Wednesday, August 30, 2017

การ Hard fork ของ Bitcoin GPU อาจทำให้ผู้ใช้ Bitcoin ได้ ‘เงินฟรี’ อีกรอบ

มีรายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่าการ hard fork ของ Bitcoin อีกตัวหนึ่งกำลังจะมีมาอีกต่อจาก Bitcoin Cash

โดยชื่อของมันคือ Bitcoin GPU หรือ Bitcoin GOLD (BGOLD หรือ BTG) กำลังวางแผนที่จะ hard fork แยกตัวเองออกจาก blockchain หลักของ Bitcoin และจะมีการเปิดขาย ICO “เพื่อช่วยกระตุ้นให้ chain ของพวกเขาได้กลายเป็น Bitcoin Blockchain เบอร์ 1” อีกด้วย

“Bitcoin GPU นั้นคือการติดตั้งตัว full node บน protocol ของ Bitcoin” กล่าวบนเว็บไซต์ และใช้โลโก้ของ Bitcoin Cash

“การขุดโดยใช้การ์ดจอ นั้นสามารถที่จะปกป้องคุณค่าหลักของ Bitcoin ได้ นั่นก็คือความเป็น decentralized”

การ fork ครั้งแรกของ Bitcoin ออกมาเป็น Bitcoin Cash นั้นได้สร้างความสนใจให้กับคนในวงการ blockchain เป็นอย่างมาก จนถึงขั้นทำให้ทาง SEC ถึงต้องก้าวเข้ามาควบคุมผู้ให้บริการกระเป๋า Bitcoin ต่างๆในประเทศ เนื่องจากว่าผู้ถือ Bitcoin ทุกคนนั้นจะได้ Bitcoin Cash ไปฟรีๆ และเพื่อป้องกันไม่ให้ทางผู้ให้บริการกระเป๋าเอา BCH ไปคนเดียว

โดย Bitcoin GPU นั้นจะทำการ fork บนบล็อกเลขที่ 478558 โดยผู้ที่ทราบข่าวนั้นก็ได้ออกมาแสดงความเห็นว่าคนที่ถือ Bitcoin นั้นอาจจะได้ BTG มาแบบฟรีๆอีกครั้ง เหมือนคราวของ Bitcoin Cash


กระนั้น เว็บของ Bitcoin GPU ก็ดูเหมือนจะมีความน่าสงสัยพอสมควร เนื่องจากภาษาอังกฤษที่ใช้ในการเขียนนั้นดูไม่เป็นทางการ และข้อมูลด้านอื่นๆนั้นก็ยังขาดตกบกพร่องอีกมาก

“GPU นั้นจะนำพา Bitcoin ไปสู่ยุคใหม่ โดยมีโรดแมปด้านเทคโนโลยีในอนาคตที่สามารถจะช่วยทำให้การ scaling นั้นเป็นไปได้ด้วยดี และนำพาไปสู่อนาคตแห่งความเป็น decentralized”

ลิงค์บนเว็บทุกๆลิงค์เมื่อคลิกแล้วดูเหมือนว่าจะลิงค์กลับมาบนหน้าเว็บหลัก

ก่อนหน้านี้ทางทีมนักพัฒนา SegWit2x ก็เคยออกมาประกาศการ hard fork ครั้งที่สองของ Bitcoin ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

The post การ Hard fork ของ Bitcoin GPU อาจทำให้ผู้ใช้ Bitcoin ได้ ‘เงินฟรี’ อีกรอบ appeared first on Siam Blockchain.

ธนาคารกลางแห่งประเทศจีนเข้าเยี่ยมชม CoinBase เพื่อพูดคุยถึงปัญหาของเหรียญคริปโต

ทางกลุ่มบุคลากรด้านงานวิจัยจากธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (PBoC) ได้เข้าพบปะกับทาง Coinbase และ Ripple เพื่อพูดคุยถึงปัญหาด้านเหรียญ cryptocurrency ที่สำคัญๆ

โดยอ้างอิงจากสำนักข่าวท้องถิ่น Sohu ที่รายงานข่าวไปแล้วเมื่อสัปดาห์นี้ โดยการเข้าพบบริษัทสตาร์ทอัพดังกล่าวของธนาคารกลางแห่งประเทศจีนนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจในการเข้าใจแนวทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain ของประเทศสหรัฐฯ

“ทางธนาคารกลางแห่งประเทศจีนร่วมด้วยกับสถาบันวิจัยการเงินแห่งใหม่ของเซี่ยงไฮ้และศูนย์วิจัยด้านการเงินของมหาวิทยาลัยปักกิ่งก็เดินทางไปด้วยเช่นกัน”

“ด้วยการเข้าพบปะของพวกเขา ทางสมาชิกได้ข้อสรุปในท้ายสุดเกี่ยวกับแนวทางด้านกฎหมายฟินเทค” รายงานโดย Sohu

นอกเหนือจาก Coinbase และ Ripple แล้วก็ยังมีบริษัท Circle, Sofi และ Prosper อีกด้วย

นาย Yao Qian หรือผู้อำนวยการแผนกวิจัยด้านการเงินดิจิตอลของ PBoC ได้ออกมาชี้ว่า “กฎหมายด้านเงินดิจิตอลนั้นเป็นอะไรที่สำคัญมาก” อ้างอิงจาก Sohu ที่มีการกล่าวถึงความพยายามของทางธนาคารกลางฯที่กำลังเปิดศูนย์วิจัยเพื่อค้นคว้าสกุลเงินดิจิตอลและสร้างเป็นของตัวเอง

ดูเหมือนว่าประเทศจีนนั้นกำลังให้ความสนใจในสกุลเงินดิจิตอลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ ICO ที่เมื่อวานนี้มีรายงานจากสำนักข่าวในประเทศจีนว่าพวกเขาอาจจะมีแผนการยกเลิกการขายในประเทศทั้งหมด เนื่องจากว่ามันมีความเสี่ยงสูงมากกับผู้ลงทุน

หลีกหนีจากพื้นที่สีเทา

แรงกดดันจากรัฐบาลจีนในในแง่ของกฎหมายเกี่ยวกับเงินดิจิตอลนั้นดูเหมือนว่าจะรุนแรงมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ที่พวกเขาออกมาระงับการซื้อขาย Bitcoin บนเว็บเทรดในประเทศ

อีกทั้งราคาของเหรียญ NEO หรือเหรียญสัญชาติจีนที่ถูกสร้างออกมาเพื่อแข่งกับ Ethereum ก็ร่วงลงมาอย่างรุนแรงหลังจากที่ทางนักพัฒนาออกมาประกาศผ่านทาง Slack ว่าพวกเขานั้นจะไม่ให้บริการชาวจีนแล้ว

ก่อนหน้านี้สื่อหลายๆแขนงในประเทศจีนต่างก็ออกมารายงานข่าวว่าโทษของการเข้าซื้อขาย ICO ที่ผิดกฎหมายและหลอกลวงนั้นคือประหารชีวิตสถานเดียว

รวมถึงในประเทศสหรัฐฯก็เช่นกันที่ทาง SEC ออกมายกเลิกการขาย ICO บางตัวเนื่องจากผิดกฎหมาย อีกทั้งยังได้ออกมาเตือนนักลงทุนเกี่ยวกับการลงทุนด้านนี้อีกด้วย

ทว่าตลาดการขาย ICO นั้นก็ยังโตสวนทางกับสถานการณ์ในประเทศบางประเทศ โดยในขณะนี้ดูเหมือนว่ามันยังมีการเปิดขาย ICO อีกหลายร้อยตัวต่อแถวรอจนถึงช่วงปลายปีนี้

The post ธนาคารกลางแห่งประเทศจีนเข้าเยี่ยมชม CoinBase เพื่อพูดคุยถึงปัญหาของเหรียญคริปโต appeared first on Siam Blockchain.

ผู้ก่อตั้งร่วม Omise ประกาศร่วมมือกับ CEO ของ McDonald ประเทศไทย

บริษัท Omise หรือบริษัทผู้ให้บริการ payment gateway และผู้สร้างเหรียญ OmiseGO ที่มีผู้ก่อตั้งร่วมเป็นชาวไทยและชาวญี่ปุ่นนั้นได้ออกมาประกาศผ่านทางโซเชียลว่าทางพวกเขาและ CEO ของ McDonalds แห่งประเทศไทยนั้นกำลังเตรียมการที่จะทำงานร่วมกัน และยังได้ออกมาคอนเฟิร์ม “ความสัมพันธ์” กันอีกด้วย

โดยอ้างอิงจาก Twitter ของนาย Jun Hasegawa หรือผู้ก่อตั้งร่วมของบริษท Omise นั้น เขาได้ออกมาทวีตและโพสรูปภาพเพื่อยืนยันข่าวลือก่อนหน้านี้ที่ว่าทาง Omise นั้นอาจจะกำลังเตรียมร่วมมือทำงานกับทาง McDonalds แห่งประเทศไทยในการช่วยพัฒนาระบบการจ่ายเงินออนไลน์ให้กับแฟรนส์ไชส์อาหารฟาสฟูดยักษ์ใหญ่แห่งนี้

โดยใจความของทวิตเตอร์นั้นมีอยู่ว่า


“วันนี้เราขอออกมาคอนเฟิร์มความสัมพันธ์ของพวกเราอย่างเป็นทางการ มันเป็นบทสนทนาด้านกลยุทธ์ที่ดีมากกับ CEO ของ McD ประเทศไทย เราจะได้ร่วมงานกันมากกว่านี้แน่”

ทว่าทางนาย Jun ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากนักเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างทางทีม Omise และ CEO ของ McDonalds ซึ่งก็ต้องรอให้ทางพวกเขาออกมาประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

ราคาเหรียญ OmiseGO ยังคงตัวอยู่เหนื่อ 10 ดอลลาร์

การออกมาทวีตดังกล่าวของนาย Jun นั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่มีผลต่อราคาของเหรียญ OMG เท่าไรนัก โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ราคาเหรียญ OMG นั้นอยู่ที่ 10.50 ดอลลาร์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 1 พันล้านดอลลาร์

ส่วนในตลาดไทยอย่าง Bx นั้นก็ได้มีการเพิ่มขึ้นของราคาเช่นกัน โดยในขณะนี้อยู่ที่ 335 บาท และมีโวลลุ่มการซื้อขาย 24 ชั่วโมงอยู่ที่ 594,318 OMG

The post ผู้ก่อตั้งร่วม Omise ประกาศร่วมมือกับ CEO ของ McDonald ประเทศไทย appeared first on Siam Blockchain.

ดีเจสถานีวิทยุระดมเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุเฮริเคนเป็น Bitcoin ได้แล้วมูลค่ากว่า $50k

พายุเฮริเคนฮาร์เวยที่พัดมาถล่มรัฐเทกซัสและ Gulf Coast ทำให้เกิดความเสียหายอย่างเป็นวงกว้างและทำให้ผู้คนจำนวนนับพันไร้ที่อยู่อาศัยนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้

ทว่านาย Danny Sessoms หรือพิธีกรรายการวิทยุแนว cryptocurrency ที่จัดอยู่ในเมืองออสตินนั้นได้ร่วมมือกับ Unsung.org เพื่อเปิดรับบริจาคช่วยเหลือเหยื่อพายุในครั้งนี้ โดยบนวิทยุของเขานั้น นาย Sessoms ได้ประกาศว่าเขาจะรับบริจาคเป็นเหรียญคริปโต Bitcoin และ Dash และจะใช้เหรียญที่ได้รับบริจาคมานั้นซื้ออาหารและสิ่งจำเป็นสำหรับเหยื่อผู้ประสบภัย

โดยในขณะที่รายงานข่าวอยู่นี้ นาย Danny ได้ทำการระดมเงินไปได้แล้วกว่า 50,000 ดอลลาร์

เขาอธิบายว่า

“จังหวะแบบนี้ถือเป็นโอกาสที่จะได้แสดงพลังของเทคโนโลยีของ cryptocurrency ว่ามันดูมีอนาคตมากขนาดไหน”

เหรียญ cryptocurrency มักจะถูกมองในแง่ร้ายๆเนื่องจากว่าอาชญากรนั้นสามารถที่จะใช้มันเพื่อทำการฟอกเงินและรวมถึงซื้อยาเสพย์ติดผิดกฎหมาย ทว่าการเปิดระดมเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติแบบนี้น่าจะเป็นตัวช่วยกอบกู้ชื่อของมันให้กลับคืนมา และพิสูจน์ได้ว่ามันสามารถที่จะถูกนำไปใช้ในด้านดีก็ได้เช่นกัน

The post ดีเจสถานีวิทยุระดมเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุเฮริเคนเป็น Bitcoin ได้แล้วมูลค่ากว่า $50k appeared first on Siam Blockchain.

GoldMint ประกาศแจก Early Bird Bonus ในการเปิดขาย ICO

บริษัท GoldMint (หรือผู้สร้างเหรียญ GOLD ที่อ้างว่าจะถูกแบคไว้ด้วยทองคำและมีเครื่อง CustodyBot) ได้ออกมาประกาศถึงแผนการในการขาย ICO ในวันที่ 20 กันยายนที่จะถึงนี้ โดยในตอนเริ่มต้นนั้นจะมีการขายเหรียญ MNT (MNTP) ในช่วง pre-launch ก่อน ซึ่งนี่หลายๆคนเชื่อว่านี่จะถือเป็นขั้นตอนแรกในการปฏิวัติวงการทองคำโดยการนำเอาเหรียญ cryptocurrency มาปรับใช้เลยก็ว่าได้

แล้วจะซื้อ ICO อย่างไร

ในการที่จะครอบครองเหรียญ MNTP นั้น ทางนักลงทุนสามารถใช้ Bitcoin (BTC) หรือ ETH (Ethereum) ในการซื้อเหรียญดังกล่าวในช่วงการเปิดขายแบบ public ได้ ซึ่งราคาขายของเหรียญ MNTP นั้นจะอยู่ที่ 7 ดอลลาร์ต่อเหรียญ และมูลค่าของมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยเนื่องจากเหรียญ MNTP นั้นมี supply ที่จำกัดและจะถูกใช้ในการ stake ในอัลกอริทึม Proof of stake

รายละเอียดของเหรียญ

Supply โดยรวมทั้งหมดของเหรียญ MNTP นั้นจะอยู่ที่ 10,000,000 7,000,000 ซึ่งจะมีขายในช่วงการเปิดขาย ICO ดังกล่าว โดยเหรียญที่ว่านี้จะรันอยู่บน Blockchain ของ Ethereum หรือระบบที่เรียกว่า ERC 20 Token นั่นเอง ที่น่าสนใจก็คือทางผู้ขาย ICO นั้นจะทำระบบโบนัสแบบพี่เศษให้กับผู้ที่เข้ามาซื้อเป็นคนแรกๆ (early bird) โดยพวกเขาก็จะได้เหรียญ MNTP เพิ่ม ซึ่งการเปิดขายนั้นจะมีขึ้นเป็นเวลา 1 เดือนจนกว่าจะขายหมด โดยอ้างอิงจากเว็บ NewsBtc นั้น ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมซื้อ ICO ดังกล่าวมากกว่า 700 คนทั่วโลกใน 23 ประเทศ

หลังจากการขาย ICO จบแล้ว ทางนักลงทุนสามารถที่จะนำเอา ‘Ethereum MNTP Token’ มาแลกเป็น MNT บน Blockchain ของ Goldmint นามว่า Graphene ได้ และเมื่อระบบดังกล่าวถูกติดตั้งแล้ว เหรียญ MNTP จะกลายเป็นเหรียญที่ถูกใช้เพื่อช่วยคอนเฟิร์มธุรกรรมของเหรียญ GOLD และเหรียญ MNT-GOLD นั้นจะถูกแลกเปลี่ยนระหว่างกันได้บนอัตราส่วน 1:1 ที่น่าสนใจก็คือผู้ที่ถือเหรียญ MNT นั้นจะได้รับค่าคอมมิชชัน 75% ในการช่วย stake ธุรกรรมของ GOLD อีกด้วย

ในอนาคตนั้น ธุรกรรมจะถูกช่วยประมวลผลโดย CustodyBot หรือเครื่องช่วยตรวจวัตถุของพวกเขา ซึ่งเครื่องที่ว่านี้จะช่วยตรวจและหามูลค่าของสินทรัพย์ต่างๆเช่นทองคำ, เพชร และแร่ธาตุอื่นๆ ที่รองรับโดยเหรียญ GOLD ก่อนที่จะแปลงมูลค่าของมันให้มาเป็นเหรียญดังกล่าวอีกด้วย เครื่อง CustodyBot ที่ว่านี้จะถูกเปิดตัวออกมาในภายหลัง

ทีมงานของ GoldMint เติบโตขึ้นเรื่อยๆ

โปรเจค GoldMint นั้นเกิดขึ้นมาจากบริษัท LOT-ZOLOTO หรือผู้นำตลาดด้านทองคำที่มีส่วนช่วยในการซื้อขายทองคำขนาดมากกว่า 500 กิโลกรัม (มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์) ต่อเดือน โดยในช่วงการเปิดขาย pre-ico นั้น ทาง GoldMint สามารถที่จะระดมทุนไปได้แล้วกว่า 600,000 ดอลลาร์ในช่วง 36 ชั่วโมงแรก ซึ่งนักลงทุนที่มีชื่อเสียงที่ไปลงทุนในโปรเจคดังกล่าวนั้นมี Altair Capital หรือบริษัทด้าน venture captial ที่มีเจ้าของนามว่า Igor Ryabenkiy

นอกจากนี้ยังมีสมาชิกคนอื่นๆที่มาเข้าร่วมบอร์ดที่ปรึกษาของ GoldMint ด้วย นั่นก็คือนาย Vladislav Martynov หรือผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่อยู่ในวงการเทคมาแล้วกว่า 20 ปี เขายังเป็น CEO ของบริษัท Yota Devices Ltd และเป็นสมาชิกของ Ethereum Foundation Supervisory Council อีกด้วย อีกทั้งยังมีนาย Eduard Gurinovich หรืออดีต CEO ของบริษัท CarPrice และผู้ก่อตั้งบริษัท CarMoney, ดอกเตอร์ Serge Umansky หรือผ้ก่อตั้งร่วมของ SIGNET และนาย Julian Zegelman หรือหุ้นส่วนผู้จัดการที่ Velton Zegelman อีกด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจโปรเจ็คของ GoldMint สามารถที่จะเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์และบล็อกของพวกเขา

หมายเหตุ: การลงทุนในตัวเหรียญคริปโตเคอเรนซีมีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ทางสยามบล็อกเชนจะไม่รับผิดชอบในความสูญเสียในทุกกรณี

The post GoldMint ประกาศแจก Early Bird Bonus ในการเปิดขาย ICO appeared first on Siam Blockchain.

