Tuesday, November 25, 2014

7 Habits: อุปนิสัยที่ 3 Put first things first

วันนี้ก็มาถึงอุปนิสัยที่ 3 ใน 7 อุปนิสัยแห่งคนที่มีประสิทธิผลสูงกันแล้วนะครับ อ่านจบไป 2 อุปนิสัยแล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ ได้มีการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของเราบ้างหรือเปล่า โดยเฉพาะเรื่องของ Proactive ผมคิดว่าเป็นนิสัยแรกที่หลายๆ จำได้กันหมด แต่จะเอาไปใช้มากน้อยสักแค่ไหน ก็คงอยู่ที่ตัวเราเอง
อุปนิสัยที่ 3 นั้นพูดถึงเรื่องของ การทำสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน ภาษาอังกฤษเขาใช้ว่า Put first things first ก็คือ อะไรที่เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการทำให้เราบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน อุปนิสัยที่สอง ก็ให้เริ่มทำก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ให้ทำทีหลังก็ได้
ผู้เขียนเขาใช้ตัวอย่างเรื่องของการนำเอาก้อนหินหลายๆ ขนาด ซึ่งมีตั้งแต่ขนาดใหญ่มาก กลาง และขนาดเล็ก จนไปถึงก้อนกรวด แล้วให้เราใส่ลงไปในถังเปล่า 1 ใบให้เต็มโดยต้องไม่ให้เกินกว่าขอบถัง ผู้ที่ขึ้นมาใส่หน้าชั้นส่วนใหญ่จะเทก้อนกรวดลงไปในถังก่อน จากนั้นค่อยพยายามยัดก้อนหินแต่ละขนาดลงไป ซึ่งก็ทำให้ใส่ได้ไม่หมด มีก้อนหินหลายก้อนที่เกินขอบถังขึ้นมา
สิ่งที่ผู้เขียนทำให้ดูก็คือให้ใส่ก้อนหินขนาดใหญ่ลงไปก่อน ตามด้วยขนาดกลาง เล็ก จากนั้น ก็เทก้อนกรวดลงไป ซึ่งกรวดเหล่านี้ก็จะไปแทรกอยู่ระหว่างช่องว่างของก้อนหินต่างขนาดกันนั่น เอง ซึ่งสุดท้ายก็ทำให้ก้อนหินทุกก้อนถูกบรรจุลงในถังเปล่าได้พอดี
สิ่งที่ผู้เขียนอุปมาอุปมัยก็คือ หินขนาดใหญ่เปรียบเสมือนงานที่สำคัญของเรา ก้อนกลาง เล็ก และกรวด สำคัญรองลดหลั่นกันลงมา ถ้าเรามัวแต่ไปใส่ใจกับงานเล็กๆ ที่ไม่สำคัญต่อเป้าหมายของเรา ก็จะทำให้เราไม่มีเวลาที่จะมาทำงานสำคัญของเรา ซึ่งทำให้เป้าหมายของเราไปไม่ถึงซักที สิ่งที่ควรจะทำก็คือ ให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่สำคัญในชีวิตของเราก่อน จากนั้นเมื่อเวลาเหลือ ก็ค่อยมาดูงานเล็กๆ เหล่านั้นอีกที
ก็เลยเป็นที่มาของงานในสองมุม ก็คือ สำคัญ กับเร่งด่วน
  • กิจกรรมที่ไม่สำคัญ แต่เร่งด่วน ส่วน ใหญ่เรามักจะใช้เวลากับกิจกรรมแบบนี้มากไปหน่อย ซึ่งก็คือ การตอบอีเมล์ที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการให้เราตอบทันที หรือ การรับโทรศัพท์ของใครก็ตามที่โทรเข้ามา เราต้องรับ การถูกเรียกประชุมบางเรื่อง ซึ่งก็ไม่ได้มีความสำคัญมากเท่าไหร่ แต่ต้องรีบปฏิบัติ เป็นต้น
  • กิจกรรมที่สำคัญ และเร่งด่วน กิจกรรม เหล่านี้มักจะเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะถ้าไม่รีบแก้ก็จะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ กิจกรรมแบบนี้ถ้ามีมากเกินไปก็จะทำให้เราไม่ต้องพัฒนาอะไรเลย เพราะมัวแต่แก้ไขปัญหาไปวันๆ
  • กิจกรรมที่ไม่สำคัญ และไม่เร่งด่วน กิจกรรมเหล่านี้เช่นการตอบสนองสิ่งที่เพื่อนๆ โพสใน facebook การเล่นเกมส์ การตอบอีเมล์เพื่อนเก่า ฯลฯ แต่ส่วนใหญ่ปัจจุบันคนมักจะให้ความสำคัญกับกิจกรรมเหล่านี้มากเกินไป ทำให้เวลาหายไป จนกิจกรรมหลักไม่มีเวลาทำ ซึ่งจะส่งผลต่อเป้าหมายของเราได้
  • กิจกรรมที่สำคัญ แต่ไม่เร่งด่วน ผู้เขียนให้ความสำคัญกับกิจกรรมนี้มาก เพราะถือว่าเป็นกิจกรรมที่เน้นการวางแผนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ทำให้เราไม่ต้องมานั่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ทุกวัน แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยให้เวลากับกิจกรรมนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องมานั่งคิด นั่งวางแผน คนเราส่วนใหญ่ชอบลุยเลย แต่สุดท้ายก็มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันให้เสียเวลากันอีก
ลองดูจาก ภาพข้างล่างนี้ประกอบก็ได้นะครับ
ดังนั้นถ้าเรามีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว สิ่งที่จะต้องทำต่อก็คือ การให้เวลาในกิจกรรมสำคัญ ที่จะทำให้เราไปสู่เป้าหมายนั้นได้เร็วขึ้น และลดกิจกรรมที่ไม่สำคัญลง ใช้เวลาที่มีอยู่จำกัดให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเรามากที่สุด ซึ่งในการทำตรงนี้จะต้องมีวินัยในตนเองมาก ซึ่งเรื่องนี้ก็จะต้องใช้นิสัยที่ 1 เข้ามาช่วยก็คือ Proactive นั่นเองครับ อย่า React ไปตามความอยากของเรา จนทำให้กิจกรรมในแต่ละวันที่เราทำนั้นไม่ได้เป็นกิจกรรมที่เอื้อให้เราบรรลุ เป้าหมายที่เราตั้งไว้
วันนี้คุณทำกิจกรรมที่สำคัญ แต่ไม่เร่งด่วนบ้างหรือเปล่าครับ

บทความอาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
เรียบเรียงโดย สุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

Monday, November 24, 2014

7 Habits: อุปนิสัยที่ 2 Begin with the end in mind

เมื่อวานนี้ได้เขียนอุปนิสัยที่ 1 ของ 7 อุปนิสัยแห่งคนที่มีประสิทธิผลสูง ซึ่งก็คือ เรื่องของ Proactive ครับ วันนี้จะมาต่อในอุปนิสัยที่ 2 ก็คือ Begin with the end in mind ก็คือการเริ่มต้นจากเป้าหมายสูงสุดของชีวิตเรา
การที่เราจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ ก็ตาม สิ่งที่เราจะต้องมีก่อน ก็คือ นิสัยแบบ Proactive จากนั้นก็มาต่อด้วยการที่เราจะต้องมีเป้าหมายสูงสุดของชีวิตเราเองว่า จริงๆ แล้วเป้าหมายนั้นคืออะไร สิ่งที่ผู้เขียนเขาแนะนำก็คือ ให้คิดดูว่า ถ้าเราเสียชีวิตไปแล้ว เราอยากให้คนอื่นๆ พูดถึงเราว่าอย่างไร อยากให้เขามองเราว่าเป็นอย่างไร ดีอย่างไร
ผมคิดว่าเรื่องของเป้าหมายของคนเรานั้นเป็นเรื่องที่จะต้องกำหนดให้ ชัดเจนก่อนเลย ว่าเราต้องการจะประสบความสำเร็จอะไร อย่างไร แล้วเราจะเริ่มต้นวางแผนจากเป้าหมายนั้นถอยกลับมาว่า ถ้าเราอยากจะบรรลุเป้าหมายนั้นๆ จริงๆ เราจะต้องทำอะไรบ้าง และทำอย่างไร โดยกำหนดเป็นขั้นตอนให้ชัดเจน
จะว่าไปผมว่าก็เป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งที่คนเรามักจะไม่ค่อยใส่ใจมาก นัก กล่าวคือ เรามักจะมีเป้าหมาย อยากเป็นโน่น เป็นนี่ อยากจะประสบความสำเร็จอย่างนั้นอย่างนี้ เราทุกคนล้วนมีความฝันที่อยากจะเป็นในสิ่งที่ดีกว่าวันนี้ แล้วเราก็ได้แค่ฝัน เราไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพื่อทำฝันของเราให้เป็นจริง ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกแห่งความฝัน ว่าสักวันหนึ่งเราจะเป็น จะได้ในสิ่งที่เราฝัน โดยที่เราไม่ได้คิดจะเริ่มลงมือทำอะไรเลย
แต่อุปนิสัยที่ 2 ของ 7 Habits นั้น สอนเราว่า
  • กำหนดภาพเป้าหมายของเราให้ชัดเจน ต้องฝันให้ชัดๆ เลยนะครับ ว่าเราจะต้องการเป็นอะไร บรรลุอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร ยิ่งทำให้ภาพเป้าหมายชัดเจนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างพลังและแรงจูงใจให้เราได้มากขึ้นเท่านั้น
  • เริ่มต้นวางแผน และกำหนดขั้นตอนให้ไปตามเป้าหมายที่เราฝันไว้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ตื่นจากความฝันที่เราวาดไว้ แล้วเริ่มต้นลงมือทำฝันให้เป็นจริงซะ โดยการกำหนดวิธีการแผนงาน และขั้นตอนที่ชัดเจนเพื่อที่จะทำให้เราบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
  • เริ่มต้นลงมือทำทุกวัน ผมว่าข้อนี้คือสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราไปถึง หรือไม่ถึงเป้าหมายที่เราวางไว้ ก็คือ การเริ่มต้นลงมือทำวันละนิดหน่อย สะสมไปเรื่อยๆ หลายๆ วันเข้าก็จะกลายเป็นความสำเร็จขึ้นมาได้
  • ต้อง Proactive ในทุกข้อที่กล่าวมาข้างต้นจะต้องมีอุปนิสัยที่ 1 ก็คือ Proactive เป็นตัวผลักดันตนเองอยู่เสมอ มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะเริ่มกลับมารักความสบายแบบเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แต่อยากประสบความสำเร็จ ซึ่งมันก็คงจะเป็นไปได้ยาก
ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนล้วนมีความฝันที่เราต้องการ แต่สิ่งที่ต้องถามตัวเองก็คือ ความฝันนั้น เป็นเป้าหมายสูงสุดของเราจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่สิ่งที่เราต้องการแบบว่า ได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นแบบนี้ ก็คือว่าฝันนั้นอาจจะไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของเรา
คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างดีนั้น จะต้องไม่ลืมที่จะกำหนดเป้าหมายที่เราต้องการอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแนวทางของ 7 Habits หรือตำราในการพัฒนาตนเองอื่นๆ ที่เขียนๆ กันในโลกนี้ ล้วนแต่สอนให้เราต้องมีการกำหนดเป้าหมายของเราอย่างชัดเจน
การที่เราไม่มีเป้าหมาย ก็เหมือนกับเราขับรถโดยที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ขับไปเรื่อยๆ วนเวียนไปเรื่อย เปลืองน้ำมันอีกต่างหาก ชีวิตเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เราก็จะใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ วนเวียนไปมาแบบเดิมๆ ซึ่งก็เปลืองเวลาในชีวิตของเราเอง
เป้าหมายมีหลายอย่างครับ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเรื่องของความร่ำรวยเพียงอย่างเดียวครับ เราอาจจะตั้งเป้าหมายทางด้านการเงิน การทำงาน ครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ฯลฯ ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราต้องการ
วันนี้คุณมีเป้าหมายในชีวิตของคุณแล้วหรือยังครับ

บทความอาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
เรียบเรียงโดย สุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

Sunday, November 23, 2014

7 Habits of highly effective people : Be Proactive

เห็นชื่อบทความวันนี้แล้วไม่ต้องแปลกใจนะครับ สัปดาห์นี้ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ 7 อุปนิสัยของคนที่มีประสิทธิผลสูง ของ Stephen R. Covey ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ท่านผู้นี้ถือเป็นอาจารย์ท่านแรกๆ ที่ผมรู้จักในเรื่องของแนวคิดการพัฒนาตนเองในสมัยที่ผมเพิ่งเรียนจบ ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบในช่วงสองถึงสามปีแรกของการทำงาน และได้นำเอาแนวคิดเหล่านี้ไปใช้จริงๆ ในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว ใช้บ้าง ลืมบ้าง แต่ก็ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นจริงๆ ก็เลยอยากจะเขียนบทความถ่ายทอดอุปนิสัยทั้ง 7 เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับ Stephen R. Covey ด้วย ผมเชื่อว่ามีท่านผู้อ่านหลายท่านที่เคยอ่านแล้ว และอาจจะมีบางท่านที่ยังไม่เคยอ่านมาก่อน ก็ถือว่าเป็นการทบทวน และได้ความรู้ใหม่ไปในตัวนะครับ
ผู้เขียนได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า นิสัยทั้ง 7 นี้ ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เราเป็นบุคคลที่มีประสิทธิผลสูง ซึ่งจากผลการสำรวจของบริษัทของผู้เขียนเอง จะเห็นว่ามีหลายๆ คนที่สามารถประสบความสำเร็จได้ โดยอาศัยอุปนิสัยทั้ง 7 นี้
อย่างไรก็ดี เมื่อพูดถึงนิสัย แปลว่า เราต้องมีการเปลี่ยนแปลงนิสัยของเราบางอย่าง อะไรที่เป็นสิ่งที่เราเคยชิน และไม่ได้ทำให้เรามีประสิทธิผลสูงขึ้น นิสัยเหล่านี้นก็จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนนิสัยนี้เป็นสิ่งที่ยากมากทีเดียวครับ แต่ถ้าใครทำได้ นั่นก็คือ เขากำลังที่จะเข้าสู่การเป็นบุคคลที่มีประสิทธิผลสูงนั่นเอง เราลองมาดูนิสัยที่ 1 กันดีกว่าครับว่า Stephen R. Covey เขาว่าอย่างไรบ้าง
อุปนิสัยที่ 1 Be Proactive
ในหลักการของ 7 อุปนิสัยที่กำลังจะเล่าให้อ่านกันนี้ 3 อุปนิสัยแรก จะเป็นการเอาชนะตัวเองก่อน จากนั้นอีก 3 อุปนิสัยถัดมา ถึงเป็นเรื่องการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น และนิสัยสุดท้ายก็คือ การพัฒนาต่อยอดและการรักษานิสัยทั้งหมดนี้ไว้ให้คงอยู่ตลอดไป
อุปนิสัยแรก ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Proactive นั้น ผมไม่แน่ใจว่าจะใช้ภาษาไทยว่าอะไร พูดกันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนที่ไม่ Reactive ก็คือ ไม่ทำตนลอยไปลอยมาตามสถานณ์ที่พาเราไป คนที่ proactive จะไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างภายนอก แต่เขาจะยืนหยัดในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูกต้อง และทำให้เราสามารถควบคุมตนเองได้
นิสัยแรกนี้ ผู้เขียนเขาเปรียบเทียบให้ฟังว่า คนเราที่ต่างกับสัตว์ทั่วไปก็ตรงที่ คนเรานั้นมีสิทธิที่จะเลือกที่จะตอบสนองได้ ไม่เหมือนสัตว์ที่ตอบสนองตามสัญชาติญานเท่านั้น เช่น ถ้าเรานั่งรถติดอยู่ในรถนานๆ เราจะเลือกอารมณ์เสีย พาลด่าคนอื่นไปทั่ว แล้วก็ทำให้เราเองเสียสุขภาพจิตไปด้วย หรือเราจะเลือกที่จะทำให้ตัวเองได้ประโยชน์จากรถที่ติด โดยเลือกคิดในทางบวกมากกว่า เช่น ติดนานๆ ก็ดี จะได้มีเวลาคุยกับแฟนเยอะหน่อย หรือ หาซีดี เรียนภาษาต่างประเทศมาเปิดเพื่อนั่งฟังไปด้วยในขณะที่รถติด ฯลฯ เราสามารถที่จะเลือกตอบสนองต่อสถานณ์การต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ นี่คือตัวอย่างของนิสัยที่ 1 Proactive ครับ
ผมเองคิดเสมอว่านี่คือนิสัยแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จเลยครับ เพราะถ้าเราขาดสิ่งที่เรียกกว่า Proactive ก็จะทำให้เราไม่เปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเองเลย ทำอะไรก็เป็นไปตามสถานการณ์พาไป เข้าข่ายที่ว่า “ปล่อยให้ลมพาไป จะพัดพาเราไป จะไปไหนก็แล้วแต่สายลม” นี่คือนิสัยแบบ Reactive ก็คือ ไม่เป็นนายของตัวเอง แต่ให้สิ่งแวดล้อมภายนอกมาเป็นนายของเรา คนแบบนี้จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร จริงมั้ยครับ
ผมนั่งนึกถึงนิสัยที่ไม่ Proactive ก็มีดังนี้ครับ
  • อกหัก กินเหล้า ทำร้ายตัวเอง โดยอ้างว่าเสียใจมาก
  • เลือกที่จะเล่นมากกว่าเรียน พอใกล้วสอบก็มาบ่นว่าทำข้อสอบไม่ได้เลย
  • มีคนขับรถปาดหน้า ทนไม่ได้ต้องขับไปปาดกลับให้จงได้ มิฉะนั้นนอนตายตาไม่หลับ
  • สอบไม่ได้ ทำงานไม่สำเร็จ ผลงานไม่ดี ก็ไปโทษฟ้าโทษดิน ปีนี้ปีชงบ้าง ดาวศุกร์เข้าดาวเสาร์แทรก ฯลฯ
ถ้าคนที่มีนิสัยแบบ Proactive จะไม่เลือกที่จะทำให้ตนเองทำอะไรไปตามสถานการณ์ แต่จะเป็นคนที่ควบคุมตนเองเพื่อเอาสถานการณ์นั้นให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง มากกว่าไม่ว่าจะอกหัก หรือ ทำงานไม่สำเร็จ หรืออะไรก็แล้วแต่ คนที่ Proactive จะไม่เลือกที่จะทำร้ายตนเองเป็นอันขาด
เลือกที่จะคิดดี ทำดี ทำให้ตนเองสบายใจ และมีความสุข แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ลำบากสักแค่ไหน ก็เลือกที่จะทำให้ตัวเองสบายใจได้ครับ แบบนี้แหละครับที่เขาเรียกกว่า Proactive
ตัวอย่างอีกเรื่องที่เห็นภาพเลยก็คือ ถ้าเราตั้งเป้าหมายบางอย่างไว้ เราก็ต้องเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายนั้น นิสัยแบบนี้ก็คือ Proactive เช่น ถ้าเราตั้งใจว่าจะลดความอ้วน เราก็จะมีการวางแผนไว้ว่าจะต้องตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกาย แต่พอถึงเวลานาฬิกาปลุกตอนเช้าดังขึ้น คนที่ Reactive ก็จะกดทิ้งแล้วก็นอนต่อไป เพราะคิดเอาสบายไว้ก่อนตามที่เคยสบาย แต่ถ้าคนที่ Proactive ก็จะกดทิ้งแล้วลุกขึ้นทันที เพื่อที่จะออกไปออกกำลังกาย เพื่อที่จะได้ลดความอ้วนให้ได้ตามที่เราตั้งเป้าหมายไว้นั่นเองครับ
แล้ววันนี้ คุณเลือกที่จะ Proactive หรือ Reactive ครับ

บทความอาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
เรียบเรียงโดย สุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

Thursday, November 20, 2014

Work hard กับ Work smart เลือกให้ชาญฉลาดแล้วเวลาจะเหลือ

บางคนทำงานหามรุ่งหามค่ำ และมักจะบ่นว่า ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย วันๆ ทำแต่งาน ก็เข้าข่ายที่เรียกว่า Work Hard แต่ทำไมบางคนเราถึงรู้สึกว่า เขามีเวลามากมายในแต่ละวัน และสามารถทำผลงานออกมาได้อย่างต่อเนื่อง แถมยังมีเวลาในการพัฒนาตัวเอง พักผ่อน ไปเที่ยว ฯลฯ ได้อย่างสบายๆ ทั้งๆ ที่ทุกวันเราก็มีเวลาเท่ากันทุกคนก็คือ วันละ 24 ชั่วโมง แล้วเราก็เรียกคนกลุ่มนี้ว่า Work Smart
เรื่องของการบริหารเวลานั้น เป็นปัญหาของคนเราทุกคน เป็นศิลปะในการจัดการกับชีวิตตนเอง คำว่าบริหารเวลาจริงๆ แล้วเราไม่ได้ไปบริหารเวลาที่มีอยู่เลย เราบริหารการใช้เวลาของเราเองต่างหาก เพราะทุกคนมีเวลาเท่ากันคือวันละ 24 ชั่วโมง ดังนั้นใครที่สามารถจัดการกับการใช้เวลาของตนเองได้อย่างดี เขาก็จะมีเวลาทำอะไรอย่างอื่นได้มากขึ้น แล้วทำไมบางคนถึงมักจะชอบพูดว่า “ไม่มีเวลา” เราลองมาดูสาเหตุกันนะครับ
  • ไม่มีการทำรายการที่จะต้องทำในแต่ละวัน คนที่ไม่สามารถบริหารเวลาของตนเองได้ดี สาเหตุแรกก็คือเวลาทำงานในแต่ละวันไม่มีการทำรายการว่าในวันนี้จะต้องทำอะไร บ้าง หรือที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า To do list ผลก็คือ ทำโน่นนิด นี่หน่อย เวลามีใครขอให้ทำ หรือช่วยอะไร ก็ทำไปเรื่อย สุดท้ายก็ไม่เสร็จสักอย่าง บางคนมีการทำ to do list ไว้อย่างชัดเจนแปะไว้ที่โต๊ะบ้าง หรือใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถควบคุมตนเองให้ทำงานตามรายการที่กำหนดไว้ได้เลย กลายเป็นเอาเวลาไปทำอย่างอื่นหมด
  • ไม่มีการตั้งเป้าหมายและความสำเร็จของงานและของตัวเอง ปกติถ้าเรามีการตั้งเป้าหมายในการทำงานของตนเองไว้อย่างชัดเจนแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ เราจะกำหนดแผนงาน และเวลาในการทำงานเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่เราต้องการ ในการทำงานก็เช่นกัน ถ้าเราไม่มีการกำหนดเป้าหมายความสำเร็จของงานไว้ล่วงหน้า เราก็จะมองไม่เห็นว่างานไหนสำคัญกว่างานไหน เราก็มักจะทำงานที่ง่ายกว่าก่อน เก็บงานที่ยากๆ ไว้ทีหลัง ผลสุดท้ายก็คือ เหลือแต่งานยากๆ ในเวลาที่เหลือน้อยลง
  • ไม่มีการจัดลำดับความสำคัญของงาน หลายคนมักจะทำงานที่อยากทำก่อน แต่เป็นงานที่ไม่มีความสำคัญมากนัก เช่นทุกเช้าจะต้องเช็คอีเมล์ อ่าน Facebook ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานเลย บางครั้งก็เลยเถิดกันไปจนไปกินเวลาในการทำงานปกติ ซึ่งก็ทำให้เวลาในการทำงานที่สำคัญๆ น้อยลงไปอีก
  • ไม่สามารถจัดการกับสิ่งกระทบรอบๆ ตัวได้ บาง คนเวลาที่มีใครคุยกัน หรือทำอะไรข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องหยุดงานที่ทำ แล้วไปคุย และไปทำอะไรกับเขาด้วย บางครั้งมีโทรศัพท์จากเพื่อนเข้ามาเวลางาน ก็ทำให้เราต้องหยุดงาน และถ้าเราไม่สามารถควบคุมสิ่งกระทบเหล่านี้ เราก็จะเลยเถิดอีกเช่นกัน ก็คือเพลิดเพลินไปกับสิ่งรอบข้างที่เข้ามาหาเรา โดยลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคืออะไร สุดท้ายก็หมดเวลา
  • ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง คน ที่ไม่สามารถบริหารการใช้เวลาของตนเองได้มีสาเหตุหลักอีกปัจจัยหนึ่งก็คือ ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง เช่นเห็นว่า งานยังไกลจากกำหนดเสร็จ ก็ยังไม่ลงมือทำทั้งๆ ที่ก็ยังพอมีเวลาทำ แต่กลับเลื่อนไปเรื่อยๆ จนถึงวันใกล้กำหนด ก็มาเร่งทำ แล้วก็มาบ่นว่า “ไม่มีเวลา”
  • ปฎิเสธคนอื่นไม่เป็น คนแบบนี้เวลาที่มีใครมาขอให้ทำอะไร ทั้งงานตัวเอง และไม่ใช่งานตัวเอง ก็ตอบรับไว้ทั้งหมด โดยไม่พิจารณาว่า เวลาที่เรามีอยู่กับงานของเราเองนั้นมีเพียงพอหรือไม่ แต่ด้วยความเกรงใจ และไม่อยากให้คนอื่นมองเราไม่ดี ก็เลยรับไว้ทั้งหมด บางคนรับจนเรียกกว่าทำอะไรไม่ถูกเลยก็มี สุดท้ายก็ทำไม่เสร็จสักงาน กลายเป็นว่าคนอื่นก็มองเราไม่ดีอยู่ดี เพราะรับปากแล้วทำไม่ได้ตามที่ตกลงไว้
5 ปัจจัยข้างต้นก็คือสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เวลาของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป ใครที่สามารถบริหารจัดการกับกิจกรรมของตนเองได้อย่างดี ก็จะมีเวลาเหลือที่จะทำอย่างอื่นอีกมากมาย ในทางตรงกันข้ามใครที่ไม่สามารถควบคุมการใช้เวลาของตนเองได้ ปล่อยให้เป็นไปตามความสบาย หรือตามความต้องการของตนเอง สุดท้ายเราก็จะไม่เหลือเวลาในการทำสิ่งที่สำคัญกว่า
จากประสบการณ์ของผมเอง การที่เราจะบริหารการใช้เวลาของตนเองได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพนั้น มีเคล็ดลับอยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือ “Self-Discipline” หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า “วินัยในตนเอง” ควบตัวเองได้ตามรายการที่ทำไว้ ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ทำตามแผนงานที่กำหนด สุดท้ายเราจะเหลือเวลาในการพักผ่อนและใช้ชีวิตกับครอบครัวได้อีกเยอะครับ
วันนี้คุณมีเวลาเหลือบ้างหรือเปล่าครับ

บทความอาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
เรียบเรียงโดย สุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

วิธีง่ายๆ ที่ทำให้ผลงานของเราแย่ลง

ทุกวันนี้ในการบริหารทรัพยากรบุคคลนั้น แนวทางที่นายจ้างอยากให้เป็นก็คือ ทำอย่างไรให้พนักงานสามารถสร้างผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หรือพูดในอีกนัยหนึ่งก็คือ ทำอย่างไรให้พนักงานมี Productivity สูงขึ้น เนื่องจากค่าแรง เงินเดือน และต้นทุนต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา ก็เลยทำให้นายจ้างส่วนใหญ่อยากได้พนักงานที่มี Productivity ดีๆ
วันนี้ผมก็เลยนำเอาแนวทางในการทำให้ Productivity ของเราตกลงไปเรื่อยๆ มาเล่าให้อ่านกัน เพื่อที่ใครที่ต้องการที่จะสร้างผลงานของตนเองให้ดีขึ้นนั้น จะได้ไม่ทำแบบที่เขียนในวันนี้ แนวทางที่ผมเขียนวันนี้ก็คือ วิธีที่ทำให้ผลงานของเราแย่ลง และ Productivity ลดลงได้อย่างรวดเร็วมาก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เจอมากับตัวเอง บ้างก็เห็นจากคนอื่น มีอะไรบ้างลองมาดูกันนะครับ
  • เช็คเมล์ทุกสองนาที พนักงานบางคนต้องเช็คอีเมล์ทุกสองนาที ไม่ทางคอมพิวเตอร์ก็ทางโทรศัพท์มือถือ จะต้องหยิบขึ้นมากดดูว่ามีอีเมล์เข้ามาหรือไม่ วันๆ แทบไม่ต้องทำอะไรเลย พยายามจะดูว่ามีอีเมล์อะไรใหม่ๆ เข้ามาบ้าง จากนั้นก็ตอบอีเมล์กันทั้งวันอีกเช่นกัน
  • เช็ค Facebook ทุก 5 นาที พนักงาน บางคนติด Facebook มาก ไม่แค่เพียงการ update status ที่เวลาเจออะไร เห็นอะไร หรือรู้สึกอะไร ก็ต้องเปิด facebook แล้วบ่นใส่เข้าไป ไม่รู้ว่ากลัวคนอื่นจะไม่รู้หรืออย่างไรว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร คนอื่นก็เช่นกัน ต้องอยากรู้เรื่องราวของบุคคลอื่นๆ โดยการหยิบโทรศัพท์ หรือเปิดหน้าเว็บ ทุกครั้งที่มีการเตือนขึ้นมา ลองนับดูนะครับว่า ในแต่ละวันคุณเปิด Facebook วันละกี่ครั้ง และครั้งและกี่นาที
  • ทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน พนักงาน บางคนชอบที่จะทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ทำงานนี่แป๊ปๆ ยังไม่เสร็จ ก็หันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่องาน พอคุยยังไม่ทันจบ ก็ต้องรีบตัดบท เพื่อคิดขึ้นมาได้ว่า ยังมีงานพิมพ์ที่ต้องทำต่อ พิมพ์ไปได้สักพัก ก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ตอบเมล์ลูกค้าเลย ตอบเมล์ยังไม่ทันเสร็จ ก็นึกได้ว่า ยังไม่ได้เอารายงานไปส่งให้กับหัวหน้าเลย ขณะกำลังเดินเอางานไปส่งหัวหน้า ก็มีโทรศัพท์เข้ามาขอข้อมูล ก็เลยรีบเดินกลับไปที่โต๊ะ จากนั้นก็ลืมว่าจะต้องทำอะไร ก็เลยมานั่งคิดใหม่ว่าจะทำอะไรก่อนดี ฯลฯ ท่านเองเคยเป็นแบบนี้หรือไม่ครับ คนเราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้ทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันครับ สิ่งที่จะต้องทำก็คือ การวางแผน และการจัดลำดับความสำคัญของงานแต่ละอย่างให้ดี เพื่อที่จะได้ใช้เวลาที่มีอยู่ได้คุ้มค่ามากที่สุดนั่นเอง
  • ปล่อยให้คนอื่นเข้ามาใช้เวลาของคุณ พนักงาน บางคนเป็นประเภทที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น โดยไม่ดูว่างานที่ตนเองทำอยู่นั้นเป็นอย่างไร รีบไม่รีบ หรือด่วนไม่ด่วน เวลามีใครมาคุยด้วย ก็คุยหมด หรือเวลาเดินไปห้องครัว เห็นเพื่อนคุยกันอยู่ ก็ร่วมวงด้วย จนเพลิน หรือในบางกรณีก็คือ ปฏิเสธไม่เป็น ใครที่เข้ามาขอความช่วยเหลือก็ให้หมดทุกนาทีที่เรามีโดยไม่ดูเลยว่าตนเองมี เวลาอยู่เท่าไหร่ ไม่ใช่จะไม่มีน้ำใจนะครับ แต่บางครั้งก็เยอะเกินจนทำให้งานที่เรารับผิดชอบไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนดได้
  • นั่งฝันกลางวัน พนักงานบาง คนเวลาทำงานชอบนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง คิดไปต่างๆ นานา ว่าจะทำอย่างไรให้งานดีขึ้น ผลงานดีขึ้น เมื่อไหร่จะได้เลื่อนตำแหน่ง เมื่อไหร่จะได้ขึ้นเงินเดือนเยอะๆ ฯลฯ แต่ไม่ทำงานอะไรเลยนั่งฝันแบบนี้ เจ้านายคงจะชอบหรอกนะครับ
ทั้งหมดที่เขียนมาก็มาจากการสังเกตการทำงานของพนักงานทั้งรุ่นใหม่ รุ่นเก่า ที่เขาใช้เวลาในแต่ละวันไม่ค่อยคุ้มค่ามากนัก ผมคิดว่าในระยะหลังๆ มานี้ เนื่องจากเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามามีส่วนในชีวิตของเรามากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของ Social Network ไม่ว่าจะเป็น Facebook Line whatsapp instagram pinterest ฯลฯ ล้วนแต่เป็นเครื่องมือที่ดึงเราออกจากความมุ่งมั่น และสมาธิในการทำงานทั้งสิ้น
ดังนั้นถ้าเราอยากจะมีผลงานที่ดี โดดเด่นกว่าคนอื่นได้ แปลว่า เราจะต้องบริหารการใช้เวลาของเราในแต่ละวัน ให้คุ้มค่ามากที่สุด โดยทำให้ชีวิตของเราเกิดมูลค่าเพิ่มได้ทุกวัน
อย่าปล่อยให้ความสนุกเพลิดเพลินทำ ให้ผลงาน และ Productivity ของเราลดลงไป เพราะสุดท้ายจะมีผลต่อชีวิตการทำงานของเราในอนาคตอย่างแน่นอนครับ

บทความอาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
เรียบเรียงโดย สุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

