Saturday, March 31, 2018

การเทขายจบลงแล้วหรือไม่? ราคาของ Bitcoin อาจใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว

ราคาของ Bitcoin ร่วงลงถึงจุดต่ำสุดที่ระดับราคา 6,690 ดอลลาร์ในรอบ 50 วันในช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา ซึ่งนักลงทุนคริปโตสายกระทิงส่วนใหญ่นั้นเริ่มมองว่าราคาเริ่มถึงจุดต่ำสุดแล้ว

นาย Omkar Godbole นักวิเคราะห์จากทาง CoinDesk เผยว่า Bitcoin นั้นมักจะกลับตัวทุก ๆ ครั้งที่ตัว indicator ชื่อว่า relative strength index (RSI) นั้นร่วงลงต่ำกว่า จุดที่ 30 โดยอ้างอิงจากกราฟด้านล่างที่แสดงประวัติของกราฟ ที่ราคา Bitcoin มักจะเด้งขึ้นทุก ๆ ครั้งเมื่อเส้น RSI แตะระดับที่ 30-32

โดยหากวิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นว่าเส้นแนวรับของราคานั้นยังคงอยู่ในเส้นเทรนด์ที่เป็นขาขึ้น (จากจุดต่ำสุดของเดือนกรกฎาปี 2016 และจุดต่ำสุดของเดือนกันยายนปี 2015) ตามกราฟด้านล่าง เส้นดังกล่าวสามารถอธิบายเหตุผลที่ว่าทำไมราคาของ Bitcoin ยังคงเด้งอยู่ในระดับ 6,614 ดอลลาร์ไปจนถึง 7,200 ดอลลาร์เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ราคาของ Bitcoin นั้นดูเหมือนว่าจะทะลุเส้นแนวรับของกราฟ 1D มาแล้วในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้เส้น MA แบบ 50 วันนั้นในกราฟ 1W ได้ลงมาแตะที่ระดับราคา 6,576 ดอลลาร์แล้ว ดังนั้น Bitcoin จึงอาจไม่ร่วงลงทะลุจุดแนวรับที่แข็งแกร่ง ณ ที่ 6,576-6,600 ดอลลาร์ง่าย ๆ ในขณะที่เส้น RSI นั้นกำลังอยู่ในจุดกลับตัวเป็นขาขึ้น

จุดตัดมรณะ

ณ ตอนนี้เส้น MA แบบ 50 วันบนกราฟ 1D นั้นกำลังเริ่มชัดกับเส้น MA แบบ 200 วันที่ราคา 9,347 ดอลลาร์แล้ว และจุดตัดมรณะว่าเทรนด์หมีกำลังจะเกิดขึ้นนั้นอาจจะตัดกันได้ในเร็ว ๆ นี้ (อีกภายใน 24-48 ชั่วโมง) แต่กระนั้น indicator ดังกล่าวถือเป็นประเภทแบบ lagging ที่มักจะมีขึ้นถ้าหากว่าตัว RSI บ่งบอกว่ามีการเทขายที่มากเกินไป

นาย Godbole เชื่อว่าการเทขายนั้นอาจจะอาจจะจบลงในช่วงระดับราคาที่ประมาณ 6,600-6,000 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้มันอาจจะเร็วไปที่ยังกล่าวว่าเทรนด์ของราคานั้นได้กลับตัวมาเป็นขาขึ้นอีกแล้ว เนื่องจากว่าเส้น MA แบบ 5 วันและ 10 วันนั้นยังคงเป็นขาลงอยู่

ข้อสังเกต

  • ราคาของ Bitcoin นั้นอาจจะถึงจุดต่ำสุดของมันที่ 6,600-6,000 ดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์นี้
  • การปิดราคาบนกราฟ 1 วันที่ระดับสูงกว่า 9,177 ดอลลาร์อาจเปิดประตูให้ราคาพุ่งไปถึงระดับ 11,700 ดอลลาร์
  • การพุ่งของราคาที่ทะลุระดับ 11,700 ดอลลาร์อาจส่งผลทำให้เทรนด์เปลี่ยนมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
  • ในขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าราคานั้นร่วงลงมาต่ำกว่า 6,000 ดอลลาร์อาจส่งสัญญาณขาลง และการเทขายอาจจะยังคงมีต่อไปเรื่อย ๆ

ที่มา CoinDesk

หมายเหตุ: การลงทุนในตัวเหรียญคริปโตเคอเรนซีมีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ทางสยามบล็อกเชนจะไม่รับผิดชอบในความสูญเสียในทุกกรณี

The post การเทขายจบลงแล้วหรือไม่? ราคาของ Bitcoin อาจใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว appeared first on Siam Blockchain.

“Bitcoin นั้นยังไม่ตาย มันยังมีเหตุผลที่ควรจะถือมันเก็บไว้” กล่าวโดยเศรษฐีพันล้าน Tom Lee

เมื่อเดือนเมษายนกำลังใกล้เข้ามา และอากาศในประเทศไทยกำลังร้อนขึ้น มันจึงอาจเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำให้หลาย ๆ คนกำลังเครียดกับราคาของ Bitcoin ที่กำลังร่วงอย่าหาก้นไม่เจอ และหลาย ๆ คนอาจกำลังคาดหวังให้ราคาของมันกลับขึ้นมาอยู่ ณ จุด ๆ เดิม ในขณะเดียวกันนักลงทุนมืออาชีพพันล้านนาย Tom Lee ผู้ก่อตั้งบริษัท Fundstrat Global Advisors ได้ออกมาชี้ให้เห็นถึงสาเหตุที่นักลงทุน Bitcoin ควรจะมองมันเป็นด้านบวกในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเทรนด์ digital trust, เด็กยุคมิลเลนเนียลเริ่มเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำคน, เหรียญคริปโตกำลังถูกมองเป็นสินทรัพย์ของแท้ และรวมถึงนักลงทุนจาก Wall Street กำลังกระโดดเข้ามาในตลาดนี้

แม้มันจะดูสิ้นหวัง แต่นาย Tom Lee ก็ยังมอง Bitcoin ในแง่บวก

ดูเหมือนว่าในเดือนนี้นักลงทุนคริปโตอาจจะไม่มีความสุขเท่าไรนัก เนื่องจากสภาพราคาของตลาดที่ดูเหมือนว่าจะย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ นาย Tom Lee ที่ก่อนหน้านี้ออกมาทำนายราคาของ Bitcoin ถูกหลายต่อหลายครั้งไม่คิดว่าตลาดนั้นดูย่ำแย่อย่าง 100% เสมอไป

โดยล่าสุดเขาได้ออกมาพูดคุยเกี่ยวกับเศรษฐกิจของ cryptocurrency ว่าทำไมมันถึงยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยสิ่งที่หลาย ๆ คนควรจะคำนึงถึงก่อนก็คือนาย Lee นั้นเป็นนักวิจัย ซึ่งนั่นหมายความว่าตัวของเขาไม่ได้บริหารเงินทุนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่บริษัทของเขากำลังอยู่ได้ด้วยความเชื่อมันของลูกค้าของเขา

เขายังบอกอีกว่าความเห็นของเขานั้นอย่างไรก็คือความเห็น พร้อมกำชับว่าทุก ๆ คนที่อ่านงานวิจัยราคาของเขาควรที่จะตัดสินใจซื้อขายด้วยตัวเอง โดยตัวของเขานั้นแค่หยิบยกข้อมูลขึ้นมาให้ดู โดยข้อมูลนั้นถือเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่แนวคิดอย่างใด และตัวเขาเองนั้นก็ไม่ใช่ cypherpunk อีกด้วย

นาย Tom Lee

ทฤษฎีของนาย Lee นั้นเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่ Bitcoin กำลังส่งผลทำให้สถาบันการเงินส่วนใหญ่ทั่วโลกกำลังงงงวย โดยราคาของมันเริ่มต้นที่แค่ 0 ดอลลาร์, ไม่มีแม้แต่นักลงทุน VC, ไม่มีแม้แต่ผู้บริหาร แต่มันสามารถเติบโตได้โดยไม่ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์

ต่อมาเขาได้อธิบายถึงสถาบันการเงินและธุรกรรมส่วนใหญ่นั้นตั้งอยู่บนดิจิตอล ไม่เว้นแม้แต่หุ้น 5 อันดับแรกในตลาด S&P 500 สหรัฐฯก็ยังเป็นดิจิตอลหมด และเศรษฐกิจดิจิตดอลนั้นกำลังเริ่มก่อให้เกิดเงินในรูปแบบ decentralization ขึ้น และส่งผลทำให้ระบบจุดศูนย์รวมอย่าง centralization กำลังสั่นคลอนเนื่องจากความง่ายต่อการจู่โจม ดังตัวอย่างที่เห็นได้ในธนาคารกลางแห่งมาเลเซียโอนเงินให้ผิด โดยไปโอนให้แฮคเกอร์แทน

นอกจากนี้ระบบการเงินในปัจจุบันนั้นกำลังถูกสร้างอยู่บนความไว้เนื้อเชื่อใจรัฐบาล และความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นดูเหมือนว่าจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐฯ และรวมถึงประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกอีกด้วย โดยในขณะนี้เรทความเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯนั้นร่วงลงมาอยู่จุดต่ำสุดในรอบห้าสิบปี ในขณะที่ประเทศอย่างบราซิล, อาร์เจนตินา, กรีซนั้น ความไว้ใจต่อรัฐบาลนั้นไม่มีอีกต่อไป ตัวแปรเหล่านี้ทำให้ความสนใจใน cryptocurrency นั้นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

เด็กยุคมิลเลนเนียลกำลังเติบโต

ความไว้ใจต่อธนาคารที่มีรัฐบาลมาหนุนหลังไว้กำลังลดลงอย่างมากในยุคที่เด็กยุคมิลเลนเนียล (หรือ Generation Y) กำลังเติบโต ด้วยความที่คนยุคนี้เติบโตขึ้นเห็นพ่อแม่ของพวกเขาต้องประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ทำให้พวกเขามีความไม่ไว้วางใจในความเป็น centralized สูงมาก โดยผลสำรวจของปี 2016 นั้นเผยให้เห็นว่าเด็กยุคมิลเลนเนียลกว่า 92% นั้นไม่ไว้ใจธนาคาร ในขณะที่สกุลเงินดิจิตอลอย่าง Bitcoin นั้นหยิบยื่นสิ่งที่พวกเขากำลังถวิลหา ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็คือ decentralization, ความขาดแคลนด้านดิจิตอล และความไว้วางใจแบบ native ที่จะเป็นกุญแจไปสู่อนาคต

โดยเชื่อกันว่าเด็กยุคมลเลนเนียลนั้นจะมาเป็นกำลังหลักสำคัญต่อเศรษฐกิจในอนาคต โดยหากลองดูแล้วปัจจุบันมีคนยุค Generation Y กว่า 1.8 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเจเนอเรชันที่มากที่สุดตั้งแต่มีมวลมนุษยชาติเกิดขึ้นมาเลยก็ว่าได้ ซึ่งในอนาคตนั้นพวกเขาจะเป็นหมากสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และคุณลองจินตนาการดูว่าหากพวกเขาเหล่านี้ที่เชื่อมั่นในความเป็น decentralized ของ Bitcoin ขึ้นมาบริหารประเทศ อะไรจะเกิดขึ้น

คนยุค Baby boomers (ผู้ที่เกิดในช่วงปี 1946 ถึง 1964) นั้นได้เริ่มใช้คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของพวกเขาในปี (1970, 80’s) ในขณะที่คนยุค Generation X นั้นส่วนใหญ่กำลังคุ้นเคยกับอินเทอร์เนตด้าน ecommerce อย่างเช่น, Amazon, โทรศัพท์มือถือโนเกีย 3310, การส่งข้อความ SMS, และ Google จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เข้าใจคนยุค Generation Y

โดยในปัจจุบันนี้ผู้คนในยุคเจเนอเรชันดังกล่าวที่อายุ 20 ปีขึ้นไป (เกิดในปี 2000) นั้นกำลังลังเติบโตมากับ Facebook, Uber, แอพค้นหาคู่รักออนไลน์, Instagram, การระดมทุนผ่าน crowdfunding และ Bitcoin ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกผู้คนในสองเจเนอเรชันก่อนหน้านี้ต่อต้าน ไม่ว่าจะทั้งในระดับที่มากหรือน้อยก็ตาม ลองจินตนาการว่าคุณย้อนเวลากลับไปอธิบายให้ผู้คนในปี 1990 ฟังว่าในอนาคตจะมีบริษัทมูลค่าห้าแสนล้านดอลลาร์ที่ให้บริการแค่สถานที่ให้คนมาแบ่งปันข้อมูลกัน และทุกคนสามารถใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาคงไม่สามารถนึกภาพออกแน่ และสิ่งนั้นก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งมันคือ Facebook

คนในยุคปัจจุบันนั้นพร้อมสำหรับสกุลเงินดิจิตอลแล้ว ซึ่งตัวอย่างที่ดีนั้นคงจะหนีไม่พ้น Bitcoin ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาได้ไม่นาน โดยกระแสการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจนั้นมักจะมีอายุอยู่ได้มากกว่า 10 ปี ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้พ่อแม่ของผู้คนยุค baby boomers นั้นอาจจะมองว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปี 1975 นั้นเป็นฟองสบู่ โดยกระแสนั้นพุ่งขึ้นมากว่า 40 เท่าแล้วตั้งแต่ปี 1950

อย่างไรก็ตาม ในช่วงขาขึ้นของตลาดญี่ปุ่นนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1950 มาจนถึงปี 1990 ซึ่งถือเป็นตลาดขาขึ้นที่มีติดต่อกันถึง 40 ปี และเพิ่มขึ้นกว่า 400 เท่า ผู้คนยุค Baby boomers หลาย ๆ คนอย่างเช่นนาย John Templeton จากบริษัท Templeton Fund นั้นเห็นต่างจากพ่อแม่ของเขาและคนยุคที่เดินมาก่อนเขา จนเขานั้นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนในยุคก่อนหน้าเขานั้นคิดผิด

ในอีก 30 ปีข้างหน้าคนยุคมิลเลนเนียลจะมาเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวสำคัญ แต่ในตอนนี้พวกเขากำลังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสะสมเงินเพื่อลงทุนเพื่อซื้อบ้านในอนาคต ทำให้นาย Lee มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นอาจจะกลับมาบูมใหม่ได้ในปี 2030