“ทางเราจะสนับสนุน SegWit เร็วๆนี้” กล่าวโดยผู้ก่อตั้งเว็บซื้อขายในไทย Bx

ถ้าหากคุณเป็นผู้ใช้ Bitcoin ตัวยงที่ติดตามข่าวการพัฒนาการแก้ปัญหา scaling ของ Bitcoin และรวมถึงดรามาภายในกลุ่มนักพัฒนา Bitcoin Core นั้น คุณจะรู้ได้ว่า Segregated Witness (SegWit) หรือโค้ดที่ช่วยในการแก้ปัญหาค่าธรรมเนียม Bitcoin ที่แพงหูฉี่นั้น ได้ถูกเปิดใช้งานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กระนั้นการเปิดใช้งานดังกล่าวก็ไม่ได้หมายความส่าจะส่งผลทันที เนื่องจากมันยังต้องรอให้ผู้ให้บริการกระเป๋า Bitcoin หรือเว็บเทรดนั้นทำการติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าวนี้เข้าไปด้วย โดยหากอ้างอิงจากเว็บ Segwit.party นั้นเราจะได้เห็นว่าปัจจุบันมีธุรกรรมแค่ราวๆ 1% ของทั้งหมดเท่านั้นที่อยู่บน SegWit

คำถามใกล้ตัวที่ตามมาคือ แล้วเมื่อไหร่ผู้ใช้งาน Bitcoin ในประเทศไทยจะได้ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวนี้อย่างเต็มที่สักทีล่ะ? แม้ว่าปัจจุบันนั้นมีผู้ให้บริการกระเป๋าอิสระทั่วไปที่รองรับการใช้งาน SegWit แล้วลองยกตัวอย่างกระเป๋า Bitcoin ที่ชาวไทยใช้บ่อยๆไม่ว่าจะเป็น Ledger หรือ Trezor นั้นก็รองรับเทคโนโลยีดังกล่าวแล้วเช่นกัน โดยผู้ใช้งานกระเป๋าที่ว่านี้สามารถที่จะส่ง Bitcoin หากันได้บนเทคโนโลยีใหม่นี้ และ enjoy ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ ทว่าถ้าหากคุณต้องการโอนเพื่อไปแลกเป๋นเงินบาทบนเว็บผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนล่ะ? พวกเขารองรับ SegWit แล้วหรือยัง?

อ้างอิงจากนาย David Barnes หรือผู้ก่อตั้งเว็บเทรดเหรียญ Cryptocurrency อันดับ 1 ของไทยนามว่า Bx นั้น เขาได้ออกมาคอนเฟิร์มว่าจะติดตั้งระบบ SegWit บน address หรือกระเป๋าเก็บ Bitcoin บนเว็บของเขาภายในอีก 2-3 สัปดาห์ ซึ่งเขาจะต้องทดสอบระบบก่อนเปิดใช้งานจริงเพื่อความปลอดภัย และหลังจากนั้นก็จะทำการนำเอา address ของ Bitcoin ที่รองรับ SegWit มาแทนที่ address เดิมในปัจุบัน โดยในการให้สัมภาษณ์กับทางสยามบล็อกเชนนั้น เขากล่าวว่า

“น่าจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 สัปดาห์นะครับ ทางเราต้องทดสอบมัน ก่อนที่จะทำการอัพเดตระบบ และหลังจากนั้นก็จะทำการเอา address ที่มี SegWit รองรับมาแทนที่ address ปกติในปัจจุบัน และหลังจากนั้นทางเราหวังว่าค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมจะต่ำลงมาก”

SegWit นั้นจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการทำธุรกรรมที่มีความแพงมากในปัจจุบัน โดยอ้างอิงจาก Bitcoin Info Charts นั้น ปัจจุบันค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ยของ Bitcoin อยู่ที่ราวๆ 7.3 ดอลลาร์ในการทำธุรกรรมต่อ 1 ธุรกรรม หรือราวๆ 242 บาท

ซึ่งหากนำมารวมกับข้อมูลจากแหล่งอีกที่หนึ่งซึ่งก็คือ Bitcoinfees.21 นั้นเราจะพบว่าค่าธรรมเนียมดังกล่าวหากคิดเป็น Bitcoin อยู่ที่ 0.0015 BTC และจะใช้เวลาในการโอนต่อครั้งเฉลี่ย 0-90 นาที หรือราวๆ 1 ชั่วโมงครึ่งโดยสูงสุด

ตัวเลขเหล่านี้หมายถึงอะไร? ในโลกของ blockchain และนักขุด Bitcoin นั้น ใครก็ตามที่จ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนมากกว่า จะได้รับเลือกในการ confirm ธุรกรรมจาก miner ให้ไปถึงที่หมายก่อน และเร็วกว่า นั่นหมายความว่า SegWit นั้นจะมาช่วยทำให้ค่าธรรมเนียมต่อบล็อกนั้นลดลง โดยยังคงสอดคล้องกับระยะเวลาในการโอน Bitcoin ที่สมเหตุสมผลอยู่นั่นเอง โดยแทนที่คุณจะจ่าย 0.0003 BTC (ประมาณ 30 กว่าบาท) เพื่อทำธุรกรรมต่อ 1 ธุรกรรมและใช้เวลารอประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ SegWit ก็จะมาช่วยแก้ให้มันสมส่วนกัน และเร็วขึ้น โดยการจ่ายค่าธรรมเนียมที่ 30 กว่าบาทอาจจะทำให้ miner ช่วย confirm ธุรกรรมเร็วขึ้นมามากกว่านั้นอีกหลายเท่า

ทว่าในช่วงสิ้นเดือนที่จะถึงนี้ทางกลุ่มนักพัฒนา SegWit2x มีแผนเพื่อทำการ hard fork เครือข่ายของ Bitcoin เพื่อให้ขนาดบล็อกในการเก็บธุรกรรมนั้นอยู่ที่ 2MB โดยหลายๆคนก็ออกมาแสดงความกังวลว่านี่อาจทำให้เกิด Bitcoin ตัวที่สามขึ้นมา ทว่าทางเราก็ยังต้องรอดูกันต่อไป

ภาพจาก bitcoin magazine

The post “ทางเราจะสนับสนุน SegWit เร็วๆนี้” กล่าวโดยผู้ก่อตั้งเว็บซื้อขายในไทย Bx appeared first on Siam Blockchain.

ราคาเหรียญ OmiseGO ทะลุ 10 ดอลลาร์ตามคำทำนายผู้เชี่ยวชาญไทย

ราคาเหรียญลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น OmiseGO (OMG) ที่มีชาวไทยให้ความสนใจมากที่สุดในขณะนี้ได้มีการพุ่งขึ้นของราคาทุละ 10 ดอลลาร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วบนราคาตลาดโลก ท่ามกลางโวลลุ่มที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ โดยก่อนหน้านี้ก็ได้มีผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านออกมาทำนายราคาว่ามันจะพุ่งขึ้นไปที่ 10 ดอลลาร์เมื่อช่วงเดือนที่แล้ว

โดยอ้างอิงราคาจาก Coinmarketcap ในขณะที่รายงานข่าวอยู่นี้ราคาของ OMG อยู่ที่ 10.49 ดอลลาร์ ขึ้นมาถึง 21.84% จากเมื่อช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และมีโวลลุ่มที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1 พันล้านดอลลาร์ โดยขณะนี้เหรียญดังกล่าวอยู่บนอันดับที่ 14 ของโลก

เหรียญ OMG ที่ถูกสร้างขึ้นมาบนแนวคิดที่อยากจะให้การแลกเปลี่ยนเงินธรรมดาเงินดิจิตอลหรืออะไรก็ตามที่มีค่า สามารถแลกเปลี่ยนกันได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องมีตัวกลาง ได้ถูกทำนายไว้โดยผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณปรมินทร์ อินโสม หรือผู้ก่อตั้งบริการเว็บแลกเปลี่ยน Bitcoin นาม Satang และผู้สร้างเหรียญ Zcoin โดยเขาได้ทำนายราคาไว้เมื่อช่วงเดือนที่แล้วไว้อย่างแม่นยำว่ามันจะพุ่งขึ้นไปถึง 10 ดอลลาร์ในขณะที่มันยังมีราคาแค่ราวๆ 1.30 ดอลลาร์เท่านั้น อีกทั้งยังยังมีคุณสกลกรย์ หรือเจ้าของบริษัท PlayUltimate ที่ได้ออกมาทำนายราคาในลักษณะเดียวกันอีกด้วย

ตลาดไทยไล่ตามติดๆ

ราคาของเหรียญ OMG บนตลาดแลกเปลี่ยนอันดับ 1 ของไทย Bx.in.th นั้นก็ได้มีการขยับตามตลาดโลกเช่นกัน โดยล่าสุดอยู่ที่ 317 บาท หรือราวๆ 9.54 ดอลลาร์ ซึ่งยังตามหลังตลาดโลกอยู่เล็กน้อย

โดยในขณะที่รายงานข่าวอยู่ในขณะนี้ มูลค่าการซื้อขายของเหรียญ OMG 24 ชั่วโมงบนตลาดไทยอยู่ที่ 380,044 OMG และมีราคาสูงสุดอยู่ที่ 319

The post ราคาเหรียญ OmiseGO ทะลุ 10 ดอลลาร์ตามคำทำนายผู้เชี่ยวชาญไทย appeared first on Siam Blockchain.

SegWit เปิดใช้งานแล้ว แต่ทำไมยังคงโอน Bitcoin หากันช้าอยู่?

“ทำไมค่าธรรมเนียมไม่เห็นลดลงเลยครับ” กล่าวโดยผู้ใช้งาน Reddit รายหนึ่ง

ในขณะที่อีกคนหนึ่งโพสรูปภาพของผู้ชายคนหนึ่งเอาไม้จิ้มคำว่า “SegWit” และพูดว่า “เฮ้ย ทำอะไรหน่อยสิ”

คอมเม้นดังกล่าวแม้ว่าจะมีกระจัดกระจายออกไป แต่ก็บ่งชี้ได้ถึงปฏิกิริยาของผู้ใช้งาน Bitcoin ทั่วๆไปบางคนที่มีต่อ Segregated Witness (SegWit) หรือโคดอัพเกรดระบบ Bitcoin ที่เป็นที่ถกเถียงกันมาเกือบสองปี ได้ถูกเปิดใช้งานไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

เทคโนโลยีดังกล่าวนี้สัญญาสองสิ่งให้กับผู้ใช้ Bitcoin อย่างแรกก็คือจัดการขนาดธุรกรรมให้พอดีต่อขนาดบล็อก และอย่างที่สองก็คือเป็นถนนหนทางไปสู่การติดตั้ง Lightning Network แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผลจากการเปิดใช้งาน SegWit นั้นไม่ได้เกิดขึ้นในทันที

ซึ่งเรื่องจริงก็คือมันจะต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ กว่าเทคโนโลยีนี้จะเริ่มมีผลในวงกว้าง

ซึ่งแม้แต่เครื่องมือที่ใช้สำรวจบล็อกส่วนใหญ่อย่างเช่น “Block explorer” (เครื่องมือด้าน blockchain ที่เอาไว้ใช้ตรวจธุรกรรมบนเครือข่าย) ก็ยังไม่ได้มีการเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับ SegWit ออกมามากนัก ทำให้มันเป็นเรื่องยากที่จะติดตามว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ถูกเปิดใช้แบบจริงๆไปมากแค่ไหนแล้ว

เว็บ SegWit.party เป็นเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่ายของ Bitcoin ว่า SegWit นั้นถูกเปิดใช้งานต่อบล็อกไปมากขนาดไหนแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการเปิดใช้จาก 0.5% ต่อบล็อกไปเป็น 1% ต่อบล็อกในช่วง 6 วันที่ผ่านมานี้ ในขณะที่กราฟอื่นๆได้แสดงให้เห็นถึงขนาดของบล็อกทั้งหมด

หรือถ้าจะพูดให้ง่ายๆก็คือ SegWit ที่เปิดใช้ไปแล้วนั้น ก็แทบเหมือนกับยังไม่ได้เปิดใช้เลย

เว็บ OXT.me ที่ถูกสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญด้าน Bitcoin นามแฝงว่า LaurentMT สามารถที่จะแทร็คจำนวนตัวเลขของธุรกรรม SegWit รายวัน อีกทั้งมันยังสามารถที่จะแทร็คข้อมูลชนิดใหม่อย่างเช่น “virtual block size” ได้ด้วย

เมื่อเราดูกราฟเหล่านี้เราจะได้เห็นว่า SegWit นั้นยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเข้าที่

เรื่องของธุรกิจ

แล้วถ้าอย่างนั้น ทำไมคนถึงยังไม่หันมาปรับใช้ SegWit กันอย่างกว้างขวางอีกทั้งๆที่มันเปิดใช้งานแล้วล่ะ? คำตอบก็คือมันขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน Bitcoin และบริษัทต่างๆที่จะปรับตัวใช้เทคโนโลยีที่ว่านี้ เนื่องจากว่าผู้ใช้ Bitcoin ส่วนใหญ่ใช้กระเป๋าแบบ software เพื่อทำธุรกรรม ดังนั้นกระเป๋าหล่านั้นจะต้องเพิ่มเทคโนโลยี SegWit เข้าไปก่อนที่จะใช้งานได้

มีบริษัทผู้ให้บริการกระเป๋าด้าน Bitcoin ราวๆ 141 บริษัทที่เคยออกมาสัญญาว่าจะรองรับการสนับสนุน SegWit ทว่าแม้ว่าจะมีผู้ให้บริการออกมาเปิดให้การสนับสนุนแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่จำเป็นเสมอไป เนื่องจากว่านักพัฒนาบางคนได้ออกมาเถียงว่าพวกเขาควรที่จะทดสอบเทคโนโลยีที่ว่านี้ก่อนเพื่อความปลอดภัย ก่อนที่จะเปิดใช้จริงให้กับผู้ใช้งาน

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกระเป๋า Bitcoin ที่ผูกติดอยู่กับตัว full node ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หรือ Bitcoin Core ยังไม่รองรับ SegWit นั่นเอง