Wednesday, November 19, 2014

Well-Being คืออะไร และมีผลต่อชีวิตเราอย่างไร

คำว่า Well-Being เป็นศัพท์อีกคำหนึ่งที่ในแวดวงการบริหารทรัพยากรบุคคลเริ่มใช้กันมาสักพัก แล้ว แปลเป็นไทยอย่างไรนั้นยังไม่มีใครบัญญัติขึ้นมา ผมขอแปลง่ายๆ ว่า เป็นความสุข หรือความผาสุกในชีวิต หรือในการทำงานนะครับ แต่อย่างไรก็ดี ในบทความนี้ผมจะใช้ทับศัพท์ไปเลยนะครับ เพื่อความสะดวกในการอ่านและความเข้าใจ
หลายคนเมื่อพูดถึงคำว่า Well-Being ก็มักจะคิดถึงแค่เพียงว่าชีวิตมีความผาสุก มีความสุข และคิดแค่เพียงเรื่องของเงิน หรือไม่ก็สุขภาพ เพราะเป็นสองเรื่องที่พอจะวัดกันได้จริงๆ จังๆ แต่จากผลงานวิจัย และผู้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า Well-Being โดย Tom Rath และ Jim Harter ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้ผลออกมาว่า มีปัจจัยในการสร้าง Well-Being อยู่ 5 ปัจจัย ถ้าเราต้องการชีวิตที่มี Well-Being ก็ต้องสร้างจาก 5 ปัจจัยนี้ มีอะไรบ้างลองมาดูกัน
  • Career Well-Being ก็คือ ความผาสุกทางด้านอาชีพการงาน ผู้วิจัยได้พบว่า Well-Being ทางด้านนี้ เป็นพื้นฐานสำคัญมากที่สุด ที่จะทำให้เกิด Well-Being ในด้านอื่นๆ ตามมา เพราะเป็นเรื่องที่คนเราต้องทำ และต้องอยู่กับมันทุกวัน ใครที่มีหน้าที่การงานที่ไม่ชอบ และทำงานด้วยความไม่ชอบ เรื่องอื่นๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นเลย ดังนั้นการมี Career Well-Being ก็คือ การที่เราชอบในงานที่เราทำ และเราใช้มันเป็นอาชีพในการสร้างความก้าวหน้าให้กับชีวิตเราได้
  • Social Well-Being ปัจจัยที่สองก็คือ เรื่องของการมีสังคม มีความรัก มีเพื่อนพ้อง เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่มีผลต่อความรู้สึกเป็นสุขในชีวิต ใครที่ไม่มีความรัก ไม่มีเพื่อน คงจะอยู่ในสังคมได้ยาก
  • Financial Well-Being ปัจจัยที่ 3 ก็คือ เรื่องของสถานะทางการเงิน ก็คือมีเงินพอใช้พอจ่าย ตามสภาพความเป็นอยู่ของเราเอง ไม่ใช่มแต่หนี้สิน หรือไม่มีเงินเลย ก็ไม่มีความผาสุขในชีวิตอีกเช่นกัน เรื่องของเงินนี้ มักจะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มองว่า ถ้าชีวิตจะมีแต่ความผาสุกได้นั้น จะต้องมีเงินเยอะ ๆ แต่ผลการวิจัยออกมาเป็นอันดับ 3 ไม่ใช่อันดับ 1
  • Physical Well-Being ปัจจัย ที่ 4 ก็คือ การมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ปัจจัยนี้เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ กล่าวคือ ถ้าเราไม่มีร่างกายที่แข็งแรง เราก็ไม่สามารถทำงานได้ และก็ไม่สามารถที่จะหาเงินได้เพียงพอกับการใช้จ่ายในชีวิต พูดถึงเรื่องสุขภาพร่างกาย กลับการเป็นปัจจัยที่คนเรามองข้ามไปหมดเลย ก็คือ ทุ่มเททำงานหามรุ่งหามค่ำ กินอาหารไม่ค่อยถูกลักษณะ แถมไม่ค่อยออกกำลังกายสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลที่ว่างานเยอะ ไม่มีเวลาไปทำ แต่พอถึงเวลาเจ็บป่วยขึ้นมาจริงๆ ก็มักจะย้อนกลับมาคิดว่า “รู้งี้น่าจะรักษาสุขภาพให้ดีตั้งแต่ยังหนุ่ม”
  • Community Well-Being ปัจจัย สุดท้ายก็คือ เรื่องของสภาพแวดล้อมที่เราอยู่อาศัยว่ามีสภาพที่ดีหรือไม่ เช่น น้ำ อากาศ มลพิษต่างๆ ฯลฯ ปัจจัยเรื่องนี้เป็นปัจจัยที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมองเท่าไหร่เวลาพูดถึง ความผาสุก แต่จากผลการวิจัยแล้วพบว่า มีผลเยอะมาก ยิ่งสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ไม่ดี ก็จะยิ่งทำให้ความสุข และความผาสุขของเราลดน้อยลงไปด้วย
ปัจจัยทั้ง 5 ตัวนี้จะต้องมีประกอบกันทุกตัว ชีวิตเราจึงจะมี Well-Being อย่างสมบูรณ์ แต่จะมีปัจจัยอะไรมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยว่า เขามีเป้าหมาย และวิถีชีวิตอย่างไรด้วย
ในการประเมินตัวท่านเองว่าชีวิตเรานั้นมี Well-Being แล้วหรือยัง ก็ให้พิจารณาจากปัจจัยแต่ละตัวก็ได้ครับ แล้วลองให้คะแนนง่ายๆ จาก 1-5 ก็ได้ 5 แปลว่ามีเยอะที่สุด 1 แปลว่าน้อยที่สุด แล้วลองดูว่าตัวไหนของเราน้อยที่สุด ตัวนั้นก็คือ ปัจจัยที่เราจะต้องไปหาวิธีการทำให้มันเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เพื่อให้ Well-Being ในชีวิตของเราสมบูรณ์ที่สุดนั่นเองครับ
ในความเห็นผมคิดว่า ไม่ควรจะมีปัจจัยไหนที่ต่ำกว่า 3 ลงไป ถ้ามีแสดงว่าชีวิตของเราก็ยังไม่ Well-Being จริงๆ
พรุ่งนี้ผมจะลองเอาทั้ง 5 ปัจจัยนี้ไปเชื่อมกับการบริหารบุคคลในองค์กรว่า ทั้ง 5 ปัจจัยนี้จะมีผลต่อความผูกพันของพนักงานในองค์กรได้อย่างไรบ้าง

บทความอาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
เรียบเรียงโดย สุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

5 วิธีง่ายๆ ที่ทำให้คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี


โลกปัจจุบันที่เราอยู่นั้น มีแต่ความวุ่นวาย เราต้องแข่งขันทั้งในชีวิตส่วนตัว และชีวิตการทำงาน ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดความเครียดขึ้น และความเครียดนี้เอง ที่ส่งผลต่อทั้งความคิด สมอง ร่างกาย และจิตใจของเราในทุกด้าน ส่วนใหญ่เป็นผลในแง่ลบทั้งสิ้น ดังนั้นการที่เราสามารถมองโลกในแง่ดี คิดดี ในสภาวะที่มีแต่ความวุ่นวายแบบนี้ จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้อย่างแน่นอน ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
วันนี้จะเอาเคล็ดลับ 5 วิธีที่จะทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ดี คิดดี เพื่อที่จะทำให้ความเครียดในชีวิตของเราลดลงไปบ้าง ลองมาดูกันนะครับว่ามีอะไรบ้าง
  • ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องของความเจ็บปวดของชีวิตก็ตาม ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ให้นึกถึงว่าเราได้ของขวัญที่ดีของชีวิตทุกวันที่ทำให้เรายังตื่นขึ้นมาได้ ให้รู้สึกถึงความสดชื่นของชีวิต แต่เอาเข้าจริงๆ ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่า โอว จะคิดอะไรได้อย่างไร วันนี้มีงานเข้ามากมาย นายก็ตามงาน ฯลฯ วิธีที่ช่วยได้ ก็คือ ให้คิดถึงคนที่กำลังเดินหางานอยู่สิครับ และคนที่พยายามที่จะได้งานที่คุณกำลังทำอยู่ก็ได้ หรือบางคนอาจจะคิดว่า ไม่อยากตื่นขึ้นมาเจอใครบางคนที่เมื่อคืนเพิ่งจะทะเลาะกันไปเลย แบบนี้จะให้ขอบคุณได้อย่างไร วิธีคิดเชิงบวก ก็คือ ลองนึกถึงเพื่อนที่ยังไม่มีแฟน และพยายามทุกทางที่จะหาแฟนสิครับ นี่คือสิ่งที่มีค่าที่เราได้มาอยู่ในมือแล้ว ดังนั้นจงขอบคุณในสิ่งที่เรามี เราเป็น รวมถึงความผิดหวังต่างๆ ที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นจนทุกวันนี้
  • สร้างอารมณ์ขันให้กับชีวิต พยายาม มองทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิตของเราให้เป็นเรื่องสนุก และยิ้มให้กับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น มองมุมที่ดีของเรื่องนั้นๆ เนื่องจากอารมณ์ขันนั้น มีข้อพิสูจน์มาแล้วว่าช่วยทำให้คนป่วยโรคร้ายแรงต่างๆ หาย หรือดีขึ้นมาก ดังนั้นเรายังไม่ป่วย ก็ยิ่งจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ตั้งสติให้ดี เวลาที่พบเจอกับสิ่งที่ดี หรือไม่ดีก็ตาม ให้ยิ้มให้กับมัน และสร้างอารมณ์ขันให้เกิดขึ้นกับชีวิตให้ได้มากที่สุด
  • ทำให้มากกว่าพูด เพราะการ ที่เราลงมือทำงานอะไรก็ตาม จะทำให้เราพูดน้อยลง คิดมากขึ้น การที่เราพูดน้อยลงนั้นก็จะทำให้เรามีแนวโน้มที่จะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นน้อย ลงด้วยเช่นกัน และการที่เราวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นน้อยลง ก็แปลว่า เรามองโลกแง่ร้ายน้อยลงเช่นกัน เพราะโดยทั่วไปธรรมชาติของคนเรานั้น ชอบพูดมากกว่าทำ ดังนั้น เมื่อไหร่ที่เราเปิดปากพูด บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะคิด และมองคนอื่น หรือสิ่งต่างๆ รอบตัวในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเมื่อไหร่ที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อนั้นก็จะมีแต่เรื่องในแง่ลบ ซึ่งจะทำให้เรามองโลกในเชิงลบไปด้วย
  • จงสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ตาม การ ที่เราคาดหวังสิ่งต่างๆ ว่าจะต้องเกิดขึ้นจากสิ่งที่เราลงมือทำนั้น จะทำให้เราเกิดความเครียดมากขึ้น ก็กลายเป็นว่าเราเลือกทำในสิ่งที่คิดว่าจะเกิดผลที่ดีกับเรา และไม่ทำในสิ่งที่เราคิดว่าจะไม่เกิดผลที่ดีกับเรา แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เราชอบก็ตาม เหมือนกับ Mark Twain ที่กล่าวว่า “จากนี้ต่อไปอีก 20 ปีข้างหน้า เราจะรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่เราไม่ได้ทำมากกว่าสิ่งที่เราทำลงไปในวันนี้” ดังนั้นถ้าคิดว่าทำแล้วมีความสุข และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็จงลงมือทำ โดยไม่ต้องไปคาดหวังผลลัพธ์อะไรเลย ชีวิตเรานั้นสั้นมากครับ ดังนั้นจงหาความสุขไปกับสิ่งที่เราทำจะดีกว่า ไปเครียดกับความคาดหวังที่อยากให้เป็น หรือไม่อยากให้เป็น
  • จงช่วยให้ผู้อื่นมีความสุข การ ที่จะทำให้เราเป็นคนคิดบวก ทำบวก นั้น อีกเรื่องง่ายๆ ที่ช่วยเราได้ก็คือ การได้ช่วยคนอื่นให้มีชีวิตที่ดีขึ้น หรือมีความสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หรือ ในองค์กรที่เราทำงานด้วยก็ตาม เราสามารถช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ได้ และเมื่อไหร่ที่เราได้ช่วยคนอื่นให้ดีขึ้น ด้วยความเต็มใจและจริงใจแล้ว เราจะรู้สึกถึงความคิดเชิงบวก และรู้สึกถึงความสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะมีความสุขมากขึ้นเท่านั้นเช่นกันครับ และการช่วยทำให้คนอื่นมีความสุขนั้น จริงๆ ก็ไม่ต้องเสียเงินทองอะไรมากมาย บางครั้งแค่เพียงให้เวลารับฟังในสิ่งที่คนอื่นพูดอย่างเข้าใจ แค่นี้เขาก็รู้สึกแล้วว่า เรากำลังช่วยเหลือเขา ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นด้วย
นี่คือ 5 วิธีที่จะช่วยให้ท่านผู้อ่านมองโลกในแง่บวก และทำให้ท่านมีความสุขกับการใช้ชีวิตท่ามกลางความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทุกๆ วัน ทั้งในการทำงาน และชีวิตส่วนตัว
บางท่านอ่านจบแล้ว คิดว่า “พูดง่าย แต่ทำยากนะ” แค่คิดแบบนี้ก็เท่ากับว่าเรามีทัศนคติเชิงลบแล้วครับ ดังนั้นจงคิดบวก และลงมือทำ ตั้งสติให้ดี แล้วค่อยๆ ทำไปทีละข้อ ย้ำนะครับ สติคือสิ่งที่สำคัญมากในการที่จะทำให้เราปรับทัศนคติเชิงลบ เป็นเชิงบวก
แล้วชีวิตของเราก็จะมีความสุขมากขึ้นอย่างแน่นอนครับ

บทความอาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
เรียบเรียงโดย สุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

คำพูดที่ทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย

คนเราทุกคนเกิดมาก็ล้วนแต่อยากจะประสบความสำเร็จด้วยกันแทบทุกคน ทุกคนมีความฝัน มีเป้าหมาย มีสิ่งที่ตนเองต้องการที่จะทำให้สำเร็จ แต่ทำไมคนเราถึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน บางคนประสบความสำเร็จอย่างมากมาย บางคนไม่มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตเลย เป็นเพราะอะไร
ในการทำงานก็เช่นกัน ผมเชื่อว่าทุกคนที่ทำงาน ล้วนต้องการอยากที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่ตนทำไม่ว่าจะเป็น ลูกจ้าง หรือเป็นเจ้าของกิจการ และการที่เราจะประสบความสำเร็จได้นั้น สิ่งที่เราจะต้องมีก็คือ ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ทำสิ่งที่แตกต่างจากที่คนอื่นเคยทำไว้
มีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่มักจะมีคำพูดที่ทำให้คนอย่างเราๆ ที่มีความคิดอะไรใหม่ๆ ดีๆ ต้องชะงักไป จนบางคนที่หลงเชื่อมากๆ ก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่กล้าทำอะไรเลย ชีวิตก็เลยวนเวียนอยู่กับสิ่งเดิมๆ ได้แต่คิด แต่ไม่ลงมือทำ เพราะคำพูดแค่เพียงบางประโยคเท่านั้น
ท่านผู้อ่านเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้บ้างหรือไม่
  • “ในโลกความเป็นจริง มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
  • “มันเป็นทฤษฎีเท่านั้น ในทางปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้เลย”
  • “เรื่องนี้น่ะหรอ เคยทำมาแล้ว มันไม่ได้ผลหรอก”
  • “เราว่าเรื่องนี้มันไม่ดีเลยนะ เชื่อเราสิ ไม่สำเร็จหรอก หลายคนลองมาแล้ว”
  • “ทำมาตั้งหลายครั้งแล้วไม่สำเร็จหรอก อย่าไปทำมันเลย”
  • “มันยังขาดเหตุผลดีๆ มารองรับนะ อย่าไปทำมันเลย”
  • “เรื่องแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกันหรอก”
  • “คิดได้ยังไงเนี่ยะ รู้มั้ยว่าสิ่งที่คิดนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยในชีวิตจริง”
  • ฯลฯ
คำพูดต่างๆ ข้างต้น ล้วนเป็นคำพูดที่ไม่ส่งเสริมให้คนเราประสบความสำเร็จได้เลย ยิ่งถ้าเราไปเชื่อและไม่ลงมือลองทำดู ยิ่งทำให้เราห่างไกลคำว่า ความสำเร็จออกไปอีก คนที่พูดแบบนี้ไม่เคยที่จะคิดส่งเสริมให้คนอื่นทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าไม่ ถูกต้อง มองอีกมุมหนึ่งก็คือ ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ตนเองดีขึ้นแล้ว ยังไปดึงคนอื่นลงเหวไปด้วยกัน
คนที่เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือในชีวิตตนเองนั้น ล้วนแต่เป็นคนที่ลงมือทำในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยลองทำ หรือทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นทั้งสิ้น เพราะถ้าเรามัวแต่ทำเหมือนกับคนอื่นที่เขาทำกัน หรือทำตามคนที่มาวิพากษ์วิจารณ์เรามากจนเกินไป เราก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จเช่นกัน ก็ลองดูคนที่พูดประโยคข้างต้นบ่อยๆ สิครับ คนเหล่านั้นเขาประสบความสำเร็จกันสักแค่ไหนกันเชียว
ผมเคยเจอกับคนบางคน ที่เก่งแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น คอยบอกคนอื่นว่ามันเป็นไปไม่ได้ อะไรๆ ก็ไม่เคยดีในสายตาเขา ใครทำอะไรดี ก็จะต้องหาที่ติ หาตำหนิให้ได้ แต่ถ้าหาไม่เจอ ก็ทำเสียงดังหน่อย พร้อมกับพูดว่า “ไม่เห็นด้วยเลย เพราะในความเป็นจริงมันไม่มีทางเป็นไปได้” เชื่อมั้ยครับว่า คนคนนี้ ในปัจจุบัน ก็ยังไม่เห็นมีความสำเร็จอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเขาเลยครับ ทั้งๆ ที่คนอื่นที่เข้ามาทำงานทีหลัง ก็แซงหน้าเขาไปหมดแล้ว ก็เพราะด้วยความคิดแบบนี้แหละครับ
คนที่ประสบความสำเร็จจะคิดตรงข้ามกับคำพูดข้างต้นทั้งหมด
  • “นี่คือสิ่งที่คนอื่นยังไม่เคยลองทำเลย ดังนั้นถ้าเราทำได้ก็จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้”
  • “เขาทำไม่สำเร็จ แต่เราอาจจะทำสำเร็จก็ได้”
  • “เรื่องแบบนี้ที่ไม่มีใครเขาทำกัน ก็ยิ่งดีสิ เพราะเราจะได้เป็นผู้นำในเรื่องนี้”
  • “ทำมาตั้งหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ก็บอกเราได้ว่าเราใกล้ความสำเร็จเข้าไปทุกทีแล้ว”
  • ฯลฯ
ยุคนี้สมัยนี้ อะไรที่ไม่เคยเป็นไปได้ มันก็เป็นไปได้เกือบหมดแล้ว ดังนั้น การที่เรามัวแต่คิดว่า อะไรๆ ก็เป็นไปไม่ได้นั้น มันจึงเป็นความคิดที่ล้าสมัยมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นความคิดที่ทำให้เราหยุดอยู่กับที่ ไม่มีการคิดต่อยอด เพื่อทำให้ชีวิตเราดีขึ้น
แล้วคุณล่ะครับ อยากประสบความสำเร็จ หรืออยากมีชีวิตอยู่กับที่ ก็อยู่ที่ตัวเราเลือกครับ

บทความอาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
เรียบเรียงโดย สุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

เคล็ดลับง่ายๆ สู่ความสำเร็จ ก็คือ“ลงมือทำซะ”


ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะเคยถามตัวเองว่า “ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในชีวิต” หรือ “ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน” ฯลฯ และก็เชื่ออีกว่า ร้อยทั้งร้อยของคนเราทุกคนล้วนต้องการความสำเร็จทั้งสิ้น แต่ทำไมยังมีบางคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าอีกคน
ลองดูพฤติกรรมต่างๆ ของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จว่ามีพฤติกรรมอะไรบ้างที่เราควรจะหลีกเลี่ยง
  • มัวแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น คนบางคนเกิดมาเพื่อเป็นคนวิจารณ์คนอื่นอยู่ตลอดเวลา ใครที่คิดอะไรใหม่ๆ ที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน หรือมีไอเดียดีๆ ออกมาให้กับการทำงาน คนๆ นี้ก็มักจะวิพากษ์วิจารณ์ความคิดนั้นอย่างเสียๆ หายๆ ไม่เคยมองว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่มักจะคิดว่า ความคิดแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกันหรอก หรือไม่ก็พยายามหาจุดเสียของความคิดนั้นๆ ออกมาจนได้ แต่คนที่ประสบความสำเร็จบางคนก็รับฟังนะครับ แต่ไม่เชื่อคำวิจารณ์นั้นๆ เลย กลับลงมือทำโดยไม่กลัวว่าจะล้มเหลว หรือไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนเองตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทำ แต่สำหรับคนที่มัวแต่วิจารณ์คนอื่นนั้น ก็มัวแต่จับผิด ก็เลยไม่ได้ลงมือทำอะไร ชีวิตก็วนเวียนอยู่กับทัศนคติเชิงลบไปเรื่อยๆ
  • ชอบอ้างว่าเคยคิดแบบคนที่ประสบความสำเร็จมาก่อน คนบางคน ชอบบอกกับคนอื่นว่า ที่คนอื่นเขาทำสำเร็จนั้นน่ะ เขาก็เคยคิดจะทำเหมือนกัน เช่น “ไอเดียสินค้าตัวนี้ เราก็เคยคิดมาก่อนแล้วนะ ถ้าตอนนั้นเราทำก็คงจะรวยเหมือนเขาไปแล้ว” เป็นต้น เคยได้ยินใครพูดแบบนี้ให้ฟังบ้างหรือเปล่าครับ แล้วเคยถามเขากลับไปมั้ยครับว่า “แล้วทำไมไม่ลงมือทำซะล่ะ” คำ ตอบที่ออกมาส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นข้ออ้างต่างๆ นานา ว่าทำไมถึงไม่ทำ สุดท้ายก็เลยยังไม่ประสบความสำเร็จอะไร เพราะได้แต่คิด แต่ไม่เคยลงมือทำอะไรเลย แต่คนที่ประสบความสำเร็จนั้น เขาคิด แล้วก็ลงมือทำมันจริงๆ ค่อยๆ ทำไป ผิดบ้างถูกบ้าง หาทางที่ดีที่สุดไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งความสำเร็จก็มาถึงได้
  • ชอบอ้างว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม นี่ ก็เป็นอีกพฤติกรรมหนึ่ง ที่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จชอบอ้างเสมอ กล่าวคือ เวลามีใครมาถามว่าทำไมถึงยังไม่ทำล่ะ คำตอบก็คือ ยังไม่พร้อมบ้างล่ะ ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมบ้างล่ะ อายุยังน้อยไปบ้างล่ะ หรืออายุมากไปแล้วบ้างล่ะ ฯลฯ ข้ออ้างเหล่านี้ ล้วนทำให้เราไม่สามารถไปถึงความสำเร็จได้เลย เอาเข้าจริงๆ แล้ว อายุที่เหมาะสม หรือเวลาที่เหมาะสมนั้น มันไม่มีทางมาถึงเราได้หรอกครับ ถ้าเรายังคิดว่าเราไม่พร้อม พอถึงจุดหนึ่งเราก็จะอ้างว่าไม่พร้อมอยู่ดี แต่ด้วยเหตุผลใหม่ในช่วงนั้นๆ มากกว่า หรือถ้าจะมองอีกนัยหนึ่งก็คือ เรายังไม่อยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างจริงจัง ก็เลยไม่คิดอะไรมากมาย ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ ผิดกับคนที่ต้องการความสำเร็จในงานนั้นๆ อย่างจริงจัง หรืออาจจะใช้คำว่าอยากทำงานนี้ให้สำเร็จแบบสุดๆ คนคนนี้จะทุ่มเท และจะใช้เวลาที่มีอยู่สร้างสิ่งนั้นขึ้นมาโดยไม่คิดเลยว่าเหมาะหรือยัง เวลาน้อยไปหรือเปล่า เคยมั้ยครับเวลาที่เราตั้งใจอยากทำอะไรให้เสร็จ เราจะลุยทำไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้เวลาเลย แต่เราจะมีความสุข และเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ดังนั้นถ้าคิดว่าดี และอยากทำ ก็ลงมือทำไปเลยครับ ไม่ต้องดูฤกษ์ดูยาม หรือดูเวลาตกฟากอะไรทั้งนั้น ลงมือทำไปได้เลย ค่อยๆ ทำไปวันละนิดหน่อย สุดท้ายก็จะไปถึงความสำเร็จนั้นได้ไม่ยากครับ
สิ่งที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จก็คือ การลงมือทำในสิ่งที่เราอยากทำ ผมเชื่อว่า ท่านผู้อ่านทุกท่านมีสิ่งที่อยากทำ และอยากประสบความสำเร็จในสิ่งนั้น ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุด ก็คือ ลงมือทำทุกวัน เพื่อให้ทุกวันที่เราทำนั้น เข้าใกล้ความสำเร็จ เข้าใกล้เป้าหมายของเรามากขึ้นๆ จนวันหนึ่ง เราก็จะถึงจุดหมายที่เราต้องการได้โดยไม่รู้ตัว

Tuesday, November 18, 2014

ข้อจำกัดในชีวิต ใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไป

คนเราทุกคนล้วนแต่มีข้อจำกัดในชีวิตกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชีวิตส่วนตัว หรือการทำงาน บางคนก็เอาข้อจำกัดเหล่านั้นมาเป็นข้ออ้างหรือเหตุผลว่า นี่คือสิ่งทีทำให้เขาไม่สามารถที่จะทำอะไรสำเร็จได้เลย พอเป็นแบบนี้มากๆ เข้า คนส่วนใหญ่ก็เลยมองว่า ข้อจำกัดเป็นสิ่งที่ไม่ดี และเป็นสาเหตุที่ทำให้เราทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง
แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ข้อจำกัดในชีวิตมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะต้องมี หรือต้องเจอ บางคนอาจจะมากหน่อย บางคนอาจจะน้อยหน่อย รวมทั้งในการทำงานล้วนแล้วแต่ต้องมีการกำหนดข้อจำกัดขึ้นมาไว้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลาการทำงานที่กำหนดชัดเจน เรื่องของกฎเกณฑ์ ระเบียบข้อบังคับต่างๆ ฯลฯ หลายๆ คนก็เลยถือเอาข้อจำกัดเหล่านี้เป็นข้ออ้างในการบอกกับตัวเองว่า เนื่องจากมีข้อจำกัดมากมาย ก็เลยทำให้ชีวิตทำอะไรไม่สะดวก ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ก็ไม่เกิดขึ้น
แต่เชื่อหรือไม่ครับว่า จริงๆ แล้วความคิดใหม่ๆ หรือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแทบทุกคน ล้วนแล้วแต่มีข้อจำกัดทั้งสิ้น และเขาเหล่านี้ก็ให้เหตุผลว่าที่เขาสามารถทำงานได้ประสบความสำเร็จในทุก วันนี้ ก็เพราะมีข้อจำกัดนี่แหละครับ ลองมาดูตัวอย่างกันนะครับ
  • ข้อจำกัดด้านอายุ บางคนอ้างว่าอายุยังน้อยเกินไปที่จะทำการใหญ่ ก็เลยกลายเป็นไม่ยอมทำอะไรเลย แต่พอมีอายุที่มากขึ้น ก็กลายเป็นว่าเพราะมีอายุที่มากเกินไป ก็เลยเป็นข้อจำกัดที่ทำอะไรไม่ได้อีกเช่นกัน ลองดูคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยๆ สิครับ ไม่ว่าจะเป็น คุณต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ เจ้าของบริษัทเถ้าแก่น้อย หรือ คุณณกรณ์ กรณ์หิรัญ เจ้าของวุฒิศักดิ์คลินิก ซึ่งประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยมาก ถ้าคนเหล่านี้คิดแค่เพียงว่า เขายังอายุน้อยเกินไปที่จะทำการใหญ่ ก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้ได้ หรือถ้าดูผู้พันแซนเดอร์ ผู้ที่คิดสูตร KFC ก็ประสบความสำเร็จตอนอายุมากกว่า 60 ไปแล้ว ถ้ามัวคิดว่า แก่เกินไปแล้วที่จะประสบความสำเร็จ เราก็คงไม่ได้กินไก่ KFC เหมือนกัน
  • ข้อจำกัดเรื่องเวลา บางคน ชอบอ้างว่าตัวเองไม่มีเวลาที่จะทำสิ่งที่ตนเองอยากจะทำ บางคนก็บอกว่า 1 วันมีเวลาน้อยเกินไป ฯลฯ จริงๆ แล้วทุกคนมีเวลาต่อวันเท่ากันหมดทุกคนคือ 24 ชั่วโมง ด้วยเหตุผลนี้จึงไม่สมควรใช้เป็นข้ออ้างว่าตนเองไม่มีเวลา จริงๆ แล้วเราไม่บริหารการใช้เวลาของเราเอาต่างหาก บางคนบอกว่ามีเวลาน้อยเกินไปที่จะทำงานชิ้นนี้ แต่ลองนึกถึงนักเขียนสิครับ ส่วนใหญ่จะสร้างข้อจำกัดเรื่องเวลา หรือใช้ข้อจำกัดเรื่องเวลามาเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์งานดีๆ มากมาย เพราะบางคนรู้ตัวว่า ถ้าปล่อยให้มีเวลามากมาย ก็จะปล่อยเวลาให้เสียไปเรื่อยๆ ก็เลยต้องสร้างข้อจำกัดขึ้นมาบีบตัวเองให้ทำงานและสร้างงานดีๆ ออกมา
  • ข้อจำกัดทางกายภาพ ข้อ จำกัดด้านนี้ส่วนใหญ่เป็นข้อจำกัดทางด้านร่างกายของเราเอง บางคนมีร่างกายครบ 32 ทุกอย่าง แต่ก็พยายามสร้างข้อจำกัดว่าตนเองป่วย ไม่สบาย หรือ ใช้ข้ออ้างเรื่องของความเจ็บป่วยต่างๆ มาเป็นข้อจำกัดว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ลองดูคนที่ชื่อ Nick Vujicic ซึ่งไม่มีแขนไม่มีขาเลย แต่เขาสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ โดยเอาข้อจำกัดของตนที่มีอยู่นั้น ไปสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ ให้สู้ชีวิตต่อไปได้ จนทุกวันนี้เขาเองก็เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจติดอันดับโลกอีกคนหนึ่ง
  • ข้อจำกัดทางด้านกฎเกณฑ์ต่างๆ บาง คนก็อ้างว่า ตนเองมีข้อจำกัดในชีวิต เพราะมีกฎเกณฑ์ต่างๆ มาบังคับในตนต้องอยู่ในกรอบ ก็เลยไม่มีโอกาสสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ในชีวิตได้เลย แต่ลองพิจารณาดูสิครับว่า มีเรื่องอะไรที่ไม่มีกฎเกณฑ์กำหนดไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดนตรี ที่มีทฤษฎีกำหนดไว้มากมาย ใน 1 บันไดเสียง มีกำหนดตัวโน้ตหลักไว้ 7 ตัว แค่ 7 ตัวเท่านั้น แต่ 7 ตัวนี้สามารถสร้างสรรค์บทเพลงออกมามากมายจนทุกวันนี้ หรือ เรื่องของศิลปะ ซึ่งมีแม่สีอยู่แค่เพียง 3 สี และมีข้อกำหนดทางด้านทฤษฎีสีอยู่มากมาย แต่ศิลปิน ก็สามารถเอาข้อจำกัดนี้มาสร้างสรรค์ผลงานได้มากมายเช่นกัน หรือแม้กระทั่ง กฎเกณฑ์ของโคลงฉันท์กาพย์กลอน ก็มีกำหนดไว้ชัดเจน สัมผัสตรงไหน ตรงไหนใช้วรรณยุกต์ไหน แต่ศิลปิน ก็ยังสามารถใช้ข้อกำหนดเหล่านั้นมาสร้างผลงานชั้นเยี่ยมได้อย่างมากมายอีก เช่นกัน
จากตัวอย่างข้างต้นน่าจะพอเห็นนะครับว่า จริงๆ แล้วข้อจำกัดไม่ใช่เรื่องของการทำให้ชีวิตเราต้องหมดโอกาสความสำเร็จ แต่ด้วยข้อจำกัดที่มีในชีวิตนี่แหละครับ ที่ทำให้คนที่มองโลกในแง่ดี มีทัศนคติเชิงบวก ใช้ข้อจำกัดทั้งหมดที่มีเป็นโอกาสที่จะสร้างผลงาน และสร้างความสำเร็จให้กับชีวิตของตนเอง
คุณล่ะครับ ใช้ข้อจำกัดที่มีอยู่ในชีวิต ให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของตนเองหรือยัง

บทความโดย อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

พฤติกรรมง่ายๆ ที่ทำให้คุณเป็นคนน่าเชื่อถือ

การทำงานในทุกวันนี้ คนทำงานทุกคนย่อมที่จะต้องการให้ตนเองนั้นเป็นที่ยอมรับนับถือจากบุคคลรอบ ข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือลูกน้องเราเอง ซึ่งการสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นกับบุคคลเหล่านี้ ก็ต้องมาจากพฤติกรรมบางอย่างที่เราแสดงออกไปให้เขาเห็น วันนี้จะมาลองดูว่า มีพฤติกรรมอะไรบ้างที่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่รอบ ข้างเราได้บ้าง
ปัจจุบันนี้ เรื่องของ Trust เป็นเรื่องที่คนทำงานทุกคนอย่างสร้างให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อไหร่ที่เรา Trust กัน การทำงานก็จะง่ายขึ้น ราบรื่นขึ้น และความขัดแย้งก็จะลดน้อยลง
พฤติกรรมง่ายๆ ที่เราสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นกับผู้อื่นมีอะไรบ้าง
  • ตรงต่อเวลา พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่สำคัญมากที่จะทำให้คนอื่นเชื่อถือเรามากขึ้น หรือน้อยลง ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมเรื่องของการบริหารเวลาของเราเอง ถ้าเรานัดหมายเวลากับคนอื่นแล้ว แต่เราไปสาย เช่น เข้างานสายบ่อยๆ เวลามีประชุม ก็เข้าสาย เวลามีอบรมสัมมนา ก็เข้าสาย นัดเพื่อนกินข้าว ก็ไปสาย นัดลูกค้าประชุมงาน ก็ไปสาย ฯลฯ แล้วเราก็มักจะหาข้ออ้างว่าที่มาสายเพราะ…… พฤติกรรมที่ไม่ตรงต่อเวลาเหล่านี้ จะทำให้ตัวเราเองค่อยๆ หมดความน่าเชื่อถือในสายตาของคนอื่นลงไปเรื่อยๆ ผมเคยมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้มาก็คือ มีเพื่อนพนักงานคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกันมา ผลงานก็อยู่ในเกณฑ์ดี แต่สิ่งที่เป็นจุดอ่อนอย่างมากก็คือ เรื่องของเวลานี่แหละครับ ไม่ว่าจะนัดใคร หรือนัดอะไร ก็สายตลอด ซึ่งผลก็คือ ลูกค้าค่อยๆ หมดความเชื่อถือลงไปเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้าของเขาก็ไม่เคยเสนอชื่อเขาในการเลื่อนตำแหน่งเลย โดยให้เหตุผลว่า “บริหารเวลาของตัวเองง่ายๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปบริหารลูกน้องได้อย่างไร ลูกน้องก็คงไม่มีความเชื่อถือ ทำงานก็น่าจะมีปัญหาความขัดแย้งตามมา” สุดท้ายพนักงานคนนี้ ก็ไม่ได้โตไปไหนเลย
  • รักษาสัญญา พฤติกรรมที่สอง ที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้มากขึ้นก็คือ การรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการส่งงาน การรับปากว่าจะทำอะไรบางอย่างให้ ภายในวันไหน ทั้งเรื่องที่สำคัญ และเรื่องที่ไม่สำคัญ แต่ถ้าเราสามารถรักษาสัญญาที่เราให้ไว้กับคนอื่นได้ทุกเรื่อง ก็จะทำให้คนอื่นให้ความเชื่อถือในตัวเรามากขึ้นได้ สิ่งที่คนเรามักจะทำก็คือ รับปากไปก่อน แล้วค่อยมาแก้ตัวทีหลังว่าทำไมถึงทำไม่ได้อย่างที่รับปากไว้ พฤติกรรมลักษณะนี้มีแต่จะทำให้ตัวเราหมดความน่าเชื่อถือลงไปเรื่อยๆ ในสายตาของคนอื่น
  • ไม่นินทาผู้อื่นลับหลัง พฤติกรรมที่สาม ที่จะทำให้ความน่าเชื่อถือในตัวเราในสายตาของคนอื่นลดลงได้ ก็คือ การที่เรานินทาผู้อื่นลับหลัง นินทาก็คือ การพูดถึงคนอื่นในทางที่ไม่ดี โดยที่คนที่เราพูดถึงนั้นไม่อยู่ตรงนั้นด้วย การทำพฤติกรรมแบบนี้ คนที่ฟังเราอาจจะรับฟังอย่างดี แต่ในใจเขาก็คงคิดว่า “ขนาดคนอื่นยังโดยนินทา แสดงว่าเราเองก็คงจะต้องถูกคนนี้นินทากับคนอื่นเช่นกัน” เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ความเชื่อถือที่มีต่อคนคนนี้ก็จะลดลง
ด้วยพฤติกรรมง่ายๆ 3 อย่างข้างต้น ถ้าท่านสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือของตัวเราให้เกิดขึ้นกับบุคคลรอบข้างได้ไม่ยาก ครับ อยู่ที่ว่าเราจะสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้มากเพียงใด
ลองเอาไปใช้ดูก็ได้นะครับ