ในทุก ๆ ปีนั้นมักจะมีเม็ดเงินราว ๆ นับล้านล้านดอลลาร์จากกลุ่มคนช่วงอายุ 35 ปีจนถึง 60 ปีที่หมุนเวียนเพื่อใช้ในการลงทุน ซึ่งในปัจจุบันคนยุค Baby boomer และ Gen X นั้นยังคงครองเมืองอยู่ ในขณะที่เด็กยุคมิลเลนเนียลนันเพิ่งจะก้าวเข้ามาในโลกของการมีรายได้ได้ไม่นาน ในขณะที่คนยุค Silent Generation (กลุ่มคนรุ่นพ่อแม่ของ baby boomer ที่คาดว่าน่าจะเสียชีวิตหมดแล้ว) นั้นซื้อทองคำในช่วงอายุย่างเข้าโลกของการมีรายได้ ซึ่งในขณะนั้นทำให้ราคาของทองคำพุ่งขึ้นจาก 40 ดอลลาร์ไปสู่ 600 ดอลลาร์ภายในระยะเวลา 10 ปี ผู้คนยุค baby boomer หัวปีอายุขึ้นเลข 35 ในปี 1982 และภายหลังจากปี 1982 ไปจนถึง 1989 นั้นเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบูม เมื่อใคร ๆ ในช่วงนั้นก็แห่กันไปซื้อหุ้น ส่วนคนบยุค Gen X นั้นถือเป็นคนกลุ่มเล็กที่ไม่ได้ขยับราคาใด ๆ มากนัก ซึ่งหากจะเทียบคน Gen Y นั้นน่าจะเทียบสถานการณ์เข้ากับของคนยุคก่อน Gen X ได้ดีกว่า

ถ้าหากเทรนด์ยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นั้น ในอนาคตคนยุคมิลเลนเนียลอาจจะมีเงินนับล้านล้านดอลลาร์เข้ามาหมุนในตลาดก็ได้ โดยการพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin ในปี 2016 นั้นดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับปีที่กลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลเริ่มมีกระแสรายได้พอดี และในทุก ๆ จำนวนเงินมูลค่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ที่เข้ามาในตลาดคริปโตนั้น จะกลายเป็นตัวแปรที่ทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้นไปถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ อ้างอิงจากนาย Lee

หากกลุ่มเด็กยุคมิลเลนเนียลนำเอา 10% ของเม็ดเงินล้านล้านดอลลาร์ของพวกเขาทั้งหมด, ซึ่งก็คือ 1 แสนล้านดอลลาร์เข้ามาในตลาดคริปโตนั้น จะทำให้อัตราการเติบโตของตลาดนี้เพิ่มเป็น 2 ถึง 2.5 ล้านล้านต่อปี โดยนาย Lee ยังกล่าวต่อไปว่าในรอบ cycle สุดท้ายของคนยุคมิลเลนเนียลที่เข้ามานั้น อาจเป็นช่วงที่ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นไปถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์

สินทรัพย์ดิจิตอล

หน่วยงานด้านการเงิน Federal Reserve สาขาเมือง St. Louis ในสหรัฐฯเพิ่งจะเปิดตัวเอกสารที่แสดงข้อตกลงว่า crypto นั้นคือประเภทสินทรัพย์ชนิดใหม่ ซึ่งก็คือสินทรัพย์ดิจิตอล ที่ไม่สามารถจับต้องได้ และมูลค่าในปัจจุบันนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยความไว้ใจล้วน ๆ

ปัจจุบันตลาดมูลค่ากว่า 280 ล้านล้านดอลลาร์ที่ผู้คนไว้ใจให้เป็นที่เก็บเงินของพวกเขานั้นมีทั้งทองคำ, งานศิลปะ, พันธบัตรรัฐบาล, รถยนต์, และอื่น ๆ ในขณะเดียวกัน Bitcoin นั้นมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 2 แสนล้านดอลลาร์ และถ้าหากว่า Bitcoin สามารถเข้าไปอยู่ใน 1% ของตลาดทั้งหมดได้นั้น เมื่อนั้นเหรียญดังกล่าวจะมีราคาอยู่ที่ 150,000 ดอลลาร์ กล่าวโดยนาย Lee

Wall Street

เขายังเผยอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หลาย ๆ คนควรมอง Bitcoin ในระยะยาวซึ่งก็คือการเข้ามาในตลาดคริปโตจากบริษัทฝั่ง Wall Street โดยปัจจุบันตลาดแลกปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดนั้นคือ ICE และมีรายได้ราว ๆ 4.6 พันล้านดอลลาร์ ส่วนเว็บเทรดเหรียญคริปโตอย่าง Coinbase นั้นหากเทียบกันแล้วเว็บดังกล่าวคิดเป็น 3% เท่านั้น ซึ่งรายได้ของพวกเขาอยู่ที 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี

บางทีมันอาจไม่ใช่เรื่องที่ดูโอเวอร์นักหากจะกล่าว่า Coinbase นั้นสามารถแซงหน้า ICE ไปได้ในอีก 18 เดือน จนกลายมาเป็นเว็บเทรดที่มีรายได้มากที่สุดในโลก ซึ่งหลักฐานก็มีมาให้เห็นแล้วเมื่อสถาบันการเงินอย่าง Goldman Sachs และ Morgan Stanley ต่างก็กำลังเริ่มเข้ามาในตลาดคริปโตนี้แล้วเช่นกัน

ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของเหรียญคริปโตทั้งหมดนั้นมีมากกว่ามูลค่าตลาดรวมของประเทศหลาย ๆ ประเทศแล้วเสียอีก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก ซึ่งมากกว่าของประเทศไอร์แลนด์, สเปน, กรีซ, ซึ่งทาง Wall Street ที่อัดฉีดเงินลงทุนไปในประเทศเหล่านั้นก็คงจะไม่หลีกเลี่ยงตลาดคริปโตแน่นอน เพราะมันคงไม่เมคเซนส์กับการปฏิเสธการสร้างรายได้

ภายหลังนาย Lee กล่าวสรุปว่าตลาดเหรียญคริปโตนั้นยังคงไม่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดอื่น ๆ นอกจากนี้เขายังแนะนำบริษัทนักลงทุนว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องถือคริปโตทั้งหมดบนพอร์ทการลงทุนก็ได้

ที่มา: News Bitcoin

The post “Bitcoin นั้นยังไม่ตาย มันยังมีเหตุผลที่ควรจะถือมันเก็บไว้” กล่าวโดยเศรษฐีพันล้าน Tom Lee appeared first on Siam Blockchain.

Intel เตรียมจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีช่วย “เพิ่มพลัง” ให้กับเครื่องขุด Bitcoin

บริษัทยักษ์ใหญ่ Intel ผู้สร้างชิพเครื่องคอมพิวเตอร์เตรียมจดสิทธิบัตรอุปกรณ์ที่จะช่วย “เพิ่มพลัง” ให้กับชิพขุด Bitcoin อ้างอิงจากรายงานล่าสุดจากเว็บรับจดสิทธิบัตรของสหรัฐฯ

แบบฟอร์มขอจดสิทธิบัตรดังกล่าวมีชื่อว่า “Bitcoin Mining Hardware Accelerator With Optimized Message Digest and Message Scheduler Datapath” หรือแปลเป็นไทยคือตัวช่วยเพิ่มพลังเครื่องขุด Bitcoin โดยใช้ตัวแยกแยะข้อความแบบปรับแต่งมาแล้ว และตัวจัดการกำหนดเส้นทางของข้อความ

แม้ว่าแบบฟอร์มดังกล่าวถูกตีพิมพ์บนเว็บกรมทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ (USPTO) ตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2016 ซึ่งนานมาแล้วเกือบ 2 ปี แต่ล่าสุดทาง Intel ได้เข้ามาอัพเดตวิธีการในการช่วยเพิ่มพลังในการขุด Bitcoin โดยพวกเขาเคลมว่าจะทำให้มันสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในการขุดลงได้อีกด้วย

โดยในแบบฟอร์มนั้นระบุว่า

“เพราะว่าซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการขุด Bitcoin นั้นใช้เทคนิคการ brute force แบบซ้ำ ๆ ในเวลาอันรวดเร็วเพื่อถอดรหัส SHA-256 ทำให้ขั้นตอนในการขุด Bitcoin โดยปกตินั้นจะกินไฟมาก และใช้พื้นที่ในส่วนของฮาร์ดแวร์มากอีกด้วย โดยแนวคิดที่ว่านี้จะช่วยปรับแต่งให้การขุด Bitcoin นั้นกินเนื้อที่น้อยลง และใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยลงอีกด้วย”

ที่น่าสนใจคือทาง Intel เคลมว่าตัวช่วย “เพิ่มพลัง” การขุดของพวกเขานั้นสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้กว่า 35% หากเปรียบเทียบกับแบบธรรมดาทั่วไป

นอกจากนี้พวกเขายังเผยว่าเทคโนโลยีดังกล่านั้นจะไม่เพียงแต่ถูกจำกัดไว้ที่เครื่อง ASIC เท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้กับ โปรเซสเซอร์, [systems on chip], และ [field-programmable gate array] แพลทฟอร์มอีกด้วย

ภาพจาก Shutterstock

The post Intel เตรียมจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีช่วย “เพิ่มพลัง” ให้กับเครื่องขุด Bitcoin appeared first on Siam Blockchain.

เว็บเทรดเหรียญคริปโตฟิวเจอร์ OKEx เตรียมย้อนธุรกรรมการเทรดคืน หลังจากราคาร่วง

เว็บผู้ให้บริการซื้อขายเหรียญ ​cryptocurrency แบบตลาดฟิวเจอร์ OKEx กำลังจะ roll back ธุรกรรมการเทรดฟิวเจอร์คืน หลังจากที่ก่อนหน้านี้พวกเขาปิดแพลทฟอร์มการถอนและการเทรดชั่วคราว โดยชี้ว่าการเทขายจนทำให้ราคาร่วงล่าสุดนั้น “มีความไม่ชอบมาพากล”

ประกาศล่าสุดของพวกเขาเผยให้เห็นถึงการหยุดให้บริการชั่วคราว เนื่องจากการเทขายสัญญา Bitcoin ที่มีขึ้นในช่วงตี 4-5 เวลาไทย จนส่งผลทำให้ราคาบนตลาดฟิวเจอร์สร่วงลงอย่างผิดปกติ หากเทียบกับราคาบนตลาดโลก

โดยการ roll back ประวัติการเทรดนั้นจะส่งผลทำให้ธุรกรรมที่ซื้อขายทั้งหมดหลังจากที่ราคาร่วงเป็นโมฆะ และจะกลับไปอ้างอิงที่จุดเวลาตี 3:37 เวลาไทย และการ roll back ดังกล่าวจะมีขึ้นในช่วงเวลาบ่ายสองโมงครึ่งในวันนี้

“ทาง OKEx เรายึดมั่นในผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก และเราอุทิศตนเพื่อให้บริการ สินค้า และเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของเราเพื่อปกป้องลูกค้าของเรา การเทรดนั้นจะถูกหยุดชั่วคาวเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมงเนื่องจากปัญหาดังกล่าว ทางเราต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย” อ้างอิงจากเว็บของ OKEx

การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่กระแสของผู้ใช้งานที่ไม่พอใจเว็บเทรด OKEx โดยบ่นว่าระบบของ OKEx นั้นไม่สามารถป้องกันไม่ให้เหตุกาณ์ไม่ชอบมาพากลนั้นเกิดขึ้นได้ นักลงทุนบางคนถึงกับกล่าวหาทางเว็บว่าเป็นผู้ปั่นราคาเสียเอง จนกระทั่งในตอนนี้เว็บ OKEx ยังไม่ได้ออกมาโต้ตอบข้อกล่าวหาดังกล่าว

ผู้ใช้งานทวิตเตอร์นาม BTCVIX ได้โพสภาพที่แสดงราคา Bitcoin ฟิวเจอร์สบนเว็บ OKEx ที่เริ่มร่วงตอนประมาณตีสี่ และร่วงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงระดับ 5,200 ดอลลาร์ และภายหลังจากนั้นก็มีการเด้งขึ้นมาของราคาจนไปอยู่ที่ระดับ 6,000 ดอลลาร์ ก่อนที่จะร่วงลงมาที่ 4,755 ดอลลาร์อีกครั้ง


อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ราคา Bitcoin บนตลาดโลกนั้นอยู่ที่ประมาร 7,000 ดอลลาร์ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความต่างประมาณ 20%

ในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ราคาของ Bitcoin เริ่มมีการเด้งกลับเข้ามาในระดับ 7100 ดอลลาร์จาก 6,700 ดอลลาร์ในช่วงเช้านี้ แต่ก็ยังคงติดลบ 6.54% หากนับจากช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

The post เว็บเทรดเหรียญคริปโตฟิวเจอร์ OKEx เตรียมย้อนธุรกรรมการเทรดคืน หลังจากราคาร่วง appeared first on Siam Blockchain.

ICO ของ Telegram ระดมทุนได้ 850 ล้านดอลลาร์ในรอบการเปิดขายที่สอง

นาย Pavel และ Nikolai Durov เผยว่าพวกเขาสามารถระดมทุนผ่าน initial coin offering (ICO) ผ่านเว็บไซต์ของ SECในัวันนี้

การระดมทุนดังกล่าวมีขึ้นเพื่อนำมาสนับสนุนโปรเจค Blockchain ของ Telegram ที่มีนามว่า Telegraph Open Network โดยเอกสารดังกล่าวไม่ได้เปิดเผยชื่อของนักลงทุนที่มีทั้งหมด 94 รายที่เข้ามาร่วมระดมทุนใน ICO ตัวดังกล่าว

การระดมทุนของ Telegram เป็นไปตามข้อกฎหมาย Federal Exemption 506(c) ของสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า “บริษัท สามารถโฆษณาและกระจายข่าวได้อย่างกว้างขวางและยังคงเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายและรวมถึงข้อยกเว้นบางประการ” โดยในขั้นแรกนั้น นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนจะต้องได้รับการรับรองก่อน และภายหลังจากนั้น ผู้ออก ICO จะต้องทำการยืนยันตัวตนกับนักลงทุนเหล่านั้นอีกทีหนึ่ง

ก่อนหน้านี้การระดมทุน ICO ของ Telegram ในรอบแรกมีขึ้นในช่วงวันที่ 29 มกราคมจนกระทั่งถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และพวกเขาสามารถระดมทุนไปได้ทั้งหมด 850 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนได้ทั้งหมด 81 ราย ซึ่งนั่นหมายความว่าปัจจุบันพวกเขาน่าจะระดมทุนไปแล้วกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์

สำนักข่าว Vedomosti เผยว่าหนึ่งในนักลงทุนของ ICO ในรอบแรกนั้นคือมหาเศรษฐีพันล้าน Roman Abramovich โดยแหล่งข่าวที่เป็นคนสนิทของนาย Abramovich กล่าวว่าเขานั้นลงทุนไปใน ICO ตัวดังกล่าวไปประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ แต่ในขณะเดียวกัน นาย Jon Mann หรือโฆษกของนาย Abramovich ออกมาให้การปฏิเสธว่าทางนาย Abramovich ไม่ได้เข้าไปร่วมลงทุนในตัว ICO ดังกล่าว

ภาพจาก Shutterstock

The post ICO ของ Telegram ระดมทุนได้ 850 ล้านดอลลาร์ในรอบการเปิดขายที่สอง appeared first on Siam Blockchain.

