Monday, April 30, 2018

บัตรเครดิต MasterCard กำลังหาวิธีที่จะทำ “Fast Track” เพื่อซิงค์ข้อมูล Blockchain

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการชำระเงินอย่าง MasterCard เตรียมหาวิธีเพิ่ม Nodes ใหม่ไปบนเครือข่าย Blockchain ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

ในการยื่นขอรับสิทธิบัตรนั้นได้จัดทำขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐอเมริกา โดยในรายละเอียดระบุว่า Node ต่าง ๆ จะสามารถเชื่อมต่อและตรวจสอบเนื้อหาบน Blockchain ได้ โดยสิทธิบัตรที่ออกมานี้นั้น ก็เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับ Node ซึ่งเป็นที่เก็บสำเนาการทำประวัติของการทำธุรกรรมของเครือข่ายนั้นและจะได้รับการอัปเดตอยู่เสมอ

ทาง MasterCard ได้ยืนสิทธิบัตรครั้งแรกเมื่อปี 2016 และสิทธิบัตรดังกล่าวอธิบายว่า “Blockchain สามารถเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมได้ตั้งแต่หลักพันจนไปถึงหลักล้านรายการ”

โดยทาง MasterCard กล่าวว่า:

“การตรวจสอบความถูกต้องของ Block จำนวนมากนั้น อาจใช้เวลามาก ในขณะที่มีการเกิดของ Block ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และจะทำให้ความสามารถในในการร่วมมือกับ Node ใหม่ ๆ นั้นล่าช้าลง ดังนั้นทางเราจึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคเพื่อเพิ่มความเร็วในการตรวจสอบ ซึ่ง Blockchain จะเข้ามาลดเวลาในการตรวจสอบลง และจะสามารถลดเวลาในการเชื่อมต่อกับ Node ใหม่ใน Blockchain ได้”

และในการดำเนินการนี้จะมีระบบที่เรียกว่า “fast track flags” ซึ่งรวมไปถึง Block, Nodes และจะใช้สิ่งเหล่านี้ Scan เนื้อหาของ Blockchain ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับแต่ง Blockchain นี้จะทำให้ซอฟต์แวร์ที่ทำงานคู่กับ Nodes นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

The post บัตรเครดิต MasterCard กำลังหาวิธีที่จะทำ “Fast Track” เพื่อซิงค์ข้อมูล Blockchain appeared first on Siam Blockchain.

ราคา Bitcoin ตกเหลือ 9,200 ดอลลาร์ในขณะที่ราคา EOS ตกลง 15%

ราคา Bitcoin คกลงเหลือ 9,200 ดอลลาร์ หลังจากพุ่งขึ้นสูง 9,500 ดอลลาร์ โดยมูลค่าตลาด Cryptocurrency เพิ่มขึ้นเป็น 450,000 ล้านดอลลาร์

ราคา EOS ลง 15%

EOS เป็นเหรียญอันดับที่ห้าในตลาด Cryptocurrency โดยมูลค่าลดลง 15% หลังจากที่ราคาพุ่งสูงเมื่อ 2 วันที่ผ่านมาหลังจากมีการประกาศของนาย Ari Paul ผู้ร่วมก่อตั้ง Cryptocurrency Hedge Fund BlockTower โดยเขาระบุว่า EOS จะสามารถรักษา Momentum และอาจจะมีมูลค่ามากกว่า Ethereum

ราคา Bitcoin

อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญเว็บ CCN นาย Joseph Young กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่ Bitcoin สามารถรักษาระดับของราคาไว้เหนือ 9,000 ดอลลาร์ได้ และถ้า Bitcoin มีปริมาณการซื้อขายมากและสามารถทำให้ราคาสูงกว่า 9,500 ดอลลาร์ภายใน 24 ชั่วโมงนั้น ก็จะเป็นไปได้ที่ราคา Bitcoin จะพุ่งสูงเกิน 10,000 ดอลลาร์ และอาจจะมีศักยภาพไปแตะที่ 12,000 ดอลลาร์ได้

และที่ผู้บริหารจากอุตสาหกรรมการเงินและการธนาคารได้ย้ายเข้ามาในกองทุนด้านความเสี่ยงของ Cryptocurrency และความต้องการจากนักลงทุนมีจำนวนมากขึ้นในตลาด Crypto ทั่วโลก ทำให้มูลค่าตลาดรวมของ Cryptocurrency กลับไปที่ 0.5 ล้านล้านดอลลาร์เช่นเดียวกับในเดือนพฤศจิกายนปี 2017

โดยขณะที่เขียนบทความนี้อยู่นั้นราคาของ Bitcoin อยู่ที่ 9,232 ดอลลาร์ อ้างอิงจากเว็บ Coinmarketcap และ EOS อยู่ที่ 18.14 ดอลลาร์อ้างอิงจาก Coinmarketcap

โดยสาเหตุที่ราคาของ Bitcoin ลงนั้น “นักลงทุนคาดว่า” เกิดจากที่ Mt. Gox เคลื่อนย้าย BTC และ BCH มูลค่า 165 ล้านดอลลาร์ออกจากกระเป๋านั่นเอง

The post ราคา Bitcoin ตกเหลือ 9,200 ดอลลาร์ในขณะที่ราคา EOS ตกลง 15% appeared first on Siam Blockchain.

ตำรวดดูไบใช้เทคโนโลยี AI เพื่อจับกุมแก๊งขโมย Bitcoin จำนวน 1.9 ล้านดอลลาร์

รายงานจาก Gulf News เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน รายงานว่า ตำรวจในดูไบได้จับกุมสมาชิกแก๊งสิบคนที่มีรายงานว่าเป็นคนขโมย Bitcoin มูลค่า 7 ล้าน UAE (United Arab Emirates) หรือเป็นจำนวนเงิน (1.9 ดอลลาร์) ที่ Al Muraqqabat ของดูไบเมื่อวันพุธที่ผ่านมา นาย Adel Al Joker ผู้อำนวยการแผนกสืบสวนคดีอาชญากรรม (CID) กล่าวกับ Gulf News ว่า:

“ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อรายงานว่าได้พบปะกับแก๊งสมาชิกขาย Bitcoin นี้เพื่อทำธุรกรรมบน Office ร้าง และสุดท้ายก็โดนทำร้ายและถูกปล้นด้วยปืน ทางแก๊งทำร้ายทั้งสองพี่น้องและข่มขู่พวกเขา ก่อนที่จะจับขังสองพี่น้องไว้ในอ๊อฟฟิศร้างนั้น และหลบนี้ไปกับเงินจำนวนนั้น”

อ้างอิงจาก Gulf National กล่าวว่าทางตำรวจได้รับการแจ้งเตือนในคืนเดียวกันในวันที่ 25 เมษายน และสามารถระบุหัวหน้าแก๊งได้เลยภายในสี่ชั่วโมงเท่านั้น เขาถูกจับในเอมิเรตและสารภาพอย่างหมดเปลือก และภายใน 48 ชั่วโมงทางตำรวจได้สถานที่ของผู้สมรู้ร่วมคิดของเขาและสามารถจับกุมและสามารถนำเงินที่ถูกขโมยทั้งหมดกลับมาได้

พลตรี Khalil Ebrahim Al Mansouri ผู้ช่วยผู้บัญชาการหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรมกล่าวว่าศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลของดูไบได้ดำเนินโครงการสมาร์ทและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อติดตามแก๊งอย่างรวดเร็วนั่นเอง

ขณะที่เขียนบทความนี้นั้น ผู้ต้องสงสัยทั้งสิบคนถูกนำตัวไปดำเนินคดีต่อไป

เมื่อเดือนที่แล้วก็มีรายงานเกี่ยวกับการปล้น Bitcoin ในสิงคโปร์ โดยมีชาวมาเลเซียคนหนึ่งถูกทำร้ายและถูกปล้นทรัพย์เป็นจำนวน 365,000 ดอลลาร์ โดยโบรคเกอร์ปลอม ที่หลอกขาย Bitcoin ในโรงแรมของเขา

ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ St. Petersburg มีบล็อกเกอร์ด้าน Crypto ถูกปล้นเป็นจำนวน 24 ล้านรูเบิล (380 ล้านดอลลาร์) จากตู้เซฟในบ้านของเขา หลังจากที่เขาได้โอ้อวกว่ามีรายได้จากการเทรดคริปโตบนช่องทางออนไลน์นั่นเอง

The post ตำรวดดูไบใช้เทคโนโลยี AI เพื่อจับกุมแก๊งขโมย Bitcoin จำนวน 1.9 ล้านดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

เวเนซุเอลาเคลมว่าเหรียญ “Petro” ถูกลิสต์ขึ้นเว็บเทรด Crypto 16 เว็บแล้ว

ประธานาธิบดีของเวเนซุเอลานาย Nicolas Maduro ประกาศยุติการขาย Pre-sale ของเหรียญ Cryptocurrency ของประเทศนาม “Petro” โดยเคลมว่าสามารถขายได้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ โดยนาย Maduro กล่าวว่ายังมีเว็บเทรดอีก 16 แห่งที่รองรับเหรียญของเขาและกำลังจะลิสต์ขึ้นด้วย

เว็บเทรด 16 แห่งได้ทำการลิสต์เหรียญ Petro

อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ของเวเนซุเอลาที่ถูกหนุนด้วยรัฐบาล นาม Correo del Orinoco กล่าวว่านาย Maduro “ได้รับการรับรองจากเว็บเทรด Crypto จำนวน 16 แห่งแล้ว  ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม Petro ในตลาดต่างประเทศ โดยสื่อได้ยกคำพูดของนาย Maduro ในงาน Venezuela Power Expo 2018 ใน Caracas

“การที่เหรียญ Petro ถูกรับรองจากเว็บเทรด 16 แห่งเป็นการให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นในเหรียญ Petro และจะช่วยให้ปริมาณธุรกรรมมีสภาพคล่องและมีความมั่นคง”

โดย 16 เว็บนี้ได้แก่ “Criptoexchainge, Criptocapital, Asesoría Financiaera CA, Italcambio, Amberes Coin, Cave Blockchainge, Valoratta Casa de Bolsa, Coinsecure.ve, Critiaechainge, Criptolago, Criptoventraige CA, Criptoactivo Menets CA, Criptoactivo Bancar CA, Criptomundo Casa de Intercambio CA, Inversiones Financieras 1444 CA, และ Criptoactivo Criptoes”

อย่างไรก็ตามก็ไม่มีการยืนยันจากเว็บเทรดว่าจะลิสต์เหรียญ Petro ขึ้นเว็บเทรดหรือไม่

ขึ้นเว็บเทรด Coinsecure

รายงานจาก Business Standard เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมารายงานว่า เว็บเทรด CoinSecure เป็นเว็บเทรดสัญชาติอินเดีย เป็นเว็บเทรดที่ถูกรับรองจากเวเนซูเอลา โดย CEO นาย Mohit Kalra กล่าวว่า “เวเนซุเอลาต้องการเพิ่มเหรียญ Petro เป็น Cryptocurrency ในเว็บ Coinseure เพื่อให้สามารถซื้อขาย Petro กับ Bitcoin และเงินรูปีได้”

นาย Maduro เคลมว่าสามารถ Raise Fund ได้ถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์ และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

นาย Maduro ได้ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่าทางรัฐบาลได้ทำการหยุด Pre-sale เหรียญ Petro เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเขาเคลมว่าปัจจุบันสามารถระดมทุนเหรียญ Petro ได้มากกว่า 3,338 ล้านดอลลาร์

ในระหว่างการปราศรัยของเขา นาย Maduro ก็ได้แสดง  Presentation ให้เห็นว่าการระดมทุนของเหรียญ Petro มีจำนวน 2.74 พันล้านดอลลาร์ มาจาก 208 ล้านรูปี, 21,000 ล้านหยวน นอกจากนี้เขายังประกาศอีกด้วยว่าเขาจะส่งเงินจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่ได้รับจากการขายเหรียญ Petro

ที่มา: Bitcoin News

The post เวเนซุเอลาเคลมว่าเหรียญ “Petro” ถูกลิสต์ขึ้นเว็บเทรด Crypto 16 เว็บแล้ว appeared first on Siam Blockchain.

การปั่นตลาด Cryptocurrency ยังคงมีอยู่ทั่วไป แต่คำถามคือใครแคร์?

การปั่นตลาด Cryptocurrency ก็มีมานานแล้ว บางอย่างก็เป็นสิ่งผิดกฏหมายหรือบางอย่างก็เป็นสีเทา ๆ และทุกคนก็ต่างรู้ว่าการปั่นตลาดมันเป็นเป็นโรคประจำตัวของตลาด crypto กันอยู่แล้ว คำถามคือใครสนใจบ้าง?