“การใช้ SegWit ก่อนการเปิดใช้จริงนั้นมันไม่ปลอดภัย และอาจจะทำให้ผู้ใช้งานเสียเงินได้ถ้าหากทางนักขุดเกิดคิดไม่ซื้อขึ้นมา” กล่าวโดยนาย Greg Maxwell หรือ CTO ของ Blockstream และผู้ช่วยเหลือ Bitcoin Core โดยเขาได้ออกมาเถียงว่าการไม่เพิ่ม SegWit เข้าไปในหน้าต่างการใช้งานกระเป๋าของเขานั้น “ถือเป็นเรื่องจงใจ”

อย่างไรก็ตาม เขายังได้กล่าวเพิ่มว่านักพัฒนาสามารถที่จะใช้การพิมพ์คำสั่งลงไปเพื่อเปิดใช้ SegWit บนกระเป๋าได้ด้วยตัวเอง

กระนั้นก็มีผู้ให้บริการกระเป๋า Bitcoin สำหรับผู้บริโภคทั่วไปอย่าง BitGo (ที่รองรับโดยเว็บเทรดบางเว็บ) ที่กำลังทำการแก้ไขอยู่ ในขณะที่ผู้ให้บริการกระเป๋าแบบ hardware อย่าง Ledger และ Trezor นั้นเพิ่มการรองรับเรียบร้อยแล้ว

เจ้าอื่นๆนั้นก็กำลังตามมาเรื่อยๆ

รอต่อไป

คำถามที่ตามมาคือ มันจะใช้เวลานานขนาดไหน คำถามดังกล่าวนั้นก็ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ และมันก็ยังเป็นเรื่องเสี่ยงด้วยที่จะถาม เพราะมันอาจจะไปทำให้ดรามาเก่าๆในวงการนักพัฒนา Bitcoin เกี่ยวกับ SegWit ปะทุขึ้นมาอีก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจก็คือธุรกรรมที่รองรับ SegWit นั้นจะแสดง “น้ำหนัก” (weight) ที่แตกต่างไป ซึ่งธุรกรรมแบบเก่าปกติทั่วๆไปนั้นจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 4 ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าบล็อก 1 บล็อกถูกนำเอาจำนวนธุรกรรมที่ไม่ใช่ SegWit ใส่เข้าไป ขนาดของบล็อกก็ยังคงอยู่ที่ 1MB แต่ในขณะเดียวกัน น้ำหนักของธุรกรรม SegWit นั้นจะอยู่ที่ 0.25 เท่านั้น

การคำนวณดังกล่าวจะช่วยให้เรารู้ถึงจำนวนธุรกรรมที่จะถูกจับยัดลงไปในบล็อกได้ ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน SegWit ด้วยว่าจะมีมากขนาดไหน แม้ในระยะยาวนั้นมันก็อาจจะมีสะสมปนกันไปทั้งธุรกรรมที่เป็น SegWit และไม่ได้เป็น SegWit

นักพัฒนาบางคนเชื่อว่าขนาดบล็อกโดยเฉลี่ยนั้นจะมีอยู่ที่ราวๆ 1.7MB ในขณะที่บางคนเถียงว่าแรงจูงใจของนักขุดนั้นอาจจะทำให้มันพุ่งขึ้นไปถึง 2MB

ทว่าก็มีนักพัฒนาบางกลุ่มที่ยังคงยืนหยัดในแนวคิดของพวกเขา และเตรียมการที่จะทำการ hard forkอีกครั้งหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ เพื่อเพิ่มขนาด block แบบ hard code ลงไป

ซึ่งทางผู้ใช้งาน Bitcoin ก็ยังคงต้องดูกันต่อไปว่าเมื่อไรเหรียญที่เป็นที่รักของกลุ่มผู้ใช้งาน cryptocurrency นี้จะสามารถหาจุดลงเอย ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกับที่มันเคยเป็น

ภาพจาก coinjournal

The post SegWit เปิดใช้งานแล้ว แต่ทำไมยังคงโอน Bitcoin หากันช้าอยู่? appeared first on Siam Blockchain.

Tuesday, August 29, 2017

ราคา Bitcoin พุ่งทะลุจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 4,700 ดอลลาร์ ตลาดไทยยังขยับตัวช้า

ราคาของ Bitcoin นั้นกำลังพุ่งทะลุจุดสูงสุดประวัติศาสตร์เก่าไปทำจุดสูงสุดที่ใหม่กว่าแล้ว

โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ราคาเฉลี่ยของ Bitcoin นั้นอยู่ที่ 4703.21 ดอลลาร์ ซึ่งพุ่งขึ้นมาถึง 4% จากจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์เก่าที่ 4,522.13 ดอลลาร์ของเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา อ้างอิงจาก CoinDesk Price Index

โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นมาเมื่อการซื้อขาย Bitcoin ในช่วงเวลาเมื่อ 7 โมงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้นราคาของ Bitcoin ได้พุ่งขึ้นไปมากกว่า 100 ดอลลาร์จากระดับ 4,342 ดอลลาร์ในตอนนั้น

หากลองมองโดยรวมแล้ว ราคา Bitcoin นั้นขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของวันที่ 4,400 ดอลลาร์ และหากนับเป็นรายปีนั้น ราคาของเหรียญดังกล่าวพุ่งขึ้นมาถึง 350% จากที่ราคา 1,000 ดอลลาร์ของเมื่อ 1 มกราคมที่ผ่านมา

ตลาดไทยค่อยๆขยับตัว

ดูเหมือนว่าการซื้อขาย Bitcoin ในตลาดไทยช่วงนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่ค่อยคึกคักเท่ากับของตลาดโลก โดยในขณะที่รายงานข่าวอยู่นี้ เว็บกระดานแลกเปลี่ยนไทยหรือ Bx นั้นมีราคาอยู่ที่ 147,000 บาทหรือราวๆ 4,430 ดอลลาร์เท่านั้นหากเทียบกับราคาเฉลี่ยของตลาดโลก

The post ราคา Bitcoin พุ่งทะลุจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 4,700 ดอลลาร์ ตลาดไทยยังขยับตัวช้า appeared first on Siam Blockchain.

เงินคือบ่อเกิดของความชั่วช้า? แต่ไม่ใช่กับ Buddhist Coin แน่นอน

ในโลกของเทคโนโลยี Blockchain ที่มีความโปร่งใสโดยสมบูรณ์แบบนั้น ทำให้มีนักบวชบางคนอยากจะลองนำเอาเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้เพื่อให้ถึง “ทางธรรม” มากขึ้น เขาคือหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม Lotos Network ที่ต้องการจำนำเอาศาสนาคิดทบทวนใหม่ ด้วยคอนเซปสองตัวผ่านเทคโนโลยี Blockchain

ซึ่งแนวคิดหลักๆก็คือการโกงเงินบริจาคนำไปใช้ในด้านที่ไม่ควรจะใช้ ที่กำลังเป็นมารศาสนาในปัจจุบัน ดังนั้นพวกเขาจึงได้เกิดไอเดียในการนำเอา cryptocurrency เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในด้านนี้

ความโปร่งใสและบริสุทธิของ Lotos

นาย Anton Doos หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังโปรเจคดังกล่าวนี้กำลังหวังว่าความบริสุทธิ์ของศาสนานั้นควรที่จะถูกแยกออกมาจากความสกปรกของเงินตรา โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาแก้ไข

ซึ่งคอนเซปหลักๆของ Lotos Network จะมีอยู่สองข้อ โดยอ้างอิงจากนาย Doos เขากล่าววก่า

“อย่างแรก ระบบดังกล่าวสามารถที่จะเป็นเหมือน social network สำหรับศาสนาพุทธ ที่นักปฏิบัติสามารถที่จะมาแบ่งปันวิธีปฏิบัติธรรมได้ผ่านระบบดังกล่าว ซึ่งจะมีอยู่บนระบบ Blockchain โดยระบบดังกล่าวนี้จะถูกเปิดให้ใช้งานได้ทั่วโลกสำหรับคนที่สนใจมัน”

อย่างที่สอง ทาง Lotos Network จะสร้าง “เหรียญคริปโตสำหรับศาสนาพุทธ” ที่เรียกว่า Karma Token หรือ “เหรียญกรรม” โดยเหรียญดังกล่าวจะทำหน้าที่เหมือนกับ Bitcoin ที่มีความเป็น decentralized แต่นาย Doos กล่าวว่าเหรียญที่ว่านี้จะตั้งอยู่บนพุทธเศรษฐศาสตร์

เศรษฐศาสตร์แห่งศาสนาพุทธ

ในการที่จะมีสกุลเงินที่มีความโปร่งใสและไม่สามารถแฮคได้บนระบบคอมะพิวเตอร์นั้น แนวคิดของ Lotos Network คือการที่นักปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธสามารถที่จ่ายเหรียญกรรมเพื่อบริจาคให้กับครูหรือพระผู้ช่วยสอน และสามารถที่จะทำการแทรคติดตามไปได้ว่าเหรียญดังกล่าวถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง

ซึ่งพวกเขาต้องการที่จะช่วยให้ทางสถานปฏิบัติธรรมหรือวัดสามารถที่จะมีชื่อเสียงด้านดี มีความโปร่งใส และไร้ซึ่งการโกง

“ในการใช้เหรียญกรรมที่ว่านี้ คุณจะต้องสาบานตนเองว่าจะเป็นคนดี” กล่าวโดยนาย Doos “การนำเหรียญที่ว่านี้มาปรับใช้มีเป้าหมายเพื่อให้คนใช้เงินน้อยลง และปฏิบัติธรรมให้มากขึ้นเพื่อลดกิเลสตัณหา”

แต่ทว่า…

ที่น่าสนใจคือ หากลองเข้าไปที่หน้าเว็บหลักของ Lotos Network นั้นเราจะได้เห็นได้ว่าบนหน้า home หน้าแรกมีรูปของพระธัมมชโยแห่งวัดพระธรรมกายที่ก่อนหน้านี้ถูกหมายจับจากตำรวจ DSI เล่นงานอยู่

บางทีผู้ใช้งานอาจจะต้องมีความระมัดระวังในการใช้เหรียญดังกล่าว และควรตรวจสอบกับทีมนักพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง

The post เงินคือบ่อเกิดของความชั่วช้า? แต่ไม่ใช่กับ Buddhist Coin แน่นอน appeared first on Siam Blockchain.

รายงาน: รัฐบาลประเทศจีนอาจพิจารณายกเลิกการขาย ICO ทั้งหมด

ผู้ออกกฎหมายในประเทศจีน (regulator) กำลังหารือกันถึงแผนการในการยกเลิกและสั่งห้ามขาย ICO (Initial Coin Offering) ในประเทศ กล่าวโดยรายงาน

โดยอ้างอิงจาก Tencent Finance นั้น ทางผู้ออกกฎหมายในประเทศจีนได้ทำการประชุมกันไปแล้วเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมานี้ซึ่งจัดขึ้นโดยทางแผนก Financial market ของธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (PBoC) ซึ่งบุคลากรรัฐบาลที่คอยดูแลด้านการซื้อขายหุ้นและหลักทรัพย์ก็จะเข้าร่วมประชุมด้วยเช่นกัน โดยภายหลังการประชุมดังกล่าวทางกลุ่มผู้ออกกฏหมายได้เสนอแผนการดังกล่าวขึ้น

ทาง Tencent Finance ยังได้มีการอ้างอิงแหล่งที่มาที่ไม่เปิดเผยตัวตนอีกหลายแห่ง และยังรายงานว่าบางทีทางรัฐบาลจีนอาจจะกำลังวางแผนเพื่อทำให้การซื้อขาย ICO นั้นมีลิมิทและเพดานของขนาดในการลงทุน, ให้ทางผู้ระดมทุนเปิดเผยรายละเอียดองค์กรมากขึ้น, อีกทั้งกำกับควบคุมดูแลการซื้อขายเหรียญ และคอยแจ้งเตือนเกี่ยวกับเรื่องความเสี่ยง

และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าทางรัฐบาลค้นพบว่ามันมีความเสี่ยงในตลาดสูงมาก ทางผู้ออกกฎหมายอาจจะทำการยกเลิกการขาย ICO ทั้งหมด

หากฟังดูแล้ว นี่อาจจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเกินเลยไป แต่ถ้าหากลงมาดูดีๆแล้ว ก่อนหน้านี้ทางธนาคารกลางแห่งประเทศจีนเคยสั่งระงับการซื้อขาย Bitcoin บนเว็บผู้ให้บริการเทรดในประเทศมาแล้วเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากออกมาแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

นอกจากนี้สำนักข่าว Caixin ยังได้ออกมารายงานข่าวในลักษณะเดียวกัน โดยบอกว่าทางผู้ออกกฎหมายกำลังประชุมกันเรื่องการลงทุนแบบ ICO และคาดการณ์ว่าการออกบังคับใช้กฎหมายนั้นจะขึ้นอยู่กับคำสั่งพิเศษ (executive order) ที่เคยตีพิมพ์ออกมาเมื่อช่วงปี 1998 โดยสภารัฐของรัฐบาลจีน

โดยมันมีหัวข้อดังนี้ “คำสั่งเกี่ยวกับการแบนสถาบันการเงินที่ผิดกฎหมายและบริษัทหรือธุรกิจด้านการเงินที่ผิดกฎหมาย” ซึ่งคำแปลนั้นมีใจความว่า

“กิจกรรมธุรกิจการเงินที่ผิดกฎหมายนั้นประกอบไปด้วย: การระดมทุนที่ไร้เป้าหมายและสิ่งของโดยไม่ได้รับอนุญาตทางกฎหมาย, หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทางธนาคารกลางแห่งประเทศจีนระบุไว้ว่าผิดกฎหมาย”

ก่อนหน้านี้ทางสยามบล็อกเชนเคยรายงานไปแล้วว่าทางรัฐบาลจีนกำลังเล็งขึ้นทะเบียนการลงทุนแบบ ICO เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลในหลายๆประเทศก็เริ่มที่จะเข้ามาจับตาดูการลงทุนแบบนี้อย่างใกล้ชิดแล้ว

The post รายงาน: รัฐบาลประเทศจีนอาจพิจารณายกเลิกการขาย ICO ทั้งหมด appeared first on Siam Blockchain.

SEC เตือนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯเรื่องการใช้ ICO มาปั่นราคาหุ้น

ทาง Securities and Exchange Commission (SEC) ของประเทศสหรัฐฯกำลังออกมาเตือนนักลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงทางด้านการหลอกลวง (scam) บนตลาดหลักทรัพย์ที่ใช้สกุลเงิน cryptocurrency มาช่วยโปรโมทด้านการตลาด

โดยทาง SEC ได้ออกมาประกาศเมื่อวานนี้เพื่อแจ้งเตือนนักลงทุนที่อาจจะตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อโดยการนำเอาเหรียญ cryptocurrency มาช่วยโปรโมทการซื้อขายหุ้นของบริษัทตัวเองในตลาดหลักทรัพย์ โดยทาง SEC ยังได้เน้นย้ำถึงเรื่องของการโฆษณาของการซื้อขายเหรียญ ICO (Initial Coin Offerings) อีกด้วย

ในประกาศของทาง SEC มีใจความคร่าวๆดังนี้

“นักต้มตุ๋นมักจะใช้เรื่องราวความน่าสนใจของเทคโนโลยีใหม่ๆในการดึงดูดเหยื่อให้เข้าไปในการลงทุนที่เป็น scam ซึ่งเทคนิคที่พวกนักต้มตุ๋นเหล่านี้มักจะใช้ก็คือการปั่นราคาให้ขึ้น และเทขายกดราคาลง และรวมถึงการปั่นราคาด้วยการเคลมว่าบริษัทที่ถูกลิสบนตลาดหลักทรัพย์ของพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆพวกนี้”

แน่นอนว่าทาง SEC นั้นก็ได้ออกมาประกาศให้หยุดพักการซื้อขายหุ้นของบางบริษัทไปแล้วเป็นจำนวนสามบริษัทที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงล่าสุดทางบริษัท First Bitcoin Capital หรือบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ Bitcoin ก็ถูกพักใบอนุญาตเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ก็มีมารายงานออกมาแล้วว่าทาง SEC นั้นได้ประกาศเกี่ยวกับการสืบสวนและสอบสวน The DAO และรวมถึงกล่าวว่าการซื้อขาย ICO ทุกชนิดจะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ (Securities) อีกด้วย

โดยหลังจากการประกาศดังกล่าวก็ทำให้ regulator หรือผู้ออกกฎหมายในประเทศอื่นๆก็เริ่มที่จะขยับตาม ไม่ว่าจะเป็นประเทศแคนาดา และสิงคโปร์ที่ออกมาประกาศในลักษณะเดียวกัน

นาย Peter Van Valkenburgh หรือผู้บริหารระดับสูงของสถาบันวิจัยแบบไม่แสวงผลกำไรนามว่า Coin Center ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการกระทำของ SEC ว่า “สมเหตุสมผล และกระทำตามสมควรแล้ว”

“การออกมาทำแบบนี้ของ SEC นั้นผมว่าเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลและมีการคิดวิเคราะห์มาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับขั้นตอนในการปกป้องนักลงทุนในเรื่องของ ICO” เขากล่าว

ในขณะที่คนอื่นๆก็ออกมาแสดงความเห็นว่าการประกาศดังกล่าวนั้นเปรียบเมือนเป็นแค่หนึ่งในแผนการของก้าวต่อไป

“ทางเราได้เห็นแล้วว่าพักนี้ทาง SEC ได้หันมาจับตาดูแลโฟกัส digital asset ไม่ว่าจะเป็นการเข้าตรวจค้น DAO และการพักการซื้อขาย” กล่าวโดยนาง Perianne Boring หรือประธานของบริษัทด้านการเทรด Chamber of Digital Commerce “ทาง SEC นั้นดูเหมือนจะมีท่าทีที่ก้าวร้าวต่อสกุลเงินดิจิตอลมากขึ้น โดยเฉพาะการซื้อขาย ICO” เธอกล่าว

“เรากำลังรอดูว่าทาง SEC จะมีอะไรออกมากล่าวอีก”

ภาพจาก acting-man.com

The post SEC เตือนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯเรื่องการใช้ ICO มาปั่นราคาหุ้น appeared first on Siam Blockchain.