ราคาเหรียญ Ether ร่วงทะลุ 400 ดอลลาร์สู่จุดต่ำสุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

ราคาของเหรียญ Ether หรือเหรียญที่เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนระบบเครือข่ายของ Ethereum นั้นได้ร่วงลงทะลุต่ำกว่า 400 ดอลลาร์เมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ราคาของเหรียญ Ether อ้างอิงจากเว็บ Coinmarketcap นั้นอยู่ที่ 375.99 ดอลลาร์ และดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถหาพื้นยืนได้

ราคาของเหรียญอันดับที่ 2 ของโลกดังกล่าวนี้ขึ้นมายืนเหนือระดับ 400 ดอลลาร์ได้ตั้งแต่ประมาณวันที่ 23 พฤศจิกายนของปีที่แล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่ร่วงลงมาอีกเลย นอกจากนี้ข้อมูลจาก Coinmarketcap ยังแสดงให้เห็นถึงจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ของราคาเหรียญ Ether ซึ่งอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์ ก่อนที่จะร่วงลงมาเรื่อย ๆ ตามกลไกตลาด

นอกจากเหรียญ Ether แล้ว เหรียญราชาแห่ง cryptocurrency อย่าง Bitcoin ก็มีราคาที่ร่วงลงมาเช่นกัน โดยทะลุระดับ 6,900 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบเดือนมีนาคม โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นอยู่ที่ -13.36%

ไม่เพียงแต่เท่านั้น เหรียญอื่น ๆ บนตลาดคริปโตก็ยังร่วงลงเป็น “สีเลือด” อีกด้วย โดยรูปด้านล่างเผยให้เห็นถึงเหรียญ 10 อันดับแรกที่เกิดการ correction อย่างรุนแรง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่แน่ใจว่าอะไรคือสาเหตุของการร่วงของราคาในครั้งนี้

The post ราคาเหรียญ Ether ร่วงทะลุ 400 ดอลลาร์สู่จุดต่ำสุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว appeared first on Siam Blockchain.

จีนกำลังพัฒนาเหรียญคริปโตแบบควบคุมได้เพื่อปกป้องสกุลหยวนจากเงินดิจิตอลอื่น ๆ

ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (PBoC) จะยังคงรุดหน้าพัฒนาเหรียญ cryptocurrency เป็นของตัวเอง หลังจากรายงานข่าวของเมื่อต้นปีที่แล้ว อ้างอิงจากเว็บไซต์หลักของธนาคารกลางแห่งประเทศจีน

โดยเนื้อหาหลัก ๆ ในการประชุมระดับชาติผ่าน video conference นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับการก้าวข้ามผ่านอุปสรรคด้านการเงินในประเทศจีน และนาย Fan Yifei หรือรองผู้ว่าฯ ของ PBoC ได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับวิธีการปกป้องสกุลเงินหยวนที่เขาเชื่อว่ากำลังถูกคุกคามโดยสกุลเงินดิจิตอลในปัจจุบัน

ซึ่งนั่นทำให้นาย Fan ให้การสนับสนุนสกุลเงินดิจิตอลที่ถูกสร้างโดยรัฐบาลเอง โดยกล่าวว่าเป้าหมายของพวกเขานั้นคือ “เพื่อยืนหยัดและรุดหน้าปฏิรูปนวัตกรรม, ส่งเสริมการพัฒนาสกุลเงินดิจิอลของธนาคารกลาง” อีกทั้งยังเสริมถึงความสำคัญในการปกป้องสกุลเงินหยวนจากสกุลเงินคริปโตอื่น ๆ ว่า

“วัตถุประสงค์หนึ่งคือการเสริมสร้างการจัดการภายในและการกำกับดูแลภายนอกอย่างเคร่งครัด, ให้ความสำคัญและเสริมสร้างความเข้มแข็งในการควบคุมคุณภาพของสกุลเงินหยวน… และดำเนินการทำให้สกุลเงินดิจิตอลต่าง ๆ นั้นมีความถูกต้อง”

แม้ว่าจะยังไม่ได้วางนโยบายที่แน่นอนกับสกุลเงินดิจิตอลต่าง ๆ ในประเทศ แต่ท่าทีของนาย Fan และ PBoC ที่มีขึ้นก่อนหน้านี้เผยให้เห็นถึงความจริงจังของนโยบายของรัฐบาลจีนต่อนวัตกรรมการจ่ายเงินออนไลน์ดังกล่าวนี้

กล่าวคือ ก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลจีนเคยออกมาประกาศแบนการระดมทุนผ่าน ICO ในประเทศ โดยมองว่าเป็นสิ่งที่หลอกลวงและผิดกฎมาย รวมถึงการประกาศปิดเว็บกระดานซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ในประเทศอีกด้วย จนส่งผลทำให้ประชาชนและนักลงทุนต้องหนีไปเทรดที่ตลาดฮ่องกงและญี่ปุ่นแทน

ที่มา: Cointelegraph

The post จีนกำลังพัฒนาเหรียญคริปโตแบบควบคุมได้เพื่อปกป้องสกุลหยวนจากเงินดิจิตอลอื่น ๆ appeared first on Siam Blockchain.

เว็บเทรด Bitcoin ในญี่ปุ่นสองแห่งประกาศปิดตัว เนื่องจากปัญหาด้านกฎหมาย

ดูเหมือนว่าผู้ออกกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นกำลังพยายามที่จะตึงเข้มกฎหมายด้านเว็บเทรด cryptocurrency ในประเทศในขณะนี้ เมื่อเว็บผู้ให้บริการเทรดเหรียญคริปโตสองแห่งกำลังปิดตัวลง อ้างอิงจาก Nikkei ในวันที่ 28 มีนาคม

เว็บผู้ให้บริการเทรดเหรียญคริปโตนาม Mr. Exchange และ Tokyo GateWay จะหยุดให้บริการการซื้อขายจนกว่าจะคืนเงินให้กับลูกค้าจนหมด อ้างอิงจาก Nikkei

รายงานดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ผู้ออกกฎหมายด้านการเงิน Financial Services Authority (FSA) ออกมาสั่งให้เว็บเทรดในประเทศตรวจสอบและรีวิวระบบความปลอดภัย หลังจากที่มีการแฮคเว็บเทรด Coincheck ไปก่อนหน้านี้ โดยการจารกรรมเงินดิจิตอลดังกล่าวถือเป็นความเสียหายที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งคิดเป็นเงินกว่า 530 ล้านดอลลาร์

ภายหลังจากนั้นทำให้ทาง FSA ต้องออกมาประกาศให้เว็บเทรดหลาย ๆ แห่งหยุดให้บริการในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเกรงกลัวว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์เดียวกันกับ Coincheck

ส่วนในกรณีของเว็บเทรด Mr. Exchange และ Tokyo GateWay ก่อนหน้าที่จะถูกปิดตัวลงสองเว็บนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการขอใบอนุญาตเปิดเว็บเทรดอยู่

โดยในบล็อกของเว็บ Mr. Exchange เมื่อวันที่ 29 มีนาคมนั้น เผยให้เห็นว่าพวกเขากำลังขอยกเลิกแบบฟอร์มขอใบอนุญาตอยู่

“ทางเรารู้สึกเสียใจที่ในขณะนี้ โดยเราได้ทำการตัดสินใจว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทำการเปลี่ยนแปลงระบบความปลอดภัยในด้าน cryptocurrency ดังนั้นเราจึงต้องขอถอนใบอนุญาตด้านธุรกิจสำหรับ cryptocurrency”

ในขณะนี้เว็บเทรด Tokyo GateWay ได้ถูกปิดตัวลงแล้ว และทางทีมงานยังไม่มีทีท่าที่จะตอบกลับคำถามของ Nikkei

The post เว็บเทรด Bitcoin ในญี่ปุ่นสองแห่งประกาศปิดตัว เนื่องจากปัญหาด้านกฎหมาย appeared first on Siam Blockchain.

Cointext เปิดตัวระบบทดสอบส่งเหรียญ Bitcoin Cash โดยไม่ใช้อินเทอร์เนต

แพลทฟอร์มด้านการส่งข้อความนาม Cointext ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ที่จะให้ทุก ๆ คนสามารถส่ง Bitcoin Cash (BCH) หากันได้โดยไม่ใช่อินเทอร์เนต โดย Cointext ใช้โพรโตคอล Short Message Service (SMS) มาเป็นระบบในการส่ง โดยในขณะนี้ได้มีการเปิดตัวระบบดังกล่าวในประเทศสหรัฐฯ, แคนาดา, แอฟริกาใต้, สวิตเซอร์แลนด์, สวีเดน, เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ

ส่งเหรียญหากันผ่านทาง SMS

ผู้ใช้งาน Bitcoin Cash สามารถที่จะส่งเหรียญ BCH หากันโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ Internet แล้ว โดยจะเป็นการส่งผ่าน SMS หากัน อ้างอิงจากการประกาศเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมาของ Cointext นาย Vin Armani หรือ CTO ของบริษัทดังกล่าวเผยว่า

“Cointext นั้นถือเป็นแอพที่สามารถใช้ส่ง Bitcoin Cash ได้อย่างง่ายและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากมันสามารถใช้งานกับโทรศัพท์มือถือประเภทไหนก็ได้หมด และคุณไม่จำเป็นจ้องมีความรู้ด้าน cryptocurrency แต่ก็สามารถใช้มันได้”

แอพที่ไม่เหมือนใคร

ด้วยการที่ Cointext ทำงานบนเลเยอร์การสื่อสาร SMS บนโทรศัพท์ทำให้แพลทฟอร์มของพวกเขาสามารถทำหลายสิ่งที่กระเป๋าคริปโตทั่ว ๆ ไปส่วนใหญ่ทำไม่ได้ อย่างเช่นผู้ใช้งานสามารถส่งเหรียญ BCH ผ่านระบบ SMS บนโทรศัพท์ Nokia 3310 ได้ โดยรายงานเผยว่าปัจจุบันมีผู้เข้ามาสมัครสมาชิกแล้วกว่า 2,000 คนในช่วง soft launch นอกจากนี้ทาง Cointext ยังแจกเหรียญ BCH มูลค่า 0.50 ดอลลาร์อย่างฟรี ๆ ให้กับผู้ใช้งานอีกด้วย

“ทาง Cointext กำลังทำตามคำสัญญาดั้งเดิมในการทำให้ทุก ๆ คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงธนาคารและการเงินได้อย่างไร้พรหมแดน”

ทีน่าสนใจคือทีมนักพัฒนาเผยว่าทาง Cointext จะไม่เก็บเงินของผู้ใช้งานไว้แม้แต่บาทเดียว ส่วน SMS และประวัติการทำธุรกรรมอื่น ๆ จะถูกเก็บไว้บน blockchain ของ Bitcoin Cash นั่นหมายความว่าผู้ใช้งานจะไม่สามารถแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนประวัติการทำธุรกรรมได้ นอกจากนี้ถ้าหากผู้ใช้งานสูญเสียสิทธิในเบอร์โทรศัพท์นั้น ๆ ไปพวกเขาจะไม่สามารถกู้เหรียญคืนออกมาได้ ในส่วนของค่าธรรมเนียมนั้นพวกเขาชาร์จอยู่ที่ประมาณ 0.05 ดอลลสร์ต่อการทำธุรกรรม

นาย Armani เผยว่าทาง Context กำลังรอเก็บ feedback จากการใช้งานของผู้ใช้งาน และคาดหวังว่าจะเปิดตัวแพลทฟอร์มดังกล่าวในอีก 54 ประเทศในภายหลัง เพื่อเข้าถึงผู้คนทั่วโลกที่ไม่มีบัญชีธนาคารใช้ และใช้เหรียญคริปโตไม่เป็น

“ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้สวย เราจะเปิดให้เข้ามาสมัครอีกรอบหนึ่งในเดือนเมษายนและพฤษภาคมนี้ รวมถึงติดตั้งระบบแปลภาษาด้วย” กล่าวโดยนาย Armani

The post Cointext เปิดตัวระบบทดสอบส่งเหรียญ Bitcoin Cash โดยไม่ใช้อินเทอร์เนต appeared first on Siam Blockchain.

HappyCoin หรือ HPC เหรียญคริปโตฝีมือคนไทยถูกลิสบนเว็บเทรด Coinasset แล้ว

สยามบล็อคเชนได้เคยได้ไปสัมภาษณ์กับทีมงานเหรียญ HappyCoin หรือ HPC เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเหรียญ Cryptocurrency ของคนไทย ปัจจุบันอยู่ใน Coinmarketcap อันดับที่ 764 ในขณะที่เขียนบทความนี้ แล้ววันนี้ HPC ถูกลิสขึ้นบนเว็บเทรดนาม Coinasset เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และวันนี้ทางสยามบล็อกเชนจะมาสัมภาษณ์ทีมพัฒนา HappyCoin ในเรื่องนี้..

มีความรู้สึกอย่างไรบ้างครับ? ทางทีมพัฒนาของเหรียญ HPC บอกว่า:

“เราเป็นเหรียญที่เกิดจากแนวคิดของคนไทย การที่มีกระดานเทรดในไทย ย่อมเป็นเรื่องที่ดี  แม้ทุกวันนี้เราจะสามารถเทรดในตลาดโลกได้แล้วก็ตาม มันเป็นความรู้สึกว่า ได้กลับบ้านหรือบ้านเรายอมรับนั่นเอง”

และเมื่อทางสยามบล็อกเชนถามว่าได้ขึ้นกระดานเทรดกี่แห่งแล้วทางทีมพัฒนาเหรีญ HPC ก็ให้คำตอบว่า:

“ปัจจุบันกระดานเทรดที่ขึ้นลิสมีอยู่ 4 กระดานหลัก คือ Coinexchange, Yobit ,Hitbtc และกระดานล่าสุด Coinasset”

แล้ววอลลุ่มของเหรียญ HPC ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ? ทางทีมพัฒนาเหรียญ HPC ให้คำตอบว่า:

“วอลลุ่มในปัจจุบัน ถ้าเทียบกับสมัยก่อน ถือว่ามีอนาคตที่ดีเนื่องด้วย Community ที่เพิ่มขึ้นจากต่างประเทศและคนเข้าถึงและรู้จักมากขึ้นผ่านสื่อต่าง ๆ ในต่างประเทศเช่น รัสเซีย,เกาหลี,ยูเครน”

แล้วในอนาคตทางทีมงาน HPC คิดว่าเหรียญนี้จะไปได้ไกลไหมครับ?