เมื่อเริ่มต้นเทรด ทุกคนต่างเจอนายสมศักดิ์ทั้งนั้น

เมื่อนักเทรดไทยเข้ามาเริ่มเทรด Cryptocurrency แล้วนั้น ถ้านักเทรดเข้ามาเทรดที่เว็บ BX ละก็แน่นอนว่าจะต้องเจอ Chat Box ที่คอยปั่นเหรียญอยู่ตลอดเวลาโดยบุคคลที่มักเจอบ่อย ๆ ก็คือนาย สมศักดิ์นั่นเอง

ช่วงที่ II: ปั่นกันเอง

ในขณะที่ตลาด Crypto กำลังเติบโตอยู่นั้น การปั่นราคาก็ไม่ได้จากหายไป แต่การปั่นตลาดนี้ถูกย้ายไปเป็นแบบส่วนตัวหรือแบบ Private แทนโดยการถูกเชิญชวนไปที่แอปฯ Slack, Discord และ Telegram เท่านั้น โดยวัตถุประสงค์ก็ยังคงเหมือนเดิม: ก็คือซื้อด้วยราคาถูกเพื่อปั้มเหรียญให้มีจำนวนเยอะ ๆ (โดยกระจายข่าวปลอมเกี่ยวกับความร่วมมือและสัญญาณก่อนราคามันจะขึ้น) แล้วก็ขายทิ้งดิ่งนั่นเอง

ทุกคนนั่นแหละ

จากโพสที่ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายจากเว็บ Steemit เห็นได้ชัดว่ามีการปั่นราคาเหรียญ Altcoin ต่าง ๆ โดยผู้อ่านหลายคนเห็นด้วยกับผู้เขียนที่ว่าเขาได้แจ้งกับหน่วยงานที่ดูแล เขากล่าวว่า “ผมได้ติดต่อกับทาง SEC เอฟบีไอและหน่วยงานรัฐบาลกลางอื่น ๆ เกี่ยวกับกิจกรรมของพวกเขาในตลาด Cryptocurrency แล้ว”

อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอนาย James Comey นึกถึงการตัดสินใจของเขาที่จะฟ้องร้องนาง Martha Stewart เมื่อตอนที่เขาเป็นอัยการสูงสุด

โดย ImClone Systems เป็นบริษัทพัฒนายาด้านวิทยามะเร็ง บริษัทมีการวิจัยพัฒนายาตัวใหม่มาตลอด จนกระทั่งยาวิจัยตัวล่าสุดที่ชื่อ Erbitux ซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวรุ่งที่ทำเงินให้บริษัท กลับถูกคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ไม่อนุมัติให้ใช้งานเมื่อปลายปี 2001 ทำให้หุ้นบริษัทร่วงลงถึง 16% ภายในวันเดียว

SEC พบว่าซีอีโอของบริษัทตอนนั้นนาย Samuel D. Waksal ได้ขายหุ้น ImClone มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ออกมาไม่กี่วันก่อนจะแจ้งผลอนุมัติยา รวมทั้งให้คนในครอบครัวขายหุ้นออกมา การตรวจสอบยังพบว่าผู้บริหารระดับสูงของ ImClone ต่างทยอยขายหุ้นออกมาก่อนการประกาศผล ทั้งหมดจึงถูกตั้งข้อหาใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้นหรือ Insider Trading กรณีนี้ก็คือชิงขายหุ้นก่อนเพราะรู้ว่าหุ้นจะร่วงนั่นเอง

คดีนี้ดังกว่าเดิมเพราะ SEC ได้กล่าวหาว่านาง Martha Stewart ก็มีความผิดฐานใช้ข้อมูลภายในด้วยนาง Martha ไม่ได้เป็นผู้บริหารหรือบอร์ดของ ImClone เพียงแต่นาง Martha นั้นรู้จักสนิทกับซีอีโอนาย Waksal เป็นการส่วนตัวนั่นเอง

แล้วเราจะรับมือการปั่นตลาด Cryptocurrency อย่างไรล่ะ

หากเราไม่สามารถรอดพ้นจากการปั่นตลาด Cryptocurrency ได้ เราอาจต้องหาทางออกให้ได้ อย่างแรกกลุ่มชุมชน Crypto ต้องช่วยป่าวประกาศพฤติกรรมดังกล่าวต่อสาธารณะนั่นเอง จริง ๆ แล้วนักปั่นก็จะทำการจัดการนักเทรดวงในกันเอง ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง

The post การปั่นตลาด Cryptocurrency ยังคงมีอยู่ทั่วไป แต่คำถามคือใครแคร์? appeared first on Siam Blockchain.

กลุ่มสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ SBI ในญี่ปุ่นมีแผนการในการเปิดเว็บเทรด Cryptocurrency

กลุ่มสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ SBI ของญี่ปุ่นมีแผนที่จะเปิดเว็บเทรด Cryptocurrency โดยทางบริษัทได้กำหนดเวลาที่จะลิสเหรียญหลัก ๆ ของ Cryptocurrency เอาไว้แล้ว โดย CEO ของกลุ่มสถาบันทางการเงินคาดว่าเว็บเทรดนี้จะกลายเป็นเว็บเทรด “อันดับหนึ่งในพริบตาแน่นอน”

แก้ไขวันเปิดตัว

SBI Holdings ได้มีการอัปเดตแผนที่จะเปิดเว็บเทรด Cryptocurrency อย่างเต็มตัว โดยวางแผนที่จะเปิด”ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2017 และล่าสุดช่วงต้นปี 2018” สำนักพิมพ์ Minkabu กล่าว

อย่างไรก็ตามแผนดังกล่าวก็ถูกเลื่อนออกไปหลังจากที่เว็บ Coincheck ถูกแฮ็ค และปัญหาเกี่ยวกับข้อตกลงกับ Huobi Group ของจีน โดยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้บริษัทต้องทำการเว้นการเปิดตัวเว็บเทรด Cryptocurrency ออกไปแม้ว่าจะได้รับใบอนุญาตจากทาง FSA

คาดหวังจะเป็นอันดับหนึ่ง

ทางบริษัทได้พิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับระยะเวลาการเปิดตัวของเว็บเทรดอย่างเต็มที่โดยพิจารณาจากการโดนแฮ็คของเว็บ Coincheck และการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในภายหลังโดยสื่อได้ยกคำพูดของนาย Kitao ว่า:

“เมื่อเราทำมันแล้ว ผมเชื่อว่าเว็บเทรดนี้จะเป็นอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจำนวนลูกค้าจะเยอะ แต่เราก็สามารถสร้างระบบที่จะแบกรับภาระนี้ได้”

ทาง SBI เป็นเจ้าของโบรคเกอร์ที่มีความปลอดภัยรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น “ทางบริษัทมีบัญชีทางด้านการเงินทั้งหมด 8.5 ล้านบัญชีเช่นบริษัท SBI Securities Co. Ltd.

นาย Kitao หรือ CEO ของ SBI Group ยังเน้นถึงความสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นในชุมชน Crypto ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการขององค์กรแห่งใหม่ซึ่งได้แก่ สมาคมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของญี่ปุ่น (Virtual Virtual Currency Exchange Association) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยมีเว็บเทรด Crypto ที่ได้รับใบอนุญาตจำนวน 16 ราย

The post กลุ่มสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ SBI ในญี่ปุ่นมีแผนการในการเปิดเว็บเทรด Cryptocurrency appeared first on Siam Blockchain.

Back of America ปิดบัญชีเด็กผู้หญิงอายุสามขวบของผมโดยอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคริปโต

นาย Tim Enneking เป็นกรรมการผู้จัดการของ Crypto Asset Management ในซานดิเอโกรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเขาจะมาเป็นผู้เล่าเรื่องดังกล่าวนี้

Bank of America ได้ปิดบัญชีธนาคารของเด็กสาวอายุสามบวบของผมที่มีอายุเพียงสามขวบ เมื่อวันที่ 4 เมษายนเนื่องจาก “โปรไฟล์มีความเสี่ยง” และเธอมีการ “เชื่อมต่อ” กับ Crypto

ให้ผมได้อธิบายก่อน: บริษัทด้านการจัดการของผมที่เป็นบริษัท Hedge Fund จริง ๆ แล้วลงทุนใน Crypto เป็นประจำ และที่สำคัญบริษัทเป็นคนเทรดไม่ใช่ผมเทรด

บริษัทด้านการลงทุนมีบัญชีธนาคารที่ไม่ใช่ BoA แต่ภรรยา ผม และลูกสาวมีบัญชีธนาคารของ Bank of America และนี่เป็นสิ่งที่แปลก

ภรรยาและผมได้เปิดบัญชีกระเงินสดและบัญชีออมทรัพย์กับ Back of America (in La Jolla, CA) เมื่อประมาณสี่ปีที่แล้ว ก่อนที่จะก่อตั้งบริษัทบริษัทด้านการจัดการของตัวเอง โดยเราเปิดบัญชี Uniform Transfers to Minors Act (UTMA) สำหรับลูกเป็นเรื่องราวของพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่งที่อเมริกา

สาวของเราไม่นานหลังจากที่เธอเกิด เรามีเงินแค่ 50 ดอลลาร์ในการโอนเงินเข้าบัญชีนั้นโดยอัตโนมัติเพื่อที่จะเป็นกองทุนการศึกษาของเธอและนั่นเป็นรายการเดินบัญชีของเธอในแต่ละเดือนเท่านั้น

ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีการโอนเงินจากบัญชีลูกสาวผมไปที่อื่นเลยนอกบัญชีอื่นที่ภรรยาและผมมีอยู่ในสาขาเดียวกัน และแน่นอนว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ Crypto ด้วย

วันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมาเราได้รับหนังสือแจ้งสองวันก่อนที่ทาง Back of America จะทำการจำกัดบัญชีธนาคารของพวกเรา 21 วันและจะปิดบัญชีเราในวันที่ 30

บริษัทด้านการจัดการของผมก็ได้การแจ้งเตือนนี้เช่นกันจำนวนสามฉบับ ภรรยาพบก็ได้สามฉบับ และลูกสาววัยสามขวบของผมก็ได้รับการแจ้งเตือนหนึ่งครั้งสำหรับบัญชีธนาคารเธอด้วย

ก่อนที่เราจะได้รับจดหมายเตือนนี้นั้น เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2018 ทางศูนย์บริการธุรกิจทางการเงินของ Bank of America ได้ส่งแบบฟอร์มข้อมูลลูกค้าสำหรับธุรกิจบริการด้านการเงิน (MSBs) โดยมีคำถามมากมายว่าบริษัทเราทำอะไรบ้าง

ซึ่งคำถามส่วนใหญ่จะเกี่ยวโยงกับธุรกรรมที่มีความเฉพาะเจาะจง ยกเว้นอันสุดท้ายที่ถามว่า “ธุรกิจนี้มีความเกี่ยวข้องกับสกุลเงินเสมือน/ดิจิทัล/Cryptocurrency หรือไม่?

ทางเราตอบว่าใช่ และกรอกแบบสอบทั้งหมดนั้นส่งคืนในวันเดียวกัน

และจดหมายเตือนนั้นก็มาถึงภายในไม่ถึงสัปดาห์ พวกเรารู้สึกประทับใจกับความกระตือรือร้นที่ BoA ดำเนินการมาก

ให้ผมเน้นย้ำหน่อยละกัน: บริษัทด้านการจัดการไม่ได้มีข้อตกลงกับ Cryptocurrency และไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเว็บเทรดด้วย โดยบทบาทหลักของบริษัทก็คือประมวลผลเงินเดือนเพื่อบริหารพนักงานบริษัทเท่านั้น

อย่างไรก็ตามคำว่า “Crypto” เหมือนเป็นคำที่บาปมหันต์ในสายตาของ BoA

สองวันหลังจากที่เราได้รับแจ้งเรื่องการปิดบัญชีต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ฉันได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงที่แนะนำตัวเองว่าเป็นพนักงานของศูนย์ควบคุม MSB ของ Bank of America

ผมยิงคำถามไปเลยว่า “จะมีโอกาสไหมที่ BoA จะไม่ปิดบัญชีของพวกเรา?”

โดยเธอตอบว่า “ โอ้ ฉันไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้เลย คุณแน่ใจนะว่าทาง BoA จะปิดบัญชีของคุณ ถ้าใช่ ยังไงก็คงต้องปิด แต่ถ้าคุณตอบคำถามของฉัน เราจะมีข้อมูลที่จำเป็นและบันทึกของเราก็จะสมบูรณ์”

ผมปฏิเสธอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนั้นและนั่นก็เป็นการสิ้นสุดการสนทนา

และนี่ดูเหมือนเป็นข้อเท็จจริงที่ว่าทาง BoA มีปฏิกิริยาไม่ชอบ “Crypto” ในทุกสิ่งอย่าง โดยไม่เกี่ยวว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมด้วยซ้ำ

ในขณะเดียวกันบริษัทของผม ภรรยา และลูกสาวผมก็ได้เปิดบัญชีธนาคารใหม่สองบัญชีกับธนาคารอื่นเผื่อเกิดกรณีนี้อีก

ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ว่าทางธนาคารจไม่ถูกกับ Cryptocurrency เพราะหลาย ๆ ธนาคารก็สั่งปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency แต่ก็มีประเทศชิลีที่มีคำสั่งให้ธนาคารกลับมาเปิดบัญชีธนาคารที่เชื่อมต่อกับบัญชี Crypto

The post Back of America ปิดบัญชีเด็กผู้หญิงอายุสามขวบของผมโดยอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคริปโต appeared first on Siam Blockchain.