บทความโดย อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

ไม่ใช่เรื่องของเวลา แต่เป็นเรื่องของการรักษาสัญญา

เรื่องของเวลาเป็นเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญมากในการบริหารธุรกิจ เราจะสังเกตได้ว่า ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรใหญ่ๆ ที่มีวัฒนธรรมการทำงานที่เร็ว ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เสมอนั้น ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรจะเป็นคนที่เน้นในเรื่องของการบริหารเวลาในการทำ งานอย่างมาก จะไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
ผมได้มีโอกาสทำงานกับผู้บริหารต่างชาติอยู่บ้าง เรื่องหนึ่งที่เขาไม่เคยพลาดเลยก็คือ เรื่องของเวลาครับ นัดหมายประชุมกี่โมง ผู้บริหารกลุ่มนี้จะตรงเวลามาก ต้องเรียกว่าตรงเวลาแบบเป๊ะๆ เลยนะครับ ไม่มาก่อน ไม่มาทีหลัง แต่พอถึงเวลานัดหมาย ก็จะเดินเข้ามาในห้อง และเริ่มเข้าเรื่องการประชุมกันเลย
แต่สำหรับวัฒนธรรมแบบไทยๆ นั้น สิ่งที่ผมพบเจอมาในเรื่องของเวลา ก็มีคนอยู่ประมาณ 4 ประเภท
  • มาก่อนเวลานัด คนกลุ่มแรกนี้ จะมีพฤติกรรมก็คือ เวลาที่มีนัดหมายกับใคร เวลาใด จะต้องมาก่อนเวลานัดหมายเสมอ โดยมาเตรียมความพร้อม และมารอก่อนเวลาประมาณ 10 นาทีเป็นอย่างน้อย เพื่อให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น
  • ตรงเวลา กลุ่มแรก ก็จะเป็นลักษณะเดียวกับผู้บริหารต่างชาติที่กล่าวมาข้างต้น ก็คือ ตรงเวลามาก ไม่ก่อน ไม่หลัง พอถึงเวลาก็เดินเข้ามา และถ้าบอกว่าจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง ก็จะ 2 ชั่วโมงเป๊ะครับ เรียกได้ว่า เวลาทุกนาทีมีค่า
  • มาหลังเวลานัดหมายเสมอ แต่ไม่มากนัก กล่าวคือ ถ้านัดเก้าโมงเช้า ก็จะมาถึงห้องประชุมประมาณ เก้าโมงห้านาที หรือสิบนาที นัดบ่ายสอง ก็จะมาถึงประมาณบ่ายสองโมงห้านาที หรือสิบนาที ก็คือ จะไม่เคยตรงเวลาเป๊ะ แต่จะต้องขอเลยเวลาไปสักหน่อย ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ
  • มาสายกว่าเวลานัดเกินกว่า 15 นาที แบบ ที่สาม ก็คือ ส่วนใหญ่จะมาสายเสมอ และสายไม่ใช่น้อยๆ นะครับ มากกว่า 15 นาทีทุกครั้งที่นัดหมาย นัดเก้าโมง มาเก้าโมงครึ่ง หรือบางครั้งก็สายเป็นชั่วโมงเลยก็มี
ตัวท่านเองล่ะครับ จัดอยู่ในกลุ่มใด
เรื่องของเวลาที่เขียนมานี้ ประเด็นจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่เรื่องของการตรงต่อเวลา แต่ประเด็นอยู่ที่ การสร้างความน่าเชื่อถือ (Trust) ให้เกิดขึ้นกับผู้อื่นมากกว่า
ลองคิดดูสิครับ นัดหมายกันทีไร จะต้องปล่อยให้เรารอเป็นชั่วโมงๆ ถ้าเกิดแบบนี้บ่อยๆ ท่านเองจะเชื่อถือคนๆ นั้นได้มากสักแค่ไหน และคนๆ นั้นก็มักจะถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่ตรงต่อเวลาบ้าง เป็นคนที่ไม่มีการวางแผนบ้าง และไม่ใส่ใจบ้าง ฯลฯ เห็นมั้ยครับ แค่เพียงไม่ตรงเวลา เราก็ถูกมองไปได้ต่างๆ นานา
หลายๆ ท่านอาจจะมองว่า คนที่ตรงต่อเวลามากๆ มักจะเป็นคนที่ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปเฉยๆ บางคนมองว่าซีเรียสไปหรือเปล่า สายนิดสายหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไร
แต่สำหรับผู้บริหารที่ตรงเวลานั้น เขาไม่ได้คิดแบบที่เราคิดกันเลยสักนิด สิ่งที่เขาคิด และบอกผม ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ใช่เลย คำตอบนั้นก็คือ ที่เขาตรงเวลาเป๊ะๆ เวลาที่นัดหมายกับใคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หรือกับใครก็ตาม ก็เพราะนี่คือ “การรักษาสัญญา” มากกว่าเรื่องของการประหยัดเวลา
การที่เรานัดกับใคร และมาตรงเวลานั้น แปลว่า เราสามารถรักษาสัญญากับคนๆ นั้นได้อย่างดี ใครที่นัดแล้วมาสาย แม้เพียง 1 นาทีก็ตาม นั่นแปลว่า เราไม่รักษาสัญญา มันเป็นเรื่องของการสร้างความน่าเชื่อถือ และการทำให้คนอื่นรู้สึกว่า เราให้ความสำคัญกับเขามากกว่าเรื่องของตัวเวลามันเอง
ฟังแล้วก็รู้สึกจริงไปตามที่ผู้บริหารท่านนั้นพูด
วันนี้คุณรักษาสัญญาแล้วหรือยังครับ

บทความโดย อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

Monday, November 17, 2014

ทุกวันนี้คุณทำตัวเองให้หยุดเติบโตหรือเปล่า

พูดถึงเรื่องของการเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และในสายอาชีพในการทำงานของแต่ละคนนั้น สิ่งหนึ่งที่จะต้องเป็นพื้นฐานสำคัญในการเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน ก็คือการแสวงหาความรู้ และทักษะในการทำงานใหม่ๆ เพิ่มเติมให้ตนเองอยู่เสมอ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การทำตัวเองให้มีมูลค่าเพิ่มอยู่ตลอด เพื่อให้เป็นที่ต้องการขององค์กร
การที่เราไม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตนเอง แต่กลับมาเรียกร้องหาความก้าวหน้าจากองค์กร ปัจจุบันนี้คงเป็นไปได้ยากกว่าสมัยก่อน ในอดีตทำงานเรื่อยๆ พอครบจำนวนปีที่กำหนด ก็มีการขยับเลื่อนตำแหน่งขึ้นไป แต่ในปัจจุบัน ถ้าไม่ได้แสดงความสามารถ และศักยภาพให้เห็นชัดเจน ก็คงจะไม่สามารถเติบโตได้เร็วเหมือนในสมัยก่อน
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้เราสามารถที่จะเรียนรู้ และเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา ผิดกับในสมัยก่อน ผมยังจำได้เลยว่า สมัยยังวัยรุ่นนั้น การที่จะหาแหล่งเรียนดนตรีด้วยตนเองนั้น หายากมาก กว่าจะได้หนังสือที่เรียนด้วยตนเองได้นั้น หาแบบเลือดตาแทบกระเด็น นอกจากหายากแล้ว ยังมีน้อย และไม่มีแพร่หลาย การที่ฝึกฝนและเรียนรู้ด้วยตนเองได้ในยุคนั้น ถือได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งความยากเลยทีเดียว
แต่ในปัจจุบัน การที่จะหาวิธีการเล่นดนตรี หรือเรียนภาษา หรือทำกับข้าว หรือ ทำอะไรสักอย่างนั้น เราสามารถหาได้ในพริบตา ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เราสามารถเปิด youtube และเรียนดนตรี หรือเรียนภาษาได้ทันที โดยไม่ต้องเข้าห้องเรียนใดๆ เราสามารถหาบทความ และแห่งฝึกฝนทักษะ ทั้งแบบเสียเงิน และแบบฟรีๆ ได้มากมายบนโลกอินเตอร์เน็ต
ด้วยสื่อต่างๆ ที่มากมายนั้น น่าจะช่วยให้คนในโลกยุคปัจจุบันมีความสามารถในด้านต่างๆ มากขึ้น แต่เชื่อมั้ยครับว่า กลับกลายเป็นตรงกันข้าม การที่เรายิ่งหาอะไรได้ง่ายๆ ก็กลับกลายเป็นว่า สิ่งเหล่านั้นก็เริ่มไม่ค่อยมีคุณค่า เพราะจะหาเมื่อไหร่ก็น่าจะได้ ก็เลยทำให้คนเราไม่ค่อยใส่ใจ และสนใจมากนัก แต่กลับใช้เวลาที่มีอยู่ไปกับสิ่งที่ไม่ค่อยจะมีสาระมากนักในการพัฒนาตนเอง
  • เล่นอินเตอร์เน็ต แต่ไม่ได้หาความรู้อะไร เป็นประเภทค้าหาอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเปื่อย เพราะสนุกดี เจอสิ่งหนึ่ง ก็ต่อเนื่องไปหาอีกสิ่งหนึ่งได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สิ่งที่เรากำลังค้นหา หรือ search นั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการทำงานของเราเลยก็มี บางคนใช้เวลามากกว่าวันละ 8 ชั่วโมงในการนั่งค้นหาอะไรไปเรื่อยเปื่อย
  • ขลุกอยู่กับ Social network มากไป เทคโนโลยีเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน เด็กบางคนเอาเวลาหลังเลิกเรียนนั่งคุยกับเพื่อนผ่านทาง Social network ต่างๆ จนกระทั่งถึงเวลานอน ผู้ใหญ่เองก็ติดไม่แพ้เด็กนะครับ บางคน ทั้งในเวลางาน นอกเวลางาน เวลาไปเจอเพื่อนๆ ก็ต้องหยิบโทรศัพท์มากดๆๆๆ ไปเรื่อยๆ คุยกับคนอื่นมากกว่าคุยกับเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงหน้า (ก็ไม่รู้จะนัดกันทำไม) ยิ่งไปกว่านั้นบางคนเล่นจนดึกดื่นจนถึงเวลานอนเลยก็มี สุดท้ายก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งพัฒนา หาความรู้ใหม่ๆ ใส่ตัวเองเลย
  • เล่นเกมส์ออนไลน์ นี่ก็ เป็นอีกเรื่องที่มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ติดกันระงม เพราะเกมส์เหล่านี้ ถูกสร้างมาเพื่อให้คนติดอยู่แล้ว สุดท้ายก็เมามันกับการเอาชนะเกมส์ จนลืมตัวเองว่าต้องเอาชนะเกมส์แห่งชีวิตของตนเองด้วยเหมือนกัน
ด้วยเหตุที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปเร็วมาก ก็เลยเกิดสิ่งใหม่ๆ ที่มาดึงเราออกจากเส้นทางที่เราต้องเดินไปอยู่เสมอ เวลาที่เราเคยอ่านหนังสือก่อนนอน ก็กลายเป็นเวลาที่เราคุยไลน์กับคนอื่นๆ เวลาที่เราเคยนั่งฝึกฝนทักษะบางอย่างที่เราต้องการ ก็กลายเป็นเวลาที่เราสนุกกับการค้นหาสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ในอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆ
เราทำแบบนี้จนเราลืมไปว่า ตัวเราเองก็ต้องการการพัฒนาต่อยอดความรู้ออกไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้เราลองถามตัวเองดูสิครับว่า ก่อนจะจบวันในแต่ละวันนั้น เราได้อะไรที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตนเองหรือเปล่า เราได้ความรู้อะไรใหม่ๆ หรือได้ทักษะอะไรใหม่ๆ หรือเปล่า
การที่เทคโนโลยีก้าวหน้าจนทำให้เราสามารถหาความรู้ไดง่ายๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเราแสวงหาความรู้น้อยลง แต่เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่ตอบสนองความสุขในระยะสั้นๆ มากเกินไป ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนจะต้องมีในยุคเทคโนโลยีก้าวหน้าแบบนี้ ก็คือ สติ และวินัยในตนเองให้มากเข้าไว้ พยายามยึดเป้าหมายที่เราตั้งไว้ให้มั่น แล้วใช้สติประคองการใช้ชีวิตของตนในแต่ละวันให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่เรา ตั้งไว้ให้ได้
อย่าปล่อยให้ความสบายระยะสั้นๆ ทำให้เป้าหมายระยะยาวของเราต้องจบลง

บทความโดย อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

มีหัวหน้าอายุน้อยกว่า จะทำงานร่วมกันอย่างไรดีครับ

เขียนเรื่องของ Generation ไปสองวัน ก็เลยมีอีเมล์สอบถามเข้ามา ซึ่งผมเห็นว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขียนอยู่ ก็เลยเอามาเล่าต่อเป็นบทความให้อ่านกันนะครับ เผื่อว่าจะมีบางท่านประสบกับกรณีแบบที่ผู้อ่านท่านหนึ่งเขียนมาสอบถาม ท่านผู้อ่านท่านนี้ ออกตัวว่า อยู่ใน Gen ที่เรียกกว่า Baby Boomer แต่มีลูกน้องอยู่ Gen X ซึ่งเป็นระดับผู้จัดการ ที่มีความรู้ความสามารถดีคนหนึ่งเลย แต่กลับกลายเป็นว่ามีปัญหาในการทำงานกันตลอด มองไม่เหมือนกัน ชอบไม่เหมือนกัน จนรู้สึกว่าทำงานด้วยกันลำบากมาก ก็เลยสอบถามมาว่า ถ้ามีหัวหน้าที่อายุน้อยกว่าแบบนี้ จะต้องปรับตัว และปฏิบัติตัวอย่างไรที่จะทำงานไปด้วยกันได้
ก่อนอื่นเลย ก็ต้องขอชื่นชมท่านผู้อ่านท่านนี้จากใจจริงเลยนะครับ เพราะท่านเป็นคนที่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองก่อนที่จะไปเปลี่ยนแปลงคน อื่น จากคำถามที่ผมสรุปมาได้นั้น ประเด็นของคำถามจะเน้นไปที่ว่า ตนเองจะต้องปรับตัวอย่างไร จะต้องทำตัวอย่างไรดี และจะต้องคิดอย่างไรให้สามารถที่จะเข้าใจหัวหน้าที่มีอายุน้อยกว่าได้ โดยไม่มีข้อความใดๆ ที่แสดงการตำหนิหัวหน้าของตนเองเลย
คนส่วนใหญ่ ถ้าคนอื่นทำอะไรไม่ถูกใจตนเอง ก็มักจะมองว่าคนอื่นผิด คนอื่นไม่ดี เพราะคิด และทำไม่เหมือนกับเรา ถ้าใครที่คิดแบบนี้ ก็จะเปลี่ยนตนเองได้ช้า และยากมากกว่า คนที่คิดเปลี่ยนแปลงตนเองก่อน ก็เลยขอชื่นชมไว้ ณ ที่นี้ครับ
คราวนี้เราลองมาดูว่า การที่เรามีหัวหน้าที่มีอายุน้อยกว่านั้น เราจะต้องคิด และคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง มีเคล็บลับอะไรบ้างที่จะทำให้เราทำงานกับหัวหน้าที่อายุน้อยกว่าเราได้อย่าง ราบรื่น
  • เคล็ดลับที่ 1 อย่าทำตัวเป็นพ่อแม่อีกคน ด้วย การที่เรามีอายุมากกว่า มีประสบการณ์มากกว่า เวลาทำงานก็มักจะมองคนที่อายุน้อยกว่าว่า ยังมีประสบการณ์ไม่พอ น่าจะทำอย่างโน้น อย่างนี้ แบบนี้ไม่ควรทำ แบบนั้นไม่ดี ทำแบบนี้สิจะดีกว่า ฯลฯ คำพูดเหล่านี้ มันเหมือนกับคำพูดที่พ่อแม่ พูดกับเรา ดังนั้น การที่หัวหน้าเราได้ยินเราพูดแบบนี้ มันก็เหมือนกับการที่เขามีพ่อแม่อีกคนในบริษัท ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคนที่เป็นหัวหน้าได้นั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะต้องแสดงความสามารถบางอย่างให้กับผู้บริหารได้เห็นมาบ้าง ดังนั้น ถ้าเรามีลูกน้องอายุน้อยกว่า เราก็ไม่ควรจะทำตัวเป็นพ่อแม่ของเขา คอยจับผิด คอยติติงตลอดเวลา เพราะหัวหน้าจะไม่ชอบอย่างแน่นอน และจะทำงานด้วยกันด้วยความยากลำบากมากขึ้นไปอีก
  • เคล็ดลับที่ 2 จงฟังหัวหน้าของคุณ การ ฟังต้องเป็นการฟังอย่างเปิดใจด้วยนะครับ เพราะคนที่มีประสบการณ์ทั้งวัยวุฒิ และคุณวุฒิมามากกว่านั้นมักจะไม่ค่อยฟังคนอื่นพูด โดยเฉพาะหัวหน้าที่อายุน้อยกว่า เวลาที่เขาบอกถึงวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ต่างๆ ในการทำงาน คิดสร้างสรรค์แนวทางในการทำงานใหม่ๆ เราเองในฐานะลูกน้องจะต้องเปิดใจรับฟังอย่างจริงใจ ฟังไปด้วยคิดตามไปด้วย จงอย่าเอาประสบการณ์เก่าๆ ที่เคยผ่านมากับเรา มาเถียงหัวหน้าของตนว่า “สิ่งที่พูดมานั้น เคยทำมาหมดแล้ว แต่มันก็ไม่เห็นจะสำเร็จเลยสักอย่าง” ถ้าหัวหน้าได้ยินแบบนี้เข้า ก็คงไม่พอใจแน่นอน เพราะด้วยความมั่นใจของเขาที่จะสร้างผลงาน อีกทั้งยุคสมัยก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว สิ่งที่คิดนั้นอาจจะสำเร็จได้ในยุคนี้ก็ได้ หน้าที่ของเราก็คือฟัง และให้ความเห็น แต่ไม่ใช้ค้านแหลก หรือพยายามบอกว่าฉันเก่งกว่า ฉันผ่านมาแล้ว ฉันทำมาแล้ว ฯลฯ เพราะจะกลายเป็นการประสานงา แทนที่จะประสานงานร่วมกันอย่างดี
  • เคล็ดลับที่ 3 จงแจ้งความคืบหน้าของงานเป็นระยะ หัว หน้าที่อายุน้อยกว่า ที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen X ซึ่งอายุก็กำลังอยู่ในช่วงที่เป็นผู้จัดการ คนกลุ่มนี้ชอบที่จะบอกเป้าหมาย บอกสิ่งที่เขาอยากจะได้ แล้วก็ให้ลูกน้องไปดำเนินการหาทางทำมาให้ได้ โดยอาจจะมีการให้ความช่วยเหลือเป็นครั้งคราวบ้าง สิ่งที่หัวหน้าวัยนี้ต้องการก็คือ การแจ้งความคืบหน้าของงานเป็นระยะๆ ไม่ใช่หายเงียบไปเลย แม้ว่าเราจะทำงานให้ก็จริง แต่การที่เราไม่แจ้งหัวหน้าเลย ก็จะทำให้หัวหน้ามองว่าเราขาดความรับผิดชอบในการทำงานได้ ดังนั้น สิ่งที่ลูกน้องที่อายุน้อยกว่าต้องทำก็คือ หมั่นแจ้งผลความคืบหน้าของงาน อาจจะใช้อีเมล์ ก็ได้ครับ สรุปความคืบหน้าของงาน สำเร็จในแต่ละช่วงเวลาให้กับหัวหน้าได้รับทราบบ่อยๆ จะทำให้เรากับเขาทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และเขาจะมองว่าเราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบอีกด้วย
  • เคล็ดลับที่ 4 จงแสดงให้หัวหน้าเห็นว่าเรามีความสามารถจริงๆ การ ที่เรามีอายุมากกว่า มีอายุงานมากกว่า เป็นสิ่งที่หัวหน้าที่อยู่ใน Gen X นั้นไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ สิ่งที่เขาต้องการก็คือ ผลงาน และความสามารถของคุณในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อน ดังนั้นจงแสดงความสามารถ และศักยภาพให้เขาเห็นว่า เราก็มีความสามารถที่จะช่วยให้เขาบรรลุวิสัยทัศน์ และเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ ไม่ใช่ทำตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง เห็นหัวหน้าที่มีอายุน้อยกว่า ก็เลยทำตัวเป็นพี่ใหญ่ ไม่สนใจทำงาน มองว่าหัวหน้านั่นแหละที่จะต้องมาเกรงใจเรามากกว่า หรือชอบโม้ไปเรื่อยว่า เราเก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ แต่ไม่เห็นแสดงผลงานให้หัวหน้าเห็นเลยสักนิด หัวหน้า Gen X เขาไม่ค่อยสนหรอกครับว่าจะโม้อะไร แต่ขอแค่ทำให้เขาเห็นว่าเราทำได้จริงๆ ไม่ต้องโม้เขาก็ยินดีที่จะทำงานด้วยอย่างเต็มที่แล้วครับ
  • เคล็ดลับที่ 5 จงเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่อยู่ในวัยของหัวหน้า หัว หน้าในวัยที่น้อยกว่านั้นมักจะมีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เข้ามาให้เราต้องเรียนรู้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคำพูด ภาษาวัยรุ่นต่างๆ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เอาเข้ามาใช้ในการติดต่อสื่อสารทำงาน เช่น Line หรือ whatsapp หรือเครื่องมืออื่นๆ การที่เราต้องทำงานกับหัวหน้ารุ่นใหม่แบบนี้ เราเองก็ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ตามไปด้วย จงอย่ามองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่จงพยายามเรียนรู้ และใช้งานสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เพราะหัวหน้ารุ่นใหม่ จะยิ่งให้ความยอมรับเราเพราะเราสามารถเรียนรู้ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว การทำงานร่วมกันก็จะยิ่งสะดวก ผิดกับลูกน้องบางคนที่ปฏิเสธทุกอย่าง มองทุกอย่างเป็นเรื่องไร้สาระ และเป็นเรื่องของเด็กๆ ก็เลยยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างวัยถ่างออกไปอีก ทำงานด้วยกันก็ยิ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดก็คือ 5 เคล็ดลับ ถ้าเรามีลูกน้องที่อายุน้อยกว่า ซึ่งอาจจะจัดอยู่ใน Gen X หรือ Y ประเด็นสำคัญก็คือ การทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาคิด เขาทำ และให้การยอมรับในวิธีการทำงานของเขา ซึ่งเมื่อไหร่ที่เขายอมรับเราแล้ว การที่เราจะให้ความเห็นอะไรจากประสบการณ์ของเราเอง เขาก็จะยอมรับได้ง่ายขึ้น
คนรุ่นใหม่เข้ากับเขาไม่ยากครับ ถ้าเรายอมรับเขาอย่างจริงใจ เขาก็จะยอมรับเรากลับอย่างจริงใจเช่นกันครับ