“ ในอนาคตวอลลุ่มของเหรียญจะเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากทั่วโลกเริ่มยอมรับและรู้จักมากขึ้นครับ”

ไม่กี่วันที่ผ่านมาทาง HPC ได้จัดงานเพื่อบอกว่าเหรียญ HPC จะถูกลิสขึ้นเว็บเทรด Coinasset ในวันที่ 27 มีนาคม 2018 ซึ่งเว็บ Coinasset เป็นเว็บเทรดที่เพิ่งเปิดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั่นเอง

และนี่คือบรรยากาศงาน HPC Home coming 2018 ครับ 

และในการลิสเหรียญบนกระดานนี้ ทาง HPC ร่วมกับ Coinasset ได้มีการจัดกิจกรรมสำหรับนักเทรดซึ่งก็คือ

 

  • ฟรีค่าธรรมเนียมตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน  2018 ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2018
  • สำหรับยอดเทรดสูงสุดสามอันดับแรกในช่วงเวลาดังกล่าว จะได้รับ Samsung Galaxy S9 ท่านละ 1 เครื่อง จำนวน 3 รางวัล

สำหรับผู้ที่สนใจอยากศึกษาเกี่ยวกับ Happycoin เพิ่มเติมสามารถดูได้จากเพจหลักของ Happycoin

หมายเหตุ: การลงทุนในตัวเหรียญ Cryptocurrency มีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ทางสยามบล็อกเชนจะไม่รับผิดชอบในความสูญเสียในทุกกรณี บทความนี้เป็นบทความสปอนเซอร์

The post HappyCoin หรือ HPC เหรียญคริปโตฝีมือคนไทยถูกลิสบนเว็บเทรด Coinasset แล้ว appeared first on Siam Blockchain.

Thursday, March 29, 2018

ศูนย์การท่องเที่ยวแห่งชาติเยอรมันเริ่มรองรับการใช้จ่ายด้วย Bitcoin แล้ว

The German National Tourist Board (GNTB) เริ่มรับ Bitcoin และเหรียญ cryptocurrency อื่น ๆ เป็นช่องทางการชำระเงินแล้ว อ้างอิงจาก Cointelegraph เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา

“ด้วยกลยุทธ์ด้านดิจิตอลของเรา พวกเราจะยังคงมองหาเทคโนโลยีที่ใหม่ล่าสุดและรวมถึงเทรนด์ใหม่ ๆ ที่จะนำมาปรับใช้กับบริษัทของเราได้” กล่าวโดยนาย Petra Hedorfer หรือ CEO ของ GNTB

พวกเขาเผยว่ามีความต้องการทดสอบเทคโนโลยี Blockchain สำหรับการเงินของพวกเขา และอาจใช้มันเพื่อการจ่ายเงินข้ามประเทศ โดยนาย Hedorfer ยังกล่าวว่า “ด้วยการเป็นบริษัทระดับโลกนี้ ทาง GNTB ต้องการที่จะเป็นตัวอย่างในการเป็นผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมและเป็นผู้นำในวงการนี้”

ทาง GNTB เป็นบอร์ดด้านการท่องเที่ยวที่ขึ้นตรงและรับเงินลงทุนจากกระทรวงเศรษฐกิจและพลังงานแห่งเยอรมัน โดยมีหน้าที่ในการพัฒนาสื่อและกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวในประเทศเยอรมัน

เมื่อประมาณช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังแห่งเยอรมันได้ออกมาประกาศว่า cryptocurrency นั้นสามารถถูกใช้เพื่อเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนได้ เพื่อให้เป็นไปตามแบบอย่างที่ศาลยุโรปกล่าวไว้ในปี 2015 โดยทางเยอรมันต้องการที่จะร่วมมือกับสหภาพยุโรปและประเทศอื่น ๆ เพื่อทำให้แพลทฟอร์มการเทรดและ ICO ถูกกฎหมายอีกด้วย โดยร่างกฎหมายตัวแรกนั้นได้รับไฟเขียวแล้วเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2018 เช่นกัน โดยหน่วยงาน Federal Financial Supervisory Authority (BaFin)

The post ศูนย์การท่องเที่ยวแห่งชาติเยอรมันเริ่มรองรับการใช้จ่ายด้วย Bitcoin แล้ว appeared first on Siam Blockchain.

เว็บเทรดอันดับ 5 ของโลก Bitfinex เตรียมย้ายฐานไปประเทศสวตเซอร์แลนด์

บริษัทผู้ให้บริการซื้อขาย Bitcoin ที่ในขณะนี้ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ ณ เกาะ British Virgin Islands และเป็นเว็บเทรดที่มีโวลลุ่มใหญ่อันดับ 5 ของโลกนั้นต้องการจะย้ายกิจการของพวกเขาไปเมือง Zug ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

นาย Jean Louis van der Velde หรือ CEO ของเว็บเทรดดังกล่าวได้ออกมายืนยันถึงแผนการของพวกเขากับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Handelszeitung เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยนาย Jean เผยว่าได้เข้าพบ State Secretariat for International Finance SIF หน่วยงานด้านกฎหมายการเงินในสวิตเซอร์แลนด์ และรวมถึงสมาชิกสภาแห่งชาตินาย Johann Schneider-Ammann อีกด้วย

“เรากำลังมองหาภูมิลำเนาใหม่สำหรับ Bitfinex และรวมถึงบริษัทแม่ iFinex ด้วย โดยเราต้องการรวมกิจการเข้ากับบริษัทลูกอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ที่กระจัดกระจายแยกตัวกันทำงาน” กล่าวโดยนาย Jean

ผู้เชี่ยวชาญด้านการตั้งรกรากในสวิตเซอร์แลนด์กล่าวว่า Bitfonex จะดำเนินกิจการเป็นในรูปแบบบริษัทจำกัดมหาชน และจะต้องย้ายมาจากเกาะ British Virgin Islands ไปสู่สวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้นจะต้องแยกตัวออกมาจากบริษัทแม่ iFinex ที่กำลังถูกบริหารโดยนาย Dutchman van der Velde อยู่ตอนนี้ และรวมถึงแผนกการเงิน และแผนก IT ก็จะย้ายมาในสวิตเซอร์แลนด์ในอนาคตด้วย

แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะพิจารณาไปตั้งรกรากอยู่ที่ลอนดอนเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น “ชนะการลงความเห็นในทีม” กล่าวโดยนาย Jean ให้สัมภาษณ์กับ Handelszeitung พร้อมเสริมว่าทางเว็บเทรดได้เริ่มทำงานกับผู้ออกกฎหมายแล้ว

“เราต้องการจะเป็นเว็บเทรดที่มีความโปร่งใสมากที่สุด และตอบสนองความต้องการของผู้ออกกฎหมายในประเทศสวิตเซอร์แลนด์”

ก่อนหน้านี้เว็บเทรด Bitfinex เคยถูกกลุ่มผู้ใช้งานเพ่งเล็งเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในกรณีเหรียญ Tether ที่ที่ถูกหน่วยงาน CFTC สหรัฐฯส่งหมายศาลไปสอบปากคำ และรวมถึงการตัดขาดความสัมพันธ์กับบริษัทด้านการออดิตอีกด้วย

The post เว็บเทรดอันดับ 5 ของโลก Bitfinex เตรียมย้ายฐานไปประเทศสวตเซอร์แลนด์ appeared first on Siam Blockchain.

“หรือการประกาศฟรีค่าธรรมเนียมของธนาคารในไทยเป็นสัญญาณการแข่งขันกับ Cryptocurrency?”

ค่าธรรมเนียมฟรีเว่อร์

ช่วงที่ผ่านต้องยอมรับว่ากระแสฟรีค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยเริ่มมาแรงแซงทุกสิ่งทุกอย่างไปเลย เพราะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมของแบงก์ไทยเป็นอย่างมาก แม้ก่อนหน้านี้ TMB จะเคยประกาศฟรีค่าธรรมเนียมมาแล้ว แต่เป็นแบงก์ขนาดกลางจึงไม่ได้มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมมากมายนัก

และก็เช่นกัน ปัจจุบันเทคโนโลยี Blockchain ที่ทำให้การทำธุรกรรมข้ามประเทศนั้นมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าการใช้บริการธนาคารทั่วไปมาก แต่ในขณะเดียวกันการทำธุรกรรมในระยะใกล้ ๆ อย่างเช่นภายในประเทศสำหรับบางเหรียญอย่างเช่น Bitcoin นั้นยังคงมีความแพงอยู่มาก แม้ว่าในปัจจุบันจะลดลงมาเยอะแล้วก็ตาม แต่ปัญหาด้านการ scaling ของ Bitcoin ที่ใช้เวลานานในการโอนแถมยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียม (แบบไม่ฟรี) นั้น ทำให้มันยังไม่เป็นที่นิยมในการนำไปใช้จ่ายจริงในขณะนี้

ทั้งนี้จากการประกาศฟรีค่าธรรมเนียมในช่วงที่ผ่านมา เราสรุปได้ว่า 3 วันติดมีแบงก์ประกาศฟรีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม ดังนี้

  • 26 มีนาคม 2561 SCB ประกาศฟรีค่าธรรมเนียม
  • วันที่ 27 มีนาคม 2561 KBANK ก็ประกาศฟรีค่าธรรมเนียม
  • วันที่ 28 มีนาคม 2561 KTB ที่ก็ประกาศให้ โอน เติม จ่าย ฟรี
  • ขณะที่ BBL ประกาศฟรีค่าธรรมเนียม โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป

บางทีนี่อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และเป็นที่น่าเชื่อว่าน่าจะมีอีกหลายๆ ธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทยทยอยประกาศฟรีค่าธรรมเนียมในลักษณะนี้ออกมา เพราะถ้าเลือกได้ในฐานะผู้บริโภคอย่างเราก็คงไม่อยากจะเสียค่าธรรมเนียมโดยใช่เหตุ

ธนาคารกำลังแข่งขันกับแพลตฟอร์มในอนาคตอย่าง Blockchain

เป็นที่ทราบกันดีว่ารายได้ของแบงก์ ส่วนหนึ่งมาจากการเก็บค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมต่างๆ ของธนาคาร แต่คำถามที่เกิดขึ้นกับกระแสค่าธรรมเนียมฟรีในวันนี้ คือ แล้วรายได้ของแบงก์จะไม่หายไปหรือ

เราได้คำตอบจากหัวเรือใหญ่ของแบงก์สีม่วง หรือธนาคารไทยพาณิชย์ โดยพวกเขาเผยให้เห็นถึงความจริงจังในการเป็นผู้นำด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เกี่ยวกับการเงินในปัจจุบัน และเป็นธนาคารแห่งแรกของประเทศไทยที่ยกเลิกค่าธรรมเนียมเมื่อทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปพลิเคชัน SCB EASY โดยการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ทำธุรกรรมแบบฟรีค่าธรรมเนียมของพวกเขานั้นประกอบไปด้วย

  1. โอนข้ามเขต
  2. โอนต่างธนาคาร
  3. เติมเงินต่างๆ  
  4. จ่ายบิล
  5. กดเงินโดยไม่ใช้บัตรข้ามเขต ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม

โดย คุณธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Marketing Officer ธนาคารไทยพาณิชย์  กล่าวว่า ในส่วนของค่าธรรมเนียมตรงนี้ไม่ได้เยอะสำหรับแบงก์เมื่อเทียบกับกำไร ซึ่งโดยส่วนใหญ่ค่าธรรมเนียมที่เป็นรายได้หลักๆ อยู่ที่ ATM หรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ลด แต่สาเหตุที่ลดค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมทั้ง 5 เพราะว่านี่เป็นแพลตฟอร์มอนาคต จากยอดการเติบโตของแพลตฟอร์มที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“มันเป็นการชะลอหรือสกัดพวกแพลตฟอร์มระดับโลก เพราะคู่ต่อสู้ของเราจริงๆ ไม่ใช่แบงก์ แต่เป็นแพลตฟอร์มระดับโลกที่ถ้าเขามา เขาไม่ได้ค่อยๆ กิน แต่เขาเข้ามาแล้วเขาพลิกเลย ดังนั้นเราต้องเป็นแพลตฟอร์มขนาดกลาง ผมคิดว่าเป็นการลงทุนที่ถูกมาก เพื่อสร้างแพลตฟอร์มอนาคต เพื่อต่อสู้ เพราะถ้าไม่ทำอะไรเราเสียเป็นหลายหมื่นล้านแน่นอน”

นอกจากนี้ยังระบุว่าค่าเสียหายที่เกิดจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมยอดฮิตคนยุคดิจิทัลเสียหายเพียงแค่หลักไม่กี่ร้อยล้าน ถือว่าคุ้มมากเมื่อเทียบกับอนาคตที่จะต้องสร้าง

หรือนี่จะเป็นสัญญาณของแบงก์ไทย ต่อ เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

แน่นอนว่าถ้าคุณศึกษาและทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Blockchain พอตัวคุณจะสัมผัสได้ถึงการ Disrupt ที่เทคโนโลยีนี้มีต่อโลกการเงิน ซึ่งการลดค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ในไทย นับว่าเป็นสัญญาณที่ตื่นตัวกับเทคโนโลยีพอสมควร เสมือนว่าการลดค่าธรรมเนียมจะช่วยให้แบงก์ดึงลูกค้าให้อยู่กับแบงก์ต่อ เพราะโลกอนาคตธนาคารจะไม่ได้แข่งขันกับธนาคารด้วยกันเอง แต่จะมีแพลตฟอร์มระดับโลกที่เข้ามาแย่งชิงลูกค้าด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ไม่มีใครคาดคิด

เพราะเทคโนโลยีบล็อกเชนที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของเหล่า Cryptocurrency อาจเป็นตัวการทำลายระบบทางการเงินของไทย อย่างที่อินเทอร์เน็ตได้ทำลายล้างระบบการสื่อสารมาแล้วในอดีต….

ธนาคารไทยปรับตัวใช้ Blockchain

Blockchain เริ่มแสดงผล ต่อแบงก์ไทย เพราะหลายๆ แบงก์กำลังใช้ Blockchain จริง อาทิ ธนาคารกสิกรไทยนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้สร้างมาตรฐานใหม่ในการบริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการลดขั้นตอนเวลา ต้นทุน เพิ่มความปลอดภัยสูงสุด  เพื่อให้ภาคธุรกิจขับเคลื่อนเร็วขึ้น เช่นเดียวกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เพิ่มสกุลเงินยูโรและปอนด์อังกฤษไปบนแพลตฟอร์มการโอนเงินข้ามพรมแดนอย่าง Ripple เพื่อส่งเงินขาเข้าสำหรับลูกค้ารายย่อย ขณะที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้พยายามบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยเข้าร่วมกับ RippleNet ที่จะขจัดปัญหาในการชำระเงินข้ามพรมแดน

แล้วการโอนเงินข้ามประเทศล่ะ?

การลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมทางเงินภายในประเทศจะกำลังเป็นสิ่งที่ตื่นตา ตื่นใจให้กับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล  แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคอินเทอร์เนต 4.0 นี้การโอนเงินระหว่างประเทศถือเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ และน่าจะดีกว่า หากมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้บริการโอนเงินเร็วขึ้นและยังปลอดภัย ซึ่งอนาคตแพลตฟอร์มนี้อาจจะมีบทบาทมากขึ้น

คุณท็อป จิรายุส เคยเล่าว่า เขาต้องโอนเงินให้กับน้องสาวที่อยู่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเขาเลือกใช้การโอนเงินผ่าน Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลสกุลหนึ่ง ซึ่งมีเทคโนโลยี Blockchain อยู่เบื้องหลัง ซึ่งการโอนผ่านช่องทางนี้สามารถทำให้เขาโอนเงินถึงน้องสาวได้ภายใน 30 นาที แถมยังมีเงินเพิ่มจากเงินต้นที่ส่งไปอีกด้วย

ปัจจุบันเทคโนโลยีการโอนเงินระหว่างประเทศอย่าง SWIFT ที่ทำหน้าเป็นตัวช่วยส่งข้อความระหว่างธนาคารนั้นถือเป็นอะไรที่ค่อนข้างล้าสมัย เนื่องจากค่าธรรมเนียมการโอนระหว่างประเทศ

สรุป

เทคโนโลยีเดิมๆ อาจจะถูกทำลายไปด้วยกลไกการทำงานของเทคโนโลยีตัวใหม่ แม้วันนี้ภาคธนาคารในประเทศไทยจะพยายามปรับตัวเพื่อดึงลูกค้าให้อยู่คู่ธนาคาร เพราะกลัวว่าเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Blockchain จะมาทำลายล้างระบบการเงินจนธนาคารอาจถูก Disrupt แบบไม่รู้ตัว แต่นั้นอาจจะไม่เพียงพอ ถ้าธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยยังไม่สู้กับการทำงานของ  Blockchain หรือพอจะเป็นไปได้ไหม หากธนาคารศึกษาและทำความเข้าใจ แล้วดึงเอาความสามารถของเทคโนโลยีตัวนี้เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมของธนาคาร

ภาพจาก Shutterstock

The post “หรือการประกาศฟรีค่าธรรมเนียมของธนาคารในไทยเป็นสัญญาณการแข่งขันกับ Cryptocurrency?” appeared first on Siam Blockchain.

บริษัทผู้พัฒนาแอพ Alipay กล่าวชื่นชม Blockchain แต่ไม่เห็นด้วยกับ ICO

นาย Jing Xiandong หรือผู้บริหารระดับสูงของบริษัทสัญชาติจีน Ant Financial ผู้อยู่เบื้องหลังแอพการจ่าเงินระดับโลกอย่าง Alipay ได้ออกมากล่าวว่า Blockchain นั้นคือ “รากฐานของความไว้วางใจ” แต่ไม่เห็นด้วยกับการระดมทุนผ่าน initial coin offerings (ICO) โดยความเห็นของเขานั้นมีขึ้นในงาน China Development Forum เมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมา

“แก่นแท้ของ Blockchain นั้นอยู่บนเทคโนโลยีที่สามารถสร้างระบบความไว้วางใจจากหลาย ๆ ฝ่ายได้ ลองจินตนาการว่าถ้าหากว่าฝ่ายที่มาเข้าร่วมจะต้องไว้วางใจบุคคล หรือสิ่งของโดยที่ไม่เห็น สิ่งของทุกอย่างบนโลกนี้ถูกทำให้เป็นดิจิตอลหมด ความยากนั้นจะอยู่ที่การตรวจสอบว่า asset นั้นจะเป็นของแท้หรือไม่ โดยในลักษณะนี้ เทคโนโลยี Blockchain มีความสำคัญในบทบาทนี้อย่างมาก และมันเป็นรากฐานของความไว้วางใจของสังคมแห่งอนาคต” กล่าวโดยนาย Xiandong

แต่อย่างไรก็ตาม เขาแสดงความเห็นเกี่ยวกับ ICO ที่ในส่วนตัวนั้นเขาไม่ค่อยเห็นด้วยมากนัก โดยกล่าวว่าปัจจุบันมีเหรียญโทเค็นและ whitepaper ที่ไร้ค่าเป็นจำนวนมาก และสรุปว่าเทคโนโลยี blockchain นั้นยังคง “ติดอยู่ในช่วงกระแสอยู่”

แต่นาย Xiandong ก็ยังคงมีมุมมองที่ดีต่ออนาคตของ Blockchain โดยเขาทำนายว่าในอีกไม่กี่ปีนี้ที่จะถึงนี้กระแสปลอม ๆ จะหายไป และมูลค่าที่แท้จริงจะเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้บริษัท Alibaba หรือบริษัทแม่ของ Ant Financial ได้เริ่มนำร่องเทคโนโลยีดังกล่าวไปก่อนแล้วในจีน นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าขนาดของการปรับใช้เทคโนโลยี blockchain จะใหญ่มาขึ้น แต่ไม่ใช่ ICO

“เท่าที่เห็นมา ตอนนี้เราเป็นบริษัทที่จดสิทธิบัตรด้าน blockchain ที่มากที่สุดในโลก แต่ผมไม่คิดว่าเราจะทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ ICO แน่”

อุปสรรคสี่อย่าง

นาย Xiandong ไม่เพียงแต่กล่าวถึงความเห็นของเขาเท่านั้น แต่เขายังได้เผยถึงปัญหาหลัก ๆ ของเทคโนโลยี Blockchain ที่ยังมีปัญหาบางส่วนอยู่ในปัจจุบัน โดยอย่างแรกคือเรื่องความปลอดภัย เขากล่าว พร้อมชี้ให้เห็นว่าการใช้ public ledger หรือบัญชีสาธารณะแบบที่ Bitcoin กำลังใช้อยู่นั้นอาจตกอยู่ในความเสี่ยงด้านการถูกเจาะระบบได้

ปัญหาต่อไปคือการหาความพอดีะหว่างระบบความปลอดภัยที่แน่นหนาและการเก็บข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ ปัญหาข้อที่สามคือความเร็วในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะธุรกรรมระหว่างประเทศ และท้ายสุดนี้ เขาชี้ให้เห็นถึงปัญหาของ “ระบบสร้างแรงจูงใจ” (อย่างเช่น Bitcoin ที่แจก BTC ให้กับนักขุดที่มาช่วยขุด) “เพื่อสร้างความร่วมมือและมูลค่าของ chain นั้นๆ”

ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนได้ออกมาประกาศแบน ICO เมื่อปีที่แล้ว และรวมถึงเว็บผู้ให้บริการกระดานซื้อขายเหรียญ cryptocurrency อีกด้วย

The post บริษัทผู้พัฒนาแอพ Alipay กล่าวชื่นชม Blockchain แต่ไม่เห็นด้วยกับ ICO appeared first on Siam Blockchain.

ECHT Token หรือเหรียญ e-Chat ถูกลิสขึ้นบนเว็บเทรด Yobit และ Tidex แล้ว

Tidex หรือเว็บเทรด Cryptocurrency และเป็นแพลตฟอร์มซื้อขาย Bitcoin ที่มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายเพียง 0.1% โดยมีโวลลุ่มในการซื้อขายถึง 18 ล้านดอลลาร์ต่อวัน อีกทั้งยังมีเหรียญสำคัญอย่าง Bitcoin และ Altcoin อื่น ๆ ที่มี Ethereum และ Waves เป็นคู่ขายอีกด้วย โดยหนึ่งในคุณสมบัติหลักของเว็บ Tidex ก็คือผู้ใช้งานไม่ต้องทำการระบุตัวตน KYC ในการในการทำการเทรด เนื่องจากเป็นเว็บที่ให้บริการเทรดเหรียญ คริปโต สู่ คริปโต

ในหนึ่งเดือนมีผู้เข้าชมเว็บเทรด YoBit มากกว่า 27.4 ล้านคน และเว็บเทรดดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ประมาณ 32 ล้านดอลลาร์ต่อวัน

เนื่องจาก Cryptocurrency ได้แผ่ขยายไปทั่วโลก จึงเกิดคำถามใหม่ ๆ เกี่ยวกับศักยภาพของ Blockchain ดังนั้นผลิตภัณฑ์ด้านนวัตกรรมอย่าง e-Chat ที่พวกเขาเคลมว่าจะใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการติดตามการสร้างรายได้ในทุก ๆ ทางบนเครือข่ายของ e-Chat แบบเรียลไทม์ โดยแอปดังกล่าวนั้นปัจจุบันรองรับแพลตฟอร์มมือถือบน App Store และ Google Play แล้ว

ทางผู้ก่อตั้งเชื่อว่าแอปฯ e-Chat นั้นจะช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับ Blogger, เจ้าของธุรกิจ, ศิลปิน, นักเขียน, นักแสดงผ่านการสร้างรายได้ผ่าน Cryptocurrency (Crypto-Monetization) โดยอ้างอิงจาก PR นั้น พวกเขากล่าวว่า

“การรวม Social Media กับรูปแบบการสร้างรายได้ขั้นสูงนั้น อาจไม่ได้เป็นเพียงเปลี่ยนวิธีการส่งข้อความของเราเท่านั้น แต่รวมไปถึงวิธีการทำธุรกิจออนไลน์ของพวกเราด้วย”

นอกจากนี้เหล่า เซเลบ 18 คนที่ได้รับการรับรองจาก e-Chat มีดังต่อไปนี้: Blogger ด้านการท่องเที่ยวนาย Jay Alvarrez มีผู้ติดตามถึง 6 ล้านคน, นาง Teng Youyou หรือผู้ที่มีฉายา “Queen-of the Leg-Split” และยังเป็นหนึ่งในสิบอันดับของ Chinese Models, ผู้สมัครประธานาธิบดีรัสเซียปี 2018 นาง Xenia Sobchak และ Blogger สาวชื่อดังนาม Wu Qiong ที่มีฉายา “Watermelon Sister”

และคนอื่น ๆ ที่ได้รับการรับรองจาก e-Chat ได้แก่ Blogger นาม Jasse Golden ที่มีผู้ติดตามถึง 200,000 คน, Blogger สาวนาม FanFan ,นาง Anastasia Ivleeva เป็นที่รู้จักกันดีใน Instagram และยังเป็นนักแสดงของรายการทีวีประเทศรัสเซีย, นาง Olga Buzova เป็นนักแสดงและยังเป็นดีไซน์เนอร์ที่มีผู้ติดตามถึง 12.1 ล้านคน และนาย Bao Linhui ผู้ที่มีชื่อเสียงในแอปฯ Live Stream นาม Yizhibo

นักแสดงที่มีชื่อเสียงอย่างนาง Anastasia Samburskaya, Supermodel สาวนาม Nika Viper, นักข่าวสาว Viktoria Bonya, นักแสดงสาว Natalia Rudova, นักแสดงสาวรายการทีวีนาม Alena Vodonaeva , นาง Viktoria Lopyreva Ambassador ของ FIFA WC 2018, นาง Aiza Anohina ที่มีผู้ติดตามถึง 1.5 ล้านคนและยังเป็นดีไซน์เนอร์และ Blogger ชื่อดัง, นางแบบสาว Masha Minogarova เป็น Supermodel และยังเป็น Blogger และ Blogger ชื่อดังด้านธุรกิจอย่างนาย Dmitry Portnyagin ด้วยe-Chat แอปฯ ด้าน Blockchain เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถปฏิวัติวงการ Social Media ได้ในอีกไม่นานนี้ อ้างอิงจากผู้ก่อตั้ง และยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจให้ไปไกลกว่าเดิม หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวแอปฯ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมที่เว็บไซต์ e-chat.io

ที่มา: e-chat.io

The post ECHT Token หรือเหรียญ e-Chat ถูกลิสขึ้นบนเว็บเทรด Yobit และ Tidex แล้ว appeared first on Siam Blockchain.

สมาคมไทยบล็อกเชนวอนรัฐพิจารณาทบทวนร่างกฎหมายภาษีคริปโต

เมื่อเย็นของวันที่ 27 มีนาคม ได้มีรายงานล่าสุดเกี่ยวกับกฎหมายด้าน Cryptocurrency ในประเทศไทยที่หลาย ๆ คนกำลังให้ความสนใจ โดยเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาเปิดไฟเขียวร่าง พ.ร.ก. ที่จะออกมาควบคุมและกำกับเงินดิจิตอลแล้ว โดยมีการจัดเก็บภาษี ณ ที่จ่าย 15%

 

ภายหลังทางกลุ่มบริษัทด้าน Blockchain และ cryptocurrency จึงได้รวมตัวกันเพื่อจัดตั้งสมาคมไทยบล็อกเชน โดยประกอบด้วย

  • ประเภท ก ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิตอล (Trading)
  • ประเภท ข นักลงทุน (Trader)
  • ประเภท ค ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการขุดหรือให้บริการเช่ากำลังขุด (Mining)
  • ประเภท ง สื่อสารมวลชน นักวิชาการ และผู้ให้คำปรึกษา
  • ประเภท จ ผู้ให้บริการ ICO และผู้ให้บริการเทคโนโลยี Blockchain

สมาคมดังกล่าวมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สมาคมไทยบล๊อกเชน หรือ TBA (Thailand Blockchain Association) ทางสมาคมได้มีการแถลงการฉบับที่สองที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความต้องการให้รัฐพิจารณาร่างกฏหมายภาษีคริปโต เนื้อหาหลักในร่างแถลงการนั้นคือการนำเสนอให้รัฐเก็บภาษีจากกระดานเทรดที่อัตรา 0.1% จากการซื้อขายหรือคือ 0.05% จากทุกๆการเทรด เพื่องให้ง่ายต่อการดูแลและนำส่งภาษีโดยกระดานเทรดจะเป็นผู้รับภาระนั้นไว้ รวมถึงความเห็นที่ว่าการเก็บภาษี ณ ที่จ่าย 15% จะเป็นการปิดกันการระดมทุนรวมถึงเม็ดเงินที่จะไหลเข้ามาในประเทศ สำหรับแถลงการฉบับเต็มมีรายละเอียดดังนี้

สมาคมไทยบล๊อกเชนถูกก่อตั้งโดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

(1)      ให้การส่งเสริมการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนทุกรูปแบบ ซึ่งรวมถึงธุรกิจให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ธุรกิจให้บริการเสนอขายเหรียญในระยะเริ่มต้น (Initial Coin Offering – ICO) การขุดหรือให้บริการเช่ากำลังขุดสกุลเงินดิจิทัล (Mining) และธุรกิจอื่นทั้งหมดที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นสำคัญ

(2)      สนับสนุนและส่งเสริมภาครัฐในการกำกับดูแลธุรกิจสกุลเงินดิจิทัล (Crypto currency) และการให้บริการเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในประเทศไทยให้สอดคล้องกับสภาพธุรกิจ

(3)  เป็นศูนย์กลางเพื่อตกลงและวางระเบียบ หลักเกณฑ์ และจรรยาบรรณเพื่อใช้ร่วมกันในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจให้สอดคล้องกับสภาพธุรกิจและเป็นประโยชน์ต่อภาคประชาชน และ

(4)      เป็นศูนย์ให้ความรู้ รวบรวมและกระจายข้อมูลข่าวสารสำหรับธุรกิจตามข้อ (1) เพื่อให้สมาชิกประกอบธุรกิจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและทันต่อเหตุการณ์ รวมถึงเตือนภัยที่อาจเกิดขึ้นแก่ภาคประชาชน

 

สำหรับสมาชิกของสมาคมนั้นมากจากผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวกับ Blockchain โดยมีรายชื่อกรรมการและที่ปรึกษาดังนี้