5 บริษัทที่ให้บริการด้านชำระเงินจะหันมาใช้เทคโนโลยี xVia ของ Ripple

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ผู้ใช้บริการด้านชำระเงินในยุปโรปและเอเชียจำนวน 5 บริษัทเตรียมตัวใช้เทคโนโลยี xVia ของ Ripple

ลูกค้าใหม่ของบริษัท Ripple ได้แก่ FairFX, RationalFX และ Exchange4Free ที่อยู่ในสหราชอาณาจักร และที่เหลือก็คือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินผ่านระบบ Peer-to-Peer นาม MoneyMatch ในมาเลเซียและบริษัท UniPay จากสาธารณรัฐจอร์เจีย

ซึ่งการใช้เทคโนโลยี xVia จะทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถขยายฐานลูกค้าของพวกเขาได้ กล่าวโดย รองประธานอาวุโสด้านผลิตภัณฑ์ของ Ripple นาย Asheesh Birla

ทาง Ripple อธิบายไว้ใน Blog ว่ามันแตกต่างจากการโอนเงินไปต่างประเทศแบบดั้งเดิม โดย xVia จะใช้ระบบ API นั่นหมายความว่าเราจะไม่ได้รับความเสียหายในเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงและสามารถตรวจสอบค่าใช้จ่ายด้วยตนเองได้

เจ้าหน้าที่อาวุโสของ FairFX นาย James Hickman กล่าวว่า xVia “จะช่วยให้พวกเราสามารถเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีต้นทุนที่ต่ำลง”

“นอกจากนี้ยังช่วยให้เราสามารถโอนเงินให้แก่ลูกค้าได้ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยใช้ RippleNet” เขากล่าว

อ้างอิงจากบทความ ผลิตภัณฑ์ของ Ripple มีอะไรบ้าง xVia จะเป็น interface สำหรับการจ่ายเงินที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้การใช้งาน xCurrent และ xRapid มีความง่ายขึ้น โดย xVia จะถูกใช้เพื่อ “คลุม” ระบบความยุ่งยากซับซ้อนของผลิตภัณฑ์ของ Ripple ตัวอื่น ๆ นั่นเอง

The post 5 บริษัทที่ให้บริการด้านชำระเงินจะหันมาใช้เทคโนโลยี xVia ของ Ripple appeared first on Siam Blockchain.

นักวิเคราะห์ทำนายราคา Ethereum จะพุ่งถึง 2,500 ดอลลาร์ภายในปีนี้

ราคาของ Ethereum อาจจะพุ่งขึ้นไปแตะ 2,500 ดอลลาร์ได้ และทำลายสถิติใหม่ในปีนี้ อ้างอิงจากบริษัทด้านการเงินแห่งหนึ่ง

“ขอทำนายว่าราคาของ Ethereum จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้ และอาจจะแตะ 2,500 ดอลลาร์ได้ภายในปลายปี 2018 และจะเพิ่มมากขึ้นไปอีกตั้งแต่ช่วงปี 2019 และ 2020” กล่าวโดยนาย Nigel Green ผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัท deVere Group ผ่านอีเมล์ส่งไปถึง MarketWatch

ตัวแปรสามตัว

นาย Green ได้หยิบยกตัวแปรที่ช่วยขับเคลื่อนทั้งหมดสามตัวด้วยกัน ตัวแรกคือมี platform เป็นจำนวนมากที่กำลังใช้ Ethereum เพื่อการเทรด ตัวแปรที่สองคือ สัญญาของ Ethereum กำลังขยายตัวออกมากขึ้น และสามคือระบบ cloud computing กำลังทำงานได้อย่างดีบน Ethereum

นาย Green ยังกล่าวต่อไปอีกว่ากฎหมายด้าน cryptocurrency นั้นใกล้จะเป็นความจริงแล้ว ซึ่งนั่นมีส่วนช่วยทำให้นักลงทุนอยากจะเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะมีการปกป้องนักลงทุนที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และด้วยความที่เหรียญ Ethereum ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเหรียญดิจิตอลที่สามารถสร้าง token ใหม่ ๆ บนแพลทฟอร์มได้นั้นจึงทำให้มันมีความยืดหยุ่นมาก และเวลาในการทำธุรกรรมโดยเฉลี่ยนั้นใช้เพียงแค่ 14 วินาทีเท่านั้น ซึ่งเร็วกว่าหากเทียบกับของ Bitcoin ที่ 10 นาที

โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ มูลค่าตลาดรวมของ Ethereum อยู่ที่ 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์

เหรียญอื่น ๆ ก็เช่นกัน

นาย Green ยังได้ ‘สวมหัวกระทิง’ กับตลาดเหรียญคริปโตตัวอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน

นาย Green ได้มีการกล่าวถึงการเพิ่มขึ้นของราคาของเหรียญอื่น ๆ โดยทั่วไปไว้บนเว็บไซต์ของเขาด้วยเช่นกัน “สถานะหลักของตลาด cryptocurrency ในตอนนี้บ่งชี้ถึงการเตรียมตัวพุ่งขึ้นของราคาในอนาคตอันใกล้นี้”

“อะไรเป็นตัวผลักดันราคาคริปโตให้เพิ่มมากขึ้นในขณะนี้ มันมีกุญแจหลักสำคัญ ๆ อยู่สองตัว” เขากล่าว “ซึ่งประกอบไปด้วยการปรับตัวของธนาคารและสถาบันการเงินในการใช้ cryptocurrency”

นาย Green กล่าวว่า 20% ของสถาบันการเงินตั้งแต่ hedge fund ไปจนถึงธนาคารยักษ์ใหญ่กำลังพิจารณาเทรดเหรียญคริปโตในอีก 12 เดือนที่จะถึงนี้ อ้างอิงจากผลสำรวจของ Thomson Reuters

“ส่วนเหตุผลที่สำคัญอีกตัวหนึ่งสำหรับการเพิ่มขึ้นของราคานี้คือตอนนี้อัตราการรับรู้และความต้องการของสกุลเงินดิจิตอล, สกุลเงินธรรมดาแบบถูกทำให้เป็นดิจิตอล, โลกดิจิตอล กำลังเพิ่มมากขึ้น”

The post นักวิเคราะห์ทำนายราคา Ethereum จะพุ่งถึง 2,500 ดอลลาร์ภายในปีนี้ appeared first on Siam Blockchain.

Sunday, April 29, 2018

วิเคราะห์ราคา Bitcoin ประจำสัปดาห์: วันที่ 29 เมษายน 2561

Time Frame 1D

แท่ง 1 วันเมื่อวานปิดบวก เคลียร์สัญญาณ Bearish จากการปิดแท่งในรูปแบบของ Dark cloud cover ของวันที่ 27 เม.ษ. ได้ โดยปิดเป็นรูปแบบของ Bullish engulfing ซึ่งให้สัญญาณ Bullish นอกจากนี้ราคาได้เบรคขึ้นมาเหนือโซนแนวต้านที่ 8,950 – 9,285 ดอลลาร์ และทำให้โซนแนวต้านนี้กลายมาเป็นโซนแนวรับอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ราคายังคงอยู่ต่ำกว่าโซนแนวต้านที่ 9,550 – 9,720 ดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีแนวต้านพาดผ่านที่เป็นกรอบของ sub ascending channel อยู่ที่ประมาณ 9,565 ดอลลาร์

หลังจากที่ราคาเบรคขึ้นมายืนเหนือเส้น EMA200 ในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วนั้น ในต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ราคาก็ได้มีการเบรคขึ้นไปเหนือโซนแนวต้านที่ 8,950 – 9,285 ดอลลาร์ และไปทดสอบโซนแนวต้านที่ 9,550 – 9,720 ดอลลาร์ แต่ก็ยังไม่สามารถเบรคขึ้นไปปิดเหนือโซนนี้ได้ และกลับลงมาต่ำกว่าโซนแนวต้านที่ 8,950 – 9,285 ดอลลาร์ อีกครั้ง แต่ราคายังสามารถยืนเหนือเส้น EMA200 ได้ ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาค่อนข้างผันผวนอยู่ในโซนแนวต้านซึ่งจะเห็นได้ว่า มีทั้งสัญญาณ bearish และ bullish เกิดขึ้นสลับกันทุกวัน อย่างไรก็ตาม หากแท่ง 1 วันของวันนี้สามารถปิดบวกเหนือโซนแนวต้านที่ 8,950 – 9,285 ดอลลาร์ และสามารถเบรคขึ้นไปเหนือแนวต้านที่เป็นกรอบของ sub ascending channel และ โซนแนวต้านที่ 9,550 – 9,725 ดอลลาร์ ก็จะเป็นการคอนเฟิร์มสัญญาณ Bullish ทีี่เกิดขึ้นจากการปิดแท่งเมื่อวานนี้ได้ นอกจากนี้เส้น EMA55 ยังเคลื่อนตัวเข้าใกล้เส้น EMA200 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะตัดขึ้นไปในระยะใกล้นี้และถือเป็นสัญญาณที่ดีในแนวโน้มขาขึ้น

Time Frame 4H

จากการขึ้นไปทดสอบโซนแนวต้านที่ 9,550 – 9,720 ดอลลาร์ แล้วไม่ผ่านและมีการปรับตัวลงมาต่ำกว่าโซนแนวต้านที่ 8,950 – 9,285 ดอลลาร์ หาลองวัด Fibo เพื่อหาจุด retracement จะพบว่าราคาได้ลงมาพักตัวที่ระดับ     50 Fib ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นไปและพักตัวๆ 38.2 Fib อีกครั้ง ซึ่งทำให้เกิดรูปแบบของ Double bottom และทำให้ราคากลับขึ้นไปเหนือโซนแนวต้านที่ 8,950 – 9,285 ดอลลาร์ อีกครั้ง

Time Frame 4H

จากการกลับตัวของราคา หากลองวัด Fib แบบ projection จะเห็นว่าจุดที่เป็นอุปสรรคของราคาจะอยู่ที่ระดับ     38.2 – 50 Fib ซึ่งเป็นจุดที่มีแนวต้านพาดผ่าน และมีโซนแนวต้านอยู่บริเวณนั้น ถัดไปที่ระดับ 78.6 Fib จะมีแนวต้านที่เป็นกรอบใหญ่ของ ascending channel พาดผ่านมา

Time Frame 1H

ในกราฟ 1 ชั่วโมง ก็มีกรอบของ ascending channel เกิดขึ้น โดยที่ราคายังคงเคลื่อนตัวอยู่บริเวณกึ่งกลางของ channel และมีแนวต้านพาดผ่านอยู่ใกล้กับกึ่งกลาง channel ที่ประมาณ 9,565 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นอุปสรรคของราคาในระยะสั้นนี้ อย่างไรก็ตามราคายังคงอยู่เหนือเส้น EMA ทั้งสามเส้น ซึ่งยังถือว่าราคายังอยู่ในแนวโน้มที่ดีที่จะขึ้นไปต่อ

ความเดิมสัปดาห์ที่แล้ว

จากการคาดการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หากราคาสามารถเบรคขึ้นไปเหนือโซนแนวต้านที่ 8,950 – 9,285 ดอลลาร์ได้ ก็มีโอกาสที่จะไปต่อที่ 161.8 Fib ที่ประมาณ 10,188 ดอลลาร์ จากการวัด Fib แบบ projection ใน TF 1H  แต่อย่างไรก็ตาม จากการเบรคขึ้นไปเหนือโซนแนวต้านนี้ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ ได้พบโซนแนวต้านอีกโซนที่ 9,550 – 9,725 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้ราคากลับลงมาอยู่ต่ำกว่าโซนแนวต้านที่ 8,950 – 9,285 ดอลลาร์ อีกครั้ง และ side way อยู่ในโซนนี้ก่อนจะมีการเบรคขึ้นมาอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์นี้

ภาพรวมในระยะใกล้นี้

หากแท่ง 1 วัน สามารถเบรคขึ้นไปปิดเหนือโซนแนวต้านที่ 9,550 – 9,725 ดอลลาร์ ได้ ก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปต่อที่ระดับ 78.6 Fib ที่ประมาณ 10,400 ดอลลาร์ (ดูจากรูป TF 4H ที่วัด Fibo แบบ Projection)
ซึ่งจะมีแนวต้านที่เป็นกรอบใหญ่ของ ascending channel อยู่บริเวณนั้น  

แต่ถ้าหากไม่สามารถเบรคขึ้นไปปิดเหนือโซนแนวต้านนี้ได้  อาจทำให้เกิดรูปแบบของ Double top และกลับตัวลงมาอยู่ในโซนแนวรับที่ 8,950 – 9,285 ดอลลาร์ หรือลงไปทดสอบที่ระดับ 50 Fib อีกครั้ง
(ดูจากรูป TF 4H ที่วัด Fibo แบบ Retracement)

หมายเหตุ : การลงทุนในตัวเหรียญ Cryptocurrency มีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ทางสยามบล็อคเชน จะไม่รับผิดชอบในความสูญเสียใดๆในทุกกรณี

The post วิเคราะห์ราคา Bitcoin ประจำสัปดาห์: วันที่ 29 เมษายน 2561 appeared first on Siam Blockchain.

