั้นได้ขาย ICO รอบแรกจบไปแล้ว และรอบที่สองกำลังเริ่มขึ้นแล้ว โดยผู้ที่สนใจสามารถที่จะดูได้ที่หน้าเว็บหลักของ GoldMint

The post “GoldMint ต้องการจะปฏิวัติวงการการจำนำสิ่งของ” กล่าวโดยผู้ก่อตั้ง GoldMint appeared first on Siam Blockchain.