กรรมการสมาคม

  1.         ดร.ประเวทย์ ตันติสัจจธรรม                                          กรรมการกลางและเลขาธิการ
  2.         นายวิชิต ซ้ายเกล้า  (กฐินรัน)                               กรรมการกลาง
  3.         นายณัฏฐพล อัศวชมพูนุช                                               กรรมการกลาง
  4.         นายศิวนัส ยามดี (Coin asset)                                         กรรมการ ประเภท ก
  5.         นายปฐม อินทโรดม (TSDC)                                         กรรมการ ประเภท ก
  6.         นายชนกันต์ ชัยวัฒนวสุ (Coins.co.th)                            กรรมการ ประเภท ก
  7.         นายสกลกรย์ สระกวี (Bitcoin Thai Club)                      กรรมการ ประเภท ข
  8.         นายกิตติวัฒน์ มโนสุทธิ (Smile Interactive)                   กรรมการ ประเภท ข
  9.         นายพิริยะ สัมพันธารักษ์ (โฉลกดอทคอม)                     กรรมการ ประเภท ข
  10.   นายกษมพัทธ์ วิธานวัฒนา (ZMine)                               กรรมการ ประเภท ค
  11.   นายวีระชัย เหมาะประไพพันธุ์ (TH Miner)                   กรรมการ ประเภท ค
  12.   บริษัทสยามบล็อกเชน มีเดีย กรุ๊ป                                     กรรมการ ประเภท ง
  13.   นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล (Bitcoin center)            กรรมการ ประเภท ง
  14.   นายคฑาวุธ ปาระมี (Webmaster)                                   กรรมการ ประเภท จ
  15.   นายวิทยา อัศวเสถียร (Dev network)                              กรรมการ ประเภท จ

ที่ปรึกษาสมาคม

  1.     ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์ กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์แห่งสาธารณรัฐเอสโตเนียประจำประเทศไทย และประธานคณะกรรมการกลุ่มโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์
  1.     คุณมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน)
  1.     ดร.ปิยะนุช มาลากุล ณ อยุธยา รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรม
  1.     คุณศิรินันท์ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ล็อกซเลย์ ออบิท จำกัด (มหาชน)
  1.     ผศ.ดร.ทศพล สอตระกูล นักวิชาการ
  1.     ดร.ชัยพร ธนถาวรกิจ ประธานมูลนิธิช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
  1.     พันตำรวจโทเจษฎา บุรินทร์สุชาติ รองผู้กำกับการ ฝ่ายตำรวจสากลและประสานงานภูมิภาค 2 กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  1.     รศ.ณัฐพงศ์ โปษกะบุตร ผู้อำนวยการบัณฑิตศึกษาคณะนิติศาสตร์

ทางสมาคมยังได้มีการเปิดรับสมาชิกเพิ่มอีกด้วย สำหรับรายชื่อสมาชิกฉบับเต็มและแถลงการทุกฉบับสามารถดูได้ที่นี่

ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน

การเก็บภาษี ณ ที่จ่าย 15% นั้นไม่ต่างอะไรกับการบอกให้ โปรเจค ICO ทั้งหลายที่กำลังจะระดมทุนในประเทศไทยไม่ว่าจะด้วยนักลงทุนประเทศไทยเองหรือต่างชาติ ไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเสียผลประโยชน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน การแถลงการของสมาคมครั้งนี้เป็นการรวมตัวของของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงซึ่งผู้เขียนก็หวังว่าภาครัฐจะรับฟังไว้

ในส่วนของภาครัฐนั้นผู้เขียนเข้าใจว่าการตั้งกำแพงภาษีนี้ทำเพื่อเป็นการชะลอการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของนวัตกรรม เนื่องจากด้วยเทคโนโลยี Blockchain นั้นความเป็น Decentralized นั้นทำให้มันควบคุมได้ยากในสายตารัฐบาล แต่มันควรจะเป็นอย่างนั้นเสมอไปหรือเปล่าเพราะจะกี่ยุคต่อกี่ยุคเทคโนโลยีก็ได้พิสูจน์มาตลอด ว่าสุดท้ายผู้ที่ครอบครองเทคโนโลยีนั้นจะได้ประโยชน์มหาศาล และด้วยปัจุบันเทคโนโลยี Blockchain นั้นก็ยังไม่ไปถึงจุดที่เรียกว่า Mass Adoption เลยด้วยซ้ำ คำถามที่น่าสนใจคือภาครัฐควรจะหยุดเทคโนโลยีนี้ก่อนที่มันจะเกิดเพื่อไม่ให้เสียการควบคุม หรือว่าจะรอให้เม็ดเงินและมันสมองดี ๆ ไหลออกนอกประเทศแล้วค่อยจะยอมรับในเทคโนโลยีนี้ ซึ่งคำตอบนั้นเราก็คงต้องดูกันต่อไปว่าร่าง พรก. นี้จะอย่างไรต่อ

 

สยามบล็อกเชนได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการด้านสื่อของสมาคมไทยบล็อกเชน ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านบทความนี้

The post สมาคมไทยบล็อกเชนวอนรัฐพิจารณาทบทวนร่างกฎหมายภาษีคริปโต appeared first on Siam Blockchain.

Vitalik ต้องการให้คุณจ่ายค่าเช่าเพื่อชะลอการเติบโตของ Ethereum

การเพิ่มระบบค่าธรรมเนียมใหม่จะช่วยให้ Ethereum สามารถอยู่ได้ในระยะยาวหรือไม่

การถกเถียงในแง่ที่ว่าผู้ใช้งานควรที่จะจ่ายเงินเพื่อให้การสนับสนุนคอมพิวเตอร์สำหรับเครือข่าย blockchain ทั่วโลกเป็นจำนวนเท่าไรและเมื่อไรนั้นกำลังมีขึ้นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งแม้แต่ในกลุ่มชุมชนผู้ใช้งานเหรียญอันดับสองของโลกอย่าง Ethereum ก็กำลังมีขึ้นด้วยเช่นกัน อ้างอิงจากผู้สร้างเหรียญดังกล่าวนาม Vitalik Buteirn

แนวคิดของบิดาแห่ง Ethereum คนนี้ได้มีการกล่าวถึง “ค่าธรรมเนียมการเช่า” ที่ผู้ใช้งานจะถูกขอให้จ่ายเงินเพื่อใช้งานระบบเครือข่ายของเหรียญดังกล่าว โดยคิดตามระยะเวลาที่พวกเขาต้องการจะให้ข้อมูลอยู่บนเครือข่าย (เหมือนกับ cloud)

แนวคิดดังกล่าวนั้นได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากว่านักพัฒนา Ethereum ต้องการแก้ปัญหาและจัดการการปรับตัวของการใช้แพลทฟอร์มดังกล่าวที่กำลังเพิ่มขึ้น และรวมถึงการเพิ่มจำนวนที่เก็บข้อมูลในเครือข่ายอีกด้วย

หรือหากอธิบายโดยแบบง่าย ๆ แล้ว หากผู้คนส่วนใหญ่ใช้ระบบของเหรียญดังกล่าวแบบฟรี ๆ มากไป อาจทำให้เครือข่ายไม่สามารถรองรับการใช้งานและต้นทุนไหว และในปัจจุบันมีหลักฐานมากมายที่เผยว่าปัญหาดังกล่าวกำลังเริ่มคุกคามประสิทธิภาพการทำงานของระบบ Ethereum

ปัจจุบันแอพและ ICO ที่ทำงานบน Ethereum นั้นมีมากมาย นาย Vlad Zamfir และนาย Phil Daian หรือนักพัฒนาของเหรียญดังกล่าวเชื่อว่าปัญหาด้านการขยายตัวที่รวดเร็วนี้ควรที่จะถูกจัดการอย่างรวดเร็ว

“ไม่มีใครอยากจะพูดถึงค่าเช่าหรอก แต่เราต้องพูดถึงมันหน่อยแล้วล่ะ” กล่าวโดยนักพัฒนา Ethereum นาม Raul Jordan บนทวิตเตอร์ของเขา

“นักพัฒนาหลักจะต้องส่งต่อข้อมูลนี้ไปให้กลุ่มนักพัฒนา smart contract โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เป็นประเด็นขึ้นมา” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า

“ตอนนี้ระบบในปัจจุบันมันเริ่มจะสั่นคลอนแล้ว”

เก็บค่าธรรมเนียม

กระนั้น การเสริมแนวคิดดังกล่าวโดยนาย Vitalik อาจเป็นสัญญาณว่าระบบดังกล่าวกำลังตกที่นั่งลำบากจริง

ณ ปัจจุบันเขาได้เสนอแนวคิดสองแนวคิด โดยอย่างแรกนั้นเขาเรียกมันว่า “วิธีการพื้นฐานในการคำนวณค่าเช่า” และอีกแนวคิดคือ “การหาวิธีการเก็บค่าเช่า”

หลักการของแนวคิดดังกล่าวคือการคำนวณค่าธรรมเนียมโดยอ้างอิงจากการจำกัดการใช้งานระยะยาวของสิ่งที่เรียกว่า “state” หรือหนึ่งในเสี้ยวข้อมูลของ Ethereum ที่ผู้เปิด node จะต้องเก็บมันเอาไว้ โดยมันจะทำหน้าที่ติดตามว่าใครเป็นเจ้าของข้อมูลของแอพใดบ้าง (รวมถึงจำนวนเงินที่เหลืออยู่ของผู้ใช้งาน หรืออาจกล่าวได้ว่าผู้ที่เก็บข้อมูลในนี้มากที่สุด)

โดยภายใต้ข้อเสนอใหม่นี้ ข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่ใน RAM ของ node บนคอมพิวเตอร์ (ซึ่งมีประมาณ 5 GB) นั้นจะไม่ถูกอนุญาตให้ขยายได้เกิน 500 GB เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้งานจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อเก็บข้อมูล โดยอ้างอิงจากระยะเวลาที่พวกเขาต้องการจะเก็บ โดยเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้อมูลก็จะถูกตรวจสอบตลอด มิเช่นนั้นค่าธรรมเนียมก็จะเพิ่มสูงขึ้นถ้าหากว่าจำนวนข้อมูลที่เก็บเริ่มเข้าใกล้ขนาดที่กำหนดไว้

อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจที่นาย Vitalik ต้องการจะเพิ่มเข้าไปก็คือการเปลี่ยนแปลงในด้านการ scaling ของเครือข่ายที่นักพัฒนากำลังตั้งตารอให้เพิ่มมันเข้าไปในระบบ

แม้ว่าบน roadmap การพัฒนาจะเผยว่าการ “sharding” นั้นยังต้องใช้เวลาอีกนานหลายปีนั้น แต่หากติดตั้งได้แล้ว จะช่วยแก้ปัญหาในการเก็บข้อมูลบน node ของเครือข่าย Ethereum ได้ เนื่องจากว่าในแต่ละ node นั้นไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลให้ครบเหมือนกันทุกตัว แต่ว่าสามารถแยกกันเก็บได้

“ด้วยการทำ sharding นั้น ขนาดเก็บข้อมูลของ state จะมีรองรับได้ต่อ shard ดังนั้นค่าธรรมเนียมจะสามารถลดขนาดลงได้ประมาณ 100 เท่า” กล่าวโดย Vitalik

นอกจากนี้เขายังพยายามแก้ไขปัญหาบนแพลทฟอร์มการให้เช่าดังกล่าวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น user interface ที่ใช้งานยาก ที่อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดระหว่างการพัฒนาได้ง่าย

ปัญหาที่ฝังราก

ปัญหาใหญ่ ๆ ก็คือการเก็บค่าธรรมเนียมที่เหมือน ๆ กับการเก็บภาษีนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทัวไปชอบเท่าไรนัก

การถกเถียงกันในกลุ่มนักพัฒนา Bitcoin ในส่วนใหญ่นั้นมักจะเกี่ยวข้องกับค่าธรรมเนียม และรวมถึงข้อจำกัดที่มักจะมาพร้อมกับมัน โดยถ้าหากค่าธรรมเนียมนั้นมากขึ้น ก็จะมีข้อมูลน้อยลงที่ถูกนำมาเก็บไว้ ทำให้การเปิด node แบบเต็ม ๆ นั้นทำได้ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อเสียเช่นกันคือการทำเช่นนี้จะทำให้เหรียญดังกล่าวมีความแพงมากขึ้น

คำถามก็คือ นักพัฒนา Ethereum จะทำตามในสิ่งที่ Bitcoin กำลังทำอยู่หรือไม่ นาย Johnson กังวลว่าการเพิ่มค่าธรรมเนียมอีกส่วนหนึ่งเข้ามาอาจทำให้นักพัฒนา app บน Ethereum แสดงความไม่พอใจอย่างมาก

นาย Johnson เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ควรจะรีบร้อน แต่จะต้องค่อย ๆ ใช้เวลาเพื่อให้นักพัฒนาสามารถปรับตัวตามได้

ที่น่าสนใจคือ บางคนเชื่อว่าการจ่ายค่าเช่าดังกล่าวควรที่จะถูกนำไปปรับใช้กับเหรียญ cryptocurrency ทุกเหรียญ เนื่องจากว่าปัญหาการ scaling และค่าธรรมเนียมนั้นกำลังถือเป็นปัญหาของ Blockchain

นาย Daian กล่าวว่าเหรียญ Bitcoin ควรที่จะนำเอาโมเดลดังกล่าวมาปรับใช้ด้วย เพื่อให้เหมือนกับ Ethereum เนื่องจากว่าปัจจุบัน Bitcoin ไม่ได้เก็บค่าธรรมเนียมในการถือเหรียญไว้

ภายหลังเขากล่าวสรุปว่า

“ปัจจุบันยังไม่มี cryptocurrency ตัวไหนที่สามารถคิดค้นโมเดลในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้งาน และการเช่าที่เก็บข้อมูลของ Ethereum จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าเรากำลังเดินมาถูกทางแล้ว”

The post Vitalik ต้องการให้คุณจ่ายค่าเช่าเพื่อชะลอการเติบโตของ Ethereum appeared first on Siam Blockchain.

ผู้เชี่ยวชาญแนะผู้ออกกฎหมาย Cryptocurrency ในไทย “ศึกษาก่อนลงมือทำ”

ว่าด้วยเรื่องของกฏหมายเงินดิจิทัล….