ชาวจีนขโมยไฟฟ้าขุด Bitcoin ด้วยโทรศัพท์มือถือ บริษัทไฟฟ้ากล่าว ‘เปลืองไฟมากกว่ากำไร’

บ้านหลังหนึ่งในจีนถูกจับได้ว่าขโมยไฟฟ้าเพื่อมาขุด Bitcoin โดยใช้โทรศัพท์มือถือ 50 เครื่อง และริกขุดแบบจีนประดิษฐ์ 15 ตัว โดยเขาได้ใช้ไฟฟ้าไปแล้วกว่า 33,000 kWh ที่ตามหลักการและเพียงพอต่อการขุด Bitcoin แบบทั่วไป เพียงแต่การใช้โทรศัพท์มือถือนั้นดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะสมนัก

ขโมยไฟฟ้าระดับพระกาฬเพื่อขุดเศษเงิน

บริษัทผู้ให้บริการด้านพลังงานไฟฟ้าแห่งหนึ่งในประเทศจีนค้นพบว่ามีการแอบขโมยใช้ไฟฟ้าโดยผิดกฎหมายที่เป็นอันตราย โดยมีบ้านหลังหนึ่งในเมืองกวางตุ้งถูกจับได้ว่าแอบขโมยใช้ไฟฟ้าเพื่อขุด Bitcoin ในบ้าน โดยเหมืองขุดที่ว่านี้ถูกพบโดยคนงานจากบริษัท Southern Power Grid Company สาขาเขต Meizhou หลังจากที่เขาทำการตรวจตราสายไฟฟ้าในหมู่บ้านเล็ก ๆ แถบ Fengshun และพบความผิดปกติ

สายไฟดังกล่าวถูกเชื่อมโยงจากหลังซอยขึ้นไปยังชั้นบนของอาคารหลังหนึ่งที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์มือถือ 56 เครื่องและริคแบบทำเองอีก 15 ตัวตามรูปภาพข้างล่างที่มีการโพสบนแพลทฟอร์ม Weibo โดยอ้างอิงจากสำนักข่าว South China Morning Post อุปกรณ์เหล่านี้ใช้เพื่อขุด Bitcoin

ดั่งที่หลาย ๆ คนทราบกันดีว่าการขุดเหรียญราชาแห่ง Cryptocurrency นั้นจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลมาก รวมถึงระบบทำความเย็นอีกด้วย จึงทำให้มีการคิดค้นอุปกรณ์ hardware อย่างเครื่อง Application-Specific Integrated Circuits (ASICs) ที่มีกำลังขุดมหาศาลออกมารองรับกิจกรรมดังกล่าว ทว่าโดยในทางเทคนิคแล้ว การขุดเหรียญที่ว่านี้สามารถใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ชนิดอื่น ๆ ได้ แต่การใช้โทรศัพท์มือถือที่มีกำลังประมวลผลต่ำมาก ๆ แทบจะไม่สามารถขุดเหรียญให้คุ้มค่าไฟได้เลย

การขุด Bitcoin ให้ได้หนึ่งเหรียญจะต้องใช้ไฟฟ้าประมาณ 18,000 kilowatt hours โดยเฉลี่ย ข้อมูลจาก Digiconomist เผยว่าระบบ proof of work ที่ใช้สำหรับขุด Bitcoin นั้นได้มีการกินไฟฟ้าไปแล้วถึง 40 TWh ในปี 2017 ที่ผ่านมา ในขณะที่การคอนเฟิร์มธุรกรรมของ Ethereum นั้นจะใช้ประมาณ 10 TWh อย่างไรก็ตาม เจ้าของเหมืองขุดนี้ไม่ได้จ่ายเงินค่าไฟฟ้าแม้แต่หยวนเดียว ทำให้พวกเขามีกำไรแบบได้เปล่า

อ้างอิงจากทางบริษัทไฟฟ้าที่ว่านี้ ฟาร์มขุดดังกล่าวได้ขโมยใช้พลังงานไฟฟ้าไปแล้วถึง 32,940 kWh และทางตำรวจกำลังสืบคดีนี้อยู่

The post ชาวจีนขโมยไฟฟ้าขุด Bitcoin ด้วยโทรศัพท์มือถือ บริษัทไฟฟ้ากล่าว ‘เปลืองไฟมากกว่ากำไร’ appeared first on Siam Blockchain.

“การซื้อ Bitcoin นั้นไม่ถือเป็นการลงทุน” กล่าวโดยมหาเศรษฐี Warren Buffett

นักลงทุนชายอายุ 87 ปีผู้เป็น CEO ของบริษัท Berkshire Hathaway นาม Warren Buffett ที่หลาย ๆ คนรู้จักกันดีได้ออกมากล่าวถึง cryptocurrency อีกครั้ง โดยเขาพูดว่า “การซื้อ Bitcoin นั้นไม่ถือเป็นการลงทุน” อ้างอิงจากการสัมภาษณ์กับรายการ Yahoo Finance

“มันมีสิ่งของอยู่สองประเภทที่ผู้คนซื้อและคิดว่าพวกเขากำลังลงทุนกับมัน” เขากล่าว “ประเภทแรกคือสิ่งที่พวกเขากำลังลงทุนอยู่ และอีกประเภทคือสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ลงทุน”

“ถ้าคุณซื้ออะไรบางอย่างเช่นฟาร์ม, บ้าน, หรือหุ้นในบริษัท คุณสามารถที่จะทำมันได้ตามปกติ และมันถือเป็นการลงทุนที่น่าพึงพอใจมาก คุณมองไปที่การลงทุนนั้น ๆ และคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนกลับมา แต่ตอนนี้ถ้าคุณซื้อของอย่างพวก Bitcoin หรือ cryptocurrency คุณจะไม่ได้อะไรที่สร้างหรือทำให้งอกเงยอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาเลย คุณแค่หวังว่าคนอื่นที่เข้ามาในตลาดจะต้องจ่ายเงินให้คุณมากกว่า”

นาย Buffett ถึงกับกล่าวว่าการลงทุนแบบนี้เป็นเพียงแค่ “เกม” การเก็งกำไรและ “การลงทุน” เท่านั้น และ “ไม่มีใครรู้ว่า Bitcoin คืออะไร”

นาย Buffett ดูเหมือนว่าจะยังคงกล่าวโจมตี Bitcoin ต่อไปเรื่อย ๆ โดยก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวว่า cryptocurrency จะต้องมีจุดจบที่เลวร้ายเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก่อนที่จะบอกว่า “ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ cryptocurrency เลย” อีกด้วย

นอกจากนี้เมื่อปี 2014 เขาเคยกล่าวว่า Bitcoin นั้นคือ “ภาพสะท้อน” ในการให้สัมภาษณ์บน CNBC รวมถึงยังเคยกล่าวว่า Bitcoin นั้นจะถือเป็นฟองสบู่ และมันไม่มีมูลค่าอะไรเลยเพราะ​ “มันไม่ใช่ asset ที่สามารถสร้างมูลค่าได้” อีกด้วย

The post “การซื้อ Bitcoin นั้นไม่ถือเป็นการลงทุน” กล่าวโดยมหาเศรษฐี Warren Buffett appeared first on Siam Blockchain.

Saturday, April 28, 2018

การ Hard fork ของ Bitcoin Cash ที่จะถึงจะมีอะไรใหม่ ๆ บ้าง

การอัพเกรดซอฟต์แวร์ของ Bitcoin Cash ตัวตัวไปอาจจะดูมีความทะเยอทะยานมากกว่าในครั้งแรกสุด

อันที่จริงแล้ว ตัวอัพเดตดังกล่าวที่เคยถูกประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และถูกวางแผนที่จะ hard fork ในวันที่ 15 เดือนพฤษภาคมนี้ดูเหมือนว่าจะโฟกัสไปที่ฟีเจอร์ด้านการขยายเครือข่ายเพื่อช่วยให้การทำธุรกรรมนั้นเยอะกว่า Bitcoin ตัวต้นฉบับ ซึ่งจุดที่เด่นที่สุดดูเหมือนจะเป็นการขยายขนาด block เก็บธุรกรรมจากขนาด 8 MB ไปเป็น 32 MB

แนวคิดนี้อาจดูสุดโต่ง หากนำมันมาเทียบกับวิธีการแก้ไขปัญหาด้านการขยายเครือข่ายของ Bitcoin ที่ค่อนข้างระมัดระวังมากกว่า ซึ่งผู้ที่อยู่ในวงการคริปโตมาสักพักหนึ่งจะทราบดีว่าแนวคิดของ Bitcoin Cash ไม่ได้รับการสนับสนุนที่มากนัก

เมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา นักพัฒนา Bitcoin Cash เลือกที่จะไม่ทำตามความเห็นของนักพัฒนาอีกกลุ่มหนึ่งในแง่ของการเพิ่มขนาด Block เนื่องจากว่ามันอาจจะส่งผลเสียต่อระบบของเหรียญทั้งหมดได้

นาย Joshua Yabut นักพัฒนาหลักของตัว protocol ของ Bitcoin Cash นามว่า BitcoinABC กล่าวว่าเขาไม่ได้คาดหวังที่จะให้มีการประท้วงกันเกิดขึ้นในกลุ่ม community แม้แต่น้อย เนื่องจากผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะทำการอัพเกรดตามหรือไม่

“ในเรื่องการเพิ่มขนาด Block นั้นดูเหมือนว่าจะไม่เป็นที่ถกเถียงกันในตอนนี้ แต่มันก็ถือเป็นเรื่องดีที่เราจะได้เห็นการ scaling บน blockchain เกิดขึ้น”

อีกหนึ่งจุดที่ทางนักพัฒนาเล็งที่จะทำการอัพเกรดในการ hard fork คือการเพิ่มตัว “OP_RETURN field” ที่ผู้ใช้งานจะมีเนื้อที่เก็บข้อมูลบน blockchain ที่มากขึ้น จาก 80 เป็น 220 byte

หากฟังดูแล้ว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวดูเป็นเรื่องง่าย ทว่านักพัฒนา Bitcoin Cash กล่าวว่ามันอาจจะส่งผลเสียในภายหลังได้ เนื่องจากว่าตัวฟังค์ชัน OP_RETURN นั้นมักจะถูกใช้โดย service ที่ต้องมีการทำ time-stamping, asset creation, rights management และตัวอื่น ๆ อีกมากมายที่จะสามารถขยายความสามารถของ Blockchain ได้

การกลับมาของ Smart contracts

Bitcoin Cash ไม่เพียงแต่จะมีฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังได้มีการเพิ่มส่วนเสริมที่นาย Satoshi Nakamoto หรือผู้สร้าง Bitcoin เคยเอาออกไปจากเหรียญในตอนช่วงแรก ๆ อีกด้วย

ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็ตือก็คือตัว programing statement แบบชนิดใหม่ที่เหมือนกับ smart contract ที่จะเพิ่มฟังค์ชันที่สามารถทำให้ผู้ใช้งาน Bitcoin Cash สามารถส่ง token หากันได้เอง

ตัวเสมือน smart contract ที่ว่านี้เคยถูกนาย Satoshi Nakamoto ปิดทิ้งไป หลังจากที่เขาทราบว่ามันจะสามารถสร้างช่องโหว่ให้นักแฮคโจมตีได้ ทว่านักพัฒนา Bitcoin Cash เชื่อว่าพวกเขามีเวลามากพอที่จะปิดรูรั่วเหล่านี้ได้

ความมั่นใจนั้นเองทำให้หนึ่งในกลุ่มนักพัฒนาหลัก Bitcoin นาม Johnson Lau ได้เสนอให้เพิ่ม smart contracts กลับเข้ามาเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

“เจ็ดปีผ่านไป และตัว opcode นั้นก็ถูกศึกษาจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น การตัดสินใจในการปิดมันทิ้งไปมีขึ้นด้วยความรีบเร่ง” กล่าวโดยนาย Shadders ในบล็อกของเขา “ตอนนี้กลุ่มนักพัฒนา Bitcoin Cash มีทุกอย่างครบเพื่อที่จะแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างละเอียดแล้ว”

กระนั้น เนื่องด้วยการที่ยังมีช่องโหว่ใน smart contracts อยู่ จึงทำให้ทางนักพัฒนาสามารถเผยให้เห็นได้แค่บางตัวในขณะนี้

นาย Yabut กล่าวว่า

“มันถือเป็นก้าวแรกในการเปิดใช้งาน smart contracts กับ protocol ที่จะช่วยให้เราสามารถสู้กับ Ethereum ได้ในภายหลัง”

อนาคตของ Bitcoin Cash

แต่ในขณะที่กลุ่มชุมชน Bitcoin Cash กำลังตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ มีผู้ใช้งานบางคนกำลังแสดงความสงสัยในการ hard fork ของพวกเขา

ความกังวลส่วนใหญ่นั้นมีขึ้นเมื่อใน community ไม่ได้มีการเปิดให้มีการโหวตเกิดขึ้นก่อนที่จะทำการโค้ด ทำให้บางคนรู้สึกกังวลเกี่ยวกับโมเดลในการจัดการของ Bitcoin Cash ที่จะเป็นการมอบอำนาจในการจัดการทั้งหมดให้กับนักขุดและนักพัฒนาในการจัดการทั้งหมดหรือไม่

ผู้ใช้งานส่วนใหญ่กล่าวว่าพวกเขามักจะไม่ได้รับโอกาสในแสดงความเห็นในการเปลี่ยนแปลงระบบต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ

The post การ Hard fork ของ Bitcoin Cash ที่จะถึงจะมีอะไรใหม่ ๆ บ้าง appeared first on Siam Blockchain.