ราคาเหรียญ Monero ทะลุ 150 ดอลลาร์ หลังจาก Bithumb เปิดให้เทรดคู่ XMR/KRW

ราคาเหรียญ Monero (XMR) ได้มีการพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นไปถึง 100% ภายในเพียงแค่ 7 วันในช่วงเวลาวันที่ 21 สิงหาคมจนถึง 28 สิงหาคม ซึ่งหลักๆนั้นมาจากการประกาศให้ซื้อขาย Monero บนเว็บเทรดสัญญาชาติเกาหลีใต้ Bithumb คู่เทรด Monero/เงินวอน

Bithumb ลิสคู่เทรด XMR/KRW

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สยามบล็อกเชนได้รายงานว่าการพุ่งขึ้นของราคาเริ่มต้นเมื่อมีข่าวลือว่า Bithumb ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะรองรับเหรียญ Monero บนระบบเทรด โดยเว็บผู้ให้บริการตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนดังกล่าวนี้อยู่ในประเทศเกาหลีใต้ และมีมูลค่าการซื้อขายเหรียญ altcoin หลายๆเหรียญที่สูงที่สุดในขณะนี้ อีกทั้งยังเป็นเว็บเทรดที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินวอนเกาหลีใต้สูงที่สุดท่ามกลางเว็บเทรดเกาหลีเว็บอื่นๆ โดยในขณะนั้นราคายังอยู่ที่ราวๆ 80-90 ดอลลาร์เท่านั้น

ราคาของ Monero นั้นได้พุ่งขึ้นไปถึง 95 ดอลลาร์หลังจากการประกาศของทางเว็บ ทว่าเหรียญดังกล่าวก็ร่วงลงมาเล็กน้อยในวันต่อมา แต่ก็พุ่งขึ้นต่อในวันที่ 25 สิงหาคมเมื่อ Bithumb เริ่มเปิดให้ฝากเหรียญ Monero เข้ามาในระบบเทรด โดยภายหลังทำให้ราคาของมันทะลุผ่าน 100 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ราคาของเหรียญ Monero ได้พุ่งต่อไปเรื่อยๆเมื่อนักเทรดในประเทศเกาหลีได้ฝากเงินและเหรียญของพวกเขาเข้าไปใน Bithumb ท้ายสุดนั้นราคาของเหรียญ XMR ก็ได้พุ่งทะลุ 150 ดอลลาร์ไปแล้วเมื่อวานนี้

โวลลุ่มเหรียญ Monero บน Bithumb มาเป็นอันดับหนึ่งของโลก

แม้ว่า Bithumb เพิ่งจะเปิดให้เทรด XMR/KRW มาแค่วันเดียวเท่านั้น โวลลุ่มบนเว็บเทรดดังกล่าวก็พุ่งขึ้นมาทะลุ 250 ล้านดอลลาร์แล้ว แม้ว่าในขณะนี้ตัวเลขนี้จะยังไม่ได้ถูกลิสบนเว็บ Coinmarketcap อย่างเป็นทางการก็ตาม แต่โวลลุ่มการซื้อขายบนเว็บ Bithumb ก็แซงของเว็บเทรดทุกๆเว็บรวมกันไปแล้ว ที่มีอยู่ราวๆ 187 ล้านดอลลาร์ ปัจจุบันเหรียญ Monero ถูกซื้อขายบนเว็บ Bithumb ในราคาที่สูงกว่าราคาเฉลี่ยบน Coinmarketcap อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เหรียญ Monero ไม่ได้เป็นเพียงแค่เหรียญเดียวบนเว็บเทรด Bithumb ที่มีอัตราการพุ่งของราคาอย่างรุนแรง แต่ก็ยังมีเหรียญเงินแห่งวงการ cryptocurrency อย่าง Litecoin ที่ทะลุ 60 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ ซึ่งมีโวลลุ่มการซื้อขายบนเว็บเทรดเกาหลีใต้ดังกล่าวอยู่ที่ราวๆมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์ กระนั้นนักเทรดหลายๆคนเชื่อว่าเว็บ Bithumb ขึ้นชื่อเรื่องการปั่นราคาเหรียญคริปโต ซึ่งราคาของ Monero อาจจะมีโอกาสพุ่งขึ้นไปอีกได้ในสัปดาห์ต่อไป

The post ราคาเหรียญ Monero ทะลุ 150 ดอลลาร์ หลังจาก Bithumb เปิดให้เทรดคู่ XMR/KRW appeared first on Siam Blockchain.

โปรแกรมเมอร์ชาวสวีเดนกลายเป็นมหาเศรษฐีหลังจากลงทุน Bitcoin ในปี 2013

โปรแกรมเมอร์ชาวสวีเดนนาม Alexander Bottema ได้ทวีคูณเงินเก็บของเขามากกว่า 100 เท่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เขาลงทุนกับ Bitcoin ครั้งแรกในปี 2013 เมื่อเจ้าเหรียญดังกล่าวมีราคาแค่ 30 ดอลลาร์ นาย Bottema ได้รู้ว่า Bitcoin นั้นมีศักยภาพมากถึงขนาดที่เขาขายหุ้นบริษัทของเขาออกหมดผสมกับการนำเงินเก็บของเขาทั้งหมดมาลงทุนในราชาแห่งเหรียญ cryptocurrency ตัวนี้

ที่น่าสนใจคือนาย Bottema นั้นยังไม่ได้ขาย Bitcoin ที่เขาซื้อมาถือไว้เลยแม้แต่ Satoshi เดียว แม้ว่าราคาของมันจะพุ่งมาถึง 4,500 ดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้ โดยในการให้สัมภาษณ์กับ Business Insider นั้น เขาได้กล่าวว่า

“ผมอยากจะมองมันว่าเป็นการเก็บเงินลงทุนเพื่อเกษียณ ผมไม่คิดอยากจะซื้อมันอีกต่อไปแล้ว เพราะผมรู้ดีว่าผมคงจะไม่สามารถได้ ROI แบบเดิมอีกต่อไปหากซื้อในเวลานี้ ผมกำลังวางแผนที่จะขายมันเมื่อราคาพุ่งไปแตะที่ 100,000 ดอลลาร์”

ประวัติคร่าวๆของนาย Alexander Bottema

นาย Bottema เติบโตขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆใกล้ๆเมือง Stockholm ประเทศสวีเดน และได้เริ่มเรียนเขียนโปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์ Apple II ของครอบครัวเขา และหลังจากนั้นเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Uppsala University สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในปี 1911 และหลังจากเรียนจบแล้วเขาก็เรียนต่อไปเรื่อยๆจนถึงระดับปริญญาเอก

หลังจากนั้นเขาก็ได้กลับมาที่ Stockholm ที่ๆเขาเริ่มทำงานด้าน data security และการเข้ารหัสให้กับบริษัท Upec Industriteknik หลังจากนั้นไม่นานบริษัทนี้ก็ถูกซื้อไป ทำให้นาย Bottema และเพื่อนร่วมงานของเขาอีกสองคนออกมาเปิดบริษัทเองนามว่า Polytrust ในวันนี้นาย Bottema อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและทำงานอยู่ที่บริษัท Mathworks ในเมือง Massachusetts บริษัทดังกล่าวเป็นผู้ให้บริการด้าน data analysis และการจำลองแอพของอุตสาหกรรม

นาย Bottema ค้นพบ Bitcoin ได้อย่างไร

อ้างอิงจากนาย Bottema เขาได้ค้นพบ Bitcoin ครั้งแรกเมื่อปี 2010 ในตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจในสกุลเงินดิจิตอลมากนัก เนื่องจากคิดว่าไอเดียดังกล่าวคงเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาได้เปลี่ยนความคิดของเขาทันทีหลังจากที่ราคาของ Bitcoin ร่วงลงเหว แต่ก็กลับตัวขึ้นมาอีกครั้ง นาย Bottema กล่าวว่า

“ผมปฏิเสธมันไปเนื่องจากมองว่ามันไม่น่าสนใจ เพราะส่วนตัวในตอนนั้นมองว่าตัวเองมีความรู้ด้าน data security อยู่แล้ว เลยไม่คิดว่าการสร้างเซิฟเวอร์ที่มีความปลอดภัยแบบนั้นจะเป็นไปได้ และก็คิดว่าราคามันจะ crash แน่นอน หลังจากนั้นในปีเดียวกัน ผมกำลังนั่งรอรถไฟฟ้าใต้ดินและอ่านหนังสือพิมพ์ของรถไฟฟ้าว่าราคา Bitcoin มันกลับตัวขึ้นมาได้หลังจากตกลงไป ตอนนั้นผมรู้สึกงงมากว่าสกุลเงินที่สร้างอยู่บนความไว้ใจนี้จะสามารถฟื้นกลับมาได้ หลังจากนั้นผมก็เริ่มสนใจมัน”

นาย Bottema ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มเศรษฐีที่ร่ำรวยจาก Bitcoin

ภาพจาก Business Insider

The post โปรแกรมเมอร์ชาวสวีเดนกลายเป็นมหาเศรษฐีหลังจากลงทุน Bitcoin ในปี 2013 appeared first on Siam Blockchain.

สาเหตุที่คุณไม่ควรลงทุนกับเงินดิจิตอลที่เป็นแชร์ลูกโซ่

Blockchains.my นวัตกรรมของเทคโนโลยีกระเป๋าเงินดิจิตอล

Monday, August 28, 2017

รัสเซียเปลี่ยนใจ วางแผนแบนการซื้อขายเหรียญ Cryptocurrency ในกลุ่ม “คนธรรมดา”

รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศรัสเซียนามว่า Alexey Moiseev ได้ออกมากล่าวว่า “มันเป็นเรื่องยากที่จะเถียงว่า Cryptocurrency นั้นไม่ใช่ธุรกิขแชร์ลูกโซ่” และวางแผนแบนเหรียญดังกล่าวแบบทันทีสายฟ้าแลบ

โดยเขาให้สัมภาษณ์ในโทรทัศน์ช่องข่าวท้องถิ่น Rossiya 24 ว่าทางรัฐบาลนั้นต้องการที่จะอนุญาตให้เฉพาะ “นักลงทุนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม” เท่านั้น หรือผู้คนที่มี “เหตุผล” ในการซื้อ cryptoasset

“ผมบอกไปแล้วไง ว่าเฉพาะนักลงทุนที่คู่ควรเท่านั้นถึงจะครอบครองมันได้ ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญทั่วไป” เขายังเน้นย้ำอีกว่า “มันเป็นแชร์ลูกโซ่”

“สำหรับคนธรรมดาทั่วไปนะ ไม่มีทางให้อนุญาตแน่นอน เพราะมันเป็นการลงทุนที่อันตรายมากที่อาจจะทำให้สูญเสียเงินเป็นจำนวนมากได้”

คำกล่าวที่ขัดแย้ง

คำกล่าวของเขามีขึ้นมาหนึ่งสัปดาห์หลังจากการประกาศเปิดตัวบริษัทขุด Bitcoin ที่มีรัฐบาลมาสนับสนุน ที่วางแผนจะระดมเงินทุนถึง 100 ล้านดอลลาร์ในตลาด เพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากประเทศจีน

ซึ่งแผนการด้านกฎหมายใหม่ดังกล่าวมีความหมายว่าทางตลาดหลักทรัพย์ของ Moscow นั้นจะต้องทำระบบ platform เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในการซื้อขาย Bitcoin และเหรียญอื่นๆได้

ก่อนหน้านี้ทางผู้ออกกฎหมายได้ออกมากล่าวว่าเหรียญคริปโตอย่าง BitRuble ที่กำลังถูกพัฒนาโดยธนาคารกลางประเทศรัสเซียอาจจะได้อิสระในตลาดรัสเซียมากกว่าเหรียญคริปโตสกุลอื่นๆ

“เราจะไม่เรียก cryptocurrency ว่าสกุลเงิน และจะไม่ทำให้มันเป็นเหมือนเงินจริง” กล่าวโดยนาย Moiseev”

ทว่าข่าวดังกล่าวนั้นไม่ได้บ่งบอกว่าทางรัฐบาลจะห้ามไม่ให้​ “คนธรรมดา” ซื้อขาย cryptocurrency ได้อย่างไร ทว่าแผนการที่หลายๆคนคาดไว้ก็อาจจะเป็นการบล็อกเว็บผู้ให้บริการเทรดเหรียญต่างๆแบบที่พวกเขาเคยทำเมื่อนานมาแล้ว

The post รัสเซียเปลี่ยนใจ วางแผนแบนการซื้อขายเหรียญ Cryptocurrency ในกลุ่ม “คนธรรมดา” appeared first on Siam Blockchain.