พ.ร.ก.เงินดิจิทัลที่เผยแพร่ตามสื่อในช่วงที่ผ่านมาหลายคนคงพอทราบกันดีแล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่น่าสนใจและคงเป็นประเด็นต้องพูดถึงคงไม่พ้น เรื่องที่กำลังเป็นข้อถกเถียงในกลุ่มนักลงทุนคริปโต ก็คือ การเก็บภาษี

ขณะที่มุมมองของกูรูด้านเทคโนโลยีมีมุมมองไปในทิศทางเดียวกันว่ากฎหมายที่ออกมาไม่ควรปิดกั้นเทคโนโลยีที่กำลังมา  ทางสยามบล็อกเชนได้มีโอกาสสัมภาษณ์กูรูทั้ง 5 คน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในวงการ Blockchain และ Cryptocurrency ในไทยมานาน


คุณต้น สกลกรย์ หรือผู้ก่อตั้งกลุ่มชุมชน Bitcoin Thai Club และอดีต CEO ของบริษัทเกม Gareana กล่าวถึงมุมมองต่อภาษีว่า มันเป็นเรื่องที่ดี เพราะหลายๆ คนมองว่าบิทคอยน์หรือคริปโตเคอเรนซี่อาจจะขึ้นมาอยู่บนดินสักที หลังเมื่อก่อนมองว่าเป็นสิ่งหลอกลวง ซึ่งภาครัฐก็ให้การยอมรับและต้องมีการควบคุม

“เราคาดหวังว่าการออกพ.ร.ก.จะทำให้สตาร์ทอัพในบ้านเรา หรือ ecosystem cryptocurrency เติบโตดีขึ้นกว่าเดิม อย่างที่เคยบอกว่าคริปโตเคอเรนซี่เมื่อก่อนอยู่ใต้ดิน ตอนนี้ขึ้นมาอยู่บนดินแล้วก็อยากให้ถูก regulate อย่างถูกต้อง”

ในขณะเดียวกัน เขามองว่าการเก็บภาษี 15% กับการซื้อขาย ICO นั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เป็นอะไรที่ควรยกเว้นไปเลย เพราะ ico เป็นทางออกใหม่ของสตาร์ทอัพที่อยู่ในประเทศไทยจากเมื่อก่อนที่ต้องไปนั่งขอเงิน VC ตอนนี้ ico ทำให้ง่ายขึ้น ทำให้หลายคนมีทางออกมากขึ้นในการทำธุรกิจที่เกี่ยวกับ innovation หรือ internet เพราะมันเปิดกว้าง ใครอยากทำก็ประกาศขาย ico แต่การควบคุมจริงๆ ควรจะควบคุม ico เหล่านั้นมากกว่าการให้ผู้ลงทุนจ่ายภาษี

หรือจะกลับไปขี่ม้าและเขียนจดหมาย?

คุณท๊อป จิรายุส อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Coins.co.th หรือเว็บขายเหรียญ Bitcoin แรก ๆ ของไทย มีมุมมองที่ระบุว่า กฎหมายมักเดินตามหลังเทคโนโลยีตลอดและจากกฎหมายที่ฟังออกมาคร่าวๆ มันไม่น่าจะเหมาะสมเท่าไหร่ เพราะการออกกฎหมายต้องมีความเข้าใจในด้านของเทคโนโลยี ถ้าคนที่ออกกฎหมายเข้าใจจริงๆ ว่าคริปโตเคอเรนซี่หรือบล็อกเชนมันมาทำอะไร ซึ่งเป้าหมายสำคัญของคริปโตเคอเรนซี่หรือบล็อกเชนคือการเอาตัวกลางออก ลดต้นทุน

โดยเขาได้อธิบายเชิงเปรียบเทียบเหตุการณ์ในปัจจุบันว่ามีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ Red Flag Act ในศตวรรษที่ 19 ที่รัฐบาลอังกฤษเคยออกกฎหมายเพื่อควบคุมและกำกับรถยนต์ที่ในสมัยนั้น ด้วยการบังคับให้ผู้ใช้รถยนต์ต้องมีวิศวกรและผู้ถือธงแดงคอยนำหน้ารถยนต์เพื่อแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่บนถนน เนื่องจากว่ารถยนต์ในขณะนั้นยังถือเป็นของที่ใหม่มาก และในศตวรรษที่ 19 การใช้รถม้าเพื่อเดินทางถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งก็ไม่ต่างจาก cryptocurrency ในตอนนี้เช่นกันที่ยังใหม่มาก และการโอนเงินผ่านธนาคารคือเรื่องปกติ

“เรื่องของกฎหมายอยากให้เป็นอะไรที่ปรับเปลี่ยนได้ง่าย ตอนนี้โลกของเราขยับเร็วมากๆ เพราะฉะนั้นกฎหมายก็ต้องมีความ flexible ตามเช่นเดียวกัน อย่างเช่นถ้าคุณออกกฎหมายให้คนถือธงนำหน้ารถ มันก็ต้องเป็นอะไรที่เปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว”

เขาเผยว่าความรู้สึกในการใช้ cryptocurrency นั้นไม่ต่างจากการได้ลองเปลี่ยนจากการขี่ม้ามาขับรถยนต์ และจากการเขียนจดหมายมาเขียนอีเมล์แทน ซึ่งความรู้สึกนั้นยากเกินที่จะกลับไปหาของเดิมได้

ข้อเท็จจริงคือภายหลังกฎหมายดังกล่าวในประเทศอังกฤษถูกแบนในปี 1896 และก็ค่อย ๆ หายไปภายในปี 1898 เนื่องจากว่าอัตราการปรับใช้งานรถยนต์ของประชากรในประเทศอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งสวนทางกับความต้องการของรัฐบาลในการจำกัดการใช้งานสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เครื่องจักรแห่งความตาย” ดังกล่าว โดยคุณท็อปเรียกปรากฎการณ์นี้ว่าเป็น “ความพ่ายแพ้ของรัฐบาลอังกฤษต่อประชาชน”

มองเทคโนโลยีเป็นหลัก ประเทศจะได้ผันตัวเป็นผู้ผลิต ไม่ใช่คอยเป็นแต่ผู้ซื้อ

คุณแบงค์ สถาพน ผู้ก่อตั้งบริษัท Smart Contract Thailand เผยว่า อยากให้มองในแง่ของ ecosystem ที่จะเกิดขึ้นจากการที่สามารถ Enable ตัว crypto economic ขึ้นมา มันจะทำให้มีผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เราสามารถดึงดูด Talent ต่างๆ จากต่างประเทศ จนวันนึงเราอาจสามารถเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยี แทนที่จะเป็นผู้ซื้อเหมือนทุกวันนี้

เช่นเดียวกับการออกกฎหมายหวังว่าสิ่งที่ออกมาจะนำพาประเทศไปสู่สิ่งใหม่ๆ ได้ โลกในอนาคตจะเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยต้นทุนการผลิต หรือวิธี ความคิดทางเศรษฐศาสตร์แบบเดิมๆ แต่มันกำลังจะมีวิธีคิดใหม่

“กฎที่ออกมามันหวังดี แต่ไม่ได้ทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่หายไปกับที่ได้มา มันอาจจะไม่คุ้มกัน ดังนั้นควรมองที่เทคโนโลยีเป็นหลัก ให้กฎเหล่านี้ที่สร้างขึ้นมาสุดท้ายมัน Enable ให้เกิดเทคโนโลยีที่ในวันนึงเราสามารถเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีขายได้ ไม่ใช่เป็นผู้ซื้อเทคโนโลยีอย่างเช่นทุกวันนี้”

ขอ Public Hearing ฟังเสียงประชาชนบ้าง

คุณแม็กซ์ ธีระชาติ ผู้ก่อตั้ง StockRadars กล่าวว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ของใหม่เกิดมาแต่กฎระเบียบเป็นของเก่า การใช้วิธีแบบเก่ามันอันตรายมากเพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์แน่นอนกับสิ่งที่มัน Dezentralized ขนาดนี้ ซึ่งอาจจะเสียโอกาสหรือตกรถเวฟใหม่ของประเทศ เพราะถ้าออกกฏเร็วเกินไปแล้วไม่ได้ระวังให้ดี

“ถ้าถูกเร่งรัดด้วยกรอบของเวลา บางทีไม่ชัวร์มันก็ต้องคุมไว้ก่อน เมื่อคุมไว้ก่อน สิ่งที่คุมไว้อาจไม่มีโอกาสกลับมาแก้อีกแล้ว”

พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่าอยากให้นึกถึงไทยแลนด์ 4.0 ที่ประเทศไทยพยายามผลักดัน และขอให้ภาพเอกชนได้เข้าไปแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นบ้างว่ากฎหมายที่แท้จริงควรเป็นไปในทิศทางใด

เช่นเดียวกับคุณเอิร์ท ปกรณ์วุฒิ ผู้ก่อตั้ง Bitcoin Center ที่มองว่าอยากให้มีการเรียกคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ทำธุรกิจจริงๆ อาทิ exchange / Trader/ Mining/ ICO ได้เขาไปเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เขาทำ หรือสิ่งที่เขาพบเจอว่าอะไรที่จะส่งผลกระทบกับเขาในกฎหมายเหล่านี้ แล้วกฎหมายแบบไหนที่พอจะแก้ไขปัญหาได้ หรือแม้แต่การควบคุมให้มีความปลอดภัยมากขึ้น

ซึ่งกฎหมายที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันไม่ได้มาจากความเข้าใจภาพธุรกิจ เทคโนโลยีนี้มันไม่มีพรมแดน การแก้ปัญหาด้วยการควบคุมกลายเป็นสร้างปัญหาใหม่ให้คนหนีไปที่อื่น สุดท้ายมันไม่ได้แก้ปัญหา มันจะปิดกั้นโอกาสประมาณหนึ่ง

“กฎหมายของบ้านอื่นที่พัฒนาแล้วเขาจะสมมติฐานว่าตัวเองเป็นคนดี จะออกกฎหมายโดยที่ทำอย่างไรก็ได้ให้ไม่กลายเป็นคนเลว แต่บ้านเราชอบออกกฎหมายโดยที่คิดว่าทุกคนเป็นคนเลว จะห้ามคนทำทุกอย่าง มันจะกลายเป็นการปิดกั้นโอกาสและส่งผลเสียมากกว่าผลดี”

ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้าน Blockchain และ Cryptocurrency ดังกล่าวมีขึ้นเมื่อสองวันที่ผ่านมา ก่อนการแถลงข่าวไฟเขียวร่าง พรก. เงินดิจิตอลเมื่อวานนี้

ความเห็นส่วนตัวผู้เขียน: สุดท้ายแล้วกฎหมาย กฎเกณฑ์  หรือการกำกับดูแล เรื่องเงินดิจิทัล ที่จะออกมาแล้วมีผลบังคับใช้เป็นอย่างไร ก็คงไม่สำคัญเท่ากับการที่หน่วยงานต่างๆ เปิดใจศึกษาทำความเข้าใจ และเรียนรู้ ว่ากระบวนการของเทคโนโลยีตัวนี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร และหวังว่ากฎหมายที่ออกมานั้นจะไม่ปิดกั้นการทำงานของเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกตัวนี้ เพราะมันไม่ได้มาหาเราบ่อยๆ

The post ผู้เชี่ยวชาญแนะผู้ออกกฎหมาย Cryptocurrency ในไทย “ศึกษาก่อนลงมือทำ” appeared first on Siam Blockchain.

Wednesday, March 28, 2018

JFin Coin ประกาศเลื่อนลิสเหรียญบนกระดานเทรด เนื่องจากกฎหมายคริปโตยังไม่ชัดเจน

ประกาศจากเฟสบุคของ JFin Coin เผยว่าบริษัทเจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือบริษัทในเครือ เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) ได้เลื่อนการลิสเหรียญ JFin Coin มูลค่ารวมกว่า 660 ล้านบาทบนตลาดรอง หรือเว็บเทรดต่าง ๆ ในประเทศไทยจากวันที่ 2 เมษายน 2561 ไปเป็น 2 พฤษภาคม 2561 นี้ เนื่องจากว่าปัจจุบันกฎหมายด้านคริปโตนั้นยังไม่ชัดเจน

รายงานดังกล่าวมีขึ้นในวันเดียวกับการผ่านความเห็นชอบร่าง พรก.เงินดิจิตอลในทีประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ ซึ่งในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนยื่นไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก่อนที่จะมีการบังคับใช้ในภายหลัง ซึ่งทางการยังไม่ได้เผยวันที่แน่ชัด แต่อาจจะเป็นในช่วงเดือนพฤษภาคมตามกำหนดการเดียวกับของ JFin Coin

ก่อนหน้านี้ทางเจ เวนเจอร์ส จำกัดประกาศว่าพวกเขาได้ระดมทุน ICO เปิดขายเหรียญ JFin Coin โดยใช้เวลาเพียงแค่ 55 ชั่วโมงในการขายเหรียญจำนวน 100 ล้านโทเค็น หรือคิดเป็นเงิน 660 ล้านบาทรวมทั้งหมด ซึ่งถือเป็น ICO สัญชาติไทยที่ระดมทุนได้เยอะเป็นอันดับสองรองจาก OmiseGO ที่ก่อนหน้านี้ระดมทุนไปได้กว่า 25 ล้านดอลลาร์ หรือ 780 ล้านบาท

ทางเจ เวนเจอร์สเผยว่าพรก. ดังกล่าวนั้นไม่กระทบการระดมทุนผ่าน ICO ของพวกเขาแน่นอน เนื่องจากว่าระดมทุนไปเสร็จแล้ว แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถลิสเหรียญดังกล่าวขึ้นเว็บเทรดได้เนื่องจากว่ากฎหมายดังกล่าวนั้นยังไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตามรายงานจากสำนักข่าวไทยเผยว่า JFin Coin นั้นจะมีแผนที่จะถูกลิสขึ้นบนเว็บเทรดในไทยทั้งหมด 6 เว็บด้วยกัน แม้ว่าในปัจจุบันเว็บเทรดจะมีอยู่เพียงแค่ 3 แห่งเท่านั้น ซึ่งก็คือ Bx, TDAX และ Cash2Coins ซึ่งเป็นการแนะว่าอาจมีเว็บใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอีก 3 เว็บ

JFin นั้นคือโปรเจคด้าน digital lending หรือแพลทฟอร์มให้กู้ยืมแบบ decentralized โดยหากอ้างอิงจาก roadmap ของพวกเขาแล้วนั้น แพลทฟอร์มดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2562 นี้ และคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนได้มากกว่าการกู้ยืมเงินในแบบปัจจุบัน

ภาพจากเพจ JFin Coin

The post JFin Coin ประกาศเลื่อนลิสเหรียญบนกระดานเทรด เนื่องจากกฎหมายคริปโตยังไม่ชัดเจน appeared first on Siam Blockchain.