บริษัทเกมของเกาหลีใต้นาม Nexon ปฏิเสธข่าวการเข้าซื้อเว็บเทรด Bitstamp

นาย Lee Jung-hun CEO บริษัทเกมของเกาหลีใต้นาม Nexon ได้กล่าวไว้เมื่อวานนี้ว่าทางบริษัทไม่มีความตั้งใจที่จะซื้อเว็บเทรด Bitstamp ซึ่งข่าวดังกล่าวขัดกับรายงานก่อนหน้านี้

ข่าวลือที่จะเข้าซื้อเว็บ Butstamp ถูกปฏิเสธจาก CEO ของ Nexon

นาย Lee Jung-hun กล่าวในการแถลงข่าวที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทในเมือง Pangyo ประเทศเกาหลีในวันพุธว่าไม่มีแผนการที่จะซื้อเว็บเทรด Bitstamp หลังจากที่ได้รับข่าวลือว่าจะเข้าซื้อเว็บเทรด Bitstamp  โดย CEO ของ Nexon กล่าวต่อไปว่า:

“เราไม่มีแผนที่จะเชื่อมโยง Cryptocurrency เข้ากับธุรกิจเกมของเรา”

และนี่เป็นการแถลงข่าวครั้งแรกของ CEO ที่สำนักงานใหญ่ของ Nexon นาย Lee Jung-hun เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งในแถลงการณ์ของเขานั้นยังยืนยันว่าบริษัทของเขามุ่งมั่นที่จะพัฒนาเกมส์ให้มีหลากหลายรูปแบบและน่าสนใจมากขึ้น

เป้าหมายของเราก็คือการสร้างเกมที่มีหลากหลายรูปแบบและใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ผนวกเข้าไปร่วมกันเช่น AI และ Blockchain บริษัท Nexon ได้ผลิตเกม Online ดัง ๆ เช่น  MapleStory, Mabinogi และ Dungeon Fighter Online

เว็บเทรด Bitstamp ก่อตั้งเมื่อปี 2011 เป็นเว็บเทรดคริปโตที่มีความมั่นคง และเป็นเว็บเทรดคริปโตใหญ่เป็นอันดับที่ 13 ของโลก นอกจากนี้ยังเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ได้รับใบอนุญาตให้สามารถดำเนินการในยุโรปได้ รายงานจากเว็บ Korea Herald ระบุว่ามีการลงทะเบียนบัญชีใช้งานบนเว็บเทรด Bitstamp เป็นจำนวน 3 ล้านบัญชี และหนึ่งในหกของจำนวนบัญชีบนเว็บเทรดก็ยังแอคทีฟอยู่

เมื่อปี 2017 ทางเว็บเทรด Bitstamp ได้เพิ่มฟังก์ชันมากมายได้แก่ การสนับสนุนบัตรเครดิตสำหรับลูกค้าในสหรัฐฯ รวมไปถึงการเพิ่มเหรียญ Ripple, Ethereum และ Bitcoin Cash ในเดือนมกราคมสิงหาคมและกันยายนตามลำดับ

The post บริษัทเกมของเกาหลีใต้นาม Nexon ปฏิเสธข่าวการเข้าซื้อเว็บเทรด Bitstamp appeared first on Siam Blockchain.

นาย Tom Lee เผย เลือกที่จะลงทุนใน Bitcoin มากกว่า Bitcoin Cash หากต้องเลือก

นาย Tom Lee นักวิเคราะห์คริปโตคนโปรดของ Wall Street เลือกที่จะนำเงินของเขาไปลงทุนใน Bitcoin มากกว่า Bitcoin Cash

Bitcoin > Bitcoin Cash

นาย Tom Lee กล่าวในรายการ Fast Money ของ CNBC ว่า ในตอนนี้เขาชอบ Bitcoin มากกว่า Bitcoin Cash

“ถ้าเกิดผมกำลังจะนำเงินก้อนใหม่ไปลงทุน แน่นอนว่า ผมต้องเลือกที่จะซื้อสิ่งที่มีมูลค่าน้อยกว่าความเป็นจริง มากกว่าสิ่งที่มีมูลค่าเกินจริง”

นาย Lee กล่าวว่าในปัจจุบัน Bitcoin Cash กำลังอยู่ในโซนที่มีการซื้อมากเกินไป หรือ Overbought อ้างอิงจากพฤติกรรมของราคาและปริมาณการซื้อในตลาด เมื่อเหรียญคริปโตดังกล่าวประกาศว่าจะมีการ Hard Fork ในวันที่ 15 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ เพื่อเพิ่มขนาด Block จาก 8 MB เป็น 32 MB ส่งผลให้การทำธุรกรรมใช้เวลาน้อยลง

สำหรับคนที่ไม่ทราบ Bitcoin Cash เป็นเหรียญที่ Hard Fork ออกมาจาก Bitcoin เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2017

ราคาของ Bitcoin จะแตะที่ 55,000 ดอลลาร์

หลังจากการสนทนาถึงตัวเลือกในการลงทุนของนาย Lee บทสนทนาได้เปลี่ยนเป็นการสอบถามว่า ผู้จัดการเงินทุนนั้นถูกอนุญาติให้เก็งกำไรในตลาดคริปโตแล้วหรือไม่

นาย Tom Lee ตอบกลับว่า :

“ทุก ๆ อาทิตย์ที่ผ่านมา ความชดเจนนั้นค่อย ๆ มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมคิดว่าลูกค้าหลาย ๆ คน เริ่มที่จะมีความสนใจทรัพย์สินชนิดนี้อย่างจริงใจใน เราได้มีการเจรจากับผู้คนที่คุณไม่คิดหรอกว่า พวกเขาจะสนใจสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ”

นอกจากนี้ นาย Lee ยังเพิ่มเติมอีกว่า วงการคริปโตนั้นกำลังค่อย ๆ เติบโตอย่างช้า ๆ ความชัดเจนในเรื่องต่าง ๆ ของ เช่น กฎหมาย เริ่มที่จะปรากฎออกมา ซึ่งความชัดเจนเหล่านี่แหละจะเป็นสิ่งที่จะดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่ให้กระโจนเข้ามาเล่นในตลาดแห่งนี้ อ้างอิงจากแหล่งข่าว Goldman Sachs มีแผนที่จะเปิดแพลตฟอร์มให้ลูกค้าของเขาสามารถเทรดคริปโตได้ในซัมมเมอร์ที่จะถึงนี้

นาย Lee ผู้ทำหน้าที่หัวหน้านักวิจัยของ Fundstrat Global Advisors ยังคงยืนกรานทำนายว่าราคาของ Bitcoin จะแตะ 25,000 ดอลลาร์ในปลายปี 2018 และ 55,000 ดอลลาร์ ในปี 2022

ที่มาภาพ Coinstaker

The post นาย Tom Lee เผย เลือกที่จะลงทุนใน Bitcoin มากกว่า Bitcoin Cash หากต้องเลือก appeared first on Siam Blockchain.

รัฐบาลสิงคโปร์เร่งกระบวนการออกใบอนุญาติสำหรับแอพพลิเคชั่นด้าน Blockchain

สำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาประเทศสิงคโปร์ประกาศว่า พวกเขาจะเร่งกระบวนการอนุมัติใบอนุญาติสำหรับแอพลิเคชั่นด้าน Fintech ยกตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่นช่องทางการชำระเงินด้วยระบบ Blockchain

อ้างอิงจากสำนักงาน กระบวนการขอใบอนุญาติก่อนหน้านี้จะต้องใช้เวลาโดยประมาณ 2 ปี แต่พวกเขาจะเร่งให้เหลือภายใน 6 เดือน โดยแผนการเพื่อเร่งกระบวนการดังกล่าวถูกประกาศในงาน 2018 World Intellectual Property Day โดยนาย Low Yen Ling เลขานุการรัฐสภาอาวุโสแห่งกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม และกระทรวงการศึกษา

ในการแยกประเภทว่าแอพพลิเคชั่นไหนอยู่ในหมวด Fintech หรือไม่นั้น สำนักงาน IP ออกมาแนะนำว่าแอพพลิเคชั่นที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการทำธุรกรรมจะถูกจัดอยู่ในหมวดนั้นอย่างแน่นอน :

“การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมข้ามประเทศ ถูกจัดอยู่ในหมวด Fintech อย่างแน่นอน”

สำนักงานต้องการให้ผู้ที่ขอใบอนุญาติประเภท Blockchain ส่งเอกสารให้น้อยกว่า 20 เอกสาร ในการขอใบอนุญาติหนึ่งครั้งเพื่อความว่องไวในการอนุมัติ

นี่เป็นอีกหนึ่งในการตัดสินใจของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศของพวกเขาเป็นประเทศที่มีความเป็นผู้นำทางด้าน Fintech

และในปัจจุบัน ธนาคารกลางของประเทศสิงคโปร์กำลังสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการโอนเงินข้ามประเทศนาม Project Ubin โดยมีประเทศแคนนาดาเป็น Partner ในโปรเจคดังกล่าว

การเร่งกระบวนการขอใบอนุญาตินี้ ประกาศหลังจากที่พวกเขาพึ่งจัดการแข่งขันพัฒนา Blockchain เพื่อหา Startup ที่มีความสามารถโดยทางรัฐบาลสิงคโปร์จะมีเงินทุนให้เป็นรางวัล

สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศในแถบเอเชียที่มีความสนใจ และส่งเสริม ผลักดันด้าน Fintech ภายในประเทศเป็นอย่างมาก ทุก ๆ คนในตอนนี้ต่างเริ่มทราบกันดีแล้วว่า Blockchain จะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมโลกของเราใหม่ หากใครออกตัวเร็วก็มีสิทธิได้เป็นผู้นำก่อน สำหรับในประเทศไทย พวกเราต้องคอยติดตามข่าวสารกันต่อไป ว่าท่าทีของกฎหมายที่กำลังจะออกมานั้นเป็นอย่างไร

The post รัฐบาลสิงคโปร์เร่งกระบวนการออกใบอนุญาติสำหรับแอพพลิเคชั่นด้าน Blockchain appeared first on Siam Blockchain.

Friday, April 27, 2018

ราคา Bitcoin กลับมาที่ 9,200 ดอลลาร์อีกครั้ง หลังจากที่ราคาตกไป 10% ตลาดครึกครื้นอีกครั้ง

ราคา Bitcoin กลับมายืนพื้นที่ 9,200 ดอลลาร์อีกครั้งหลังจากตกลงไปประมาณ 10% ในวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมาจาก 9,700 ดอลลาร์ เป็น 8,800 ดอลลาร์ โดยการลดลงของราคา Bitcoin คาดการณ์ว่าเกิดจากที่ Mt. Gox เคลื่อนย้าย BTC และ BCH มูลค่า 165 ล้านดอลลาร์ออกจากกระเป๋า

การฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว

มีการทิ้งร่องรอยการเคลื่อนย้าย Bitcoin จำนวน 17,000 BTC ในตลาดเทรดคริปโตในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดย Mt.Gox ได้ขาย Bitcoin ในราคา 9,700 ดอลลาร์ โดยจำนวน Bitcoin 17,000 เหรียญนั้นมีมูลค่าประมาณ 165 ล้านดอลลาร์

ก่อนหน้านี้ทาง Mt.Gox ก็เคยทำให้ราคา Bitcoin นั้นตกมาหลายครั้งแล้ว ทาง Mt.Gox ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในการที่พวกเขาตัดสินใจในการขาย Bitcoin ผ่านเว็บเทรดทั่วไป แทนที่จะขายกันโดยตรง Over-The-Counter (OTC)

ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีรายงานที่อ้างว่าทาง Mt. Gox ได้ขาย Bitcoin มูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนธันวาคมมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ จนทำให้ราคาของมันร่วงลงมาแตะ 6,000 ดอลลาร์มาแล้ว

เหรียญอื่น ๆ ราคาก็ขึ้น

เป็นเวลาสามสัปดาห์แล้วที่เหรียญ Altcoins อย่าง ICON, Decentraland (MANA), WanChain (WAN), EOS, OmiseGo (OMG), Kyber Network (KNC) และอื่น ๆ มีราคาสูงขึ้นเหมือนกับ Bitcoin

ถึงแม้ว่า Altcoin จะได้รับความเสียหายจากที่ราคา Bitcoin ลดลงจาก 9,700 ดอลลาร์เป็น 8,800 ดอลลาร์ก็ตาม แต่ก็สามารถทำราคาเพิ่มขึ้น 5-10 เปอร์เซนต์ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

The post ราคา Bitcoin กลับมาที่ 9,200 ดอลลาร์อีกครั้ง หลังจากที่ราคาตกไป 10% ตลาดครึกครื้นอีกครั้ง appeared first on Siam Blockchain.

“Blockchain เป็นสิ่งสำคัญแต่ “แต่ก็มีบางอย่างทำให้ไขว้เขว” กล่าวโดย CEO ของ AMD

ในการสัมภาษณ์กับทาง CNBC เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา CEO ของ AMD นาง Lisa Su กล่าวว่า Blockchain คือ “สิ่งที่ทำให้ไขว้เขวในระยะสั้น”

นาง Su ยอมรับในความสำคัญของ Blockchain โดยนางกล่าวว่า “Blockchain คือเทคโนโลยีที่สำคัญ เพราะมันสามารถทำธุรกรรมผ่านระบบ Peer-to-Peer มีความเป็น Decentralized มันเป็นเทคโนโลยีที่ดี แต่เอาจริง ๆ นะ ฉันคิดว่ามันก็เป็นแค่สิ่งที่ทำให้ไขว้เขวในระยะสั้นเท่านั้นเอง”

โดยเธอกล่าวว่า:

“เทคโนโลยีระยะยาวที่อยู่รอบ ๆ Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญ และพวกเราก็ใช้เวลามากกับสิ่งนี้ โดยฉันคิดว่าเทคโนโลยีนี้น่าจะอยู่อีก 3, 4, 5 ปีอย่างแน่นอน”

หุ้นของ AMD พุ่งขึ้น 11% เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่ทางบริษัทได้ประกาศว่ามีผลประกอบการมากกว่าที่ประมาณการเอาไว้ และเคลมว่าทางบริษัทมีบทบาทสำคัญในการเป็นฮาร์ดแวร์เพื่อขุดเหรียญ Cryptocurrency ให้สำเร็จนั่นเอง โดยนาง Su ให้สัมภาษณ์ว่า:

“เราเชื่อว่า 10% ของรายได้ในไตรมาสแรกนั้นมาจาก Blockchain และ Cryptocurrency แต่จริง ๆ แล้วนั้นมันมีอีกหลายปัจจัยมากมายในการคาดเดานี้ เรารู้สึกว่าเรามีความคิดดี ๆ ว่าผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์ของเราในการทำอะไร มันเป็นปัจจัยในการเติบโตที่ดี แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยการเติบโตที่เด่นชัดมากนัก”

ในเดือนธันวาคมเมื่อปีที่แล้ว เธอเคยเคลมว่าทาง AMD กำลังสนใจที่จะมีส่วนร่วมในเทคโนโลยี Blockchain เป็นอย่างมาก และตลาดขุดเหรียญ Cryptocurrency

The post “Blockchain เป็นสิ่งสำคัญแต่ “แต่ก็มีบางอย่างทำให้ไขว้เขว” กล่าวโดย CEO ของ AMD appeared first on Siam Blockchain.

สิ่งไหนบ้างที่นักลงทุน Bitcoin จะสามารถเรียนรู้จากพ่อมดแห่งการเงิน George Soros

อ้างอิงจากที่ Siam Blockchain ได้เคยรายงาน มหาเศรษฐีนาม George Soros กำลังจะเข้ามาลงทุนในวงการคริปโต ข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนหลาย ๆ คนตั้งข้อสงสัยถึงผลกระทบที่จะตามมา

หากเราเข้าใจการกระทำของมหาเศรษฐีผู้นี้ อาจจะทำให้เราเข้าใจของกลไกการทำงานของตลาดมากขึ้นก็เป็นได้

สำหรับใครที่ไม่รู้จัก ชายผู้นี้เป็นที่หวาดกลัวของส่วนใหญ่ในโลกเศรษฐกิจและการเงิน เขาเป็นที่รู้จักกันในนาม   “ชายผู้ทำลายธนาคารกลางแห่งอังกฤษ” เมื่อเขาทำเงิน 1 ล้านดอลลาร์ภายในหนึ่งวันสำเร็จ (วันที่ 16 กันยายน 1992 หรือรู้จักกันดีในชื่อ Black Wednesday) มหาเศรษฐีท่านนี้นับว่ามีอำนาจขนาดที่สามารถสร้างหรือทำลายค่าเงินได้เลยทีเดียว ไม่เว้นแม้แต่ค่าเงินดิจิทัลก็ตาม นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ที่เคยเข้ามาโจมตีค่าเงินบาทและอีกหลาย ๆ สกุลเงินในทวีปเอเชียจนทำให้เกิดวิกฤตการเงินที่ส่งผลให้ชาวไทยต้องเผชิญความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจในปี 2540 หรือเรียกกันว่า วิกฤติการต้มยำกุ้ง นั่นเอง

ส่วนหนึ่งในความสำเร็จของนาย Soros มาจากความเข้าใจทฤษฎีที่เขาเรียกว่า Reflexivity หรือทฤษฎีการสะท้อนกลับไปมา พูดง่าย ๆ ทฤษฎีนี้กล่าวว่า นักลงทุนไม่ได้ตัดสินใจตาม “ความเป็นจริง” แต่ตัดสินใจตาม “สิ่งที่เขารับรู้ว่าคือความเป็นจริง”

อ้างอิงจากทฤษฎีดังกล่าว ความจริงมี 2 ประเภท ความจริงแบบไม่ลำเอียง (Objective) และความจริงแบบลำเอียง (Subjective) นาย Soros อธิบายว่า ความเป็นจริงแบบส่วนตัวเกิดขึ้นภายในหัวของนักลงทุนเอง แต่ความเป็นจริงแบบไม่ลำเอียงนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ ภายนอกตัวนักลงทุนเอง

ทฤษฎี Reflexivity คือการเชื่อมความจริงตั้งแต่ 2 แง่ หรือมากกว่า เพื่อสร้าง Loop สะท้อนไปมาระหว่างตัวนักลงทุน ด้วยวิธีนี้การกระทำจากความจริงในแง่ใดแง่หนึ่ง (Objective หรือ Subjective) จะส่งผลต่อการรับรู้ของนักลงทุน และราคา ในที่สุด นาย Soros กล่าวว่า วิกฤติการเงินระดับโลกในปี 2008 เป็นตัวอย่างชั้นเยี่ยมของทฤษฎีนี้

ที่มาภาพ Quora

เขาคิดว่า ตลาดชอบอยู่ในภาวะที่แตกต่างไปจากความเป็นจริงอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่มันควรจะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงอย่างชัดเจน

“ทุก ๆ ฟองสบู่จะมีสองสิ่งนี้ประกอบอยู่เสมอ หนึ่งคือ เทรนด์สำคัญหลัก ๆ ที่อยู่เหนือความเป็นจริง และ สองคือ ความเข้าใจผิดในเทรนด์นั้น”

เขาอธิบายว่า เมื่อมีความเข้าใจผิดต่อเทรนด์ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ฟองสบู่ที่รอวันแตกก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่นกัน

แล้วทฤษฎีของเขาสามารถใช้ได้กับตลาดคริปโตอย่างไรล่ะ ?

ทฤษฎีดังกล่าวยิ่งเห็นผลได้ชัดมากขึ้นในตลาดคริปโต ที่นักลงทุนทุก ๆ คนบูชามันราวกับมันคือพระเจ้า พวกเขาเอาแต่กล่าวว่ามูลค่าของพวกมันมีแต่จะเพิ่มขึ้น โดยอ้างอิงจากมูลค่าที่แท้จริงของนวัตกรรมเบื้องหลังโปรเจคต่าง ๆ

เมื่อมีคนมอง Bitcoin ในแง่บวกมากขึ้น ไม่ว่าจะมาจากเหตุการณ์หรือข่าวใด ๆ ก็ตาม ราคาของมันก็จะเพิ่มขึ้นตาม และมีผลส่งต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ เช่นปีที่ผ่านมา เมื่อราคา Bitcoin ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว มันดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ให้เข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ราคาสูงขึ้นไปอีก ราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ไปดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาอีกรอบ และส่งผลต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งองค์ประกอบต่าง ๆ นี้เหมาะมากสำหรับนักลงทุนที่มีทุนหนาแบบ Soros ที่จะเทขายเพื่อทำการทุบราคาทำกำไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ ICO ที่ราคาของมันทะยานขึ้นได้ด้วยกระแส Hype โดยที่นักลงทุนไม่ค่อยสนใจนักว่ามูลค่าที่แท้จริงแล้วของโปรเจคนั้น ๆ เป็นเช่นไร

ไม่มีใครทราบว่า การที่นาย Soros ประกาศว่าจะเข้ามาลงทุนในตลาดคริปโต หลังจากที่เขาเรียกมันว่าเป็นฟองสบู่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้มีนัยสำคัญอะไร แต่ที่แน่ ๆ เรื่องราวในตลาดคริปโต กำลังน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ และนี่เป็นอีกหนึ่งบทเรียนว่า เราควรลงทุนในสิ่งที่เราศึกษาแล้วเท่านั้น ไม่ควรลงทุนในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ

The post สิ่งไหนบ้างที่นักลงทุน Bitcoin จะสามารถเรียนรู้จากพ่อมดแห่งการเงิน George Soros appeared first on Siam Blockchain.

“มูลค่าตลาดรวม Cryptocurrency ไปถึง 40 ล้านล้านดอลลาร์แน่นอน” กล่าวโดย CEO Pantera Capital

ผู้ก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยง Cryptocurrency นาม Pantera Capital เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่าเขาเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่มูลค่ารวมของตลาด Cryptocurrency จะสูงถึง 40 ล้านล้านดอลลาร์

นาย Dan Morehead CEO ของบริษัทกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับทาง Bloomberg โดยเขาเชื่อว่ามูลค่ารวมของตลาด Cryptocurrency จะมีมูลค่าเป็นสองเท่าจากปัจจุบันที่เป็นอยู่

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมานาย Morehead กล่าวเพิ่มเติมว่า Bitcoin ยังคงเป็นเหรียญที่ควรเข้าซื้อ ถึงแม้ว่าราคามันจะเพิ่งฟื้นตัวขึ้นมา

ก่อนหน้านี้นาย Morehead เคยกล่าวว่าเมื่อกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้วว่า ราคา Bitcoin จะลดลง 50% ก่อนที่จะกลับไปราคาสูงอีกครั้ง

ในรายงานกล่าวว่าบริษัท Pantera ก่อตั้งเมื่อปี 2011 โดยตอนนี้มีสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การบริหารประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยประมาณ 10% นั้นไปลงที่ Bitcoin แต่ที่เหลือนั้นไปอยู่ในเหรียญ Icon ซึ่งอยู่ในอันดับ 20 ของตลาด Cryptocurrency อ้างอิงจาก Coinmarketcap

The post “มูลค่าตลาดรวม Cryptocurrency ไปถึง 40 ล้านล้านดอลลาร์แน่นอน” กล่าวโดย CEO Pantera Capital appeared first on Siam Blockchain.

บริษัท Samsung เผย: ผลประกอบการทะยานเป็นประวัติการณ์จากความต้องการเครื่องขุดที่มากขึ้น

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัท Samsung ได้ขยายไลน์การผลิตของพวกเขาให้ครอบคลุมถึงชิพเครื่อง ASIC ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีผลตอบแทนกลับมาแล้ว

ไตรมาสแรกในปีนี้ของ Samsung นับว่าเป็นไตรมาสที่ 4 ที่พวกเขามีผลประกอบการเยอะเป็นประวัติการณ์ติดต่อกัน สาเหตุมาจากความต้องการของชิพสำหรับเครื่องขุด Bitcoin ในตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจ Semiconductor ของ Samsung เป็นที่ต้องสำหรับชิพของการ์ดจอเป็นอย่างมาก พวกเขาคาดว่าในส่วนนี้จะสามารถชดเชยตลาดมือถือที่อ่อนแอได้

ในไตรมาสแรกของปีนี้ Samsung รายงานว่าพวกเขามีกำไร 14,450 ล้านดอลลาร์ จากรายได้ประมาณ 56,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการขายเมมโมรี่ชิพ

นาย Robert M. Yi รองประธานของกลุ่มนักลงทุนบริษัท Samsung กล่าวถึงรายได้เหล่านี้ว่า :

“ที่รายได้ของธุรกิจ Semiconductor เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ปีนั้น ต้องขอบคุณตลาดที่มีความต้องการเซิฟเวอร์และการ์ดจอเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้รายได้ของระบบ LSI และโรงหล่อยังเพิ่มขึ้นตามอีกเช่นกัน เนื่องจากตลาดมีความต้องการชิพสำหรับมือถือและการขุดคริปโตที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก”

สำหรับธุรกิจโรงหล่อ มีออร์เดอร์สำหรับชิพประมวลผลเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม พวกเขาคาดว่าในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ รายได้จะยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากกำลังผลิตชิพ 10 nm และชิพประมวลผลคุณภาพดีที่มีมากขึ้น และในครึ่งปีหลัง ธุรกิจโรงหล่อของพวกเขาจะโฟกัสในการขยายฐานลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น

แผนดังกล่าวได้มีการเริ่มไปบ้างแล้ว จากข่าวที่บริษัท Samsung ได้ผลิตชิพ 10 nm สำหรับเครื่องผลิต ASIC ให้บริษัท Halong Mining ผู้ผลิตเครื่องขุด DrogonMint เมื่อไม่นานมานี้

ในปัจจุบันบริษัท Samsung มีบริษัท Taiwan Semi เป็นคู่แข่ง บริษัทดังกล่าวเป็นผู้ผลิตชิพให้กับริษัทจำหน่ายเครื่องขุดระดับโลกอย่าง Bitmain หรือ Canaan Creative

อ้างอิงจาก Tech Crunch ในหนึ่งไตรมาส พวกเขามีรายได้จากตลาดนี้อยู่ที่ประมาณ 350 ล้านดอลลาร์ ถึง 450 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

การที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung เล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดนี้ อาจทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในวงการคริปโตเป็นจำนวนมาก และอาจส่งผลให้มีบริษัทผลิตเครื่องขุดคริปโตเกิดใหม่มากขึ้น จนทำให้พอที่จะสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดเครื่องขุดคริปโตมาจาก Bitmain ได้ ซึ่งการแข่งขันนี้จะส่งผลดีกับลูกค้าอย่างเรา ๆ ในระยะยาวแน่นอนครับ

ที่มา ccn

The post บริษัท Samsung เผย: ผลประกอบการทะยานเป็นประวัติการณ์จากความต้องการเครื่องขุดที่มากขึ้น appeared first on Siam Blockchain.