ผู้ผลิตแผ่นพลังงานแสงอาทิตย์ในออสเตรเลียเปิดตัว ICO สำหรับซื้อขายพลังงาน

Power Ledger หรือบริษัทผู้ผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศออสเตรเลียได้ต้องการใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดพลังงานโดยการเปิดตัวระบบแลกเปลี่ยนแบบ P2P ที่ทางผู้ใช้งานสามารถที่จะแลกเปลี่ยนพลังงาน

ซึ่งในขณะนี้พวกเขามีแผนการที่จะเปิดระดมทุนผ่านการขายเหรียญ ICO โดยเหรียญที่จะเปิดขายเพื่อการระดมทุนดังกล่าวมีชื่อว่า POWR

เป้าหมายหลักๆของพวกเขาคือการทำให้ผู้คนสามารถแลกเปลี่ยนเหรียญ POWR หากันได้แบบ P2P (การส่งแลกเปลี่ยนกันแบบคนสองคน)

เทคโนโลยี Blockchain ในปัจจุบันนั้นกลายเป็นหัวข้อที่อุตสาหกรรมพลังงานเริ่มที่จะออกมาให้ความสนใจแล้วในช่วงนี้ ยกตัวอย่างเช่นบริษัท Switchหรือผู้ให้บริการด้านพลังงานสัญชาติออสเตรียและเยอรมันเริ่มที่จะรับ Bitcoin เป็นช่องทางการชำระเงินค่าแก๊สและไฟฟ้าแล้ว

การแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงาน

พลังงานไฟฟ้าส่วนเกินที่สร้างขึ้นโดยบุคคลทั่วไป (อย่างเช่นผ่านพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา) สามารถที่จะนำไปขายให้กับคนอื่นๆที่ต้องการใช้มันได้

โดยการตัดพ่อค้าคนกลางออกไปนั้น ค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนก็จะลดลงไปด้วย ซึ่งนี่อาจจะทำให้มีผู้คนทั่วไปเริ่มที่จะติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านของตัวเอง และเริ่มใช้พลังงานสะอาดที่สร้างขึ้นมาได้เอง โดยท้ายสุดนั้น ความต้องการในตัวแผงพลังงานแสงอาทิตย์ก็จะมีมากขึ้น, ทำให้มีผู้ผลิตต้องผลิตออกมารองรับดีมานด์มากขึ้น และราคาของมันก็จะลดลงตามมา

โมเดลธุรกิจ

มันจะต่างกับ ICO ทั่วๆไปส่วนใหญ่ที่นักพัฒนามีแค่ไอเดียและ white paper มาแบคโปรเจคของมันโดยที่ยังไม่ต้องมีโปรดักหรือรูปร่างอะไรเลย ก่อนที่จะระดมทุนไปได้หลายล้านดอลลาร์ในเวลาไม่กี่นาที แต่ทว่า ICO ของ Power Ledgers นั้นถูกแบคไว้โดยโมเดลธุรกิจที่มีตัวตนอยู่แล้ว

ระบบซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานนั้นจะถูกสร้างโดย Power Ledger และจะถูกติดตั้งและช่วยเหลือด้านการตลาดโดยผู้ให้บริการด้านพลังงานที่มีชื่อเสียงอย่าง Vector NZ และ Western Power WA

ทางบริษัท Power Ledger จะนำเงินลงทุนที่ได้ไปขยายระบบและบริการเพิ่มขึ้นในประเทศอื่นๆอีก เช่นประเทศอินเดีย และอื่นๆที่กำลังพัฒนา

ระบบป้องกันกลุ่มนักลงทุนกระเป๋าหนา

โดยอ้างอิงจากการประกาศของทาง Power Ledger นั้น การเปิดขาย pre-sale ได้มีขึ้นไปแล้วเมื่อวานนี้ เหรียญ POWR นั้นจะไม่จำกัดขั้นต่ำในการซื้อเหรียญ ทว่าการขั้นสูงสุดจะถูกจำกัดไว้ที่ 25,000 ดอลลาร์ต่อคน

ซึ่งกฎข้อนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้แน่ใจว่าการเปิดขาย pre-sale นั้นจะไม่ถูกปั่นราคาโดยกลุ่มพวกนายทุนกระเป๋าหนาที่ชอบมากว้านซื้อเหรียญไปหมดเกลี้ยงไม่เหลือให้คนธรรมดาทั่วไปแม้แต่เหรียญเดียว

ทาง Power Ledger คาดหวังให้การเปิดระดมทุนครั้งนี้สามารถสร้างเสถียรภาพให้กับมูลค่าของเหรียญ POWR ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาได้เห็นว่ามีตลาดเหรียญหลายๆเหรียญนั้นถูกปั่นราคาโดยนักลงทุนกระเป๋าหนาที่ทำให้รายย่อยต้องเสียหาย โดยทางบริษัทนั้นกำลังวางแผนที่จะเปิดขายเหรียญเป็นจำนวน 100 ล้านเหรียญที่ราคาแบบฟิกซ์ที่ 8.8 เซ็นต์ในช่วง pre-sle ที่เริ่มขึ้นแล้วเมื่อวานนี้ และหลังจากนั้นทางบริษัทจะเปิดขาย POWR อีก 250 ล้านเหรียญในช่วงการเปิดขาย ICO ในช่วงเดือนกันยายน ซึ่งในตอนนั้นราคาของเหรียญก็จะมีการปรับเปลี่ยนอีกครั้ง

มีผู้ให้ความสนใจเยอะมาก

อ้างอิงจาก Bloomberg ที่รายงานวันนี้ การเปิดขาย pre-sale มีผู้คนให้ความสนใจประมาณ 57% แล้ว ณ ช่วงที่เปิดขาย

ซึ่งมีนักลงทุนหลายๆคนที่ทำการจ่ายเงินไปแล้วรวมกว่า 5 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อเหรียญ POWR ถ้าการเปิดขาย pre-sale นั้นสำเร็จเสร็จสิ้น ทางบริษัทจะได้รับเงินระดมทุนไปถึง 9 ล้านดอลลาร์

ถ้าหากราคาในวันเปิดขาย ICO จริงยังคงเท่ากับราคาเหรียญในปัจจุบันที่ 8.8 เซนต์นั้น ทางบริษัทอาจจะระดมทุนรวมแล้วได้ทั้งหมดที่ 30 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากลองมองดูแล้วนี่ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา

The post ผู้ผลิตแผ่นพลังงานแสงอาทิตย์ในออสเตรเลียเปิดตัว ICO สำหรับซื้อขายพลังงาน appeared first on Siam Blockchain.

ราคาเหรียญ Litecoin ทะลุ 60 ดอลลาร์สร้างจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ใหม่

ราคาของเหรียญ Litecoin ได้พุ่งขึ้นจากระดับราคาที่ 50 ดอลลาร์ของเมื่อสองวันก่อนมาแตะจุดสูงสุดที่ 61.12 ดอลลาร์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap และมีมูลค่าตลาดรวมที่พุ่งไปสูงกว่า 3 พันล้านดอลลาร์แล้ว

การพุ่งของราคายังไปต่อเรื่อยๆ

ราคาของ Litecoin นั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงมาแล้วตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ระดับราคา 4 ดอลลาร์ในขณะนั้น โดยการเพิ่มขึ้นของราคาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมนั้นถือเป็นการฟื้นตัวครั้งแรกหลังจากช่วงปลายปี 2013 เมื่อราคาของ Litecoin นั้นพุ่งขึ้นจากตัวเลขตัวเดียวทะลุระดับ 50 ดอลลาร์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2013 หลังจากนั้นก็ร่วงตกลงไปเหลือ 1.29 ดอลลาร์ในช่วงวันที่ 1 มกราคมปี 2015

ในขณะนี้เหรียญ Litecoin นั้นอยู่บนอันดับที่ 5 ของกระดาน Coinmarketcap ซึ่งตามหลังเหรียญ Ripple และแซงหน้าเหรียญ Dash มาแล้ว

SegWit และ Bitcoin Cash คือสาเหตุ

ก่อนหน้านี้การพุ่งขึ้นของราคา Litecoin ที่ไปแตะ 50 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกของเดือนสิงหาคมนั้นสาเหตุหลักๆมาจากการเปิดใช้งาน Segregated Witness (SegWit) ของ Bitcoin ที่ระบบรองรับการแลกเปลี่ยนสกุลเงินข้าม Blockchain ระหว่าง Bitcoin และ Litecoin ได้ อีกทั้งการมีคุณลักษณะที่สามารถใช้ hedge (ป้องกันความเสี่ยง) ได้เหมือนกับ Bitcoin Cash อีกด้วย ก่อนหน้านี้นาย Tuur Demeester ได้ออกมากล่าวว่า Litecoin นั้นถือเป็นตัวช่วย hedge ได้ เนื่องจากการเทขายของ Bitcoin Cash นั้นส่งผลให้คนแย่งกันมาพักการลงทุนของพวกเขาที่ Litecoin แทน

การวิเคราะห์ราคาของนาย Demeester ได้แสดงให้เห็นถึงจังหวะการขึ้นราคาของ Litecoin ที่ตรงกับจังหวะเวลาการร่วงของ Bitcoin Cash ที่ดูเหมือนว่าจะประจวบพอเหมาะกันพอดี ซึ่งในช่วงสัปดาห์นั้นราคาของ Bitcoin Cash ร่วงลงจาก 1,000 ดอลลาร์สู่ 640 ดอลลาร์ ในขณะที่ราคาของ Litecoin นั้นแตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์พอดี

ดูเหมือนว่าการเทขายของ Bitcoin Cash นั้นจะมาจากตลาดเกาหลีใต้และจีน เนื่องจากตลาดของเหรียญดังกล่าวในสองประเทศนี้ถือครองส่วนแบ่งการตลาดด้านโวลลุ่มเป็นอันดับต้นของโลก และความต้องการของเหรียญ Litecoin นั้นก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากทั้งในตลาดของสองประเทศนี้ โดยผู้เชี่วชาญบางคนเชื่อว่านักลงทุนในสองตลาดนี้หลบนีการเทขาย Bitcoin Cash ด้วยการย้ายไปลงทุน Litecoin, Ethereum และ Bitcoin ด้วย

ระบบ Blockchain ที่รองรับการทำงานร่วมกับของ Bitcoin

ระบบเครือข่ายของ Litecoin ที่เชื่อมต่อกับของ Bitcoin ผ่าน SegWit นั้นก็มีผลทำให้ราคาของ Litecoin พุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งระบบ SegWit ที่ว่านี้จะทำให้การ swap ค่าเงินระหว่างสองเหรียญนี้ทำได้ง่ายขึ้นผ่านช่องทางแบบ cross-blockchain

นาย Charlie Lee หรือผู้สร้าง Litecoin และนักพัฒนาผู้อยู่เบื้องหลังทีมของโปรเจค Lighting หรือโซลูชันด้านการใช้จ่ายแบบ micropayment ของ SegWit นั้นได้ออกมาเน้นย้ำความสำคัญของระบบการ swap ของระหว่าง Bitcoin และ Litecoin

เหรียญ Litecoin นั้นยังได้การสนับสนุนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอีกเช่นกัน เมื่อ BitGo หรือหนึ่งในผู้ให้บริการด้านกระเป๋า Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุด โดยระบบของพวกเขานั้นเริ่มที่รองรับ Litecoin แล้ว

The post ราคาเหรียญ Litecoin ทะลุ 60 ดอลลาร์สร้างจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ใหม่ appeared first on Siam Blockchain.

PlayUltimate อาจเป็นบริษัทแรกในไทยที่จ้างงานและจ่ายโบนัสเป็น Cryptocurrency

ราคาเหรียญ Ethereum ทะลุจุดสูงสุดในรอบเดือนที่ 350 ดอลลาร์มุ่งสู่จุด ATH

ราคาเหรียญอันดับสองของโลกหรือเหรียญที่ได้ชื่อว่าเป็นน้ำมันแห่งวงการ cryptocurrency นามว่า Ethereum นั้นกำลังพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการออกมาประกาศแผนการ hard fork อัพเกรดระบบปัจจุบันให้กลายเป็น Metropolis หรือตัวอัพเกรดรองสุดท้ายในแผนของทีมพัฒนา Ethereum โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ราคาของเหรียญ Ethereum อยู่ที่ 350.67 ดอลลาร์ ซึ่งขึ้นมาถึง 4.36% และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 33 พันล้านดอลลาร์

สาเหตุหลักๆนั้นอาจจะมาจากการประกาศแผนการ hard fork ตัว Metropolis ของ Ethereum ที่ว่ากันว่าจะมาช่วย เพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้น, การทำให้การเขียนโคด Smart contract ทำได้ง่ายขึ้น และตัว masking ที่จะทำให้ address ของผู้รับปลอดภัยมากขึ้น ทั้งหมดนี้ึคือความพยายามล่าสุดที่บิดาแห่ง Ethereum หรือ Vitalik Buterin กำลังจะผลักดันออกมาในช่วงปลายเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ซึ่งการ hard fork ดังกล่าวนี้จะถูกทำแยกออกมาเป็นสองช่วง ช่วงแรกจะมีชื่อว่า Byzantium และช่วงที่สองจะมีชื่อว่า Constantinople

การอัพเดตระบบ “Ice Age”

ที่น่าสนใจคือเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมานี้ นาย Vitalik ได้ออกมาทวีตข้อความถึงแผนการการปรับเวลาการเกิดบล็อกใหม่ที่อยู่ในแผนการชื่อว่า Ethereum Ice Age ที่ได้ข้อสรุปจากการประชุมนักพัฒนาว่าจะมีการเพิ่มเวลาการเกิดบล็อกใหม่ของเหรียญ Ethereum ดังนี้

  • 23 วินาที (บล็อกที่ระดับ 4.2 ร้อยล้าน)
  • 30 วินาทีในเดือนกันยายน (บล็อกที่ระดับ 4.3 ร้อยล้าน)
  • 39 วินาทีในเดือนตุลาคม (บล็อกที่ระดับ 4.4 ร้อยล้าน)

สำหรับแผนการเกี่ยวกับ “ระเบิด difficulty” หรือ Difficulty Bomb นั้นสามารถอ่านได้ที่นี่

อย่างไรก็ตาม ราคาปัจจุบันของ Ethereum ก็ยังห่างจากจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ (ATH) ของเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 404 ดอลลาร์

ตลาดไทยเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง

ราคาเหรียญ Ethereum บนตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนประเทศไทยหรือ Bx นั้นก็เริ่มมีปฏิกิริยาการปรับของราคาตาม โดยในระหว่างที่รายงานข่าวอยู่นี้ ราคาของเหรียญ Ethereum อยู่ที่ 11,490 บาท หรือประมาณ 345 ดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นมาถึง 3.04% โดยมีราคาถูกกว่าตลาดโลกเล็กน้อย และมีโวลลุ่มการซื้อขาย 24 ชั่วโมงของคู่เทรด ETH/THB อยู่ที่ 1,656.7 ETH

คุณยุทธวิธี หรือนักเทรดเหรียญคริปโตมืออาชีพของประเทศไทย และเจ้าของกลุ่ม Crypto Trading Club นั้นได้ออกมากล่าวบอกใบ้ ซึ่งเป็นที่น่าสนใจโดยบอกว่า

“กันยายน น่าจะเป็นเดือนของ eth นะครับ ยกให้มันไปเลย”

แม้ว่าก่อนหน้านี้สำนักข่าวบางสำนักอย่าง CoinDesk จะรายงานว่ากำหนดการของการ hard fork ตัว Metropolis จะถูกเลื่อนออกไปอีกหลายเดือน ทว่าเดือนกันยายนที่จะถึงนี้อาจจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจจากทางฝั่งนักพัฒนาของ Ethereum มาให้ผู้ใช้งานเห็นกันเป็นระยะๆก็เป็นได้

The post ราคาเหรียญ Ethereum ทะลุจุดสูงสุดในรอบเดือนที่ 350 ดอลลาร์มุ่งสู่จุด ATH appeared first on Siam Blockchain.

นักพัฒนา Blockchain เพื่อวงการกัญชาหันมาใช้เทคโนโลยีของ IOTA

ปัจจุบันตลาดกัญชานั้นเป็นที่รู้ๆกันดีว่ากำลังเริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว ท่วาก็เฉพาะประเทศที่ทำให้มันถูกกฎหมายแล้วเท่านั้นอย่างเช่นบางรัฐในสหรัฐอเมริกา

แต่ในการเติบโตนั้นก็มักแฝงมาด้วยผู้ให้บริการบางเจ้า ที่พยายามกระโดดเข้ามาในตลาดเพื่อสร้าง “เงินเร็ว” ด้วยการหลอกลวงผู้บริโภคเช่นการทำกัญชาปลอม ทำให้มันเป็นการยากสำหรับมือใหม่ที่ต้องการจะมาลิ้มลองหญ้าตะลุยอวกาศตัวนี้สามารถที่จะแยกได้ว่าอันไหนคือของจริงหรือของปลอม ทว่านางสาว Jessica VerSteeg หรือ CEO ของ Paragon Coin นั้นดูเหมือนว่าจะต้องการทำให้ตลาดนี้กลับมามีความบริสุทธิอีกครั้ง

การต่อสู้เพื่อความถูกต้องตามกฎหมาย

ในขณะที่ตลาดเหรียญ cryptocurrency นั้นกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตลาดกัญชานั้นก็ได้มีการขยายขึ้นด้วยตัวเลขที่น่าตกใจเช่นกันโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐฯเนื่องมาจากการที่ทำให้มันถูกกฎหมาย หลักๆก็คือการนำมันมาใช้เพื่อการแพทย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ด้านกัญชาอื่นๆที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยก็เช่นกัน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้อาจกล่าวได้ว่ามีส่วนช่วยทำให้ตลาดกัญชาในประเทศสหรัฐฯเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนทางด้านกฎหมายและภาพด้านลบที่ผู้คนภายนอกมองเข้ามานั้น ทำให้แพทย์ที่ใช้กัญชาในการรักษาโรคส่วนใหญ่ไม่เป็นที่ยอมรับอย่างจริงจัง และรวมถึงธุรกิจใหม่ๆด้านกัญชาก็สามารถเกิดขึ้นมาได้ยาก “แพทย์ด้านกัญชาเหล่านั้นกำลังทำกงานกันอย่างจริงจัง” กล่าวโดยนางสาว VerSteeg “และมันก็เป็นเรื่องที่แย่มาก ที่ผู้คนกำลังดูถูกพวกเขา”

กระนั้นนางสาว VerSteeg และทางทีมพัฒนา Paragon Coin นั้นกำลังสร้างระบบ ecosystem บนเทคโนโลยี Blockchain เพื่อรองรับการวางระบบเครือข่ายเพื่อกัญชา โดยมีจุดประสงค์หลักๆก็เพื่อทำให้ผู้คนหันมามองกัญชาใหม่อีกครั้งจากภาพลบๆที่คนเคยเข้าใจผิดเนื่องจากถูกสื่อครอบงำ โดยเฉพาะจากทางรัฐบาล

เทคโนโลยี Blockchain สามารถที่จะช่วยกู้วงการนี้กลับมาได้

ก่อนหน้านี้ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานไปแล้วว่านาง VerSteeg นั้นทำการเปิดตัวเหรียญของตัวเองอย่างไม่เป็นทางการโดยมีนักร้องเพลงแร็พชื่อดังอย่าง The Game มาช่วยผสมวงด้วย

ก่อนหน้านี้นาง VerSteeg นั้นเป็นผู้ให้การสนับสนุน Cryptocurrency แบบตัวยง และยังเป็นผู้ที่คร่ำหวอดในวงการกัญชามานาน และกำลังทำงานเพื่อให้การผลิตและขายกัญชานั้นมีความโปร่งใสแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเธอรู้ว่าเทคโนโลยี Blockchain นั้นคือโซลูชันที่สามารถแก้ปัญหาระบบ supply-chain ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เธอเริ่มสนใจที่จะใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อใช้กับความช่วยเหลือของบริษัทพันธมิตรของเธออย่างเช่น AuBox ที่ให้บริการทางด้านห้องแล็บสำหรับตัวยาและสารเคมีที่ใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ด้านกัญชาของเธออีกด้วย

โดยอ้างอิงจากนางสาว VerSteeg นั้นเธอเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผ้บริโภคที่เข้ามาซื้อ “เราทำ Blockchain ขึ้นมา และให้ทางกลุ่ม supplier ของเราช่วยตรวจสอบผลิตภัณฑ์ในห้องแล็บ และเราจะทำการใส่ข้อมูลการตรวจสอบลงไปใน Blockchain และให้มันช่วยเก็บข้อมูลเพื่อเรา” กล่าวโดย VerSteeg “เรารู้แล้วว่ามันต้องใช้งานได้แน่ และเราจะให้ทุกๆคนได้ใช้มัน”

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ตลาดกัญชาเติบโตได้นั้นมาจากร้านข้ายยาและร้านสะดวกซื้อต่างๆ ที่ผู้ถือบัตรอนุญาตกัญชาสามารถที่จะซื้อมันได้เพื่อใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆเช่น โรคนอนไม่หลับ, โรคเครียด หรือโรคอื่นๆที่สามารถใช้กัญชารักษาได้ ซึ่งร้านขายยาเหล่านี้เปรียบเสมือนผู้ช่วยชีวิตลูกค้าของพวกเขาในการช่วยจัดการคัดกรองผลิตภัณฑ์กัญชาว่าตัวไหนคือของปลอมตัวไหนคือของจริงจาก supplier ที่ไม่น่าไว้ใจ โดยนางสาว VerSteeg อธิบายว่า “ผลการตรวจจากห้องแลบนั้นถือเป็นทีเด็ดของมันที่จะทำให้ผู้บริโภคและผู้ป่วยสามารถที่จะสแกน QR และดูผลการตรวจได้ทันที ซึ่งจะเป็นตัวช่วยการันตีว่าพวกเขาจะได้ในสิ่งที่เขาต้องการไป”

แผนการของ Paragon

ทางทีมงานของ Paragon วางแผนที่จะเปิดการระดมทุนในช่วงเดือนกันยายนนี้ ซึ่งทางพวกเขาต้องการที่จะนำเงินที่ระดมทุนได้มาไปสร้างออฟฟิซสำหรับทำงานด้านกัญชาโดยเฉพาะ นาง VerSteeg ได้ชี้ให้เห็นว่าความยากในธุรกิจนี้คือการหาออฟฟิซทำงาน เนื่องจากว่าผู้ให้บริการให้เช่าออฟฟิซส่วนใหญ่นั้นเมื่อได้ยินคำว่าธุรกิจกัญชา พวกเขาก็ยังไม่อยากที่จะยอมรับมัน

ออฟฟิซทำงานของ Paragon นั้นจะมีการทำงานด้านการวิจัยเกี่ยวกับกัญชา และรวมถึงด้านระบบ Blockchain เพื่อช่วยสร้างความถูกกฎหมายให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขามากยิ่งขึ้น ที่น่าสนใจคือ บริษัทอื่นๆสามารถที่จะเข้ามาขอเช่าพื้นที่ออฟฟิซของทีม Paragon ด้วยการใช้เหรียญ Paragon Coin (PRG) โดยอ้างอิงจากนางสาว VerSteeg ซึ่งเหรียญดังกล่าวนี้ยังสามารถที่จะใช้ซื้อกาแฟจากร้านในออฟฟิซของพวกเขาอีกด้วย

การหันมาใช้ Tangle

ก่อนหน้านี้นางสาว VerSteeg นั้นคิดว่า Blockchain ดังกล่าวนั้นควรที่จะถูกติดตั้งบน Blockchain ของ Ethereum แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อทางเธอและทีมของเธอได้ทำการค้นคว้าหาข้อมูลไปเรื่อยๆเกี่ยวกับโซลูชันที่สามารถใช้จัดการด้าน supply chain ที่ดีที่สุดนั้น ทำให้พวกเขารู้ว่าการหาโซลูชั่นอื่นๆใหม่ๆนั้นถือเป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งหลังจากที่ทำการศึกษาเทคโนโลยีของ NEM และ NXT แล้วนั้น นางสาว VerSteeg สามารถที่จะเข้ามาพบปะและพูดคุยกับผู้ก่อตั้งของ IOTA หรือนาย David Sonstebo และเมื่อถามเกี่ยวกับโปรเจคการทำงานร่วมกันนั้น เธอกล่าวว่า “David นั้นเป็นหนุ่มที่ฉลาดมากเลย และ IOTA ของเขาก็กำลังถูกใช้เพื่อแทรคผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร และเชื่อมต่อมันเข้ากับบริษัทและธุรกิจอื่นๆในรัฐโคโลราโด” อาจจะเห็นได้ว่าพวกเขานั้นได้เจอผู้ที่มีแนวคิดเหมือนกันแล้ว

นาย Vadym Kurylovich หรือ CTO ของ Paragon นั้นได้ออกมากล่าวถึงความสามารถด้านฟีเจอร์ต่างๆและดีไซน์ของตัว IOTA Tangle ที่ทำให้ทางทีมหันมาตัดสินใจใช้มันเพื่อสร้างเหรียญ Paragon เมื่อการเปิดระดมทุนของ Paragon นั้นเริ่มใกล้เข้ามา นางสาว VerSteeg และทีมของเธอกำลังใช้เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาในการทำการตลาดผ่านโซเชียล และตอบคำถามของผู้ให้ความสนใจในโปรเจคของเธอ

The post นักพัฒนา Blockchain เพื่อวงการกัญชาหันมาใช้เทคโนโลยีของ IOTA appeared first on Siam Blockchain.

ประเทศเอสโตเนียเตรียมเปิดตัว Estcoin หรือเหรียญ ICO ตัวแรกของโลกที่สร้างโดยรัฐบาล

ประเทศ Estonia หรือประเทศหนึ่งในยุโรปนั้น ก่อนหน้านี้ได้เคยเปิดตัวระบบ e-residency program เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว โดยหลังจากนั้นก็มีผู้คนประมาณ 22,000 คนจากทั้งโลกเข้ามาสมัครสมาชิกกับโปรแกรมนี้ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวได้มอบ ID แบบดิจิตอลที่ถูกแบคไว้โดยรัฐบาลให้กับนักลงทุนต่างชาติที่อยากจะเข้ามาจดทะเบียนบริษัท, เข้าถึงการธนาคารสำหรับธุรกิจ, และรวมถึงเครื่องมือต่างๆอย่างเช่นการเซ็นชื่อเป็นแบบดิจิตอลในขณะที่ทางเจ้าตัวไม่ต้องเดินทางมาเซ็นเองถึงที่

โดยในขณะนี้ ทางรัฐบาลประเทศ Estonia อาจจะกลายเป็นประเทศแรกที่จะสร้างเหรียญดิจิตอลขึ้นมาผ่านการระดมทุนแบบ ICO (Initial Coin Offering) โดยอ้างอิงจากบล็อกของนาย Kaspar Korjus หรือ MD ของแผนก e-residency program ของทางรัฐบาลนั้นได้ออกมากล่าวว่าเหรียญตัวนี้จะมีชื่อว่า “estcoin”

แม้ว่าทาง Estonia จะไม่ใช่ประเทศแรกบนโลกนี้ที่กำลังคิดจะเปิดตัวเหรียญดิจิตอลสำหรับประเทศตัวเองขึ้นมา เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางสยามบล็อกเชนได้เคยรายงานไปแล้วว่าทางรัฐบาลจีนกำลังทดสอบ cryptocurrency สำหรับประเทศตัวเองอยู่ แต่ทว่าระบบ e-residency ของพวกเขาอาจจะช่วยเพิ่มความได้เปรียบให้กับประเทศตัวเองได้

โดยอ้างอิงจากนาย Korjus นั้น เขาได้กล่าวว่าไม่มีประเทศไหนที่กำลังทำแบบ Estonia ในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวและร่างข้อกฎหมายเพื่อมารองรับมัน ซึ่งทางรัฐบาล Estonia นั้นมีความคิดว่าการออกมาทำแบบนี้จะสามารถช่วยลดปัญหาการปลอมเงินออกมาได้ และยังสามารถที่จะช่วยป้องกันไม่ให้นำมันไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายอีกด้วย

ที่น่าสนใจคือบิดาแห่ง Ethereum หรือ Vitalik Buterin ได้ออกมากล่าวชื่นชมไอเดียและข้อเสนอที่ว่านี้ ว่าเหรียญ estcoin จะเป็นเหรียญที่สามารถดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาได้เยอะ

“การขาย ICO ภายใต้ระบบ e-Residency นั้นจะสามารถสร้างแรงจูงใจที่มีในสองระบบนี้ไปพร้อมๆกัน และนอกเหนือจากมุมมองในด้านเศรษฐกิจแล้ว ระบบ e-Residency ยังสามารถทำให้กลุ่มคนที่เข้ามามีความรู้สึกเหมือนกับ community มากกว่า เพราะพวกเขาสามารถที่จะทำกิจกรรมร่วมกันได้”

เหรียญ Estcoin นั้นอาจจะถูกใช้แทนเงินเพื่อใช้จ่ายสินค้าในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทั้งของรัฐบาลและเอกชน และในอนาคตอาจจะได้กลายมาเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ใช้กันทั่วโลกก็ได้ อ้างอิงจากนาย Korjus ถ้าหากการขาย ICO เกิดขึ้นแล้วละก็ พวกเขาจะทำให้นักลงทุนแน่ใจว่าเงินที่ระดมทุนได้มาจะถูกบริหารแบบครึ่งๆระหว่างทางรัฐบาลและเอกชน เพื่อให้แน่ใจว่าเงินทั้งหมดนั้นจะถูกนำไปใช้เพื่อการพัฒนาระบบโครงสร้างของเหรียญดิจิตอลตัวนี้ ที่น่าสนใจคือ นาย Korjus ยังได้กล่าวว่าประเทศ Estonia นั้นยังวางแผนเพื่อที่จะ “เป็นประเทศที่สามารถอยู่รอดได้แบบโดดๆ” อีกด้วย

เหรียญ Estcoin อาจทำให้ทางรัฐบาล Estonia สามารถลงทุนในตัวของ Smart Contract และระบบ AI สำหรับหน่วยงานสาธารณะได้อีกเช่นกัน พวกเขายังมีศักยภาพที่จะกลายเป็น “ประเทศในอุดมคติ” ที่สังคมดิจิตอลในอนาคตอยู่บนยุคดิจิตอลโดยสมบูรณ์แบบ อิงจากนาย Korjus ซึ่งส่วนหนึ่งของเงินทุนนั้นจะถูกนำไปช่วยเหลือบริษัทสตาร์ทอัพใหม่ๆในประเทศ และรวมถึงผู้ที่เข้ามาลงทุนในประเทศด้วยระบบ E-resident อีกด้วย

เหรียญ Estcoin นั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

แม้ว่ามันจะฟังดูน่าตื่นเต้น สำหรับประเทศที่อยู่ในแถบ Baltic ที่จะทำการออกสกุลเงินดิจิตอลเป็นของตัวเอง และสามารถที่จะแซงหน้าทุกๆประเทศทั่วโลกไปได้แบบไม่เห็นฝุ่น ทว่าเหรียญ Estcoin นั้นยังคงอยู่ในช่วงริเริ่มเท่านั้น โดยอ้างอิงจากนาย Korjus ที่ให้สัมภาษณ์กับ TheNextWeb เขากล่าวว่าถึงมันจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่พวกเขามีศักยภาพที่จะทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้

เขาได้ออกมากล่าวถึงเป้าหมายที่ถูกตั้งออกมาในขณะนี้เพื่อทำการใช้เก็บข้อมูล

“เป้าหมายของเราในการเสนอไอเดียตอนนี้คือทางเราต้องการที่จะเก็บผลตอบรับและความเห็นจากผู้คนก่อนที่จะก้าวไปสู่ขั้นตอนต่อไปในการเริ่มพัฒนา เราได้เห็นผู้คนที่มีทั้งความสนใจและความรู้สึกที่อยากจะช่วยสนับสนุนอย่างมากมายโดยเฉพาะจากกลุ่มหัวหน้าของบริษัท startup หลายๆบริษัทในประเทศ”

หากคุณเข้าไปในเว็บไซต์ e-residency ของ Estonia นั้น คุณสามารถที่จะสมัครสมาชิกเพื่อรอรับข่าวสารเกี่ยวกับ Estcoin หรือเหรียญ ICO ตัวแรกของโลกที่คิดค้นโดยรัฐบาล ซึ่งทางทีมนักพัฒนายังหวังว่าจะให้ผู้คนช่วยกันแสดงความเห็นและใส่ hashtag คำว่า #estcoin and #eresidency บนโซเชียลอีกด้วย เมื่อมี feedback ที่เพียงพอแล้ว พวกเขาจะทำการเริ่มสร้างระบบทดสอบเพื่อใช้ในการพัฒนาเหรียญตัวนี้ต่อไป

The post ประเทศเอสโตเนียเตรียมเปิดตัว Estcoin หรือเหรียญ ICO ตัวแรกของโลกที่สร้างโดยรัฐบาล appeared first on Siam Blockchain.

Sunday, August 27, 2017

กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดผู้ให้บริการส่ง Bitcoin

กลุ่มบริษัทชื่อดังในประเทศเกาหลีใต้นามว่า Dongbu Group ได้ออกมาประกาศทำสัญญาหุ้นส่วนกับบริษัทผู้ให้บริการโอน Bitcoin นามว่า Sentbe เนื่องจากพวกเขาอยากจะเข้าไปลงทุนในตลาดการโอนเงิน Bitcoin ที่กำลังเติบโตนี้

โดยกลุ่มบริษัทดังกล่าวกำลังร่วมมือกับ Sentbe ผ่านธนาคารเอกชนแบรนด์ลูกนามว่า Dongbu Savings Bank

โดยอ้างอิงจากทางธนาคารดังกล่าวนั้น บันทึกความเข้าใจ หรือ Memorandum of Understanding (MOU) ได้ถูกร่างและเซ็นโดยทางผู้บริหารจากทั้งสองฝั่งเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อเตรียมการ “ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4”

“เรากำลังร่วมงานกับพันธมิตรทางธุรกิจที่อยู่ในวงการนี้เพื่อเตรียมการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ภายใต้ระบบธนาคารแบบเก่า”

ประวัติและที่มาของหุ้นส่วน

บริษัท Sentbe นั้นก่อนหน้านี้เคยได้รางวัลด้าน financial technology (fintech) สำหรับธุรกิจด้านการส่งเงินโดยใช้ Bitcoin มาแล้วเมื่อปี 2016

โดยในระบบบริการดังกล่าวนั้น ผู้ใช้งานสามารถที่จะส่งเงินไปยังประเทศจีน, เวียดนาม, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าของธนาคารธรรมดาทั่วไปถึง 95%

ส่วน Dongbu Group นั้นถือเป็นกลุ่มบริษํทยักษ์ใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้ที่เป็นบริษัทเกี่ยวกับผู้ผลิตสารเคมี, ขนส่ง, การเงิน, และผลิตภัณฑ์ด้านประกัน ส่วนธนาคารแบรนด์ลูกของพวกเขานามว่า Dongbu Savings Bank นั้นถือเป็นสมาชิกของ World Savings และ Retail Banking Institute (WSBI) อีกด้วย

ผ่านระบบของ WSBI นั้น ทางธนาคารจะทำการประสานงานกับสถาบันการเงินอื่นๆในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร Swedbank ของสวีเดน, Fra-Spa ของเยอรมัน, Philippine Postal Savings Bank ของประเทศฟิลลิปินส์, Indonesia National Housing Bank ของประเทศอินโดนีเซีย, Sri Lanka National Savings Bank ของประเทศศรีลังกา และธนาคารออมสินแห่งประเทศไทย

รัฐบาลเกาหลีใต้ทำให้ Bitcoin ถูกกฎหมาย

ทางรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ทำการแก้ไขกฎมายว่าด้วยการแลกเปลี่ยนหรือการเงินระหว่างประเทศเพื่อทำให้การส่ง Bitcoin หากันนั้นถูกกฎหมาย ซึ่งการแกไขข้อกฎหมายนั้นมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ภายใต้กฎหมายดังกล่าวนั้น บริษัทด้านฟินเทคที่กำลังวางแผนจะเปิดให้บริการด้านการแลกเปลี่ยน Bitcoin จะต้องทำการลงทะเบียนกับ Financial Supervisory Service (FSS) ในประเทศเกาหลีใต้ และจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ระบุบางข้ออย่างเช่นจะต้องมีเงินสำรองอยู่ในคลังประมาณ 2 พันล้านวอน (ประมาณ 1.77 ล้านดอลลาร์) และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่จะต้องไม่มากกว่า 200%

The post กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดผู้ให้บริการส่ง Bitcoin appeared first on Siam Blockchain.

บริษัทด้าน Bitcoin ที่ถูก SEC พักใบอนุญาตออกมาตอบโต้ “น่าจะปรึกษากันก่อนทำแบบนี้”

บริษัท First Bitcoin Capital (BITCF) หรือบริษัทที่เข้า IPO และถูกซื้อขายหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐฯได้ออกมาประกาศตอบโต้การหยุดพักใบอนุญาตที่ทาง SEC เพิ่งจะดำเนินการไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยทาง BITCF ถึงกับออกมาบอกว่า “นี่คือความเข้าใจผิด” และควรที่จะแก้ไขโดยเร็ว

SEC พักใบอนุญาตสำหรับซื้อขายหุ้นของบริษัท First Bitcoin Capital บนตลาดหลักทรัพย์

เมื่อวันที่ 25 ที่ผ่านมานี้ ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานว่าทาง SEC (Securities and Exchange Commission) ในประเทศสหรัฐฯได้ทำการพักใบอนุญาตสำหรับการเทรดหุ้น BITCF บนตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคมเวลาอเมริกา ไปจนถึงวันที่ 7 กันยายน ซึ่งหุ้น BITCF ที่ถูกทำการซื้อขายผ่านบนเคาเตอร์นั้นได้มีราคาที่พุ่งขึ้นมามากกว่า 6,000% เฉพาะในปี 2017 นี้ปีเดียว และมีราคาอยู่ที่ 1.79 ดอลลาร์ต่อหุ้นในขณะที่ถูกพักใบอนุญาต

โดยทาง SEC อ้างว่าการพักใบอนุญาตนั้นสอดคล้องกับกับหมาย Securities Exchange Act ปี 1934 และพวกเขายังได้แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับ “ข้อมูลของเกี่ยวกับบริษัทที่ไม่เพียงพอ ซึ่งประกอบไปด้วยมูลค่าสินทรัพย์ที่มี BITCF ถือครองไว้ และรวมถึงโครงสร้างของบริษัท”

หลังจากการพักใบอนุญาตสักพักนั้น ทีมบริษัทดำเนินคดีด้านกฎหมาย Bronstein, Gerwitz & Grossman ได้ออกมาประกาศว่าพวกเขากำลังสืบสวนเพิ่มเติมในกรณีที่ถ้าหากมีผู้ถือหุ้น BITCF มาขอเคลมเงิน

First Bitcoin Capital โต้กลับการพักใบอนุญาตของ SEC

ในตอนนี้ทาง First Bitcoin Capital ได้ออกจดหมายถึงผู้ถือหุ้นทุกคน โดยแสดงความเห็นต่อการถูกพักใบอนุญาตโดย SEC

ซึ่งใจความในจดหมายนั้นได้มีการกล่าวว่าพวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถือเป็นความเข้าใจผิด และพวกเขาได้ทำการวางแผนเพื่อเข้าพบปะพูดคุยกับ SEC แล้ว ซึ่งจะมีการส่งรายงานจากการ audit ในเร็วๆนี้

“เราเชื่อว่ามันมีความเข้าใจผิดกัน หรือทาง SEC น่าจะมีการบอกกล่าวหรือปรึกษากันก่อนที่จะเดินหน้าทำการกระทำที่รุนแรงเช่นนี้ อันที่จริงแล้ว ทาง SEC นั้นดูเหมือนว่าจะใจร้อนในการหยุดการซื้อขายมาก ถึงกับทำให้ใส่สัญลักษณ์บริษัท CIAU เพิ่มมาแบบไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งทำให้ดูเหมือนเป็นของบริษัทเราทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลย”

กล่าวโดย First Bitcoin Capital

The post บริษัทด้าน Bitcoin ที่ถูก SEC พักใบอนุญาตออกมาตอบโต้ “น่าจะปรึกษากันก่อนทำแบบนี้” appeared first on Siam Blockchain.

Enigma จะชดใช้ค่าเสียหายให้กับนักลงทุนที่เสียเงินจากการถูกแฮค

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2017 นาย Guy Zyskind หรือผู้ก่อตั้งร่วมและ CEO ของ Enigma ได้ออกมาประกาศผ่านบล็อกของบริษัทเพื่อแสดงความรับผิดชอบในการแฮคที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมาซึ่งมีความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 1,492 ETH

โดยนาย Zyskind กล่าวว่า

“เราขอแสดงความรับผิดชอบ และเรารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งสำหรับผู้ที่สูญเสียเงินลงทุนไปในเหตุการณ์การแฮคเมื่อไม่นานมานี้ และเราอยากจะบอกให้ทุกท่านรู้ว่าจะไม่มีใครในนี้ต้องสูญเสียเงินอีกต่อไป เพราะเราจะทำการชดเชยเงินลงทุนคืนให้กับทุกๆคนที่สูญเสียในเหตุการณ์การแฮคทั้งหมด”

ภายหลังเขาได้บอกทุกคนที่ยังไม่ได้ติดต่อทีมซัพพอทของเขา ทำการเข้าไปติดต่อและยื่นข้อมูลส่วนตัวรวมถึงการทำธุรกรรม

นาย Zyskind กล่าวว่า “เราได้ทำการอุดช่องโหว่ที่ทางนักแฮคใช้เจาะระบบเข้ามาแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าทางกลุ่มนักลงทุนใน community ของเราปลอดภัย และการเปิดการซื้อขายเหรียญที่จะถึงนี้สำเร็จไปด้วยดี” เขายังได้ออกมากล่าวขอบคุณกลุ่มผู้ใช้งานที่ช่วยออกมาแจ้งเตือนการแฮคอย่างรวดเร็ว, ช่วยป้องกันการโจมตี, ตรวจสอบเว็บไซต์ปลอมที่ทำออกมาเพื่อหลอกลวง, พยายามติดตามจับนักแฮค และให้ความรู้กลุ่มคนใน community ซึ่งความพยายามดังกล่าวนั้นทำให้ทาง Enigma สามารถที่จะหยุดความเสียหายได้ทันท่วงที

The post Enigma จะชดใช้ค่าเสียหายให้กับนักลงทุนที่เสียเงินจากการถูกแฮค appeared first on Siam Blockchain.

การอัพเกรด Metropolis ของ Ethereum อาจถูกยืดเยื้อไปอีกหลายเดือน

อ้างอิงจากสื่อด้าน cryptocurrency และ blockchain นามว่า CoinDesk นั้น นักพัฒนา Ethereum นั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้ประกาศถึงวันเปิดตัวที่แน่ชัดของตัวอัพเดต hard fork ตัวใหม่นามว่า Metropolis

อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนไทม์ไลน์ของการทดสอบตัวอัพเดตล่าสุดนั้นถูกประกาศในการประชุมของนักพัฒนาเมื่อวานนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้แผนการ hard fork นั้นถูกกำหนดเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมหรือกันยายนที่จะถึงนี้ ทว่าก็ต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากว่ายังพัฒนาไม่เสร็จ

ตัวอัพเดต Metropolis นั้นถือเป็นแผนการอัพเดตตัวที่สามในสี่ของทีมพัฒนาหลัก Ethereum โดยก่อนหน้านี้ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานไปแล้วว่าตัวอัพเกรด Metropolis นั้นจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆที่สามารถช่วยพัฒนาระบบโดยรวมของ Ethereum ได้อย่างมาก ซึ่งการ hard fork ดังกล่าวนี้จะถูกทำแยกออกมาเป็นสองช่วง ช่วงแรกจะมีชื่อว่า Byzantium และช่วงที่สองจะมีชื่อว่า Constantinople

โดยในการประชุมของนักพัฒนาเมื่อวานนี้ได้มีการประกาศว่าทางทีมนั้นได้กำหนดสเป็คของตัว Ethereum Improvement Protocols เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงนักพัฒนานั้นพร้อมสำหรับการทำงานขั้นต่อไปแล้ว ซึ่งรวมถึงการทดสอบการ fork บนเครือข่าย test network ซึ่งวันและเวลาในการ fork ที่แน่ชัดจะถูกประกาศออกมาอีกครั้งหนึ่งหากทดสอบสำเร็จแล้ว

การทดสอบนั้นถูกกำหนดให้มีขึ้นในช่วงปลายเดือนที่จะถึงนี้ และช่วงเริ่มต้นเดือนกันยายน ซึ่งอาจจะกินเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ โดยแปลว่าการประกาศเวลาของการ hard fork อาจจะมีขึ้นตอนช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนหรือสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่พวกเขาวางไว้

The post การอัพเกรด Metropolis ของ Ethereum อาจถูกยืดเยื้อไปอีกหลายเดือน appeared first on Siam Blockchain.

“กองทุน Bitcoin ETF ดูเหมือนจะเริ่มมีโอกาสเป็นจริงมากขึ้นแล้ว” กล่าวโดยนักวิเคราะห์ Bloomberg

กองทุน Bitcoin หรือ ETF (Exchange traded fund) ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้นเนื่องจากปัญหาด้านการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น อ้างอิงจากนาย Eric Balchunas จาก Bloomberg ที่เพิ่งจะออกรายการ Bloomberg Technology เมื่อไม่นานมานี้

ทาง ก.ล.ต. ของประเทศสหรัฐฯหรือ SEC (Securities and Exchange Commission) ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปีเคยประกาศไม่อนุมัติการเปิดให้บริการ Bitcoin ETF ของสองพี่น้อง Winklevoss มาแล้ว

โดยนาย Balchunas ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่อาจส่งผลให้กองทุน Bitcoin ETF เป็นจริงขึ้นมาได้ดังนี้

สาเหตุที่ Bitcoin ETF ถึงมีโอกาสเป็นไปได้

ทาง CBOE (Chicago Board Options Exchange) ได้ออกมาประกาศเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาว่าจะเปิดให้บริการเทรดตราสารอนุพันธ์อย่าง Bitcoin Futures และ Options กล่าวโดยนาย Balchunas

ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางสยามบล็อกเชนได้เคยรายงานแล้วว่าทาง CBOE นั้นกำลังรอคอยการอนุมัติจากทาง Commodities Futures Trading Commission (CFTC) ซึ่งทาง CBOE วางแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Bitcoin Futures ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และช่วงต้นปี 2018

“ซึ่งมันก็จะมี Bitcoin Options ด้วย” กล่าวโดยนาย Balchunas “มันจะทำให้ตลาดมีสภาพคล่องที่มากขึ้น” เขากล่าว “นั่นมันสำคัญมาก ผมคิดว่ามันจะช่วย SEC ได้”

“เรื่องที่สองก็มาจากทาง SEC” เขากล่าว ซึ่งมีการกล่าวถึงการบริหารของประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่างนายโดนัล ทรัมป์ที่มีอิทธิพลกับทาง SEC โดยตรง ซึ่งหัวหน้าของทางแผนก Investment Management นั้นมาจากบริษัทด้านกฎหมายที่เคยช่วยสองพี่น้อง Winklevoss ในการยืนขอใบอนุญาต Bitcoin ETF มาแล้ว “ผมไม่ได้พูดว่าพวกเขาจะตัดสินใจจากเรื่องนั้น แต่มันก็ไม่เสียหายถ้าจะพูดถึงมัน” กล่าวโดย Balchunas

“พวกเขาเริ่มจะมีความเป็น liberal มากกว่าปีที่แล้ว” เขากล่าววิเคราะห์ SEC

เก็บไว้เพื่อเวลาที่เหมาะสม

“เมื่อคุณจะอนุมัติ ETF สำหรับอะไรสักอย่าง คุณจะต้องเก็บมันไว้เปิดตัวในช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างเช่น prime time เพราะทุกๆคนที่มีบัญชีสำหรับเทรดออนไลน์นั้นจะสามารถซื้อมันได้” กล่าวโดย Balchunas “มันง่ายกว่ามากที่จะไปสมัครบัญชีเทรด Bitcoin บนเว็บเทรดอื่นๆทั่วไป”

มันยังดีสำหรับ Bitcoin ด้วย เพราะว่ามันจะถือเป็นการเปิดประตูให้นักลงทุนใหม่ๆเข้ามา” เขากล่าวเปรียบเทียบกับ GLD ETF หรือกองทุนทองคำที่ก่อนหน้านี้ในอดีตต้องใช้เวลานานมาก กว่าทาง SEC จะอนุมัติ ซึ่งในขณะนี้มันมีมูลค่าถึง 40 พันล้านดอลลาร์ ETF ซึ่ง Bitcoin ETF ของสองพี่น้อง Winklevoss นั้นดูเหมือนจะมีแนวโน้มที่กลายเป็นเป็นแบบ GLD ในอนาคตด้วย

“มันจะสามารถใช้เก็บ Bitcoin ได้เหมือนกับที่ GLD เก็บทองคำ ซึ่งทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น” เขากล่าว

การอนุมัติของ CFTC ทำให้รุดหน้ามากขึ้น

ทาง CFTC อนุมัติใบอนุญาตให้กับ LedgerX, LLC ในการให้เปิดเทรดตราสารอนุพันธ์ภายใต้กฎหมาย Commodity Exchange Act ซึ่ง LedgerX นั้นจะสามารถให้บริการทางด้านสัญญาแลกเปลี่ยน (swap) สกุลเงินดิจิทัลที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเต็มรูปแบบ โดยบริการของพวกเขานั้นยังถูกอนุมัติโดย Swap Execution Facility (SEF) ด้วยเช่นกันเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ให้บริการการซื้อขายสกุลเงินดิจิตอลแบบ Options รายแรกในตลาดสหรัฐฯ

แม้ว่าก่อนหน้านี้การออกมาประกาศให้เหรียญ Token ของ DAO จะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ของทาง SEC นั้นจะมีขึ้นมา แต่การตัดสินใจของพวกเขาก็ถูกยอมรับในหมู่ผู้ใช้งานเหรียญ cryptocurrency ทั่วไปโดยมองว่าการมีกฎหมายเข้ามาควบคุมนั้น จะส่งผลดีในระยะยาวต่อตลาดของเหรียญพวกนี้ เนื่องจากมันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะในการขาย ICO ที่สามารถจะจัดการกลุ่มพวกมิฉาชีพหลอกลวงให้หมดไปได้ด้วย

The post “กองทุน Bitcoin ETF ดูเหมือนจะเริ่มมีโอกาสเป็นจริงมากขึ้นแล้ว” กล่าวโดยนักวิเคราะห์ Bloomberg appeared first on Siam Blockchain.

นักลงทุนถอนเงินออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือพวกเขาอาจหันมาลงทุนใน Bitcoin และเหรียญอื่นๆ

การถอนเงินทุนออกจากตลาดหุ้นและตลาดทองคำนั้นดูเหมือนว่าจะพอเหมาะกับช่วงขาขึ้นของราคา Bitcoin ในช่วงนี้และรวมถึงราคาของเหรียญอื่นๆเช่นกัน ซึ่งดูเหมือนว่านักลงทุนนั้นอาจจะเริ่มรู้ถึงศักยภาพของ Bitcoin แล้วก็เป็นได้

โดยอ้างอิงจากสำนักข่าว CNBC ที่ได้รายงานว่าตลาดหุ้นในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นได้มีอัตราการถอนเงินทุนออกจากตลาดมาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ซึ่งมีเม็ดเงินจำนวนราวๆมากกว่า 30 พันล้านดอลลาร์ที่ถูกดึงออกมาจากตลาดในช่วงมากกว่า 10 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งการแย่งกันถอนเงินนั้นยังรวมถึงการเลิกถือทองคำและแร่ธาตุอื่นๆด้วย

ราคาแร่ธาตุกำลังตก

ลูกค้านักลงทุนที่ก่อนหน้านี้เคยแลกเปลี่ยนซื้อขายแร่ธาตุต่างเช่นทองคำนั้น ก็มีอัตราการลงทุนที่ลดน้อยลงเช่นกัน โดยจำนวนการเปิด portfolio แบบ 10% ในปี 2013 นั้นลดลงมาเหลือต่ำกว่า 2% แล้วเมื่อช่วงปี 2017 นี้ตามกราฟด้านล่าง

การลงทุนในตัวแร่ธาตุที่เริ่มน้อยลงนั้น ดูเหมือนจะสอดคล้องกับการถอนเงินออกจากตลาดหุ้นโดยรวม แม้ว่าตลาดส่วนใหญ่นั้นจะค่อนข้างเป็นบวกก็ตาม

ก่อนหน้านี้ก็มีนักลงทุนชื่อดังนามว่า Thomas Lee หรือที่ปรึกษาด้านการเงินจาก Fundstrat Global Advisors ที่เคยออกมากล่าวว่าเขามองว่า Bitcoin นั้น “เป็นตัวเลือกการลงทุนที่ดีกว่าทองคำ” ผ่านรายการของ CNBC อีกด้วย

โอกาสการลงทุนในตัวสกุลเงินคริปโต

เทคโนโลยี Blockchain กำลังสร้างโอกาสการลงทุนใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาในปัจจุบัน บริษัทอย่าง LAToken และ MyBit ได้พัฒนาวิธีการสาหรับทำให้ทุกอย่างสามารถลงทุนได้ด้วยเหรียญคริปโต ซึ่งส่งผลให้การลงทุนที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากๆสามารถที่จะเอื้อมถึงได้ด้วยนักลงทุนระดับย่อย

ระบบ decentralized ของบริษัทเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างๆสามารถที่จะเข้ามาร่วมลงทุนได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่สูงเหมือนกับตลาดการลงทุนแบบเก่า อีกทั้งทาง LAToken ยังได้สร้างระบบที่ทำให้หุ้นของบริษัทบลูชิพใหญ่ๆอย่าง Apple, Amazon และอื่นๆ กลายเป็น “เหรียญดิจิตอล” และสามารถที่จะถูกซิื้อผ่านระบบดังกล่าวได้ นาย Valentin Preobrazhenskiy หรือ CEO ของ LaToken ได้กล่าวว่า

“เราสร้างตลาด NASDAQ บนระบบ Blockchain ที่เต็มไปด้วย asset ที่สามารถซื้อขายได้เยอะแยะมาก อีกทั้งยังทำลายกำแพงกั้นระหว่างเหรียญคริปโตกับตลาดเศรษฐกิจจริง ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกค้าของเราได้ประโยชน์ในด้านค่าธรรมเนียมที่ถูกลง, การซื้อขายที่เร็วขึ้น และอื่นๆอีกมาก”

ระบบหุ้นที่ถูกนำมาผูกกับเหรียญนั้นจะมีความเสถียรมากแค่ไหนก็คงต้องดูกันต่อไป

The post นักลงทุนถอนเงินออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือพวกเขาอาจหันมาลงทุนใน Bitcoin และเหรียญอื่นๆ appeared first on Siam Blockchain.

Saturday, August 26, 2017

ประเทศแคนาดาเตรียมออกกฎหมายทำให้สกุลเงินดิจิตอลเป็นสินทรัพย์

หลังจากการศึกษาเกี่ยวกับเหรียญ cryptocurrency และ ICO ที่จะมีการทขึ้นมาในอนาคตนั้น ทางรัฐบาลและผู้ออกกฎหมายในประเทศแคนาดาได้ออกมากล่าวว่าเจ้าเหรียญพวกนี้มีลักษณะเหมือนกับการขาย securities (สินทรัพย์) และจะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์ดังกล่าว

พื้นที่สีเทาของข้อกฎหมาย

ในขณะที่สกุลเงินดิจิตอลและ ICO กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลกนั้น รัฐบาลและผู้่ออกกฎหมายกำลังพยายามหาวิธีในการนำมันเข้ามาผนวกกับข้อกฎหมายเพื่อทำการควบคุมมันให้อยู่ในกรอบ

ทางผู้บริหารหลักทรัพย์ของแคนาดา (The Canadian Securities Administrators) หรือกลุ่มผู้เฝ้าติดตามผู้ฝ่าฝืนกฎหมายด้านสินทรัพย์ในประเทศแคนาดาได้กล่าวว่าเหรียญอะไรก็แล้วแต่ที่มีมูลค่าหรือสามารถสร้างกำไรได้ในอนาคต หรือทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายสินทรัพย์

ซึ่งแน่นอน กฎข้อนี้ครอบคลุมการลงทุนแบบ ICO ที่ว่าด้วยการเพิ่มมูลค่าของการลงทุนที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในอนาคตด้วย

โดยข้อความจากผู้ออกกฎหมายนั้นได้ระบุว่า

“ด้วยการเสนอขายที่เราได้ทำการรีวิวมาจนถึงตอนนี้ เราได้ค้นพบว่าเหรียญคริปโตนั้นตกอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยเรื่องของสินทรัพย์ เนื่องจากว่าพวกมันเป็นสัญญาการลงทุน”

สิ่งที่ทำให้กลุ่มนักลงทุน Fintech กลัว

อย่างไรก็ตาม หลายๆฝ่ายมองว่าการออกมาประกาศของผู้ออกกฎหมายนั้นยังไม่แน่ชัดและกำกวม แม้ว่าจะทำให้หลายๆคนรู้สึกกลัวก็ตาม

ซึ่งนั่นทำให้หนึ่งในผู้บริหารของบริษัทสายฟินเทคออกมาวิจารณ์และเรียกร้องให้ทาง Canadian Securities Administrators ออกมาอธิบายเพิ่มเติม

“มันยังไม่ค่อยเคลียร์เท่าไรเลยที่สกุลเงินคริปโตนั้นจะตกอยู่ภายใต้กฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์” กล่าวโดย Daniel Fuke หรือหุ้นส่วนของ M&A groupที่ Fasken Martineau

“มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราสามารถที่จะรู้จากปากของพวก CSA ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่เกี่ยวกับเรื่องของการออกมาทดสอบกฎหมายหลักทรัพย์กับพวกเราแบบนี้”

การกดดันจากทางใต้

ลงไปทางใต้ของประเทศแคนาดาซึ่งก็คือประเทศสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางผู้ออกกฎหมายได้ออกมาประกาศว่าบริษัทด้าน Blockchain เกือบทุกบริษัทนั้นต้องทำตามกฎหมายทุกประการ เนื่องจากเหตุการณ์ DAO ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2016

ดังนั้น ICO ทุกตัวจะต้องถูกควบคุมโดยข้อกฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์พวกนี้ จนกว่าจะได้รับข้อยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ

ภาพจาก ETH News

The post ประเทศแคนาดาเตรียมออกกฎหมายทำให้สกุลเงินดิจิตอลเป็นสินทรัพย์ appeared first on Siam Blockchain.

ขุดเหรียญ Monero ด้วยการ์ดจอคืออะไร และทำอย่างไร

กฎหมายด้านการระดมทุนใหม่ของจีนอาจทำให้ ICO ใหม่ๆทุกตัวต้องถูกตรวจสอบ

กฎหมายใหม่ที่กำลังจะถูกร่างออกมาโดยทางรัฐบาลจีนในเรื่องของอาชญากรรมด้านการเงินอาจจะถูกนำมาปรับใช้กับการลงทุน ICO ด้วย

ร่างเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวนั้นได้ถูกปล่อยออกมาโดยทางสภานิติบัญญัติแห่งรัฐสภาแห่งรัฐบาลจีน โดยทางผู้ออกกฎหมายนั้นกำลังเปิดให้ทางสาธารณะเข้ามาแสดงความคิดเห็นและแนะนำ ก่อนที่จะมีการดำเนินการบังคับใช้ต่อไป

แม้ว่าจะหลักๆจะโฟกัสไปที่กิจกรรมการระดมทุนหลักๆนั้น แต่ว่าย่อหน้าที่ 15 ของร่างได้มีการกล่าวถึงการระดมทุนด้วย cryptocurrency ที่อาจตกเป็นเข้าของการตรวจสอบได้

“ถ้าหากทางรัฐบาลได้ค้นพบการระดมทุนที่ผิดกฎหมาย และพบการระดมทุนที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือการระดมทุนที่ละเมิดบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องของรัฐ และถ้าหนึ่งในเหตุการณ์นี้ถูกเราพบ ทางรัฐบาลจะทำการเข้าไปสืบสวนสอบสวน และทางหน่วยงานที่เกี่ยวของก็จะเข้ามาช่วยเหลือด้วยเช่นกัน … (2) การระดมทุนในการออก equity, เปิดระดมทุน, ขายประกัน, หรือการแลกเปลี่ยนจัดการสิทรัพย์, สกุลเงินดิจิตอล, การให้ยืม, และกองทุนรวม…”

ร่างดังกล่าวนั้นได้เน้นย้ำว่าทางรัฐบาลจะทำการจัดตั้งคณะกรรมการระหว่างแผนกเพื่อต่อสู้กับการระดมทุนที่ผิดกฎหมาย โดยยังมีการกล่าวถึงเป็นครั้งแรกด้วยว่าทางนักลงทุนที่ช่วยระดมทุนผิดกฎหมายนั้นจะต้องรับผิดชอบในการสูญเสียของตัวเองทุกประการ

ปัจจุบันประเทศจีนมีกฎหมายทั้งหมดสองข้อเกี่ยวกับการบังคับใช้ในกรณีที่มีการกระทำผิดด้านการระดมทุนที่ผิดกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้านี้บทลงโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ทว่าภายหลังก็เปลี่ยนเป็นการจำคุกตลอดชีวิตแทน และอีกข้อหนึ่งที่ว่าด้วยการเปิดบริจาคจากสาธารณะแบบปลอมๆ ก็จะถูกจำคุกทั้งหมด 10 ปี

ร่างกฎหมายดังกล่าวได้ถูกทำขึ้นมาท่ามกลางความตื่นตระหนกของธุรกิจและการหลอกลวงแชร์ลูกโซ่ เมื่อเดือนที่แล้วมีนักศึกษามหาวิทยาลัยถูกพบเป็นศพหลังจากที่ถูกแม่ทีมธุรกิจแชร์ลูกโซ่กักขังและทำร้ายร่างกายในเมืองเทียนจิน ประเทศจีน

ภาพจาก ndtvimg

The post กฎหมายด้านการระดมทุนใหม่ของจีนอาจทำให้ ICO ใหม่ๆทุกตัวต้องถูกตรวจสอบ appeared first on Siam Blockchain.

สาเหตุที่ราคา Litecoin พุ่งถึง 50 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคม

ราคาของ Litecoin (LTC) พุ่งทะลุระดับราคาที่ 50 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกของเดือนสิงหาคม เนื่องจากสาเหตุหลักๆสำคัญสองประการ อย่างแรกคือการรองรับการใช้งานร่วมกับ Bitcoin เนื่องจากระบบ Segregated Witness (SegWit) และรวมถึงการเป็นเหรียญที่คนนิยม hedge (กระจายความเสี่ยง)

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีรายงานว่านาย Tuur Demeester หรือนักวิเคราะห์และนักลงทุนที่ได้ออกมาวิเคราะห์ Litecoin ว่าเป็นตัวสำหรับใช้ทำ hedge ที่แท้จริงเวลาต้องการหนีจาก Bitcoin เนื่องจากว่าระบบ SegWit ที่ถูกเปิดใช้แล้ว เขายังได้อธิบายอีกว่าการเทขายของเหรียญ​ Bitcoin Cash (BCH) นั้นน่าเป็นสาเหตุทำให้ราคาของ Litecoin พุงอย่างรุนแรง

“ถ้าหากการปั๊มราคาของ BCH นั้นล้มเหลว เงินทุนอาจจะไหลเข้าไปในเหรียญ​ LTC เพราะมันเปรียบเมือนเหรียญสำหรับ Hedge เวลา Bitcoin ราคาตก ผมเพิ่งจะเอากำไรที่ได้มาจาก BCH ไปลงทุนใน LTC เวลาที่ผมพูดว่าการ ‘hedge เหรียญ Bitcoin’ ผมหมายความว่า Litecoin นั้นมี SegWit แล้ว และมันก็จะสามารถทำงานร่วมกันกับเครือข่ายของ Bitcoin ได้” กล่าวโดยนาย Demeester

แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่จะหาเหตุผลมาอธิบายการขึ้นราคาของ Litecoin และการเทขายของ Bitcoin Cash นั้น แต่หากลองดูให้ดีเราจะพบว่าช่วงเวลาของการเคลื่อนไหวราคาดังกล่าวนั้นตรงกับการวิเคราะห์ของนาย Demeester พอดี โดยในช่วงสัปดาห์ที่เหรียญ BCH ร่วงจาก 1,000 ดอลลาร์สู่ 640 ดอลลาร์นั้น ราคาของ Litecoin ก็พุ่งไปทำจุดสูงสุดในรอบเดือนที่มากกว่า 50 ดอลลาร์

ดูเหมือนว่าการเทขายของ BCH นั้นจะมาจากประเทศเกาหลีใต้และประเทศจีน โดยสองประเทศนี้หลายๆคนทราบดีว่าถือเป็นประเทศที่มีตลาด BCH ที่ใหญ่ที่สุด และรวมถึงความต้องการของเหรียญ Litecoin ของพวกเขาก็พุ่งสูงมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งรายงานเผยให้เห็นว่าในช่วงที่มีการเทขาย BCH นั้น นักลงทุนส่วนใหญ่ย้ายไปลงทุน Litecoin, Ethereum และ Bitcoin ในตลาดจีนและเกาหลีใต้กัน

อีกหนึ่งสาเหตุใหญ่ๆที่ทำให้ราคาของ Litecoin พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงนั้นมาจากการติดตั้ง SegWit บนเครือข่ายของ Bitcoin ซึ่งทีมนักพัฒนา SegWit ของ Bitcoin นั้นก่อนหน้านี้ก็เคยพัฒนาและติดตั้งระบบดังกล่าวให้กับ Litecoin เช่นกันเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

นั่นหมายความว่าเมื่อเหรียญสองเหรียญนี้มีระบบ SegWit แล้วจะส่งผลทำให้การ swap หรือแลกเปลี่ยนระหว่าง Blockchain นั้นสามารถทำได้ง่ายมากขึ้น นาย Charlie Lee หรือผู้สร้าง Litecoin และทีมพัฒนาระบบ Lightning หรือฟีเจอร์สำหรับการใช้จ่ายแบบ micropayment สำหรับ Bitcoin ได้เน้นย้ำว่าความสามารถของ SegWit นั้นทำให้การ swap แลกเปลี่ยนระหว่างเหรียญสองเหรียญนี้สามารถทำได้ง่ายมากขึ้น

“เวอร์ชัน 0.3 ของ LND ถูกเพิ่มเข้ามาใน Litecoin เพื่อการทำให้ระบบ multi-chain ของ Lightning Network นั้นสามารถทำให้ผู้ใช้งานทั้ง Litecoin และ Bitcoin swap ข้าม Blockchain ได้ ผมกำลังทำงานกับผู้บริหารของ Litecoin Foundation หรือนาย Xinxi Wang และ Franklin Richard วันนี้เพื่อทดสอบระบบ Lightning สำหรับ mainnet ของ Litecoin” กล่าวโดยนาย Lee

The post สาเหตุที่ราคา Litecoin พุ่งถึง 50 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคม appeared first on Siam Blockchain.