บทความโดย อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

ความแตกต่างระหว่างคนที่มองโลกในแง่ดี กับคนที่มองโลกในแง่ร้าย

เรื่องของทัศนคติของคนเรานั้น มีส่วนสำคัญกับการใช้ชีวิตของตนเราทุกคน รวมทั้งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว แค่เพียงคำว่า “ทัศนคติ” ก็ทำให้คนเราแต่ละคนมีชีวิตที่แตกต่างกันออกไปมากมายแล้ว
คนที่มีทัศนคติที่ดี ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มองโลกแง่ดี ส่วนคนที่มีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีนัก ก็มักจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายไปหมด มีอะไรที่ดี ก็มองไม่ดี มีอะไรที่ไม่ดี ก็มองไม่ดีเข้าไปอีก ผลสุดท้ายก็เลยมีชีวิตที่ไม่เคยมีอะไรดีเลย ทั้งๆ ที่ชีวิตของตนเองอาจจะห้อมล้อมแต่สิ่งดีอยู่แล้ว สุดท้ายก็อยู่ที่การมองโลกของเรา
ความแตกต่างของคนที่มองโลกในแง่ร้าย กับคนที่มองโลกในแง่ดีนั้นมีเรื่องอะไรบ้าง
  • คนที่มองโลกในแง่ดี จะคิดเสมอว่า ชีวิตเราขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เขาจะคิดเสมอว่า ความสำเร็จที่อยากได้ทุกอย่างล้วนมาจากตัวเราเองสร้างขึ้นทั้งสิ้น และยังคิดต่อไปอีกว่า ตนเองนี่แหละที่จะเป็นคนควบคุมและสร้างความสำเร็จให้กับชีวิตของตนเองได้ เวลาที่งานเกิดปัญหา หรือล้มเหลวบ้าง ก็จะมองไปในทางดีว่า เรารู้วิธีการที่ทำให้ไม่สำเร็จอีกวิธีหนึ่งแล้ว แสดงว่า เราเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นไปอีก ส่วนคนที่มองโลกในแง่ร้าย ก็จะมองว่า ตนเองไม่มีอะไรดีเลย ชีวิตของเรามันไปขึ้นกับโชคชะตา และการโคจรของดวงดาวต่างๆ ก็เลยไม่ทำอะไรวันๆ นั่งบ่นไปเรื่องว่าทำไมดาวดวงนั้นถึงไม่โคจรไปทางนี้สักที ชีวิตเราจะได้ดีขึ้นบ้าง
  • คนที่มองโลกในแง่ดี จะมองไปข้างหน้าเสมอ อะไร ที่เป็นความล้มเหลวที่ผ่านไป ก็จะปล่อยให้เป็นบทเรียนที่ทำให้เรารู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่จะยึดมั่นไม่กลับไปทำสิ่งนั้นอีก อีกทั้งจะไม่เอาความล้มเหลว หรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านั้นมาคิดย้อนกลับไปในอดีตตลอดเวลา จนไม่สามารถมองไปข้างหน้าได้เลย ดังนั้นคนที่มองโลกในแง่ดี จะมองไปข้างหน้าเสมอ และคิดต่อยอดไปเรื่อยๆ ว่าเราจะทำอย่างไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนคนที่มองโลกในแง่ร้าย ก็มักจะคิดวนเวียนอยู่กับความล้มเหลวเก่าๆ ที่ผ่านไป เก็บมาคิด เก็บมาโทษตัวเองตลอดเวลา จมปลักอยู่กับอดีตที่ไม่ดี จนไม่สามารถมองทางข้างหน้าเห็นได้เลย
  • คนที่มองโลกในแง่ดี จะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง เป็น คนที่เชื่อมั่นในตนเองเสมอว่า ตนเองสามารถสร้างความสำเร็จได้ ตนเองเป็นคนที่เลือกทางเดินของตนเองได้ และสามารถที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา มีความมั่นใจว่า งานยากสักเพียงใด ก็ไม่มีปัญหา เพราะเราสามารถหาวิธีการในการจัดการกับมันได้เสมอ ไม่เหมือนกับคนที่มองโลกในแง่ร้าย จะเป็นคนที่มองว่าตนเองไม่มีความสามารถอะไรเลย ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จ งานยากๆ ก็มักจะมองว่ามันยากเกินไป แล้วเราจะทำได้หรือ และเมื่อไหร่ที่เราเชื่อว่าเราทำไม่ได้ เราก็ทำไม่ได้ไปแล้วล่ะครับ
  • คนที่มองโลกในแง่ดี จะมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้เสมอ เวลามีปัญหาอะไร หรือเกิดสภาพที่เหมือนจะไม่มีทางออก คนที่มองโลกในแง่ดี มักจะมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่เสมอ และยิ่งไปกว่านั้น ยังเห็นความเป็นไปได้ในปัญหาที่เกิดขึ้นอีกด้วย ผิดกับคนที่มองโลกในแง่ร้าย มักจะมองเห็นแต่ปัญหา ปัญหา และปัญหา ทั้งๆ ที่มีโอกาสรออยู่ แต่ก็ไม่เคยมอง มองแต่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด บางคนเป็นประเภท “ไม่” มันอย่างเดียวเลย ไม่ได้ ไม่ดี ไม่เอา ไม่ได้เรื่อง ไม่มีทางออก ฯลฯ พอถามต่อว่าแล้วจะต้องทำอย่างไรดีล่ะ เพราะบอกทางออกไปทุกอย่างแล้ว ก็ไม่เอาสักอย่าง คำตอบที่ได้ก็คือ “ไม่ทราบ”
เห็นแบบนี้แล้ว ลองมาเทียบกับตัวเราเองก็ได้นะครับว่า จริงๆ แล้วตัวเราเองมีแนวโน้มเป็นคนมองโลกในแง่ไหน
ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการทำงานหรือในชีวิตของตนเอง สิ่งแรกที่จะต้องมีก็คือ ทัศนคติ และการมองโลกนี่แหละครับ เป็นพื้นฐานสำคัญมากๆ ครับ
ถ้าเราคิดดี คำพูด และการกระทำก็จะออกมาดี ซึ่งก็จะดึงดูดเอาสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตของเรามากกว่าการคิดไม่ดีอยู่อย่างเดียว
วันนี้คุณมองโลกในแง่ดีหรือยังครับ

บทความโดย อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

พฤติกรรมธรรมชาติของคนเรา ที่ดึงเราออกจากความสำเร็จ

ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนล้วนต้องการประสบความสำเร็จไม่เรื่องใดก็เรื่อง
หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว ฯลฯ
โดยเฉพาะในเรื่องงาน มักจะเป็นเรื่องแรกๆ
ที่คนเราทุกคนอยากจะประสบความสำเร็จ แต่คำถามที่หลายๆ คนมักจะถามกันเสมอ
ก็คือ ทำไมคนเราถึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน
บางคนประสบความสำเร็จในชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก
บางคนก็ต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่น บางคนทำอะไรก็แทบจะไม่สำเร็จเลย จริงๆ
แล้วมันมีที่มาที่ไป
และมีสาเหตุร่วมกันบางอย่างที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน


พฤติกรรมของคนเราแต่ละคนที่แสดงออกมานั้น
มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต
รวมทั้งธรรมชาติของพฤติกรรมของคนเราบางอย่างนั้น
ไม่ส่งเสริมให้คนเราประสบความสำเร็จได้ก็มีครับ
มีอะไรบ้างเราลองมาดูกันนะครับ


  • ทำสิ่งที่ง่ายๆ ก่อน สิ่งที่ยากไว้ทำทีหลัง พฤติกรรม
    นี้เป็นพฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติของคนเราเกือบทุกคนอยู่แล้ว
    คนเราเกิดมาไม่อยากลำบากแน่นอน ดังนั้นคนเรามักจะเลือกทำในสิ่งที่ง่ายๆ
    ก่อนสิ่งที่ยาก ทำงานง่ายๆ ก่อน งานอะไรที่มันยากๆ ก็เก็บไว้ก่อน
    เพราะมันยากเกินไป แต่ในความเป็นจริงนั้น
    ความสำเร็จของชีวิตของเรานั้นมักจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
    และถ้าคนเรามัวแต่ทำในสิ่งที่ง่ายก่อน
    เราก็จะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลย เพราะไม่เคยลงมือทำอะไรกับมันเลย
  • รักความสบาย อะไรที่ลำบากก็ไม่อยากทำ พฤติกรรม
    นี้ก็เป็นธรรมชาติของคนเราอีกเช่นกัน ทุกคนรักความสบายทั้งสิ้น
    อยากทำงานที่สบายๆ อยากมีชีวิตที่สบายๆ
    ไม่ต้องมานั่งลำบากทำอะไรให้มันยุ่งยาก แต่อย่าลืมนะครับว่า
    เป้าหมายความสำเร็จของเรานั้นปกติมันไม่ได้มาง่ายๆ หรือสบายๆ นะครับ
    เพราะอะไรที่เรายังไม่เคยได้ สิ่งนั้นมันจะต้องลงแรงกันหน่อยเป็นเรื่องปกติ
    ถ้าเรายังคงรักสบาย เราก็จะไม่ลงแรง เมื่อเราไม่ลงแรง
    ความสำเร็จที่เราต้องการก็ไม่มาถึงเราสักที
  • ผัดวันประกันพรุ่ง นี่ก็
    เป็นพฤติกรรมธรรมชาติของคนเราอีกเช่นกัน
    ที่ดึงเราออกจากความสำเร็จที่เราต้องการ
    มันเป็นผลต่อเนื่องมาจากพฤติกรรมรักความสบาย เพราะถ้าเรารักสบาย
    เราก็จะไม่อยากทำอะไร และมักจะเลื่อนสิ่งที่จะทำออกไปก่อน
    เพราะว่าสิ่งนั้นมันทำให้เราลำบากกว่าเดิมนั่นเอง วันนี้ยังไม่อยากทำ
    เพราะยังอยากสบายๆ อยู่ พรุ่งนี้ก็ยังไม่อยากทำ เพราะทำแล้วไม่สบาย
    สุดท้ายความสำเร็จที่เราต้องการก็ถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ เช่นกัน
  • ชอบพูดแต่ไม่ชอบทำ พฤติกรรม
    อีกอย่างที่ทำให้เราห่างไกลความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ
    พฤติกรรมธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนเราที่ชอบพูดไปเรื่อย
    ชอบโม้ว่าเราจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น เราจะลดความอ้วน
    เราจะต้องเก่งภาษาอังกฤษ เราจะต้องออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ฯลฯ
    เรามักจะพูด พูด และพูด แต่เราไม่ค่อยจะลงมือทำตามสิ่งที่เราพูดไว้เลย
    คล้ายกับการที่เรากำหนดเป้าหมายไว้แล้ว แต่ด้วยพฤติกรรมของเราที่รักสบาย
    ไม่ชอบลำบาก และกลัวเหนื่อย ก็เลยไม่ลงมือทำ มัวแต่คิดว่า เวลายังมีอีกเยอะ
    ไว้พรุ่งนี้ค่อยลงมือทำดีกว่า เมื่อเราคิดว่าไว้พรุ่งนี้
    เราก็จะไม่มีทางได้ลงมือทำแน่นอน เพราะพรุ่งนี้ไม่เคยมาถึงอยู่แล้ว
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต หรือในการทำงานนั้น
มักจะเป็นคนที่ทำพฤติกรรมตรงกันข้ามกับที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวคือ
เมื่อมีเป้าหมายที่ท้าทายแล้ว เขาก็จะลงมือทำ
โดยที่มักจะทำในสิ่งที่ยากก่อนสิ่งที่ง่าย
และจะไม่ค่อยกลัวความลำบากเพราะเขาเชื่อว่า ลำบากวันนี้ แต่จะสบายในวันหน้า
อีกทั้งพูดว่าจะทำอะไรแล้ว ก็จะลงมือทำในทันที โดยไม่รีรอ
หรือรอฤกษ์งามยามดี


ด้วยพฤติกรรมที่ฝืนธรรมชาติที่รักสบายของคนเรา
จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้เร็วกว่าคนอื่น
แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยชอบฝืนกันมากนัก
ก็เลยทำให้คนเราแต่ละคนประสบความสำเร็จไม่เท่ากันนั่นเอง


จริงๆ แล้วมันก็เหมือนกับปลาที่ต้องว่ายทวนน้ำเสมอ
ต้องออกแรงว่ายทวนกระแสน้ำไม่ว่าจะแรง หรือเชี่ยวสักแค่ไหน เพราะมันรู้ว่า
ถ้ามันรักสบาย และปล่อยให้ตัวเองลอยไปตามกระแสน้ำ
อันตรายถึงแก่ชีวิตก็อาจจะเกิดขึ้นได้


วันนี้คุณว่ายทวนน้ำบ้างหรือยังครับ



บทความโดย อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

ทำอย่างไรให้ยังคงเป็นคนที่ Productive(ประสิทธผล) อยู่เสมอ

วันนี้ได้อ่านเจอบทความในเว็บไซต์ Inc.com
ชื่อบทความว่า “10 Leaders and the Surprising Ways They Stay Productive”
แปลเป็นไทยแบบง่ายๆ ว่า 10
ผู้นำกับวิธีการที่น่าประหลาดใจที่จะทำให้เรายังคงเป็นคน Productive
อยู่เสมอ อ่านจบแล้วรู้สึกดี ก็เลยนำเอามาเขียนเป็นบทความให้อ่านกัน
เผื่อจะได้เป็นแนวทางให้กับท่านผู้อ่าน
นำไปใช้ในการสร้างชีวิตของตนเองให้มี Productivity(ประสิทธิผล) อยู่เสมอ
สิ่งที่ผมสรุปมานี้ ไม่ครบ 10 ประการนะครับ
เนื่องจากมีบางเรื่องที่ไม่เหมาะกับวิถีชีวิตแบบไทยๆ
ก็เลยเอาแต่เรื่องที่น่าจะพอทำกันได้จริงๆ มาสรุปให้อ่านกันครับ