ทำไมแนวคิดที่จะทำลาย Bitcoin ของ MIT Technology Review ถึงผิด

เมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมาทาง MIT Technology Review ได้ออกบทความที่พาดหัวว่า “มาทำลาย Bitcoin กันเถอะ”  หลังจากนั้นผู้คนบนอินเตอร์เน็ตก็เริ่มออกมาตอบสนองด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่นลงวีดีโอโต้ตอบต่อ “ผู้เขียนบทความของ MIT” หรือก็คือผู้ที่ต่อต้าน Bitcoin นั่นเอง

ประการแรก MIT Technology Review ไม่ได้ถูกควบคุมจาก MIT แต่อย่างใด แน่นอนว่าบทความนี้ไม่ได้ถูกเขียนหรือแก้ไขโดยศาสตราจารย์จาก MIT หรือถ้าเอาตามความเป็นจริงก็คือบุคลากรของ MIT ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับบทความนี้ด้วยซ้ำไป

“มาทำลาย Bitcoin กันเถอะ” เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาในบทความชื่อ “A Technology in Turmoil” เขาได้แนะนำแนวคิดของบทความในคำถามที่ว่า “นาย Morgen Peck ได้เขียนสถานการณ์สามรูปแบบที่เกี่ยวกับ Bitcoin ซึ่งตอนนี้อาจยังเป็นเหรียญราชาอยู่ แต่ในอนาคตอาจถูกแทนที่จากเหรียญคู่แข่งก็เป็นได้”

โดยบทความนี้ผู้เขียนสมมุติว่า “ในขณะที่ Bitcoin กำลังสร้างระบบเศรษฐกิจที่ไม่สามารถปลอมการทำธุรกรรมได้นั้น แต่ก็ไม่สามารถป้องกันแนวคิดที่จะเอาไปทำเหรียญอื่นได้เช่นกัน” นาย Peck กล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถลอก Bitcoin ได้ แต่ทุกคนสามารถลอกความคิดของ Bitcoin ได้ โดยเขาระบุว่า “รัฐบาล, บริษัทหรือบุคคลทั่วไป” อาจสร้าง Bitcoin ที่ “ไร้ประโยชน์และซับซ้อน” ขึ้นมาเองก็ได้

ดังนั้นปัญหาหลักก็คือรัฐและบริษัทไม่สามารถทำเหรียญที่มีระดับความเป็นส่วนตัวและมีความปลอดภัยอย่าง Bitcoin ได้ ทางรัฐบาลจึงได้สร้างเหรียญของรัฐบาลขึ้นมาเองที่มีนามว่า Fedcoin โดยมี FED คอยหนุนหลัง

อ้างอิงจากมหาวิทยาลัย Yale นาย Sahil Gupta อ้างว่าระบบ Blockchain นี้จะมีการตรวจสอบสถาบันทางการเงิน “ที่มีความน่าเชื่อถือ” เช่น Bank of America หรือ JP Morgan แต่บริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตอย่าง JP Morgan อาจลดความต้องการในการใช้ Cryptocurrency ลงอย่างแน่นอน

Fedcoin อาจดูเหมือนเป็น “ดอลลาร์ดิจิทัลที่สามารถเพิ่มจำนวนเหมือนดอลลาร์กระดาษ” ผู้ใช้งานเว็บ Reddit ตั้งข้อสังเกตว่า “ไม่มีการจำกัดจำนวนเหมือน Bitcoin และไม่มี Blockchain อีกด้วย”

ต่อมาก็คือ Facebook อาจครอบงำ Bitcoin ก็ได้ โดย Facebook อาจสร้างกระเป๋าสตางค์ BTC สำหรับผู้ใช้งานทั้งหมด (เช่นผู้ใช้ Facebook อาจตื่นขึ้นมาและค้นพบว่ามีปุ่มเล็ก ๆ เพิ่มขึ้นมาในหน้าโปรไฟล์ของเขาโดยระบุว่า “Send Bitcoin”) หรืออาจจะเป็นการให้ Reward ด้วย Cryptocurrency ตอบโต้กับ Ads ของ Facebook หรืออาจเล่น Facebook โดยไม่มีโฆษณามาคั่นถ้าผู้ใช้งานยอมให้ Facebook ขุดเหรียญ Cryptocurrency ผ่านคอมพิวเตอร์ของพวกเขา

สุดท้ายการสร้าง Bitcoin “ที่ไม่สมเหตุสมผล” ก็คือการสร้าง Cryptocurrency ใหม่เพื่อนำไปใช้ในทุกสถานการณ์นั่นเอง

“สมมุติคุณอยู่ในร้านขายของชำ ภายในกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลของคุณไม่มีเพียงแค่ Fedcoin หรือ Facebookcoin นะ แต่คุณยังมี AppleCash, ToyotaCash และเหรียญเฉพาะเจาะจงเพื่อใช้สำหรับบริการพิเศษเช่นบริการรับเลี้ยงเด็กหรือเหรียญที่เอาไว้ขึ้นรถไฟใต้ดินโดยเฉพาะ”

โดยทาง Technology Review กล่าวว่ากรณีนี้นั้นได้ “เกิดขึ้นแล้ว” หลายบริษัทกำลังสร้างเหรียญของตัวเองเพื่อใช้ในบริการของตนเช่น ICO ของ Kodak อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับสถานการณ์ที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น พวกเขาไม่ได้ใช้ไอเดียของ Bitcoin ลงไปในเหรียญของพวกเขาเลย

ดูเหมือนว่าผู้เขียนของเว็บ Technology Review อาจไม่สามารถเข้าใจถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมของ Bitcoin แต่ก็อาจจะมีแนวคิดอีกหลายอย่างที่อาจจะนำไปสู่ความล้มเหลวของ Bitcoin และ Cryptocurrency ก็เป็นได้

The post ทำไมแนวคิดที่จะทำลาย Bitcoin ของ MIT Technology Review ถึงผิด appeared first on Siam Blockchain.

IBM จับมือบริษัทเพชรชั้นนำ เคลมว่าจะสร้าง Supply Chain ที่โปร่งใสขึ้น

ในวันที่ 26 เมษายน 2018 IBM ตีพิมพ์ว่าพวกเขาได้จับมือกับหลายบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเครื่องเพชร เพื่อที่จะพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain ในการติดตามต้นกำเนิดของเครื่องเพชร

Trustchain ได้จับมือกับบริษัทกลั่นโลหะมีค่านาม Asahi Refining, บริษัทค้าเพชรนาม Helzberg Diamond, บริษัทค้าโลหะมีค่านาม LeachGarner, บริษัทผลิตเครื่องเพชรนาม The Richline Group และบริการยืนยันตัวนาม UL ทั้งหมดมีความตั้งใจที่จะเพิ่มความโปร่งใสในข้อมูลของ Supply Chain ในอุตสาหกรรมของพวกเขา

ด้วยแพลตฟอร์ม Blockchain ของ IBM และโปรเจค HyperLedger จะทำให้โปรเจคดังกล่าวสามารถติดตามต้นกำเนิดของโลหะมีค่า และเครื่องเพชรเหล่านี้ได้ว่า จริง ๆ แล้วมันมาจากไหน มันจะก่อให้เกิด “การยืนยันแบบดิจิทัล, การยืนยันกระบวนการและผลิตภัณฑ์ และการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม”  ซึ่งจะสามารถรับรองได้ว่าเครื่องเพชรที่ลูกค้าซื้อไปนั้น มาจากแหล่งที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายและจริยธรรม

นาย Bridget Van Kralingen รองประธานอาวุโสด้าน Blockchain ของ IBM กล่าวว่า :

“ผู้บริโภคใส่ใจเรื่องที่มาของเครื่องเพชรเป็นอย่างมาก มีหลักฐานชัดเจนว่า 66 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าทั่วโลกยอมจ่ายมากกว่าเพื่อจะซื้อกับแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ TrustChain คือตัวอย่างว่า Blockchain จะสามารถเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมผ่านความโปร่งใสของข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไร ซึ่งประโยชน์จะตกที่ลูกค้า”

การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้จะทำให้กระบวนการอยู่ในแบบดิจิทัล ข้อมูลธุรกรรมทุกอย่างจะจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้, ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และแชร์กันได้ในเครือข่ายแบบ Real-time

นาย Mark Hanna หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Richline Group กล่าวว่า :

“TrustChain เป็นเทคโนโลยี Blockchain แรกที่ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมของเรา ก่อให้เป็นการแก้ปัญหาที่เกิดจากการรวมกันของเทคโนโลยีชั้นนำจาก IBM และการตรวจสอบข้อมูลโดย UL”

อ้างอิงจากการประกาศ โปรเจคนี้จะสำเร็จให้ลูกค้าของพวกเขาสามารถใช้งานได้ในปลายปีนี้

เราเริ่มได้เห็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในหลายอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจาก ปัญหาความไม่โปร่งใสของข้อมูลนั้นเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ได้ยาก เพราะว่าการเก็บข้อมูลยังเป็นการกระจุกไว้แค่ที่ ๆ เดียวหรือก็คือมีกลุ่มเล็ก ๆ สามารถควบคุมข้อมูลได้ หรือแบบ Centralized ซึ่งมีศักยภาพ Blockchain จะเป็นตัวที่จะมาทำลายปัญหานั้นได้ และข่าวนี้ยิ่งทำให้เราเชื่อมั่นในตัวมันได้เลยว่า เทคโนโลยีนี้แหละที่จะมาปฎิวัติโลกของเราเป็นตัวต่อไป

The post IBM จับมือบริษัทเพชรชั้นนำ เคลมว่าจะสร้าง Supply Chain ที่โปร่งใสขึ้น appeared first on Siam Blockchain.

ผู้สร้าง Ethereum คว่ำบาตรงานสัมมนาเว็บข่าวสารคริปโต Coindesk หลังโฆษณาให้นักต้มตุ๋น

เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา นาย Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อเว็บข่าวสารคริปโตนาม Coindesk ผ่านบัญชี Twitter ของเขา และปฎิเสธที่ไม่เข้าร่วมในงานสัมมนา “Coindesk’s Consensus 2018” เนื่องจากเว็บดังกล่าวสนับสนุนผู้หลอกลวง,ให้ข้อมูลที่ก่อให้เกิดความแตกแยก และ ’มีนโยบายที่ห่วยแตก’

เว็บ Coindesk เป็นที่รู้จักกันดีในวงการคริปโตเนื่องจากเป็นเว็บที่ให้ข่าวสารเกี่ยวกับคริปโตตั้งแต่ปี 2013

แต่ดูเหมือนว่า เว็บไซต์ดังกล่าวจะสร้างความไม่พอใจให้กับนาย Buterin อย่างมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากเว็บดังกล่าวได้ทำการโฆษณาให้กับนักต้มตุ๋น ผ่านลิงค์ในบทความ OMG ล่าสุดของพวกเขา

ซึ่งก่อนหน้านี้นาย Buterin ได้ออกมาเตือนสื่อคริปโตต่าง ๆ แล้วว่าให้ระวังเรื่องพวกนี้


นาย Buterin เขียนต่อว่า :

บทความที่อธิบายถึง EIP 999 นั้นย่ำแย่มาก เห็นได้ชัดเจนเลยว่าผู้เขียนบทความดังกล่าวต้องการสร้างความแตกแยกในชุมชน เนื่องจากบทความนั้นเขียนว่า Ethereum กำลังที่จะมีแยก Chain ซึ่งการนำ EIP 999 มาใช้นั้น ยังห่างจากการยอมรับจากกลุ่มผู้พัฒนาอยู่มาก นี่คือสาเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ต้องถูกแทนที่ด้วย Prediction Market ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“พูดจริง ๆ นะ ความเร็วมันสำคัญกว่าความถูกต้องขนาดนั้นเลยหรือ ?”

นาย Peter Szilagyi หนึ่งในนักพัฒนาหลักของ Ethereum ยังโพสในบัญชี Twitter แสดงไม่พอใจของเขาด้วยว่า :

“ถึงแม้ว่า Coindesk จะติดต่อมาสอบถามถึงความเห็นของผมเกี่ยวกับ EIP 999 แต่เหมือนคำตอบของผมนั้นจะไม่ได้อยู่ในบทความของเขาเลย”

นอกจากนี้ เขายังตำหนิถึงระบบรายงานของเว็บดังกล่าว เนื่องจากหากเราเห็นว่าเนื้อหาส่วนไหนในบทความผิดเพี้ยนไปจากความจริงอย่างชัดเจน แล้วเราไปรายงานกับทางเว็บ ต้องรอให้ทางเว็บอนุมัติก่อน ผู้เขียนบทความนั้นจึงจะไปแก้ไขให้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่วุ่นวายเกินไป

และที่สำคัญเหมือนงานประชุมที่ Coindesk กำลังจะจัดนั้นก็ไม่ได้มีค่าตั๋วที่ถูกเลย ค่าเข้าร่วมงานนั้นอยู่ประมาณ 2 ถึง 3 พันดอลลาร์ นาย Buterin ปฎิเสธที่จะเข้าร่วมในงานนี้ และยังเชิญชวนผู้อื่นให้คว่ำบาตรงานดังกล่าวอีกด้วย

“ผมปฎิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการหาแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจในครั้งนี้”

ในเวลาต่อมา หลังจากที่เว็บดังกล่าวทราบข่าวถึงนี้ พวกเขาได้ทำการแก้บทความ OMG และได้นำลิงค์ที่โฆษณานักต้มตุ๋นออกไป

เหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเป็นบทเรียนสำหรับวงการคริปโตว่าก่อนที่จะปักใจเชื่อข้อมูล ให้ศึกษาอย่างถี่ถ้วนซะก่อนคิดว่ามันเป็นข้อเท็จจริง ขนาดเว็บที่ทำข่าวมาเกือบ 5 ปียังผิดพลาดได้ ผู้อ่านทุกท่านก็ควรจะระวังตัวให้มากขึ้นต่อจากนี้

The post ผู้สร้าง Ethereum คว่ำบาตรงานสัมมนาเว็บข่าวสารคริปโต Coindesk หลังโฆษณาให้นักต้มตุ๋น appeared first on Siam Blockchain.

คณะรัฐมนตรีของมอลตาอนุมัติร่างกฏหมายด้าน Cryptocurrency

คณะรัฐมนตรีของมอลตาได้อนุมัติร่างกฏหมาย 3 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency และเทคโนโลยี Blockchain โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร่างกฏหมายสินทรัพย์ทางการเงินเสมือน (Virtual Financial Assets) และกรอบการกำกับดูแลสำหรับ Cryptocurrency และการระดมทุน ICO

ร่างกฏหมายด้าน Crypto ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว

รายงานจากสื่อท้องถิ่นกล่าวว่าเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาทางคณะรัฐมนตรีของมอลตาได้อนุมัติร่างกฏหมายสามฉบับ ซึ่งหนึ่งในร่างกฏหมายก็คือด้านสินทรัพย์ทางการเงินเสมือน (Virtual Financial Assets) เพื่อกำหนดกรอบการกำกับดูแลสำหรับ Cryptocurrency และการระดมทุน ICO โดยอีกสองฉบับที่เหลือก็คือ กฏหมายด้านนวัตกรรมรูปแบบดิจิทัลของมอลตา และ การจัดการเทคโนโลยีและการให้บริการ

ทั้งสามฉบับถูกนำเสนอต่อรัฐสภามอลตาเป็นครั้งแรกเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยขั้นตอนต่อไปคือการถกเถียงกันในสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะถูกนำไปใช้เป็นกฏหมายนั่นเอง โดยสื่อท้องถิ่นตั้งข้อสังเกตว่า เลขานุการของรัฐสภานาย Silvio Schembri “เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่ง” ว่า:

“เมื่อกฏหมายเกี่ยวกับ Blockchain และ Cryptocurrency เกิดขึ้นในมอลตาแล้วนั้น ทางธนาคารอาจไม่ค่อยต้อนรับบริษัทที่ทำงานด้านนี้สักเท่าไร สันนิษฐานเนื่องจากความเชื่อมั่นทางกฏหมายนั่นเอง”

เกี่ยวกับร่างกฏหมายทั้งสามฉบับ

ร่างกฏหมายด้านนวัตกรรมรูปแบบดิจิทัลของมอลตา เผยว่าจะมีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ที่มีชื่อว่า Malta Digital Innovation Authority โดยมีหน้าที่รับผิดชอบโดยการโฟกัสไปที่การจัดการและการทำงานภายในของรัฐบาล โดยบริษัทด้านกฏหมายนาม Mamo TCV Advocates อธิบายบทบาทที่สำคัญของ Malta Digital Innovation Authority ก็คือ “การรับรองแพลตฟอร์ม DLT (Distributed Ledger Technology) เพื่อให้มั่นใจว่าน่าเชื่อถือและให้ความมั่นใจแก่ผู้ใช้ที่มีความประสงค์จะใช้แพลตฟอร์ม DLT”

ร่างกฏหมายฉบับที่สองที่มีชื่อว่า “การจัดการเทคโนโลยีและการให้บริการ” เกี่ยวกับการลงทะเบียนผู้ให้บริการเทคโนโลยี การรองรับของเทคโนโลยีอย่างเช่นผู้ดูแลระบบและผู้ตรวจสอบบัญชี (Auditor)

ส่วนร่างกฏหมายด้านสินทรัพย์ทางการเงินเสมือน (Virtual Financial Assets) ทางบริษัทด้านกฏหหมายอธิบายว่าจะเพ่งเล็งไปที่การระดมทุน ICO และข้อบังคับเกี่ยวกับผู้ให้บริการบางรายซึ่งมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการระดมทุน ICO

นอกจากนี้ร่างกฏหมายนี้ยังให้อำนาจกับ บริการทางการเงินของมอลต้า (MFSA) ให้มีอำนาจในการกำกับดูแลในการสืบสวนและสอบสวน เช่น อำนาจในการออกคำสั่งในการระงับ ICO หรือระงับการเทรดคริปโตบนเว็บเทรดก็ได้

ที่มา: Bitcoin News

The post คณะรัฐมนตรีของมอลตาอนุมัติร่างกฏหมายด้าน Cryptocurrency appeared first on Siam Blockchain.

ปริมาณการเทรดสัญญาฟิวเจอร์ต่อวันของ CBOE สูงที่สุดตั้งแต่ให้บริการมา

ข้อมูลของตลาดเผยให้เห็นว่า CBOE มีปริมาณการเทรดสัญญา Futures เยอะที่สุดเท่าที่เคยมีมาหลังจากที่ได้เปิดตัวเมื่อเดือนธันวาคมในปีที่ผ่านมา โดยมีการเทรดสัญญาในเดือนพฤษภาคม 18,210 สัญญา, เดือนมิถุนายน  703 สัญญา, เดือนกรกฎาคม 86 สัญญา และแต่ไม่มีการเทรดสัญญาภายในเดือนสิงหาคมปรากฏในข้อมูลดังกล่าว

ในวันพฤหัสที่ผ่านมา นาย Kevin Devitt ผู้ให้คำแนะนำอาวุโสของ CBOE Options Institute กล่าวว่า :

“ปริมาณการเทรดโดยเฉลี่ย (ADV) จะอยู่ที่ประมาณ 6,600 สัญญาในตลาดฟิวเจอร์ XBT แต่จู่ ๆ เมื่อวานปริมาณการเทรดเพิ่มขึ้นมาเกือบสามเท่า”

เขาอธิบายเพิ่มเติม :

“เมื่อวานนับเป็นวันที่มีปริมาณการเทรดสัญญา Bitcoin ฟิวเจอร์ต่อวันมากที่สุดในรอบ 5 เดือนตั้งแต่เปิดให้บริการมา โดยมีสัญญาการเทรดในเดือนเมษายนมากที่สุด จำนวน 18,210 สัญญา ซึ่งรวมทั้งหมดมีสัญญา Bitcoin ฟิวเจอร์มากกว่า 19,000 สัญญาที่ถูกเทรด ในอดีตปริมาณการเทรดของวันที่ 17 มกราคม 2018 นับเป็นจำนวนที่สูงที่สุดของเราซึ่งอยู่ที่ 15,500 สัญญา”

นาย Devitt กล่าวว่าในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ปริมาณการเทรดที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้นเกิดจากสัญญาชุดแรกหมดอายุลง แต่เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้นไม่ใช่กรณีนั้น

“เราจะคอยจับตาดูว่าได้มีสถาบันการลงทุนไหนเริ่มเข้ามาในโลกคริปโตแล้วหรือเปล่า”

และเสริมว่า “ในตอนนี้ตลาด Bitcoin ฟิวเจอร์ยังอยู่ในตลาดกระทิงอย่างต่อเนื่อง”

The post ปริมาณการเทรดสัญญาฟิวเจอร์ต่อวันของ CBOE สูงที่สุดตั้งแต่ให้บริการมา appeared first on Siam Blockchain.

Sony กำลังมองหา Blockchain เพื่อนำมาใช้ในการเก็บข้อมูลสิทธิบัตรแบบดิจิทัล

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่นนาม Sony กำลังมองหาเทคโนโลยี Blockchain เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลสิทธิบัตรแบบดิจิทัล

สิทธิบัตรตัวนี้ถูกเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาโดยสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐฯ ทาง Sony อธิบายว่า Solution ในการจัดการสิทธิบัตรแบบดิจิทัล (DRM) มีจุดประสงค์เพื่อการทำงานร่วมกัน “เพราะเราไม่สามารถเชื่อใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เพราะถ้าผู้ให้บริการเก็บสิทธิบัตรหรือระบบเกิดล้มเหลวขึ้นมานั้น ผู้ใช้งานก็จะสูญเสียข้อมูลของพวกเขาไปทั้งหมด”

Blockchain จะสามารถเก็บข้อมูลการยืนยันตัว (Identification) เพื่อให้แน่ใจได้ว่าผู้ใช้งานสามารถเฝ้าดูผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาซื้อได้

ระบบ DRM คือเทคโนโลยีที่จำกัดการเข้าถึงเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์เฉพาะกับผู้ที่ซื้อสิทธิ์การเข้าถึงเท่านั้น ทาง Sony กล่าวถึง UltraViolet ซึ่งเป็นตู้เก็บสิทธิบัตรดิจิทัลแบบ Cloud เช่นกัน

อย่างไรก็ตามทาง Sony ยังเคลมอีกว่าระบบ Blockchain นี้จะสามารถจัดการสิทธิบัตร “ได้หลากหลายประเภทเช่น ภาพยนตร์, โทรทัศน์, วีดีโอ, เพลง, เกม, ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์, ข้อมูลทางการแพทย์, ฯลฯ”

อ้างอิงจากทาง Sony กล่าวว่า “ระบบ DRM จะทำการตรวจสอบสิทธิ์ในระบบ Blockchain จากนั้นจะถอดรหัสเมื่อถึงเวลาจำเป็นและมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ Device ของผู้ใช้งาน”

ก่อนหน้านี้ทาง Sony ก็กำลังมองหาสิทธิบัตรเทคโนโลยีด้านอื่น ๆ ที่จะช่วยตรวจสอบข้อมูลผู้ใช้งานและข้อมูลด้านการศึกษา

The post Sony กำลังมองหา Blockchain เพื่อนำมาใช้ในการเก็บข้อมูลสิทธิบัตรแบบดิจิทัล appeared first on Siam Blockchain.

อดีตเว็บเทรดคริปโตชื่อดัง Mt. Gox เคลื่อนย้าย BTC และ BCH มูลค่า 165 ล้านดอลลาร์ออกจากกระเป๋า

Bitcoin จำนวน 16,000 BTC และ Bitcoin Cash จำนวน 16,000 BCH ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากกระเป๋าแบบ cold wallet (กระเป๋าเก็บเหรียญคริปโตแบบระยะยาว) ของอดีตเว็บเทรดคริปโตที่เคยถูกแฮคไปแล้วนาม Mt. Gox เมื่อช่วงคืนที่ผ่ามา อ้างอิงจาก Crypto Ground

กระเป๋าดังกล่าวถูกควบคุมโดยผู้ที่ทาง Mt. Gox จ้างวานให้ช่วยขาย นาย Nobuaki Kobayashi โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ เหรียญทั้งสองเหรียญที่ถูกเคลื่อนย้ายออกไปมีมูลค่ารวมกันกว่า 165 ล้านดอลลาร์ โดยแต่ละเหรียญถูกเคลื่อนย้ายออกไปทีละ 2,000 BTC และ BCH จากหลาย address เพื่อไปรวมกันที่ address เดียว และรวมถึง address ของ BCH ด้วยเช่นกัน

นักลงทุน Bitcoin รายหนึ่งผู้ใช้นามแฝงว่า Alistair Milne ได้เขียนลงทวิตเตอร์ว่ากลุ่มชุมชน cryptocurrency นั้น “มักจะไม่รู้ว่าเหรียญที่ถูกเคลื่อนย้ายไปนั้นจะถูกนำไปขายหรือเคลื่อนย้ายออกไปด้วยเหตุผลอื่น ๆ กันแน่”

ก่อนหน้านี้มีรายงานที่อ้างว่าทาง Mt. Gox ได้ขาย Bitcoin มูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนธันวาคมมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ จนทำให้ราคาของมันร่วงลงมาแตะ 6,000 ดอลลาร์มาแล้ว

เว็บดังกล่าวเคยเป็นกระดานซื้อขาย Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งมีแฮคเกอร์มาขโมยเหรียญ Bitcoin มูลค่ากว่า 850,000 BTC (460 ล้านดอลลาร์ในขณะนั้น) ไปเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 โดยในขณะนี้ยังคงมีการสืบสวนสอบสวนกันอยู่

เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา นาย Mark Karpeles หรืออดีต CEO ของ Mt. Gox ได้ออกมากล่าวว่าเขาไม่ต้องการเหรียญ 160,000 BTC (1.4 พันล้านดอลาร์ในขณะนี้) ที่เหลืออยู่หลังจากเว็บเทรดคืนเหรียญให้กับนักลงทุนหมดแล้ว

The post อดีตเว็บเทรดคริปโตชื่อดัง Mt. Gox เคลื่อนย้าย BTC และ BCH มูลค่า 165 ล้านดอลลาร์ออกจากกระเป๋า appeared first on Siam Blockchain.