รายงาน: คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพรก.สกุลเงินดิจิตอล คุมเหรียญคริปโตและโทเค็น เก็บภาษี 15%

รายงานล่าสุดจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาเปิดไฟเขียวร่าง พ.ร.ก. ที่จะออกมาควบคุมและกำกับเงินดิจิตอลแล้ว โดยจะเป็นการจำแนกรูปแบบสกุลเงินที่จะควบคุมให้มีอยู่สองแบบ ซึ่งก็คือ cryptocurrency (เช่น Bitcoin และ Litecoin) และ token (อาทิเช่นเหรียญ ICO ที่ถูกสร้างบน ERC20) นอกจากนี้ยังเผยว่าทางรัฐจะยังคงจัดเก็บภาษี ณ ที่จ่าย 15% ตามที่เคยแจ้งไว้อีกด้วย

โดยรายงานเผยว่าในวันที่ 27 มีนาคม 2561 นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แสดงให้เห็นในที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าทางรัฐบาลได้พิจารณาเห็นชอบร่าง พ.ร.ก. ที่เกี่ยวกับ cryptoasset แล้ว ซึ่งในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนยื่นไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก่อนที่จะถึงขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งก็คือการบังคับใช้ตามกฎหมาย

ที่น่าสนใจคือรายงานยังเผยให้เห็นว่าทางคณะกรรมการกฤษฎีกานั้นไม่ได้มีการปรับหรือแก้ไขข้อมูลใน พ.ร.ก. แต่อย่างใด แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีนักลงทุนด้านคริปโตออกมาแสดงความไม่พอใจในด้านของการเก็บภาษี ณ ที่จ่ายก็ตาม

แม้ว่ารายงานจะไม่ได้ให้รายละเอียดมากนักเกี่ยวกับคำจำกัดความว่า “คริปโต” และ “โทเค็น” แต่สามารถคาดการณ์ได้ว่าคริปโตนั้น อาจหมายถึง cryptocurrency หรือสกุลเงินเข้ารหัสดิจิตอลอย่างเช่น Bitcoin, Litecoin, ZCash หรือสกุลเงินดิจิตอลที่ตั้งตัวเองว่าเป็นสกุลเงิน ใช้เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ในขณะที่คำว่าโทเค็นอาจหมายถึง Token หรือเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นสกุลเงินสำหรับใช้แลกเปลี่ยน แต่อาจใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ อย่างเช่นการระดมทุนผ่าน ICO หรือการพัฒนาในด้านอื่น ๆ แต่ก็ยังมีมูลค่าในตัวเอง ซึ่งอาจเป็นเหรียญ Ethereum, Neo, BAT เป็นต้น

นอกจากนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ เผยว่าภาษีเงินดิจิตอล 15% นั้นจะยังถูกคงไว้ตามที่เคยได้แจ้งไว้ก่อนหน้านี้และไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่จะรวมภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปด้วย แต่ถ้าหากมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันโดยไม่เกิดผลกำไรก็จะต้องจ่ายเพียงแค่ภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น

รายงานดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ราคาของ Bitcoin ในไทยบนเว็บ Bx กำลังร่วงลง โดยร่วงจากจุดสูงสุดในวันนี้ที่ 262,487 บาทลงมาอยู่ที่ 251,500 บาท โดยคิดเป็นประมาณ 2.9% ในขณะที่เว็บ TDAX ก็มีการร่วงลงของราคาเช่นกัน โดยร่วงจาก 267,501 บาทเหลือ 255,060 บาท

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ

The post รายงาน: คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพรก.สกุลเงินดิจิตอล คุมเหรียญคริปโตและโทเค็น เก็บภาษี 15% appeared first on Siam Blockchain.

ผู้ก่อตั้ง Stellar และ Ripple กล่าวคริปโตต้องมีความเป็น Decentralized ถึงจะสำเร็จได้

นาย Jed McCaleb ผู้ร่วมก่อตั้งของ Ripple และผู้สร้าง Mt. Gox หรืออดีตเว็บเทรด Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2011 กล่าวว่าระบบที่มีการกระจายศูนย์อย่าง Decentralized นั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ cryptocurrency มาก ในการที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงแยกตัวออกมาจาก Ripple ออกมาก่อตั้ง Stellar ในปี 2014

Ripple นั้นมีความเป็น Centralized สูง

นาย McCaleb กล่าวว่ามันเป็นเรื่องที่ยากในการเปิด node เก็บข้อมูลธุรกรรมของ Ripple สำหรับคนธรรมดาทั่วไป เนื่องจากว่าบริษัท Ripple Labs นั้นจะเป็นผู้ครอบครอง node ทั้งหมดเอง

นาย McCaleb หรือผู้ที่ยังเป็น CTO ของ Stellar ด้วยนั้นกล่าวว่าระบบ protocol ควรที่จะถูกจัดการด้วยกลุ่มผู้ที่ไม่แสวงผลกำไร อีกทั้งยังกล่าวว่าถ้าหาก Internet ถูกคิดค้นโดยบริษัทที่แสวงผลกำไรนั้น มันคงจะไม่ได้เป็นอินเทอร์เนตแบบที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้

เหรียญ Stellar นั้นประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เนื่องจากว่ามันไม่จำกัดสิทธิในการเปิด node เหมือนกับ ripple และเหรียญดังกล่าวนั้นยังถูกกระจายไปอย่างกว้างขวางอีกด้วย

ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เหรียญ Stellar หรืออีกชื่อเรียกนาม XLM ปัจจุบันเป็นเหรียญอันดับที่ 10 ของโลก อ้างอิงจากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด ก่อนที่จะร่วงลงมากว่า 34% ในภายหลัง

นาย McCaleb ยังเผยว่าธุรกรรมของ Stellar นั้นมีความรวดเร็วกว่าของ Bitcoin มาก โดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 วินาที หรือน้อยกว่านั้น

Blockchain และคริปโตจะมาเปลี่ยนแปลงการเงิน

เทคโนโลยี Blockchain และ cryptocurrency จะมาเปลี่ยนอนาคตของการเงินและการธนาคาร ด้วยฟีเจอร์ที่เรียกว่า public ledger หรือสมุดบัญชีสาธารณะที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึง และดูความโปร่งใสของธุรกรรมได้หมด กล่าวโดยนาย McCaleb ให้สัมภาษณ์กับ CNBC เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

โดยในอีก 10 ปีที่จะถึงนี้ สินทรัพย์ส่วนใหญ่ รวมถึงอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่คริปโตจะถูกทำให้กลายมาอยู่ในรูปแบบดิจิตอลหมด เขากล่าวปิดท้าย

ที่มา CCN

The post ผู้ก่อตั้ง Stellar และ Ripple กล่าวคริปโตต้องมีความเป็น Decentralized ถึงจะสำเร็จได้ appeared first on Siam Blockchain.

รัสเซียเผยร่างกฎหมายล่าสุด อนุญาตให้สามารถใช้ Cryptocurrency เพื่อการใช้จ่ายได้

ร่างกฎหมายล่าสุดในรัสเซียถูกเปิดเผยขึ้น โดยใจความหลัก ๆ นั้นมีจุดประสงค์เพื่อ “สานสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายและเศรษฐกิจดิจิตอล” นอกจากนี้ร่างดังกล่าวยังถูกสนับสนุนโดยนาย Vyacheslav Volodin (เวียเชสแลฟ โวโลดิน) หรือโฆษกแห่ง State Duma (ผู้ออกกฎหมายด้านการเงินในรัสเซีย) และนาย Pavel Krasheninnikov (พาเวล แครเชนนินนิคอฟ) หัวหน้าคณะกรรมการกฎหมายของรัฐสภา

ร่างกฎหมายหมายเลข №424632-7 ได้ถูกยื่นในสัปดาห์ให้หลัง หลังจากการเปิดตัวร่าง №419059-7 โดยร่างดังกล่าวนี้ได้ถูกจัดเตรียมโดยกระทรวงการคลังของรัสเซีย ซึ่งเวอร์ชันล่าสุดนั้นมีใจความเกี่ยวกับ “สินทรัพย์และการเงินดิจิตอล” ที่จะมีการกำกับการระดมทุนผ่าน ICO และการขุดเหรียญ cryptocurrency แต่จะแบนเหรียญ cryptocurrency ซึ่งนั่นหมายความว่าสถานะของ Bitcoin และเหรียญคริปโตอื่น ๆ จะถูกตัดสินโดยธนาคารกลางแห่งรัสเซียอีกรอบหนึ่ง

โดยในร่างกฎหมายใหม่นี้จะให้คำจำกัดความ cryptocurrency ว่าเป็น “เงินดิจิตอล” อ้างอิงจาก Rossiyskay Gazeta เนื่องจากว่าเป็นเรื่องจำเป็นในด้านกฎหมาย เพื่อให้ผู้ใช้งานสกุลเงินดิจิตอลเหล่านี้ได้รับความคุ้มครองเวลาที่มีการไต่สวนในชั้นศาล ร่างจดหมายฉบับดังกล่าวเผยว่าการชำระเงิน, การฝากเงิน, การโอนเงินด้วยเงินดิจิตอลเหล่านี้จะไม่ถือเป็นข้อบังคับในสหพันธรัฐรัสเซีย แต่อย่างไรก็ตามยัง ร่างดังกล่าวยังได้เผยว่าจะให้มีการใช้ cryptocurrencies เป็นตัวชำระเงินได้ก็ต่อเมื่อในทางเทคนิคนั้นมันไร้ซึ่งความเสี่ยงจริง ๆ

“ในมุมมองหนึ่งนั้น เงินดิจิตอลจะถูกใช้เพื่อเป็นตัวช่วยในการซื้อขาย แต่ก็เฉพาะในภายใต้ข้อกฎหมาที่ระบุไว้เท่านั้น” กล่าวโดยนาย Pavel Krasheninnikov “จำนวนที่ใช้งานได้นั้นจะต้องถูกควบคุม และจะมีการเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน” ซึ่งนั่นหมายความว่าทางการจะสามารถติดตามผู้ใช้งาน cryptocurrency ได้ในกรณีที่มีการล้มละลาย และในแง่ของการส่งต่อมรดกอีกด้วย

อาจบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคมนี้

นอกจากนี้ร่างดังกล่าวยังมุ่งหวังที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับ smart contract หรือสัญญาดิจิตอลอีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าการยืนยันด้านดิจิตอล (digital confirmation) นั้นจะมีสถานะเหมือนกับการเซ็นลายเซ็นตามกฎหมายอีกด้วย

รายงานเผยว่ากฎหมายดังกล่าวอาจจะเริ่มบังคับใช้ในประเทศรัสเซียในวันแรงงานหรือวันที่ 1 พฤษภาคมปี 2018 นี้

ดูเหมือนว่ารัฐบาลในหลาย ๆ ประเทศกำลังเริ่มตื่นตัวในการออกกฎหมายมากำกับ cryptocurrency ซึ่งก็ไม่เว้นแม่แต่ประเทศไทยเรานี้เอง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้มีการลงความเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว และคาดการณ์ว่าอาจจะมีการบังคับใช้ในไทยเร็ว ๆ นี้

The post รัสเซียเผยร่างกฎหมายล่าสุด อนุญาตให้สามารถใช้ Cryptocurrency เพื่อการใช้จ่ายได้ appeared first on Siam Blockchain.

นักพัฒนาเหรียญ Monero ประกาศสงครามกับนักขุด กล่าว “เราไม่เอาเครื่อง ASIC”

แต่ละคนมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป แต่ดูเหมือนว่านักพัฒนาของเหรียญ Monero นั้นกำลังเตรียม “คลังแสง” เพื่อประกาศสังครามกับนักขุดในเครือข่าย

เมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมา นาย Riccardo Spagni หัวหน้าฝ่ายรักษาระบบของเหรียญ Monero ได้เปิดตัวโค้ดเวอร์ชันล่าสุดนาม Lithium Luna ที่มีการเพิ่มระบบป้องกันไม่ให้นักขุดผู้ใดก็แล้วแต่สามารถใช้เครื่อง ASIC ขุดเหรียญ Monero ได้ (เครื่อง ASIC คือเครื่องที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ขุดเหรียญคริปโตโดยเฉพาะ เช่น Bitcoin, Litecoin โดยมีกำลังขุดสูงที่สุดในเครื่องขุดทุกประเภท)

การใช้เครื่อง ASIC มาขุดเหรียญคริปโตนั้นจะส่งผลทำให้นักขุดเป็นผู้ครองส่วนแบ่งการตลาดของ “แรงขุด” ในเครือข่ายทั้งหมด ส่งผลทำให้นักขุดรายอื่น ๆ ที่ใช้เพียงแค่การ์ดจอไม่สามารถขุดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป และอาจส่งผลต่อระบบ ecosystem โดยรวมที่ทำให้การกระจาย หรือ dencentralized มีน้อยลง เนื่องจากว่าผู้ที่ไม่มีเงินทุนซื้อเครื่อง ASIC ก็จะเลิกขุดไป ส่งผลทำให้ตลาดถูกผูกขาดโดยผู้ที่มีเครื่อง ASIC เยอะที่สุด ซึ่งก็เหมือนกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับ Bitcoin ในตอนนี้

ปัญหาดังกล่าวทำให้นักพัฒนา Monero ไม่ปลื่มเท่าไรนัก ทำให้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้เริ่มประกาศสงครามต่อนักขุดรอบแรกไปแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริษัท Bitmain จากประเทศจีนที่กำลังครองตลาดส่งออกชิพประมวลผลสำหรับเครื่อง ASIC ซึ่งรุนแรงถึงขั้นที่พวกเขายืนกรานว่าจะเปลี่ยน algorithm ในทุก ๆ 6 เดือนเพื่อไม่ให้ผู้ที่ใช้ ASIC ปรับตัวตามทัน

อย่างไรก็ตาม การประกาศสงครามรอบแรกของนักพัฒนา Monero ดูเหมือนว่าจะมีผลมากเท่าไรนัก เนื่องจากภายหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ทาง Bitmain ก็ตอบโต้ด้วยการประกาศเปิดตัวเครื่องขุด Antminer X3 หรือเครื่องขุดที่ใช้อัลกอริทึ่ม Cryptonight

ซึ่งนั่นทำให้ทางนักพัฒนา Monero ตัดสินใจที่จะอัพเดต hashing อัลกอริทึ่มที่จะทำให้เครื่อง Antminer X3 ไม่สามารถขุดเหรียญดังกล่าวได้อีก แต่อาจต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย

แม้ว่าจะมีผู้ให้การสนับสนุนการตัดสินใจของนักพัฒนา Monero เป็นจำนวนมาก แต่บางคนตั้งคำถามว่าการกระทำที่เล็งเป้าไปยังนักขุดที่ใช้เครื่อง ASIC นั้นเกินกว่าเหตุหรือไม่ เนื่องจากว่าเหรียญ Monero นั้นเป็นที่นิยมมากในหมู่นักแฮค เนื่องจากความสามารถในการปกปิดเส้นทางการทำธุรกรรมของมัน (เหมือน ZCoin และ ZCash)

ซึ่งแม้จะมีการตั้งคำถามเกิดขึ้น แต่นักพัฒนา Monero ก็ไม่หวั่นต่อ Bitmain ที่พวกเขาตั้งชื่อให้ว่า “ฝ่ายอธรรม” ที่ทำให้ Bitcoin และ Siacoin นั้นมีความเป็น decentralized น้อยลง

และท้ายสุด พวกเขาสัญญา และยืนกราน หากว่าระบบเครือข่ายของเหรียญ Monero จะต้องถูกควบคุมโดยเครื่อง ASIC จริง ๆ นั้น พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อยึดหลักความเสมอภาคในการป้องกันไม่ให้เหรียญของเขามีความเป็น centralized เด็ดขาด

The post นักพัฒนาเหรียญ Monero ประกาศสงครามกับนักขุด กล่าว “เราไม่เอาเครื่อง ASIC” appeared first on Siam Blockchain.