  • หยุดทุกอย่างที่ทำแล้วเข้านอนซะ
    แนวทางแรกที่ผู้บริหารท่านหนึ่งแนะนำก็คือ เมื่อไหร่ที่ถึงเวลานอน
    ก็จงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง และเข้านอนให้ตรงเวลา
    ชีวิตคนเราปัจจุบันนี้มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน
    หรือเรื่องส่วนตัว เทคโนโลยีต่างๆ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
    จะทำให้เวลาของเราในแต่ละวันรู้สึกว่ามันน้อยลง เมื่อเทียบกับกิจกรรมต่างๆ
    ที่มีในแต่ละวัน การที่เราจะสามารถสร้างผลงานได้อย่างสม่ำเสมอนั้น
    แปลว่าเราต้องมีพลังในตัวอยู่เสมอ ดังนั้น
    การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอจึงเป็นวิธีการที่ทำให้เรามีพลังในการทำงานใน
    แต่ละวันได้อย่างดี ซึ่งตรงข้ามกับชีวิตประจำวันของคนเราสมัยนี้
    ที่นอนกันดึกดื่น จนเวลาทำงานก็ง่วงหงาวหาวนอนกันตามๆ กัน (Arianna
    Huffington ผู้บริหาร Huffington Post)
  • เลิกมีผู้ช่วย หรือเลขาส่วนตัว
    ผู้บริหารบางคนมักจะมีเลขาส่วนตัว เพื่อที่จะได้คอยติดต่อประสานงานนัดหมาย
    หรือเตือนความจำในเรื่องต่างๆ ในแต่ละวัน ซึ่งทำให้เราขาดการตื่นตัว
    และต้องพึ่งพาผู้ช่วยไปทุกเรื่อง พอผู้ช่วย หรือเลขาต้องลางาน หรือลาออกไป
    ก็ทำให้ผู้บริหารบางคนทำอะไรไม่ถูกกันเลย
    การที่จะทำให้ชีวิตของตนเองมีพลังอยู่เสมอนั้น ก็คือ จะต้องคิด
    และทำอะไรด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยเลขานุการหรือผู้ช่วยในการทำงาน (Larry
    Page ผู้บริหาร Google)
  • จงเป็นคนที่มีความสม่ำเสมอ
    คนที่มี Productivity ดีๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ทำอะไรสม่ำเสมอ
    ไม่ทำอะไรจับจด เช่นวันนี้อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ทำ
    โดยไม่สนใจว่ากิจกรรมที่เราทำ หรือไม่ทำนั้น
    ไปมีผลอย่างไรกับเป้าหมายชีวิตของตนเองบ้าง คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
    จะเป็นคนที่ยึดเป้าหมายนั้นไว้ และทำกิจกรรมทุกวันในชีวิต
    เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายนั้นให้ได้ (Stephen Kings นักเขียน)
  • ออกกำลังกายบ้าง คนที่มี
    พลังในการทำงาน ร่างกาย และสมองจะต้องมีพลังด้วย
    วิธีการสร้างพลังให้กับร่างกายและสมองของเราก็คือ การหาเวลาออกกำลังกายบ้าง
    อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ ประมาณ 2 ชั่วโมง
    เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญสิ่งที่ไม่ดี
    และเป็นการสร้างพลังให้กับร่างกายและจิตใจได้ (Richard Branson ผู้บริหาร
    Virgin Group)
  • ทำงานให้เหมือนเป็นงานอดิเรก
    การที่คนเราจะสร้างผลงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอนั้น สิ่งแรกที่จะต้องมีก็คือ
    การรักงานที่ทำ ลองสังเกตเวลาที่เราใช้เวลากับงานอดิเรกสิครับ
    เรามักจะลืมเวลา ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง
    และจดจ่ออยู่กับงานอดิเรกที่เราทำได้เป็นวันๆ
    บางครั้งถึงกับข้ามคืนกันเลยก็มี ดังนั้นถ้างานที่เราทำเป็นงานที่เราชอบ
    และรัก เราจะสามารถทำมันได้อย่างทุ่มเท และจะยังคงสามารถสร้าง Productivity
    ได้อย่างต่อเนื่อง (Jana Eggers co-founder of SureCruise.com)
ถ้าเราพิจารณาจากสิ่งที่ผู้นำทั้ง 5 คนได้ให้แนวทางไว้นั้น วิธีการง่ายๆ
ที่จะทำให้เรายังคงรักษาความคงที่ในการทำงานไว้ได้
หรือสร้างมูลค่าเพิ่มในการทำงานได้มากขึ้นนั้น มันก็สอดคล้องกับแนวทางของ 7
habits ในอุปนิสัยสุดท้ายก็คือ Sharpen the saw หมั่นลับคมเลื่อยอยู่เสมอ
ซึ่งในการลับคมเลื่อยนั้นก็แบ่งออกเป็น 4 ด้านใหญ่ๆ ก็คือ


  • ด้านกายภาพ
    ด้านแรกที่คนเราทุกคนควรจะหมั่นลับคมเลื่อยอยู่เสมอ ก็คือ
    ความสมบูรณ์ทางด้านร่างกายนั่นเอง การที่เราจะทำงานได้ดี
    มีผลงานชั้นเยี่ยมได้นั้น เราต้องอาศัยร่างกายที่แข็งแรงด้วย
    ดังนั้นถ้าเราปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรม ทำงานหามรุ่งหามค่ำ
    โดยไม่สนใจตัวเองเลย เราจะทำงานได้ไม่นานครับ
    สักพักเราอาจจะต้องเอาเงินที่หามาได้ทุกบาททุกสตางค์มาเป็นค่ารักษาพยาบาล
    ตัวเราเองนี่และ ดังนั้น อย่าลืมหมั่นลับคมเลื่อยทางด้านร่างกาย โดยการ
    ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
    และพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ และหาวิธีขจัดความเครียดที่เกิดขึ้น
    เพราะความเครียดไม่มีผลดีต่อร่างกายของเราเลย
  • ด้านสติปัญญา ด้านที่สอง
    ที่เราต้องหมั่นลับคมเลื่อยก็คือ ด้านสติปัญญาของเรานั่นเอง
    ซึ่งหมายถึงความรู้และทักษะต่างๆ ที่ทำให้เราเป็นคนที่เก่งขึ้น
    ดีขึ้นนั่นเอง วิธีการพัฒนาความรู้และทักษะมีอยู่หลายวิธีครับ
    ลองเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเองน่าจะดีที่สุดครับ
    ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือเพื่อพัฒนาความรู้ต่างๆ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ
    การเข้าหลักสูตรฝึกอบรมด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาทักษะในการทำงานและการใช้ชีวิต
    การพิจารณากรณีศึกษาของคนอื่น ทั้งที่เป็นคนเก่ง และไม่เก่ง
    เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากกรณีเหล่านี้
  • ด้านจิตใจ
    ด้านที่สามที่เราต้องหมั่นลับคมเลื่อยก็คือ ด้านจิตใจ
    ก็คือการพัฒนาจิตใจของเราให้มีทัศนคติที่ดี มองโลกในแง่ดี เข้าใจผู้อื่น
    และสร้างความสงบให้กับจิตใจของเราบ้าง
    ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือเพื่อสร้างพลังใจ
    และการนั่งสมาธิเพื่อทำให้จิตใจสงบ
    และสร้างพลังของจิตใจให้พร้อมที่จะต่อสู้ต่อไป
  • ด้านความสัมพันธ์ ด้านที่
    สี่ที่เราต้องหมั่นลับคมเลื่อยก็คือด้านการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ
    บุคคลอื่นที่เรารู้จัก การที่เรารู้จักใครแล้ว
    เราไม่สานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยการพูดคุยกัน หรือติดต่อสื่อสารกัน
    นานๆ เข้า ความสัมพันธ์ที่ดีก็จะค่อยๆ หายไป
    จนอาจจะกลายเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยก็ได้
ถ้าเราสามารถพัฒนาตนเองใน 4 แนวทางข้างต้นได้ทุกวัน
เราก็จะสามารถเป็นคนที่ productive อยู่เสมอได้
แม้ว่าบางท่านอาจจะมองว่ามันยากเกินไปหรือเปล่า แต่ถ้าเราพิจารณากันให้ดี
จะเห็นว่าใน 1 วันเราสามารถที่จะแบ่งเวลาในการทำทั้ง 4 ด้านได้
โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมานั่งจัดระเบียบการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด เช่น
เวลาทำงาน เราก็พยายามเรียนรู้และคิดต่อยอดสิ่งใหม่ๆ ไปด้วย
ก็จะได้ในเรื่องของความรู้สติปัญญาของตนเอง
หรือเวลาที่เราขับรถกลับบ้านเราก็สามารถเปิด CD
เพื่อที่จะเรียนรู้ภาษาต่างประเทศใหม่ๆ ได้ หรือถ้าเหนื่อยมาก
ก็เปิดเพลงฟัง เพื่อที่จะเป็นการพัฒนาทางด้านจิตใจได้เช่นกัน


ก่อนนอนหาหนังสือเบาๆ ที่สร้างพลังใจในชีวิตสักเล่มไว้ข้างๆ หมอน
อ่านวันละบทก็พอแล้ว อ่านแล้วก็ซึมซับมัน
และนำมันไปใช้ในชีวิตประจำวันของเราให้ได้
เราก็จะได้พัฒนาจิตใจของตนเองแล้ว


การเดินขึ้นลงบันไดบ้าง การขยับตัวยกของบ้าง
หรือแม้แต่การเดินไปยังสถานที่ต่างๆ โดยไม่ต้องใช้รถ
ก็สามารถเป็นการออกกำลังกายได้เช่นกัน
โดยไม่จำเป็นต้องไปสมัครเข้าฟิตเนสต่างๆ ให้เปลืองเงิน


อยู่บริษัท ทักทายหยอกล้อกับพนักงานบ้าง พูดคุยกัน ให้คำปรึกษาหารือ
ถึงบ้านก็พูดคุยกับครอบครัว เล่นกับลูก คุยกับภรรยา หรือสามี
เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี


เห็นหรือไม่ครับว่า สิ่งต่างๆ
เหล่านี้มันสามารถเข้ามาแทรกในชีวิตประจำวันของเราได้เกือบทุกอย่าง
ขอเพียงเรามีความมุ่งมั่นแน่วแน่ และต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
(consistency) อดทน และยึดเป้าหมายที่เราต้องการไว้ให้มั่น


แล้วท่านจะเป็นคนที่ Productive อยู่ตลอดเวลา ชีวิตของท่านก็จะมีมูลค่าเพิ่มต่อไปได้เรื่อย




บทความโดย อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

สัญญาณที่บอกถึงอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก

เดือนสุดท้ายของปีแบบนี้
พนักงานส่วนใหญ่ก็มักจะมองว่าเป็นเดือนแห่งการพักผ่อนแล้ว
เพราะเข้าสู่การส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่
พนักงานหลายคนก็เริ่มวางแผนในการเที่ยว พักผ่อนกัน
แต่ก็ยังมีพนักงานอีกบางกลุ่มที่ยังต้องเร่งยอด ต้องพยายามปิดงานให้เสร็จ
จนบางครั้งทำให้ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ


ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานบางคน ทำงานทุ่มเทให้กับองค์กรกันมาตลอดทั้งปี
โดยที่ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยเลยสักนิด พอถามว่าไม่เหนื่อยหรอ
บางคนก็ตอบว่า เหนื่อยแต่ก็สนุกกับการทำงาน
มันก็เลยทำให้ไม่ค่อยเหนื่อยมากนัก


เราลองมาดูว่าเรามีสัญญาณเหล่านี้เกิดขึ้นกับตนเองบ้างหรือไม่
ถ้ามีอย่างน้อย 2 ข้อ ก็แสดงว่า เราทำงานเหนื่อยจนเกินไปแล้ว
ต้องรีบหาเวลาพักผ่อน
และปรับร่ายการให้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนที่จะเริ่มต้นปีใหม่


  • เริ่มสมาธิสั้นลง
    ปกติคนที่ทำงานขยันขันแข็งนั้นจะมีสมาธิจดจ่อกับงานที่ทำได้เป็นชั่วโมง
    โดยที่ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าคนที่เริ่มทำงานได้ไม่นาน ก็เลิก
    หรือเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แล้วก็เปลี่ยนอีก โดยที่ไม่มีอะไรสำเร็จสักอย่าง
    นั่นเป็นสัญญาณแรกที่บอกเราว่า เราเหนื่อยเกินไปแล้ว
    เราอาจจะทำงานมากเกินไป มีภาระหน้าที่ที่มากเกินไป
    จนทำให้เราไม่สามารถที่จะจดจ่อทำงานอย่างเดียวได้นานๆ
  • เริ่มรู้สึกผิดกับงานที่ไม่สำเร็จมากขึ้น ถ้า
    เราเริ่มรู้สึกว่างานที่เรารับผิดชอบนั้นเริ่มไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
    ทั้งๆ ที่เราก็ทุ่มเทอย่างจริงจัง
    นั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราเริ่มเหนื่อยกับการทำงาน เหนื่อยมากๆ
    เข้าสมาธิก็หดหาย ไม่จดจ่อ ผลงานที่เคยดี ก็เริ่มไม่ดี เคยเสร็จทันเวลา
    ก็เริ่มไม่ทันเวลามากขึ้น จนทำให้เรารู้สึกว่าทำไมผลงานของเรามันแย่ลง
    ทั้งๆ ที่เราเองก็พยายามทำเหมือนเดิม
  • อารมณ์ปรวนแปร ถ้าเริ่มมี
    อาการอารมณ์ปรวนแปรมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย
    หรือใครพูดอะไรผิดหูหน่อยก็หงุดหงิดใส่ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
    นี่ก็เป็นอีกสัญญาณว่าเรากำลังทำงานเหนื่อยเกินไปแล้วเช่นกัน
  • ปลีกตัว ไม่อยากสุงสิงกับใคร บาง
    คนเคยเฮฮากับเพื่อนร่วมงาน กับลูกน้องของตนเอง
    แต่กลับกลายเป็นว่าอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากคุยกับใคร เวลามีใครมาคุยด้วย
    ก็แสดงอาการรังเกียจและไม่อยากคุยด้วย
    แบบนี้ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าเรากำลังเหนื่อยกับการทำงานมากเกินไป
  • หัวถึงหมอนหลับทันที
    ปกติคนที่ไม่เหนื่อยมาก จะต้องใช้เวลาในการนอนจากที่หัวถึงหมอนก็ประมาณ 10
    นาทีก็จะเริ่มหลับ แต่ถ้าเราเป็นประเภทพอล้มตัวลงนอนปุ๊ป ก็หลับปั๊บเลย
    นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำงานเหนื่อยจนเกินไป
    เลยทำให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
  • เริ่มเจ็บป่วยมากขึ้น คน
    ที่ทำงานเหนื่อยจนเกินไป จะทำให้พักผ่อนน้อย กินน้อย
    บางคนแทบไม่ได้กินข้าวเลยสักมื้อในหนึ่งวัน บางคนอาหารเช้าไม่เคยได้ทานเลย
    เพราะเหนื่อย ตอนตื่นสาย ไม่อยากลุกบ้าง พอลุกได้ก็สายแล้วต้องรีบไปทำงาน
    ก็เลยไม่ได้ทานอาหารเช้า ก็ยิ่งทำให้ร่างกายเราอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
    สุดท้ายก็คือ จะมีอาการเจ็บป่วยเข้ามาแทรก แบบเรื้อรังมากขึ้น
    ไม่ว่าจะเป็นการปวดหัวไมเกรน อาการปวดท้อง ปวดหลัง ปวดตัว ปวดตา คลื่นไส้
    อาเจียน มึน ฯลฯ อาการเหล่านี้ถ้าเป็นประจำทุกวัน
    โดยที่เดิมทีไม่เคยเป็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย นี่ก็แปลง่ายๆ
    ว่าเราทำงานหนักเกินไปแล้ว
อาการเหล่านี้ถ้ามีอย่างน้อย 2 ข้อ ก็ต้องเริ่มระวังตนเองได้แล้วครับ
ต้องปรับวิธีการทำงาน ปรับวิธีการใช้ชีวิตใหม่บ้าง ถ้างานเยอะจริงๆ
ก็คงต้องแบ่งเวลาให้ดี และพยายามหาเวลาพักผ่อน นอนหลับให้พอ
อีกทั้งพยายามหาเทคนิคให้ร่างการได้ออกกำลังกายบ้าง
โดยอาจจะไม่ต้องไปเข้าฟิตเนส
แต่อาศัยกิจกรรมประจำวันของเราเพื่อให้ร่างกายได้ออกแรงบ้าง เช่น
การเดินเร็ว การเดินขึ้นบันไดบ้าง การขยับแข้งขยับขาระหว่างการทำงานบ้าง
ฯลฯ


เพราะถ้าเราไม่ดูแลตัวเองให้ดี
มันจะยิ่งทำให้เราไม่สามารถทำงานที่เรารักได้ดี
เพราะร่างกายเราอาจจะทนไม่ได้ขึ้นมาสักวันหนึ่ง
แล้วคราวนี้เราจะไม่สามารถทำงานได้อีกเลย


อย่าให้เงินที่เราหามาได้ มาใช้รักษาตัวเองในเพราะการทำงานหนักจนเกินไปเลยครับ มันไม่คุ้มเลยจริงๆ




บทความโดย อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

Coach ตัวเอง เพื่อให้ชีวิตตนเองดีขึ้นได้อย่างไร

เมื่อพูดถึงคำว่า coaching
เราก็มักจะจินตนาการถึงภาพคนสองคนที่กำลังคุยกัน ให้คำแนะนำ ใช้คำถาม
เพื่อให้คิด และนำเอาสิ่งที่คุยกันนั้นไปทำให้ตนเองดีขึ้น
แต่ชีวิตเราทุกคนนั้นคงจะหา Coach ไม่ได้กันทุกคนแน่นอน ดังนั้น
สิ่งที่เราจะต้องทำให้ได้ก็คือ การ Coach ตนเอง
เพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จให้ได้


เอาเข้าจริงๆ แล้ว คนที่ทำหน้าที่เป็น Coach นั้น
ก็เป็นคนที่ช่วยทำให้เราได้คิด ได้ตระหนักว่าอะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ
แต่ก็มีบางคนที่รู้หมดทุกอย่าง รู้ตนเองว่าอะไรสำคัญ
รู้ตนเองว่าอะไรที่ไม่ควรทำ รู้ว่าอะไรที่ทำแล้วชีวิตจะดีขึ้น
รู้ว่าความสำเร็จจะมาก็ต่อเมื่อเราลงมือทำ ฯลฯ แม้ว่าจะมี Coach มาบอกก็ตาม
คนคนนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย
เพราะสุดท้ายมันก็อยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้นครับ


อยากจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน อยากรวย อยากเก่ง
อยากเรียนหนังสือได้เกรดดีๆ อยากโน่น อยากนี่
เราจะทำได้ตามเป้าหมายที่เราต้องการได้ก็ต่อเมื่อ เราลงมือทำมันทุกวัน
ไม่ใช่แต่คิดอย่างเดียว ต้องลงมือทำด้วย แล้วความสำเร็จจะเป็นของเราแน่นอน


สิ่งที่อยากเอามาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ก็คือ วิธีการ Coach ตัวเอง
เพื่อเราเองมีชีวิตที่ดีขึ้น ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ในชีวิตได้ง่ายขึ้น และเร็วขึ้น ลองมาดูกันนะครับว่ามีแนวทางอย่างไรบ้าง


  • เอาคำว่า “ขี้เกียจ” ออกไปจากตัวเราให้ได้
    สิ่งแรกที่จะต้องทำและ Coach ตัวเองให้ได้ก่อนก็คือ การเอาคำว่า
    “ขี้เกียจ” ออกไปจากพจนานุกรมของตนเองให้ได้ จะต้องไม่มีข้ออ้างว่า
    ขี้เกียจทำ และห้ามคิดกับตนเองว่า “ขี้เกียจจังเลยวันนี้”
    หรือมองว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจ เพราะเมื่อไหร่ที่เราคิดแบบนี้
    เราก็จะเป็นในแบบที่เราคิด แล้วจะทำให้เราไม่อยากทำอะไรเลย
    เพราะมีข้ออ้างเสมอว่า “ขี้เกียจ” นั่นเองครับ
    เคยเป็นมั้ยครับเวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ที่เราจะต้องทำความสะอาดบ้าน
    แต่เราคิดว่าเราขี้เกียจจังเลย
    สุดท้ายเราก็มีข้ออ้างที่จะทำไม่ความสะอาดบ้าน
    ดังนั้นถ้าเราต้องการให้ชีวิตของเราดีขึ้น ไม่ว่าจะในเรื่องอะไรก็ตาม งาน
    หรือส่วนตัว สิ่งที่เราจะต้องปรับความคิดของเราเองก็คือ
    หยุดคิดว่าเราขี้เกียจ สิ่งที่จะต้องคิดและทำก็คือ
    เมื่อคิดว่าจะทำต้องลงมือทำเลย
    หรือเมื่อไหร่ที่เราวางแผนว่าจะทำอะไรวันไหนเวลาไหน
    พอถึงเวลาก็ต้องลงมือทำทันที
  • อย่าผัดวันประกันพรุ่ง นี่
    เป็นผลที่ตามมาจากคำว่าขี้เกียจในข้อแรก
    คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัว และชีวิตการทำงานนั้น
    จะเป็นคนที่ไม่เคยผัดวันประกันพรุ่งเลย หรือถ้าเคยก็มีน้อยมากๆ
    เพราะการผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ นั้น มันไม่มีอะไรดีเลย
    เพราะทำให้เราทำงานไม่สำเร็จตามแผนที่เราต้องการ เราอาจจะรู้สึกสบาย
    เพราะเลื่อนงานนี้ออกไปก่อน แต่สุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี ถ้ายังไงก็ต้องทำ
    เราทำแบบสบายๆ ไม่ดีกว่าหรือ ดีกว่ามาเร่งๆ เอาตอนใกล้ถึงกำหนดส่งงาน
    มันเหนื่อย เครียด แถมยังทำให้งานออกมาไม่มีคุณภาพอีกด้วยครับ
    ดังนั้นคนที่อยากประสบความสำเร็จให้ได้ สิ่งที่จะต้อง Coach
    ตัวเองให้ได้ก็คือ การลงมือทำเดี๋ยวนี้เมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำ
  • ต้องสามารถที่จะให้กำลังใจตนเองได้ คน
    ที่ประสบความสำเร็จนั้นจะต้องมีความสามารถอย่างหนึ่งก็คือ
    สามารถที่จะให้กำลังใจตนเองได้เสมอ เวลาที่เราทำอะไรผิดพลาดไป
    หรือท้อแท้ในบางเวลา สิ่งที่เราต้องทำให้ได้ก็คือ การ Coach
    ตัวเองในมุมของการให้กำลังใจตนเอง
    การสนับสนุนความคิดความอ่านของตนเองบ้างในบางเวลา
    คนเราทุกคนไม่สามารถที่จะไปพึ่งพาคนอื่นได้ทุกเรื่องหรอกครับ
    สิ่งที่เราจะต้องทำให้ได้ก็คือ การมีตนเองยืนเคียงข้างตนเองนี่แหละครับ
    เมื่อไหร่ที่เราประสบกับปัญหาต่างๆ มากมาย
    เราอาจจะมีเพื่อนคอยเป็นกำลังใจให้เรา
    แต่สุดท้ายตัวเราเองนี่แหละที่จะต้องเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมุมมองของตนเอง
    เพื่อนๆ ไม่สามารถมาเปลี่ยนให้เราได้เลย ถ้าเราไม่คิดจะเปลี่ยน
    จริงมั้ยครับ
  • หาเป้าหมายให้เจอ แล้ว Focus
    ไปที่เป้าหมายนั้น สิ่งต่อไปที่จะต้องพยายาม Coach ตัวเองก็คือ
    การถามตัวเองว่าอะไรคือเป้าหมายของเราในปีถัดไป หรือในอีก 3 ปีถัดไป
    เราต้องจินตนาการให้เห็นภาพตัวเองที่ประสบความสำเร็จในเป้าหมายนั้นๆ ให้ได้
    เพราะถ้าเรามองไม่เห็นภาพนั้น ก็แปลง่ายๆ ว่าเรายังไม่เห็นเป้าหมายของเรา
    แล้วเราจะไปสู้เป้าหมายนั้นได้อย่างไร และเมื่อเราเจอเป้าหมายแล้ว
    สิ่งต่อไปที่จะต้องทำก็คือ การ Focus ซึ่งก็คือ มุ่งมั่น
    และยึดมั่นในเป้าหมายนั้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง คำว่า Focus นั้น
    ถ้าจะทำให้เห็นภาพชัดมากขึ้น ให้ลองนึกถึงแว่นขยาย ที่เราเอาไปจ่อกับแดด
    เพื่อให้แสงแดดผ่านแว่นขยายไปรวมศูนย์ที่กระดาษ
    ยิ่งทำให้มันเล็กมากเท่าไหร่ พลังก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
    ไม่นานกระดาษแผ่นนั้นก็ลุกเป็นไฟได้
    เช่นเดียวกับการยึดมั่นใจเป้าหมายนั่นเอง การ Focus
    ไปที่เป้าหมายของเรานั้น ก็คือ การที่เรายึดภาพเป้าหมายนั้นไว้ในใจเสมอ
    และทำทุกวันของเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ยิ่ง Focus มากเท่าไหร่
    เราก็จะยิ่งประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นเท่านั้นครับ
ลอง Coach ตัวเองใน 4 ประการข้างต้นดูนะครับ ช่วงนี้ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว
ถ้าท่านผู้อ่านสามารถกำหนดเป้าหมายในปีถัดไปได้ชัดเจน
ก็สามารถที่จะนำเอาแนวทางข้างต้นไป Coach ตัวเองทุกๆ วันก็ได้ครับ
ถ้าเราทำมันอย่างมีวินัยในตนเอง ไม่ขี้เกียจ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
ไม่นานครับ เป้าหมายที่เราฝันไว้ก็จะเป็นจริงได้โดยไม่ยากอะไรเลย



 
บทความโดย อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

เชื่อหรือไม่ว่า พฤติกรรมและอุปนิสัยของเรามีผลต่ออนาคตของตัวเราเอง




ปีใหม่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ
และมีการตั้งปณิธาน และเป้าหมายของชีวิตในปีใหม่นี้
หลายคนวาดฝันไว้อย่างสวยงามว่าเราจะต้องประสบความสำเร็จแบบนั้นแบบนี้
จะต้องได้นั่นได้นี่ ฯลฯ ทุกคนล้วนต้องการในสิ่งที่ดีขึ้นเสมอ
บางคนก็เขียนเป้าหมายที่ตนต้องการลงในกระดาษ
และติดไว้ที่หัวเตียงเพื่อที่จะได้เห็น ได้อ่านทุกคืน ก่อนนอน
เพราะเชื่อว่า ถ้าเราฝังความเชื่อว่าเราจะต้องมี จะต้องได้ เข้าไปทุกคืน
เราก็จะได้ในสิ่งที่เราต้องการเข้าสักวัน


บางคนก็เฝ้ามองทุกวัน อ่านทุกวัน อ่านจนจำได้ขึ้นใจหมดแล้ว
แต่วันแล้ววันเล่า สิ่งที่เราต้องการ เป้าหมายที่เราตั้งไว้
ก็ไม่เห็นจะเข้ามาในชีวิตเราสักที ทั้งๆ
ที่เราก็ตั้งเป้าหมายไว้แล้วอย่างชัดเจน
คนที่ประสบความสำเร็จต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า
ถ้าอยากประสบความสำเร็จอย่างเขา สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ
การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และยึดมั่นเป้าหมายนั้นให้มั่น
ทำให้เราเห็นทุกวัน จำให้ขึ้นใจ ฯลฯ เราก็ทำแล้ว
แต่ทำไมเราถึงไปไม่ถึงไหนเลย


สาเหตุที่ทำให้หลายคนไปไม่ถึงเป้าหมายทั้งๆ ที่มีการตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจน คืออะไร ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ครับ


คำตอบก็คือ
เราตั้งเป้าหมายชัดเจนแล้ว แต่สิ่งที่เราไม่ได้ตั้งเลยก็คือ
วิธีการที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น ว่าจะต้องทำอย่างไร มีวิธีการอย่างไร
มีขั้นตอน ต้องเริ่มต้นอย่างไร และต้องทำอะไรต่อบ้างในแต่ละขั้น ฯลฯ
นี่คือสิ่งที่เราไม่ได้ทำ เราคิดแต่เพียงว่า เมื่อมีฝัน มีเป้าหมายแล้ว
ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตของเรา ซึ่งผิดถนัด


มันมีตรรกะของชีวิตง่ายๆ อยู่ข้อหนึ่งก็คือ เหตุเป็นอย่างไร ผลก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย


ถ้าเราตั้งเป้าหมายในชีวิตเรียบร้อย แล้วเราใช้ชีวิตแบบเดิมๆ
ตื่นเช้ามาก็ทำเหมือนเดิม คิดเหมือนเดิม เชื่อเหมือนเดิม
ทุกอย่างเหมือนเดิมหมด แล้วเราจะได้ชีวิตใหม่ ได้เป้าหมายใหม่ ได้อย่างไร
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะประสบความสำเร็จโดยการปฏิบัติตนแบบเดิม
แล้วอยากให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพราะถ้าเรามีพฤติกรรม
และอุปนิสัยแบบเดิม แล้วคิดว่าจะประสบความสำเร็จได้
มันก็คงประสบความสำเร็จไปตั้งนานแล้วล่ะครับ
ไม่ต้องมานั่งตั้งเป้าหมายกันทุกปีให้เสียเวลา


ดังนั้นใครที่ตั้งเป้าหมายไว้สูง หรือตั้งเป้าหมายแบบก้าวกระโดด
สิ่งที่เราจะต้องปรับและเปลี่ยนมากหน่อยก็คือ
พฤติกรรมและอุปนิสัยของเราเองก่อนเลย
โดยเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับวิธีการที่เราจะสามารถไปสู่เป้าหมายที่เรา
ต้องการได้ ลองมาดูตัวอย่างกันง่ายๆ


  • ถ้าเราอยากเก่งภาษาต่างประเทศ เราตั้งเป้าไว้ว่า
    ปีนี้เราจะต้องได้ภาษานั้น ภาษานี้ และต้องสามารถที่จะสื่อความได้จริง
    จากนั้นเราก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมแบบที่เคยเป็น คือ ไม่คิดจะเริ่มต้นศึกษา
    ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของตนให้เริ่มอ่านหนังสือ
    หรือหาที่สมัครเรียน หรือสมัครไปแล้ว ก็ไม่จัดเวลา ไม่แบ่งเวลา
    ไม่มีวินัยที่จะต้องเข้าเรียนอย่างต่อเนื่อง
    แล้วแบบนี้เป้าหมายของเราได้ไปถึงได้อย่างไร
  • บางคนอยากมีสุขภาพที่แข็งแรง มีหุ่นที่ดี สัดส่วนที่สวยงาม
    เราก็สามารถตั้งเป้าหมายไว้ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ
    เราก็ยังคงกินอาหารแบบเดิม ตื่นสายเหมือนเดิม
    ขี้เกียจออกกำลังกายเหมือนเดิม บางคนลงทุนสมัครฟิตเนส
    แต่ก็ไปใช้บริการได้ไม่ถึง 1 สัปดาห์ แล้วก็เลิก แบบนี้เราจะมีหุ่น
    และมีสุขภาพตามที่เราต้องการได้อย่างไร
  • นักเรียน นิสิต นักศึกษา บางคนตั้งใจไว้ว่า
    ปีหน้าเราจะต้องได้เกรดที่ดีขึ้น เราจะต้องทำเกรดเฉลี่ยให้สูงขึ้นให้ได้
    วาดฝันไว้อย่างสวยงาม พอถึงเวลาปฏิบัติจริง
    ก็ยังคงมีพฤติกรรมและอุปนิสัยแบบเดิมๆ ก็คือ ไม่เข้าเรียน
    หรือเข้าเรียนก็ไม่ตั้งใจเรียน กดโทรศัพท์ไปเรื่อย คุยกับเพื่อนตลอดเวลา
    กลับถึงบ้าน ก็ไม่เคยแบ่งเวลาทบทวนบทเรียน ปล่อยไปเรื่อยๆ ใกล้ๆ
    สอบก็ค่อยมานั่งอ่านหนังสือ หรือยิ่งไปกว่านั้น บางคนไม่อ่านเลยก็มี ฯลฯ
    แล้วเราจะได้เกรดที่ดีขึ้นได้อย่างไร ถ้าเรายังคงทำนิสัยเดิมๆ
    ผลที่ได้ก็คือเกรดแบบเดิมๆ เช่นกัน
  • พนักงานบางคนอย่างที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
    อยากมีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานในบริษัท
    ฝันไว้ชัดเจนมากว่าจะต้องได้เงินเดือนขึ้น ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ
    แต่พฤติกรรมในการทำงาน ยังคงเหมือนเดิม คือ ตื่นสาย มาสาย ติดเน็ต
    ติดfacebook เล่น Line กับเพื่อตลอดเวลา ฯลฯ จนเวลาทำงาน
    และสร้างผลงานจริงๆแทบจะไม่เหลือ แล้วเราจะเอาผลงานอะไรไปอวดหัวหน้าเราได้
    สุดท้ายเป้าหมายที่เราตั้งไว้ มันก็เป็นได้แค่เพียงฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
ยังมีตัวอย่างอีกมากมายครับ
ที่ยกให้อ่านข้างต้นก็น่าจะพอทำให้เราเห็นภาพว่า
การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรได้นั้น
มันไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วก็แปะไว้ที่หัวเตียงเพื่อดึงดูด
มันเข้ามาในชีวิตของเราโดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
ซึ่งมันเป็นอะไรที่ผิดธรรมชาติมาก


สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ การพิจารณาตัวเองก่อนเลยว่า
ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรสักอย่าง
สิ่งที่แรกที่จะต้องคิดก็คือ
เราจะต้องทำอะไรเพื่อให้เราไปถึงเป้าหมายนั้นได้
คล้ายเป็นแผนประจำวันของเราเอง เช่น ทบทวนหนังสือทุกวัน ออกกำลังกาย 3
ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ฯลฯ


เมื่อได้แผนงานที่ชัดเจนแล้วสิ่งถัดไปที่ต้องทำก็คือ
การพิจารณาถึงอุปนิสัยและพฤติกรรมของตนเองในแต่ละวันว่าเรามีพฤติกรรมอะไร
ที่ไม่สอดคล้องกับแผนงานที่เรากำหนดไว้บ้าง จดมันออกมาเป็นรายการ
แล้วมาพิจารณาต่อว่า ถ้าเราอยากจะได้ตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้นั้น
เราจะต้องเลิก หรือเปลี่ยนนิสัยอะไรบ้าง เขียนออกมาให้ชัดเจน


เมื่อรับทราบแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดต่อไปก็คือ “การลงมือทำ” “ลงมือเปลี่ยนนิสัยตัวเอง”
ให้ได้ โดยยึดเอาเป้าหมายที่เราต้องการไว้ให้มั่น ถ้าเราต้องการมันจริงๆ
หรือถ้าเรามีความอยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างสุดๆ
เราจะเต็มใจเปลี่ยนพฤติกรรมของเราอย่างแน่นอน
แต่ถ้าเราเปลี่ยนได้สักพักแล้วกลับมาเหมือนเดิม ก็แปลว่า
เป้าหมายนั้นเราไม่ได้ต้องการมันจริงๆ เราแค่อยากได้ อยากมีเฉยๆ
(แบบว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร) ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ
พฤติกรรมของเราก็จะกลับมาแบบเดิมอีก แล้วเราก็ไม่ประสบความสำเร็จไปอีกปี


แต่ถ้าเรามุ่งมั่นจริงจัง เราจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมของเรา
แม้ว่าช่วงแรกๆ อาจจะยากหน่อย แต่ถ้าเรามีวินัยในตนเอง
บังคนตนเองให้ทำให้ได้ทุกวัน เริ่มต้นจากวันละนิดหน่อย ค่อยๆ
เพิ่มเวลามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เกิน 2 เดือน มันจะกลายเป็นนิสัยใหม่ของเรา
และนิสัยใหม่นี้ก็จะเป็นนิสัยที่เอื้อต่อความสำเร็จที่เราตั้งใจไว้นั่นเอง


ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จจริงๆ ก็อย่าลืมสำรวจพฤติกรรมและนิสัยที่ไม่ดีของเรา และปรับเปลี่ยนมันซะตั้งแต่วันนี้


ไอน์สไตน์ยังเขียนไว้เลยว่า Insanity: doing the same thing over and over again and expecting different results.(Albert Einstein) แปลเป็นไทยแบบง่ายๆ ว่า


“จะมีก็เพียงคนบ้าเท่านั้น ที่เชื่อว่าการทำสิ่งเดิมๆ ทุกวัน วันแล้ววันเล่า และคาดหวังว่าจะเกิดผลที่ดีขึ้นกว่าเดิมในชีวิตของ




บทความโดย อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร