Thursday, May 31, 2018

ในอนาคตคริปโตจะสามารถนำมาใช้จ่ายได้จริงหรือไม่

ถ้ากล่าวถึง Cryptocurrency แล้วละก็ นอกจากเรื่องของเทคโนโลยี Blockchain การเทรดแหรือการขุดแล้วนั้น ทุกคนก็ต้องคิดถึงเรื่องที่จะนำพวกมันมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแทบทั้งสิ้น

วันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา คือวัน Pizza Day ของชาวคริปโต ซึ่งวันดังกล่าวเกิดมาจากเหตุการณ์ที่ชายคนหนึ่งนำ Bitcoin จำนวน 10,000 BTC ไปซื้อ Pizza สองถาด ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมที่ได้รับการฮือฮาเป็นอย่างมาก แล้วก็ถือว่าเป็นวันสำคัญของชุมชนคริปโตเลยก็ว่าได้

คำถามสำหรับตอนนี้ก็คือ ในอนาคตเราสามารถนำคริปโตไปใช้งานจริงได้หรือไม่?

ความเร็วในการทำธุรกรรม

แน่นอนว่าความเร็วในการทำธุรกรรมถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างแรกที่ทุกคนนึกถึง เพราะเมื่อเราซื้อของเราคงไม่มีการยืนรอให้เงินโอนเข้าบัญชี หรือพ่อค้าแม่ค้าคงไม่รอเราห้าถึงสิบนาทีกว่าเงินจะโอนเข้ามาบัญชีของพวกเขา

Bitcoin หรือเหรียญราชาของชาวคริปโตในขณะที่เขียนบทความนี้นั้น มีความเร็วในการทำธุรกรรมที่ยังถือว่าช้ากว่ามากเมื่อนำไปเทียบกับเหรียญอื่นเช่น Bitcoin Cash หรือ Ripple (XRP) โดยเฉพาะเมื่อปลายปีที่แล้ว ช่วงที่ราคา Bitcoin ไปแตะถึง 19,000 ดอลลาร์ การ Confirmation ของ Bitcoin นั้นทำได้เชื่องช้าเป็นอย่างมาก ส่งผลให้บางธุรกรรมก็รอข้ามเดือนเลยก็มี

ในทางตรงกันข้าม Ripple (XRP) เป็นเหรียญที่มักเคลมว่าโอนเงินได้รวดเร็ว เหมาะสำหรับธนาคารที่จะต้องชำระเงินข้ามประเทศ ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็ได้เป็นพันธมิตรกับหลาย ๆ ธนาคารหรือผู้ใช้บริการชำระเงินเช่น MoneyGram อีกด้วย

Lightning Network อาจเป็นความหวังในการทำธุรกรรมอันรวดเร็วของ Bitcoin ก็เป็นได้ เพราะตอนนี้ก็มีนักพัฒนาหลายคนกำลังหาคนทางที่จะนำ Lightning Network มาใช้กับ Bitcoin อยู่เรื่อย ๆ

ความปลอดภัย

สิ่งที่หลายคนคำนึงไม่แพ้กันคือความปลอดภัยในการทำธุรกรรม เช่นเมื่อเราซื้อของออนไลน์ ก่อนที่จะชำระเงินก็จะมีวิธีการตัวเลือกชำระเงินต่าง ๆ เช่น โอนเงินผ่าน Mobile Banking, โอนเงินผ่านตู้ ATM, ชำระผ่าน Counter Service, บัตรเครดิต ซึ่งหลาย ๆ ก็ต้องเลือกก่อนว่าวิธีไหนเหมาะและวิธีไหนปลอดภัยกับเรา

แน่นอนว่า Cryptocurrency ที่อยู่บนระบบ Blockchain นั้นมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง เพราะว่าไม่มีตัวกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อไม่มีธนาคารเข้ามาควบคุม จะไม่มีใครคอยสอดส่องเงินในบัญชีเรา ผู้ใช้งานจึงสามารถเชื่อมั่นในความปลอดภัยของ Cryptovurrency ได้

ความรู้

เป็นความจริงที่แน่นอนว่าเรื่อง Cryptocurrency นั้นถือเป็นสิ่งใหม่ ที่หลาย ๆ คนยังไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Blockchain บ้าง Cryptocurrency บ้างและหลาย ๆ อย่าง จนทำให้มีการเปิดคอร์สสอนพื้นฐาน Blockchain ต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะฟรีเหลือจ่ายเงินก็ตาม…

จริง ๆ แล้วรัฐบาลสามารถ Educated ให้กับบุคคลทั่วไปพ่อค้าหรือแม่ค้าได้ ซึ่งและจะกระตุ้นทำให้พวกเขาอยากที่จะใช้คริปโตเป็นช่องทางในการชำระเงิน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลและชุมชนคริปโตพวกเราต้องคอยให้ความรู้กับพวกเขา

การยอมรับ

ร้านค้าทั่วไปในประเทศไทยยังไม่มีการพัฒนาหรือปรับตัวการชำระเงินด้วยคริปโตสักเท่าไร เพราะเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการ ไม่ได้สนใจในเรื่องของเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามา Disrupt ในเทคโนโลยีเดิม ๆ และเรื่องของอายุอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะทุกวันนี้หากไม่รับคริปโต พวกเขาก็ยังสามารถขายของได้ปกติ

แต่หากทุกร้านเปิดใจ และยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่นสกุลเงินดิจิทัล แน่นอนว่าก็จะทำให้อุตสาหกรรมนี้เจริญเติบโตออกไปอีก เพราะเพียงแค่เรารู้ Address ของร้านค้า เราก็สามารถชำระเงินได้เลยทันที โดยที่เราอาจนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์หรือเล่นโทรศัพท์มือถือก็ชำระเงินได้เลย

ในไทยก็มีร้านอาหารที่ยอมรับการชำระเงินผ่านคริปโตเช่นกัน และในอนาคตก็มีแนวโน้มที่อีกหลายร้านจะยอมรับการชำระเงินผ่าน Cryptocurrency อีกด้วย

สรุป

สุดท้ายอนาคตที่ทุกคนจะนำคริปโตมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ไหม ก็ขึ้นอยู่กับสังคมรอบตัวของเรา ว่าพวกเขาเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ที่กำลังเข้ามา กฏหมายในแต่ละประเทศ กฏข้อบังคับต่าง ๆ ที่คอยเอื้ออำนวยในการใช้ Cryptocurrency ในประเทศนั่นเอง

The post ในอนาคตคริปโตจะสามารถนำมาใช้จ่ายได้จริงหรือไม่ appeared first on Siam Blockchain.

บทความ: เราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าการลงทุนนั้นเป็นแชร์ลูกโซ่ ?

หลาย ๆ คนที่เข้ามาสู่วงการคริปโตนั้น ส่วนใหญ่เข้ามาเพื่อหวังที่จะลงทุนเพื่อทำกำไร ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และทำได้จริง โดยการลงทุนในโลกคริปโตนั้นแบ่งได้หลากหลายประเภทมาก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในเครื่องขุดคริปโต, ลงทุนใน ICO, ลงทุนเทรดเอง หรือลงทุนใน Cloud Mining แต่ด้วยความผันผวนอันรุนแรงของราคาที่ทำให้นักลงทุนสามารถรวยข้ามคืนได้นั้น ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่อาจจะลืมไปว่า ในวงการของเรามีนักต้มตุ๋นแฝงตัวอยู่ไม่น้อยเลย โดยส่วนใหญ่นั้นจะมาในรุปแบบของการแชร์ลูกโซ่ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาเป็นอย่างดีนั้น อาจหลงไปลงทุนและสูญเสียเงินกับสิ่งเหล่านั้นได้ในที่สุด

หนึ่งในรูปแบบที่นักต้มตุ๋นนิยมใช้มากที่สุดคือแชร์ลูกโซ่ ซึ่งในวันนี้จะมาวิเคราะห์และสังเกต เพื่อฝึกให้พวกเราสามารถรู้ได้ทันท่วงทีว่าพวกไหนคือแชร์ลูกโซ่ และหลีกเลี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนอันมีค่าของพวกเราได้

แชร์ลูกโซ่คืออะไร

อ้างอิงจากสำนักข่าว bbc แชร์ลูกโซ่ คือการระดุมทุนจากประชาชน จูงใจด้วยผลตอบแทนสูง อ้างว่านำไปลงทุนในธุรกิจที่มีกำไรดี บางครั้งก็แฝงมากับธุรกิจขายตรง แต่เน้นหาสมาชิกใหม่ เพื่อนำเงินจากรายใหม่มาจ่ายรายเก่า จนเมื่อถึงจุดที่หมุนเงินไม่ไหวก็มักจะหนีหายไป ทิ้งหนี้สินไว้เบื้องหลัง

โดยส่วนมากในวงการคริปโต โซนที่พบกับแชร์ลูกโซ่ได้บ่อยคือพวกเว็บ Cloud Mining ซึ่งเป็นเว็บที่เคลมว่าจะให้เช่ากำลังขุดที่พวกเขามี และเราได้ผลตอบแทนไป ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เสียแรงมาดูแลเครื่องขุดเอง สาเหตุที่เจอบ่อยเนื่องจากส่วนใหญ่เว็บพวกนี้จะอยู่ต่างประเทศ ซึ่งเราไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ๆ ว่าพวกเขาเอาเงินเราไปลงทุนในเครื่องขุดจริง หรือไม่ สิ่งเดียวที่เราจะได้รับคือตัวเลขในบัญชีบนหน้าจอเรา ว่าวันนี้ได้เท่าไร แน่นอนว่าเว็บ Cloud Mining ที่ทำอย่างจริงจังก็มีให้เห็น แต่มีเว็บที่เป็นแชร์ลูกโซ่นั้นบนอยูาซะมากกว่า

สิ่งที่ควรสังเกต

สิ่งที่ควรสังเกตหลัก ๆ ว่าการลงทุนนั้นเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่นั้น ให้ดูก่อนว่ามีผลตอบแทนที่สูงเกินจริงหรือเปล่า เช่นวันละ 1 เปอร์เซ็นต์ของเงินต้นที่ลงทุนไป เป็นต้น หากพบเจอแนว ๆ นี้ล่ะก็ อย่าพึ่งผลีพผลาม ให้ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ศึกษาไปก่อนว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เป็นจริงทั้งนั้น

นอกจากนี้ ควรสังเกตว่า การลงทุนนั้นการันตีผลตอบแทนไหม เช่นบอกอย่างชัดเจน ว่าเดือนนึงลงทุนไป 10,000 บาท จะได้กลับมาเดือนละ 3,000 บาทแน่นอน ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครรู้อนาคตได้ จึงไม่ควรลงทุนในโลกคริปโตที่มีการรับประกันรายได้ ซึ่งในกรณี Cloud Mining นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ที่จะการันตีรายได้ เนื่องจากมีค่า Difficulty เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่าเดือน ๆ นึงจะขุดได้เท่าไร ทำให้การการันตีผลตอบแทนเท่าเดิมในทุก ๆ เดือนนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

และสี่งสุดท้ายที่ควรทำก่อนจะลงทุน คือการถามตัวเองเสียก่อนว่า ตัวเราเองนั้นเข้าใจการทำงานของพวกเขาไหมว่า เขาเอาเงินที่เราลงทุนไปทำอะไร หากเข้าใจ ต้องถามต่อไปอีกว่า แล้วมันทำได้จริงไหม พิสูจน์ได้ไหม หากไม่ได้ ก็ให้ใจเย็นค่อย ๆ ดูท่าทีไปก่อน

แต่พวกนั้นจ่ายปันผลตลอดนะ

หลาย ๆ คนอาจจะออกมาแย้งว่า พวกเว็บเหล่านั้นที่เข้าข่ายน่าสงสัยไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ เนื่องจากเงินที่ลงทุนไปได้ปันผลกลับมาจริง และพวกเขาก็ไม่หนีไปไหนด้วย

ดั่งที่อ้างอิงความหมายของแชร์ลูกโซ่จาก bbc โมเดลธุรกิจของนั้นแชร์ลูกโซ่ไม่ใช่ไม่จ่ายเงิน แต่พวกเขาจะจ่ายปันผลไปเรื่อย ๆ จนกว่าพวกเขาจะไม่สามารถหมุนเงินไหว หรือไม่มีนักลงทุนใหม่ ๆ เข้ามาลงทุนพอทีจะนำเงินนั้นไปหมุนจ่ายให้คนเก่า ๆ พอหมุนไม่ไหวก็ปิดตัวลง ซึ่งโดยส่วนมากจะจ่ายในช่วงแรก ๆ อาจจะ 2 ปี หรือ 3 ปี แรกพอเริ่มอิ่มตัว ไม่มีคนมาสมัครเพิ่มก็หนีหายไปดื้อ ๆ ซึ่งจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อพวกเขาหนีหายไปพร้อมกับเงินของเราแล้ว

และโดยส่วนมาก นักลงทุนที่ได้เงินลงทุนพร้อมปันผลกลับไปในรอบแรกนั้นก็ดูเหมือนจะนำเงินทั้งหมด พร้อม เงินเพิ่มเติมไปลงทุนเพิ่มไปเรื่อย ๆ ซะด้วยสิ เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าได้รับปันผลจริง จะโกงได้อย่างไร ซึ่งสุดท้ายฝันที่วาดไว้หายไปกับเงินของพวกเขา ที่อยู่กับแชร์ลูกโซ่ดังกล่าวที่มาขายฝันแล้วปิดหนีไป

ยกตัวอย่างเช่น Bitconnect ที่เป็นแพลตฟอร์ม Lending ซึ่งหากใครนำเงินมาฝากไว้ พวกเขาจะให้ปันผลกลับไป ยิ่งฝากมากยิ่งได้เปอร์เซ็นต์มาก โดยพวกเขาเคลมว่าจะนำเงินเหล่านั้นไปใช่บอทในการเทรดคริปโต และแบ่งผลตอบแทน ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่สามารถตรวจสอบได้ และก็ได้ปิดตัวหนีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา สร้างกระแสความฮือฮาไปทั่ววงการคริปโต โดยก่อนหน้านั้นก็ได้ทำการจ่ายปันผลจริงอยู่หลายปีเช่นกัน

โดยส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่าไม่มีใครอยากลงทุนในแชร์ลูกโซ่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นหากใครอยากลงทุนควรหมั่นสังเกตให้ครบทุกข้อข้างต้นก่อน ว่ามีข้อไหนตรงบ้าง หากมีควรหยุดรอ ดูท่าที และศึกษาให้ทั่วถึงทุกรายละเอียดของการลงทุนนั้นก่อน หรืออาจจะลองมองทางเลือกอื่น ซึ่งสำหรับวงการคริปโตแล้ว โอกาสนั้นการลงทุนนั้นมีมากมายจนศึกษาไม่หมด เนื่องจากมันยังเป็นตลาดใหม่ ยังมีศักยภาพอีกมากที่จะต่อ เงินที่เราหามาอย่างยากลำบากนั้น ควรจะศึกษาถึงความเสี่ยงในการลงทุนให้ดี ไม่ All-in และใช้เงินเย็นในการลงทุนเท่านั้น

The post บทความ: เราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าการลงทุนนั้นเป็นแชร์ลูกโซ่ ? appeared first on Siam Blockchain.

บริษัท Tradeshift ที่ได้เงินลงทุนจาก Goldman Sachs เตรียมเข้าวงการ Blockchain

บริษัทจัดการ Supply Chain นาม Tradeshift ได้ประกาศว่าพวกเขาจะเข้าสู่วงการ Blockchain หลังจากที่ได้เงินระดมทุนไปกว่า 250 ล้านดอลลาร์ โดยมี Goldman Sachs และ PSP Investments เป็นผู้ลงทุนหลัก

อ้างอิงจากประกาศ เงินที่พวกเขาได้มานั้นจะนำไปใช้สำหรับการพัฒนาในการเติบโตของบริษัท รวมถึงการลงทุนต่อยอดเชิงกลยุทธ์ในรูปแบบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นใน AI หรือ Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พึ่งถือกำเนิดได้ไม่นาน รวมถึงการขยายเข้าไปในโซนยุโรปและเอเซีย

ถึงแม้ในตัวประกาศของบริษัท จะไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับ Blockchain มากนัก แต่บริษัทดังกล่าวเพิ่งเปิดตัวบริการการชำระเงินแบบ B2B ไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ชื่อว่า Tradeshift Pay โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวนี้จะทำงานบน Cloud ที่ให้บริการการชำระเงินระหว่าง Supply Chain, การเงินของ Supply Chain และ การชำระเงินที่ทำงานด้วยเทคโนโลยี Blockchain

นอกจากนี้บริษัทยังได้เข้าร่วมกับกลุ่ม HyperLedger ที่มีกองทุน Linux สนับสนุนอยู่ ในเดือนสิงหาคมของปีที่ผ่านมาอีกด้วย โดยพวกเขากล่าวว่า:

“การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากความต้องการของบริษัทที่อยากจะเข้าไปสำรวจศักยภาพของ Blockchain เพื่อที่เร่งสร้างนวัตกรรมที่ดียิ่งขึ้นสำหรับการค้าแบบ B2B”

นาย Chris Lanng CEO และผู้ร่วมก่อนตั้งของ Tradeshift กล่าวในประกาศว่า :

“เราเชื่อว่า ในอนาคต Supply Chain นั้นเป็นรูปแบบดิจิทัล 100 เปอร์เซ็นต์ และการเชื่อมให้ซื้อขายกันได้นั้นเป็นเพียงก้าวแรกที่จะเชื่อมต่อเศรษฐกิจในยุคดิจิทัลนี้ การลงทุนในครั้งนี้จะทำให้เราเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เรานำหน้ากว่าคนอื่นเสมอ”

The post บริษัท Tradeshift ที่ได้เงินลงทุนจาก Goldman Sachs เตรียมเข้าวงการ Blockchain appeared first on Siam Blockchain.

“ใกล้จะหมดยุคที่ Bitcoin จะมีอิทธิพลเหนือราคา Cryptocurrency ตัวอื่น” กล่าวโดย CEO Ripple

ราคา Cryptocurrency ทั่วไปนั้นจะขึ้นอยู่กับ Bitcoin เป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นเหรียญที่เกิดขึ้นมาเป็นเหรียญแรกและก็โด่งดังที่สุด แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นแบบนั้นเสมอไป ในอนาคตอันใกล้อาจจะถึงยุคที่ราคา Bitcoin จะไม่มีอิทธิพลเหนือราคา Cryptocurrency ตัวอื่นแล้วก็เป็นได้ เนื่องจากปัจจุบัน ตลาดคริปโตเริ่มตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์เหล่านี้ อ้างอิงจาก CEO ของ Ripple นาย Brad Garlinghouse

“ราคา Ripple มีความสัมพันธ์กับราคา Bitcoin เป็นอย่างมาก แต่ท้ายสุดแล้วเหรียญพวกนี้ก็ถูกผลิตโดยเทคโนโลยีที่แตกต่างกันและยังเป็นเทคโนโลยี Open source อีกด้วย” นาย  Garlinghouse กล่าวในรายการ “Power Lunch” ของช่อง CNBC เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

Ripple ได้เป็นพันธมิตรกับธนาคารยักษ์ใหญ่หลายแห่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเช่น MoneyGram ที่ได้ทดสอบระบบการชำระเงินความพรมแดนเรียบร้อยแล้ว

ในขณะเดียวกันมูลค่าของ XRP ก็ร่วงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ โดยทาง CNBC กล่าวว่ามันเป็นเหรียญที่มีผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุดถ้านับจากเหรียญคริปโตในอันดับต้น ๆ

“ตอนนี้มันยังเป็นตลาดที่มีเอาไว้เก็งกำไรเท่านั้น” นาย Garlinghouse กล่าว “ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของเวลาน่ะที่จะให้ผู้คนเข้าใจว่าแต่ละเหรียญนั้นมีการใช้งานที่แตกต่างกัน”

ในตลาดมีคริปโตกว่า 1,600 เหรียญอ้างอิงจาก Coinmarketcap แต่ผมเดาว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของเหรียญนั้นจะอยู่ไม่ถึงสิบปีหรอก

ทาง SEC ก็เริ่มเข้ามากำกับดูแล และคอยเตือนการปั่นราคาของเหรียญหรือเหรียญ Scam อยู่บ่อยครั้ง ล่าสุดก็จับหนึ่งในผู้สนับสนุนเหรียญของนาย Loyd Mayweather

ประธาน SEC นาย Jay Clayton ได้กล่าวชัดเจนว่า ICO ทั้งหมดเป็นหลักทรัพย์ แต่ XRP ของ Ripple ถูกจัดคนละประเภทกัน โดยนาย Garlinghouse ชี้เห็นเห็นถึงความแตกต่างของ XRP  และหลักทรัพย์แบบดั้งเดิมว่า:

“ถ้าคุณเป็นเจ้าของ XRP คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับกำไรหรือเงินปันผลใด ๆ กับทางบริษัท” เขากล่าวว่า: “เพราะ XRP มีคุณประโยชน์ในตัวของมันอยู่แล้ว”

The post “ใกล้จะหมดยุคที่ Bitcoin จะมีอิทธิพลเหนือราคา Cryptocurrency ตัวอื่น” กล่าวโดย CEO Ripple appeared first on Siam Blockchain.

เว็บเทรดคริปโตแคนาดาผลักดันให้มีการกฏหมายข้อบังคับให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ตัวแทนเว็บเทรดคริปโตประเทศแคนาดาออกมาเรียกร้องให้ผู้บัญญัติกฏหมายออกกฏหมายข้อบังคับเกี่ยวกับเว็บเทรดคริปโตให้ชัดเจนมากขึ้น

สื่อแคนาดารายงานว่า เว็บเทรดในประเทศได้ออกมาเรียกร้องให้ทางการออกกฏหมายข้อบังคับเกี่ยวกับเว็บเทรดคริปโตให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

นาย Cole Diamond ผู้บริหารอาวุโสของเว็บเทรดคริปโตนาม Coinsquare กล่าวว่า:

“พวกเราต้องการที่จะถูกควบคุมเพราะในที่สุดเราต้องการที่จะสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าของเราว่า เราไม่ใช่แพลตฟอร์มการซื้อขายที่ไม่น่าไว้วางใจ และพวกเขาสามารถไว้ใจเราได้”

นาย Michael Gokturk ผู้บริหารระดับสูงของเว็บเทรด Einstein กล่าวว่า

“มันง่ายมากที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดคริปโตและใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกฏหมาย และสิ่งที่ดีที่สุดก็คือเว็บเทรดควรได้รับการควบคุมก็เพื่อจะได้มีความโปร่งใส และนั่นเป็นสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่ เรากำลังอ้าแขนต้อนรับกฏหมายเหล่านั้นอยู่”

The post เว็บเทรดคริปโตแคนาดาผลักดันให้มีการกฏหมายข้อบังคับให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น appeared first on Siam Blockchain.

ธนาคารกลางรัสเซีย กล่าว “Cryptocurrency ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงทางการเงินระดับโลก”

ในวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางแห่งประเทศรัสเซียตีพิมพ์รายงาน ซึ่งระบุว่า ในปัจจุบัน Cryptocurrency นั้นไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงทางการเงินระดับโลก เนื่องจากยังมีปริมาณการทำธุรกรรมที่ต่ำอยู่

โดยในรายงานใช้คำว่า Crypto Asset แทนคำว่า Cryptocurrency โดยสามารถถูกจัดว่าเป็นทรัพย์สินทางการเงินได้ด้วยการใช้งานของการเข้ารหัสและเทคโนโลยีบัญชีแยกประเภท

อ้างอิงจากรายงาน Crypto Asset ไม่ได้เป็นภัยใด ๆ

ต่อความมั่นคงทางการเงินระดับโลก เนื่องจากปริมาณการทำธุรกรรมของ Crypto Asset นั้นยังต่ำอยู่หากเทียบกับระบบทางการเงินระดับโลกอื่น ๆ

โดยในรายงานระบุว่ามันจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นภัยกว่านี้ หากในอนาคตมันเติบโตและมีปริมาณการทำธุรกรรมที่มากขึ้น เช่น มีความเกี่ยวข้องกับนักลงทุนรายย่อยและระดับสถาบัน, ธนาคาร และเจ้ามือใหญ่ ๆ คนอื่น ๆ และอ้างอิงจากรายงาน ความผันผวนที่มากกว่าปกติของ Crypto Asset นั้นเป็นอุปสรรคในการที่จะเป็นสิ่งที่สามารถเก็บมูลค่าได้ และเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน

นอกจากนี้ในรายงานยังระบุถึงความเสี่ยงในแง่อื่น ๆ เช่น ไม่มีการคุ้มครองนักลงทุนหากลงทุนในสิ่งเหล่านี้, ความเสี่ยงในการเข้าไปพัวพันกับการฟอกเงิน, การโจรกรรมทางการเงิน, การขาดสถาพคล่องในตลาด และการใช้ Leverage

ต้นเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลรัสเซียเพิ่งออกกฎหมายสำหรับรัฐดูม่า ให้พิจารณา Cryptocurrency และโทเคนเป็นสินทรัพย์ และออกข้อบังคับสำหรับการเกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency และเทคโนโลยี Blockchain

The post ธนาคารกลางรัสเซีย กล่าว “Cryptocurrency ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงทางการเงินระดับโลก” appeared first on Siam Blockchain.

รายงาน: ตั้งแต่ปี 2017 มี DApps ที่ทำงานบน Ethereum มากกว่า 1,000 แอปฯ ที่เปิดตัวไปแล้ว

อ้างอิงจากการวิเคราะห์ของบริษัท Startup นาม Alethio กล่าวว่า แอปฯ แบบ Decentralized (DApps) จำนวนกว่า 1,000 แอปฯ ได้ถูกสร้างบนเครือข่าย Ethereum ตั้งแต่ปี 2017

บริษัท Alethio’s Christian Crowley ได้แบ่งปันข้อมูลนี้ในงาน “ConsenSys Community Day” ซึ่งจัดขึ้นที่ Tel Aviv Stock Exchange และถูกรายงานโดย Finance Magnates

Crowley ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างแพลตฟอร์มที่สามารถวิเคราะห์ Ethereum ได้แบบเรียลไทม์ กล่าวว่า มีการพัฒนา DApps มากกว่า 1,090 แอปฯ บน Ethereum ในปี 2018 และแอปฯ บางตัวก็ยังไม่เปิดตัวบนเครือข่ายด้วยซ้ำ

ด้วย DApps ทำให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาแอปฯ ที่ใช้ Smart Contract ในการรันแอปฯ ที่ไม่มีวันหยุดทำงาน” ซึ่งแอปฯ เหล่านี้สามารถทำงานโดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง หรือให้ Third Party เข้ามาเกี่ยวข้อง

อ้างอิงจาก DappRadar ระบุว่ามีเพียงสอง DApps ซึ่งก็คือ IDEX และ ForkDelta ที่มีผู้ใช้งานมากกว่าหนึ่งพันรายต่อวัน (DAU) ซึ่งสองแอปฯ นี้คือเว็บเทรดแบบ Decentralized (DEX) นั่นเอง โดยอนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถเทรดโทเคนแบบ ERC-20 โดยไม่ต้องวางเงินทุนไว้ในเว็บเทรด เพียงแค่เชื่อมต่อกระเป๋าคริปโตเท่านั้นก็สามารถเทรดได้เลย

DApps ที่พวกเรารู้จักกันดีก็คือ CryptoKitties มีผู้ใช้งาน 536 DAUs ต่อวันโดย CryptoKitties สามารถระดมทุนกว่า 12 ล้านดอลลาร์ใน Serie A โดยรวมแล้ว DApps กว่า 500 ตัวที่ DappRadar ติดตามอยู่นั้นมีผู้ใช้งานรวมกันประมาณ 12,000 ราย

ก่อนหน้านี้สยามบล็อกเชนได้รายงานว่าทาง Blockstack เปิดตัวร้านค้า DApps แบบ Decentralized นี่จะเป็นอนาคตแห่งวงการแอปฯ โดยมันจะสามารถทำงานด้วยตนเองผ่านระบบ Blockchain นั่นเอง

The post รายงาน: ตั้งแต่ปี 2017 มี DApps ที่ทำงานบน Ethereum มากกว่า 1,000 แอปฯ ที่เปิดตัวไปแล้ว appeared first on Siam Blockchain.

ศาลสูงสุดประเทศเกาหลีใต้อายัด Bitcoin ในคดีอาญาเป็นจำนวน 191 BTC

รัฐบาลประเทศเกาหลีใต้กำลังดำเนินการอายัด Bitcoin จำนวนกว่า 191 BTC ที่ถูกจับเนื่องจากมีการเผยแพร่หนังผู้ใหญ่ที่มีเด็กแสดงซึ่งถือว่าเป็นความผิด ในขณะนี้ผู้พิพากษาได้ตัดสินจำคุกและปรับเงินจำนวนโจทก์กว่า 640,000 ดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อ้างอิงจากสำนักข่าว Yonhap ศาลสูงสุดของประเทศเกาหลีใต้เป็นคนตัดสินใจที่จะพิจารณาว่า Cryptocurrencies นั้นจัดเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าซึ่งสามารถถูกอายัดในคดีทางอาญาได้

ในขณะที่รายงานอยู่นี้ Bitcoin เหล่านั้นมีมูลค่าประมาณ 1.4 ล้านดอลลาร์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap

คำสั่งของศาลสูงสุดนี้ไปสนับสนุนการตัดสินใจของศาลชั้นล่างที่ได้ปฎิเสธคำร้องของโจทก์ให้เพิกถอนการอายัดทรัพย์สินดิจิทัลของตน

ถึงแม้ว่าตอนแรกศาลชั้นล่างจะตัดสินว่า Cryptocurrency นั้นอยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์ และไม่สามารถจับต้องได้ แต่ในเวลาต่อมา พวกเขาเห็นว่า Cryptocurrency จัดเป็นกำไรที่ได้จากการซื้อขายสินค้าและบริการ

อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า จะทำอย่างไรกับ Bitcoin ที่อายัดมาได้ แต่เหมือนว่าการตัดสินใจในเหตุการณ์ครั้งนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันเริ่มมีคดีทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับคริปโตมากขึ้นเรื่อย ๆ

The post ศาลสูงสุดประเทศเกาหลีใต้อายัด Bitcoin ในคดีอาญาเป็นจำนวน 191 BTC appeared first on Siam Blockchain.

Tron เปิดตัว Mainnet และเริ่มย้ายไปใช้ Blockchain ของตัวเองแล้ว

Tron (TRX) หรือ Cryptocurrency  ลำดับที่สิบอ้างอิงจาก Coinmarketcap ได้ย้ายจากเครือข่าย Ethereum ไปสู่ Blockchain ของตัวเองแล้ว

Mainnet ของ Tron มีชื่อว่า Odyssey 2.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 พฤษภาคม โดยขั้นตอนแรกจะขนย้ายประมาณ 4 พันล้านเหรียญไปยังเครือข่ายใหม่ก่อน

ในเดือนมิถุนายนเครือข่ายนี้จะยังอยู่ในช่วงเบต้า (Beta) ก็เพื่อให้นักพัฒนาได้ทำการตั้งค่าระบบโดยเฉพาะ Wallet และ Browser ก่อนที่เครือข่ายจะเปิดตัวใช้งานจริง การโยกย้าย Token จะเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายนถึง 24 มิถุนายน โดยผู้ใช้งานต้องฝาก Tron ไว้บนเว็บเทรดที่รองรับเพื่อรับ Trx ในจำนวนที่เท่ากันบนบล็อกใหม่

การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลในวันที่ 25 มิถุนายนซึ่งเป็นวันที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ตั้งชื่อว่า “Independence Day” โดยวันนั้นจะมีการสร้าง Genesis Block ขึ้นมา ในเร็ว ๆ นี้ สำหรับคำทำนายของนักลงทุนส่วนใหญ่ที่คาดการณ์ว่า Tron จะเป็น “Ethereum Killer” กำลังจะได้รับการทดสอบในที่สุด

การเปิดตัว Mainnet ของ Tron ไม่ได้ทำให้ราคาของ Tron เพิ่มขึ้นในระยะสั้น และมิหนำซ้ำราคาของ Tron ยังลดลง 5 เปอร์เซ็นต์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุดใน Top 10 Cryptocurrency ด้วยซ้ำไป โดยปัจจุบันราคา Tron อยู่ที่ 0.06 ดอลลาร์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap

The post Tron เปิดตัว Mainnet และเริ่มย้ายไปใช้ Blockchain ของตัวเองแล้ว appeared first on Siam Blockchain.

Asus เปิดตัว Motherboard รุ่นใหม่ รองรับการ์ดจอกว่า 20 ใบ เตรียมจำหน่ายภายในปีนี้

บริษัทฮาร์ดแวร์ยักษ์ใหญ่นาม Asus ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เน้นไปยังกลุ่มนักขุดคริปโตในวันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2018 ที่ผ่านมา

ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีชื่อว่า The H370 Mining Master ซึ่งเป็นตัวต่อยอดจาก B250 Mining Expert ของปีที่ผ่านมา โดย Asus กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นี้ได้ทำการออกแบบมาเพื่อนักขุดคริปโตโดยเฉพาะ พวกเขาเคลมว่ามันจะสามารถรองรับการ์ดจอได้สูงสุดถึง 20 ใบ

ในขณะที่รายงานอยู่นี้ ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า Motherboard นี้จะมีราคาที่เท่าไร หรือจะเปิดจำหน่ายวันไหน  แต่พวกเขาระบุคร่าว ๆ ว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 ภายในปีนี้

นอกจากมันจะสามารถรองรับการ์ดจอได้เป็นจำนวนมากแล้ว มันยังมีระบบตรวจตราที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบสถานะของการ์ดจอของทั้ง 20 ใบนั้นได้อีกด้วย โดย Asus ระบุในประกาศว่า:

“เวลาสำหรับการดูแลอุปกรณ์ที่ลดลงนี้ จะสามารถเพิ่มเวลาไปใส่ใจในเรื่องการขุดคริปโตได้มากขึ้น เพราะงั้นเราเลยออกแบบ H370 Mining Master ที่มีระบบตรวจสอบผู้ใช้งานสามารถจัดการอุปกรณ์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย”

ไม่ใช่เพียงแค่ Asus เท่านั้นที่เล็งเห็นว่าสามารถทำกำไรในวงการคริปโต ซึ่งมีความต้องการในเครื่องขุดเป็นจำนวนมากได้ แต่บริษัทอย่าง ASRock ก็มีแผนที่จะวางจำหน่าย Motherboard เข้าสู่ตลาดด้วยเช่นกัน นอกจากนี้บริษัท AMD และ Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตการ์ดจอ ก็กำไรเพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำจากกระแสคริปโตที่กำลังมาแรงอยู่ด้วยเช่นกัน

ที่มาภาพ Asus

The post Asus เปิดตัว Motherboard รุ่นใหม่ รองรับการ์ดจอกว่า 20 ใบ เตรียมจำหน่ายภายในปีนี้ appeared first on Siam Blockchain.

แฮ็คเกอร์โจมตีธนาคาร 2 แห่ง เรียกค่าไถ่ข้อมูลที่แฮ็คได้เป็น XRP มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์

อ้างอิงจากสำนักข่าว CBC มีรายงานในวันจันทร์ที่ผ่านมาว่ามีธนาคาร 2 แห่งถูกแฮ็คเกอร์โจมตี โดยธนาคารสองแห่งนี้ก็คือ Bank of Montreal และ ธนาคารออนไลน์ของ CIBC นาม Simplii Financial เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหาย พวกเขากล่าวว่ามีข้อมูลบัญชีของผู้ใช้ถูกแฮ็คไปกว่า 90,000 บัญชี ซึ่งข้อมูลดังกล่าวรวมไปถึงชื่อ, เลขบัญชี และรหัสผ่าน

ทางแฮ็คเกอร์เคลมว่าพวกเขามีข้อมูลเช่น คำถามเพื่อความปลอดภัย, คำตอบ, หมายเลขประกันสังคม และเลขบัญชี

โดยแฮ็คเกอร์ส่งอีเมลเพื่อทำการเรียกค่าไถ่สำหรับข้อมูลดังกล่าวเป็นมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ โดยต้องโอนไปให้เป็นเหรียญ XRP หากไม่จ่ายค่าไถ่ภายในวันที่ 28 พฤษภาคม 2018 พวกเขาจะปล่อยข้อมูลกว่า 90,000 บัญชีนั้นเข้าไปสู่อินเทอร์เน็ต

และเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเขามีข้อมูลดังกล่าวจริง ๆ เขาได้โชว์ให้เห็นถึงข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานของทั้งสองธนาคารให้ได้ดู

แฮ็คเกอร์อธิบายว่า เขาได้ใช้ Algorithm บางอย่างในการสร้างเลขบัญชีขึ้นมา จากนั้นได้นำมันใช้มันเสมือนว่าเขาได้ครอบครองบัญชีนั้นจริง ๆ และได้รับคำถามเกี่ยวกับความเพื่อปลอดภัยที่ถูกรีเซ็ตโดยธนาคาร โดยมีข้อความโจมตีธนาคารอีกด้วยว่า:

“พวกเขาให้อำนาจกับบัญชีที่ไม่ได้รับการยืนยันแบบเต็มที่มากเกินไป ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้ ธนาคารไม่ได้ทำการตรวจสอบว่ารหัสผ่านนั้นถูกหรือผิดจนกว่าจะตอบคำถามด้านความปลอดภัยผิด”

สำนักข่าว CBC ได้ติดต่อไปกับธนาคารทั้งสองถึงเหตุการณ์ดังกล่าว Bank of Montreal รายงานกลับมาว่า “เราไม่มีนโยบายที่จะจ่ายเงินให้กับนักต้มตุ๋น” ส่วนธนาคาร Simplii Financial ไม่ได้มีการตอบโต้ใด ๆ

The post แฮ็คเกอร์โจมตีธนาคาร 2 แห่ง เรียกค่าไถ่ข้อมูลที่แฮ็คได้เป็น XRP มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

ผู้ผลิตเกมมือถือในประเทศญี่ปุ่นได้เปิดตัวกองทุนรวมด้านคริปโตมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์

ผู้ผลิตเกมมือถือในประเทศญี่ปุ่นได้เปิดตัวกองทุนรวมมูลค่ากว่า 30 ล้านดอลลาร์ซึ่งเน้นไปที่ Cryptocurrency และ Blockchain

บริษัท Gumi เป็นผู้ทำและผู้เผยแพร่เกมส์เช่น Brave Frontier และ Final Fantasy: Brave Exvius (ซึ่งทำงานร่วมกับบริษัท Square Enix และบริษัท Alim)

กองทุนใหม่ที่อ้างอิงจากรายงานของ VentureBeat ซึ่งถูกก่อตั้งโดย CEO ของ Gumi นาย Hironao Kunimitsu รวมไปถึงนาย Miko Matsumura ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเว็บเทรด Evercoin โดยมีบริษัทด้านกฏหมายนาม White & Case LLP เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุน อ้างอิงจากประกาศที่แยกออกมา

“เราตัดสินใจที่ตั้งกองทุนที่จะช่วยให้เราสามารถมีส่วนร่วมกับ Blockchain และบริษัท Startup ด้าน Cryptocurrency โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เพื่อจะได้มีหุ้นส่วนที่มีประสิทธิภาพและมีผลกระทบต่อตลาดคริปโตอย่างแท้จริง” นาย Kunimitsu กล่าว

บริษัทเกมยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ก็กำลังที่จะเข้ามาอยู่ใน Ecosystem นี้เหมือนกันเช่น Ubisoft และ Unity ที่ได้เล็งเห็นถึงเทคโนโลยีสำหรับแอปฯ ที่มีศักยภาพ เราจะเห็นได้ว่าบริษัทด้านเกมเริ่มหันมาสนใจเรื่องของ Blockchain มากยิ่งขึ้น ในอนาคตเราจะได้เห็นเกมที่ถูกสร้างจาก Blockchain อีกมากมายแน่นอน

The post ผู้ผลิตเกมมือถือในประเทศญี่ปุ่นได้เปิดตัวกองทุนรวมด้านคริปโตมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ appeared first on Siam Blockchain.

Wednesday, May 30, 2018

โทรคมนาคมของอินเดียเล็งใช้ Blockchain เพื่อปราบ SMS สแปมโฆษณา

โทรคมนาคมของอินเดียกำลังวางแผนที่จะใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อต่อต้านการโทรและข้อความ SMS ที่ไม่พึงประสงค์

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาองค์การกำกับดูแลด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของอินเดีย (TRAI) ได้ร่างข้อบังคับซึ่งแสดงถึงเจตนารมณ์ที่จะใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการเพิ่มกระบวนการต่าง ๆ ให้มีความ “คล่องตัว” และจัดการกับสื่อโฆษณาที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ

โดยร่างฉบับนี้มีชื่อว่า “กฎข้อบังคับเกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคมในปี 2018” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ชาวอินเดียนับล้าน ๆ คนสามารถควบคุมการโทรและข้อความที่ได้รับ และทำให้พวกเขาเลือกที่จะรับหรือไม่รับสื่อ (Media) การตลาดได้ตลอดเวลา และมีอำนาจมากขึ้นในการร้องทุกข์กับผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมของตนเกี่ยวกับปัญหาของผู้ให้บริการ Third Party ได้”

อ้างอิงจากใน TRAI มีข้อความระบุเพิ่มเติมว่า:

“นี่จะเป็นครั้งแรกที่จะใช้ระบบ Blockchain ในส่วนของโทรคมนาคม”

กฎระเบียบที่เสนอนี้ยังแนะนำให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบผ่าน “sandbox” ซะก่อน ซึ่งเป็นการทดลองใช้โซลูชั่นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก่อนที่จะมีการนำไปใช้งานจริง

ประธาน TRAI นาย R.S. Sharma ให้สัมภาษณ์ใน The Economic Times ว่า “ผู้บริโภคจะมีการควบคุมที่ดีมากขึ้น” โดยร่างกฏหมายนี้จะเผยแพร่สู่สาธารณชนในวันที่ 11 มิถุนายนนี้

The post โทรคมนาคมของอินเดียเล็งใช้ Blockchain เพื่อปราบ SMS สแปมโฆษณา appeared first on Siam Blockchain.

Florafic แพลตฟอร์มที่จะมาปฏิวัติวงการ e-Sport ด้วยระบบ AI และ Blockchain

ในปัจจุบัน เราสามารถพูดได้อย่างเต็มบอกว่า วงการ e-Sport กำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มวัยรุ่นจนไปถึงวัยกลางคน เพราะพวกเขาได้เล็งเห็นว่าวงการนี้อาจจะสามารถสร้างรายได้ในขณะที่เล่นเกมได้พร้อม ๆ กัน

แต่ปัญหาหนึ่งที่ชาวเกมเมอร์ที่มักประสบพบเจอก็คือการฝึกซ้อมกับระบบในเกม ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือเราได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ความสามารถและทักษะของเกมเมอร์เหล่านั้นไม่เกิดการพัฒนาขึ้น

Florafic

Florafic แพลตฟอร์มที่จะเข้ามาช่วยเกมส์เมอร์ในการฝึกฝนและพัฒนาการเล่นเกมด้วยระบบ AI ที่ทาง Florafic เรียกว่า Adaptive Game หรือ AI eSports trainer ซึ่งจะใช้เทคโนโลยี Blockchain เข้ามาช่วยดูแลระบบอีกด้วย

FIC Token

อ้างอิงจาก Whitepaper ของเขา Florafic ใช้มาตรฐาน ERC-20 ของ Ethereum ในการพัฒนา Token แพลตฟอร์มของ Florafic จะแจก E-Fic เเก่เกมส์เมอร์ ซึ่งจะเป็น Reward ในการเล่นเกมส์ และนำ E-Fic ไปแลกเป็น FIC Token เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนไอเทมภายในเกม ผู้ใช้งานยังสามารถนำไปแลกเปลี่ยนในตลาดเว็บเทรด (ในอนาคต) และเมื่อ FIC Token ถูกกระจายอยู่ในตลาดเว็บเทรด ก็จะสามาถสร้างมูลค่าให้กับ FIC Token ได้อีกด้วย

การทำงานของ Florafic

ในเว็บไซต์หลักของ Florafic ได้ให้ข้อมูลว่าแพลตฟอร์ม Florafic จะเก็บข้อมูลพื้นฐานทั่วไปของเกมส์เมอร์ที่เข้าร่วมในช่วงแรก เเละใช้โปรเเกรมของพวกเขา ในการนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระยะต่อไป

ช่วงที่สองทางแพลตฟอร์ม Florafic จะให้เกมเมอร์ที่ลงทะเบียนกับ Florafic โดยผู้ใช้งานจะสามารถฝึกฝนเเละเล่นเกมส์กับระบบโปรเเกรมปัญญาประดิษฐ์ได้ตลอดเวลา 24 ชม.

เป้าหมายของ Florafic

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2018 ทาง Florafic ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวแแพลตฟอร์มโดยมีคุณสุรไกร พรหมประดิษฐ์ และคุณธนวัฒน์ สุวรรณ์ ผู้ก่อตั้ง พูดถึงวิสัยทัศน์ เป้าหมายเเละแผนดำเนินการโครงการของ Florafic โดยทาง Florafic เคลมว่าจะมาปฎิวัติให้วงการ e-Sport ในประเทศไทยมีศักยภาพและสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ และจะทำให้ Florafic เป็น Brand ที่อยู่ในความคิดของคนทุกคนทั่วโลก

ในงานแถลงข่าวนี้มีการจัดเสวนา ที่มีหัวข้อว่า “e-Sport จะส่งผล อย่างไรต่อ New generation ในประเทศไทย เเละในระดับสากล” โดยมีคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรองประทานบริษัท Thai Summit Group เเละผู้ร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองอนาคตใหม่ ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ทางด้านเกมส์ e-Sport ที่เป็นกีฬานิยมทั่วโลก โดยเขากล่าวว่า:

“เด็กเล่นเกมส์ก็เหมือนสายน้ำ เราไม่สามารถขวางกั้นได้ แต่สามารถบังคับทิศทางให้ไหลไปในทางที่เราต้องการ และสร้างประโยชน์จากมันให้ดีที่สุด”

ICO

ทาง Florafic ได้ผ่านการระดมทุน ICO ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งครั้งล่าสุดก็คือวันที่ 6 พฤษภาคมถึง 25 พฤษภาคม 2018 ที่ผ่านมา ซึ่งโปรเจกต์นี้จะรับเฉพาะสกุลเงิน BTC และ ETH เท่านั้น โดย 1 FIC = 0.20 ดอลลาร์ และ 1 ETH = 3,400 FIC อ้างอิงจากเว็บไซต์หลัก โดยผู้ที่สนใจสามารถซื้อขั้นต่ำได้ที่ 0.1 ETH เท่านั้น

ทีมงาน

คุณ Boat หนึ่งในทีมงานของ Florafic มีความเชื่อมั่นว่ากระแสของ Cryptocurrency นั้นจะสามารถปฎิวัติอุตสาหกรรมเกมได้ และสกุลเงินของ Florafic จะมาช่วยสนับสนุนนักเล่นเกมส์และผู้สนใจทั่วไปในวงการ e-Sport ได้อย่างเต็มที่

ที่ปรึกษา

ที่ปรึกษาของ Florafic มาจากหลากหลายวงการไม่ว่าจะเป็นบุคลากรจาก Agency หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน นักเทรดหรือ CEO ของ Chinese Dragon Group

สรุป

Florafic จะเข้ามาช่วยอุตสาหกรรม e-Sport ในไทย ให้นักเล่นเกมสามารถต่อยอดในการหารายได้ของพวกเขา และยังสามารถฝึกฝนกับระบบ AI ที่อยู่บนแลตฟอร์ม Blockchain ได้อีกด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์หลักของ Florafic และสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook และ Twitter ของบริษัท

หมายเหตุ: การลงทุนในตัวเหรียญ Cryptocurrency มีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ทางสยามบล็อกเชนจะไม่รับผิดชอบในความสูญเสียในทุกกรณี บทความนี้เป็นบทความสปอนเซอร์

The post Florafic แพลตฟอร์มที่จะมาปฏิวัติวงการ e-Sport ด้วยระบบ AI และ Blockchain appeared first on Siam Blockchain.

ผู้ร่วมก่อตั้ง Wikipedia กล่าว “วงการคริปโตคือฟองสบู่อย่างแน่นอน”

ในวันอังคารที่ผ่านมา นาย Jimmy Wales ผู้ร่วมก่อตั้ง Wikipedia เชื่อว่าสถานะปัจจุบันในวงการคริปโตคือฟองสบู่ เนื่องจากมีหลากหลายคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์

เขากล่าวในงานประชุมนาม Blockshow ว่า:

“ในตอนนี้ พวกเรากำลังอยู่ในฟองสบู่ วงการคริปโตนั้นเป็นฟองสบู่อย่างแน่นอน และผมก็ไม่คิดว่าคงจะมีไม่กี่คนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”

อ้างอิงจากรายงาน กองทุน Wikimedia ได้เพิ่ม Bitcoin เป็นหนึ่งในช่องทางการชำระเงินเมื่อปี 2014 หลังจากที่นาย Wales เองเปิดเผยว่า เขาเองก็ลงทุนใน BTC อยู่เช่นกัน และสี่ปีต่อมา องค์กรดังกล่าวก็ยังคงรับ Bitcoin อยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่รับคริปโตตัวอื่น ๆ เพิ่มแล้วก็ตาม

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้สนับสนุน Bitcoin ในยุคแรก ๆ แต่ดูเหมือนว่า เขาจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการระดมทุนแบบ ICO เท่าไรนัก

เขาให้สัมภาษณ์กับ CNBC ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า:

“ผมคิดว่าเทคโนโลยี Blockchain นั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้มีนักต้มตุ๋นอยู่เต็มไปหมดที่อยู่ในวงการนี้”

“มีการระดมทุน ICO เป็นจำนวนมาก ซึ่งผมคิดว่าเป็นการต้มตุ๋นหลอกลวงผู้คน และควรที่จะระมัดระวังเป็นอย่างมากในการลงทุนนั้น”

นอกจากนี้ เขายังให้สัมภาษณ์ในต้นเดือนที่ผ่านมากับ VentureBear ว่า อุตสาหกรรม ICO ในตอนนี้เหมือนกับฟองสบู่ดอทคอมไม่มีผิด

“ICO เกือบทุกโปรเจกต์นั้นไม่ได้สร้างมูลค่าอะไรให้กับโลกของเราเลย ผมไม่ได้หมายความว่าการระดมทุนแบบ ICO นั้นแย่ แต่ผมแค่คิดว่าตอนนี้ ผู้คนกำลังทำอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่ ซึ่งเราก็เคยเห็นปรากฎการณ์แบบนี้มาแล้วตอนฟองสบู่ดอทคอม”

The post ผู้ร่วมก่อตั้ง Wikipedia กล่าว “วงการคริปโตคือฟองสบู่อย่างแน่นอน” appeared first on Siam Blockchain.

ประธานาธิบดีจีนยอมรับ Blockchain กล่าว “คือกุญ สู่การปฎิวัติด้านเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21”

ณ งานประชุมที่ถูกจัดโดย Chinese Academy of Sciences ในวันจันทร์ที่ผ่านมา นาย Xi Jinping ประธานาธิบดีประเทศจีนได้ยอมรับศักยภาพของเทคโนโลยี Blockchain และได้กล่าวว่าจะสนับสนุนอย่างเป็นทางครั้งแรกต่อสาธารณชน

นาย Xi เน้นย้ำว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะเป็นกุญแจสำคัญในการปฎิวัติทางด้านเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ซึ่งประเทศจีนควรจะคว้าโอกาสนี้ไว้

“ตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 เริ่มขึ้นนั้น การปฎิวัติด้านเทคโนโลยีครั้งใหม่ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเศรษฐกิจในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), IoT (Internet of Things) และ Blockchain ที่ทำให้เกิดการค้นพบอันยิ่งใหญ่อยู่เสมอ ๆ”

นอกจากนี้ เขายังระบุว่า สิ่งที่จะทำให้สามารถแข่งขันในเศรษฐกิจระดับโลกได้นั้น คือประเทศต้องริเริ่มสร้างห้องทดลองของชาติ สำหรับการวิจัยและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีเหล่านั้น

ก่อนหน้านี้สภาแห่งรัฐบาลปประเทศจีนได้มีคำสั่งให้มีเขตการค้าเสรีของมณฑลกวางตุ้งเพื่อเร่งการพัฒนาและการนำ Blockchain ไปใช้ในชีวิตจริง ซึ่งส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจของภูมิภาค

ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ดูเหมือนว่าประเทศจีนนั้นจะมีความสนใจใน Blockchain เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังแบนไม่ให้คนในประเทศซื้อขายคริปโต หรือระดมทุน ICO ได้ก็ตาม พวกเขาเล็งเห็นว่า Blockchain คือสิ่งที่จะมาปฎิรูปอุตสาหกรรมหลาย ๆ วงการ และประเทศได้อย่างแท้จริง ซึ่งไม่แน่ว่า Blockchain อาจจะเป็นอินเทอร์เน็ตตัวต่อไปก็เป็นได้

The post ประธานาธิบดีจีนยอมรับ Blockchain กล่าว “คือกุญ สู่การปฎิวัติด้านเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21” appeared first on Siam Blockchain.

เว็บเทรดคริปโต Huobi เล็งเปิดให้บริการที่เวียดนาม คาดตลาดจะเติบโตอย่างรวดเร็ว

วันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในงานอภิปรายที่มีชื่อว่า Blockchain Festival Vietnam ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศเวียดนาม เว็บเทรดคริปโตนาม Huobi กล่าวว่าจะมาเปิดตลาดเว็บเทรด Huobi ที่เวียดนามและกล่าวว่า Huobi.Pro ตั้งใจที่จะทำให้เวียดนามเป็น “ฐานที่มั่นเชิงกลยุทธ์”

รุกตลาดเวียดนาม

นาย Frank Fan ผู้อำนวยการการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของเว็บ Huobi กล่าวว่า “Huobi.Pro ตั้งใจที่จะทำให้เวียดนามเป็น “ฐานที่มั่นเชิงกลยุทธ์” ของบริษัท เพราะเป็นตลาดที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และก็ยังมีช่องทางและโอกาสให้เจาะตลาดได้อีกมาก”

โดยนาย Frank อธิบายเพิ่มอีกว่า พวกเขาจะหาพันธมิตรทางธุรกิจในเวียดนามที่มีความรู้ความสามารถที่จะเข้ามากำกับดูแลในเรื่องของธนาคารและการตลาดในประเทศ:

“Huobi.Pro มีความสนใจอย่างยิ่งที่จะร่วมงานกับพันธมิตรทางธุรกิจในเวียดนามที่มีความสามารถในด้านการกำกับดูแลการธนาคาร และการตลาด”

บริการด้านสินทรัพย์ทั้งสกุลเงินทั่วไปและสกุลเงินดิจิทัลในเวียดนามนั้นยังเป็นช่วงเริ่มต้น และกฎระเบียบข้อบังคับในด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของเวียดนามก็ยังยังคงมีความเข้มงวด โดยนาย Frank กล่าวว่า:

“Huobi มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล และจะแสวงหาโอกาสอย่างจริงจังที่จะได้ร่วมมือกับบรรดาพันธมิตรทางธุรกิจและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย”

นาย Frank ยังกล่าวอีกว่า สาเหตุที่พวกเขามาตั้งถิ่นฐานที่เวียดนามเพราะเล็งเห็นความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้ง ตลอดจนวัฒนธรรม ประชากรและเศรษฐกิจที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ของ Huobi ในเวียดนามนั่นเอง

Huobi Group เป็นผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลบนระบบ Blockchain ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2013 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ และมีหน่วยงานที่คอยดูแลครอบคลุมทุกภาคส่วนบนระบบ Blockchain ซึ่งได้แก่ Huobi Pro, HADAX, Huobi Research, Huobi Capital, Huobi Labs, Huobi Mining Pool และ Huobi Ecosystem เป็นต้น

อ้างอิงจาก PR ที่ทางสยามบล็อกเชนได้รับ ทาง Huobi Pro มีมูลค่าการซื้อขายสะสมรวมกันทั้งสิ้นตั้งแต่เปิดให้บริการมาถึง 8.50 แสนล้านดอลลาร์ โดยการขยายฐานลูกค้ามายังเวียดนามก็จะทำให้ตลาดคริปโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับมาคึกคักอย่างแน่นอน

The post เว็บเทรดคริปโต Huobi เล็งเปิดให้บริการที่เวียดนาม คาดตลาดจะเติบโตอย่างรวดเร็ว appeared first on Siam Blockchain.

Ethereum Classic พึ่งจะนำ Difficulty Bomb ออก ค่า Diff ลดลงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์

Ethereum Classic พึ่งจะนำ Difficulty Bomb ออกไปในวันที่ 29 พฤษาภาคม 2018 ที่ผ่านมา

แต่เดิม Difficulty Bomb นั้นออกแบบมาเพื่อเพิ่มค่า Difficulty ในระบบ ซึ่งยิ่งมีค่าดังกล่าวมากเท่าไร การขุดคริปโตนั้น ๆ ก็จะยากขึ้นไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้ได้คริปโตนั้นเป็นค่าตอบแทนในการยืนยันธุรกรรมในระบบน้อยลงไปเรื่อย ๆ

อ้างอิงจากทวิตเตอร์ของนักพัฒนา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นใน Block ที่ 5,900,000 ของเครือข่าย

ถึงแม้จะยากที่จะทราบได้ว่า Node ทั้งหมดของเครือข่ายนั้น อัปเกรดไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ แต่นักพัฒนากล่าวว่า Pool ขุดคริปโต และ Node ของเว็บเทรดส่วนใหญ่นั้นรายงานมาว่าได้อัปเกรดเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ยังไม่มีผลข้างเคียงหรือบั๊กตามมาภายหลังแต่อย่างใด และการอัปเกรดครั้งนี้ยังถูกคาดหวังให้สามารถลดระยะเวลาในการสร้าง Block อีกด้วย

การอัปเกรดครั้งนี้ยิ่งทำให้เกิดความแตกต่างระหว่าง Ethereum และ Ethereum Classic มากขึ้นไปอีก

ในขณะที่เครือข่าย Ethereum มุ่งเน้นไปทางระบบ Proof-of-stake แต่ดูเหมือนสมาชิกส่วนใหญ่ในเครือข่ายของ Ethereum Classic นั้นจะต้องให้เครือข่ายใช้ระบบ Proof-of-work อยู่

ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Ethereum Classic ก็ได้มีการ Hard Fork ภายในเครือข่ายเช่นกัน โดยมีเหรียญ Callisto แยกออกมาเพิ่ม ซึ่งผู้ถือเหรียญ Ethereum Classic ในเวลานั้นก็ได้รับเหรียญดังกล่าวไปในอัตราส่วน 1:1 เช่นกัน

ที่มา Coindesk

ที่มาภาพ Coinwar

The post Ethereum Classic พึ่งจะนำ Difficulty Bomb ออก ค่า Diff ลดลงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ appeared first on Siam Blockchain.

Tezos ที่ระดมทุนผ่าน ICO ได้ 232 ล้านดอลลาร์ กำลังจะเปิดตัวเครือข่ายในช่วง Beta

Tezos ได้ประกาศในวันนี้ว่ากำลังเตรียมการขั้นตอนสุดท้ายสำหรับเครือข่าย Tezos Beta (Betanet)

ก่อนหน้านี้ ชุมชน Tezos เคยได้ใช้ Alphanet ในการทดสอบระบบเครือข่าย ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปีแล้ว โดยทางทีมกล่าวว่า ยังไม่ได้มีการทดสอบอย่างจริงจัง และด้วยเหตุนี้ทางมูลนิธิ Tezos (Tezos Foundation) จึงรอการเปิดตัวของ Betanet อย่างใจจดใจจ่อนั่นเอง

ทีมงาน Tezos กล่าวว่า อาสาทดลองครือข่ายดังกล่าว ต้องเข้าใจว่าจะมีปิดปรับปรุงโดยไม่มีระยะเวลากำหนดและอาจจำเป็นต้องมีการบำรุงรักษาและมีการปรับแต่งระบบอีกด้วย

เมื่อ Betanet เปิดตัว Block แรกที่จะเกิดจะถูกดูแลโดย Tezos และเพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ ผู้สนับสนุนจะต้องตรวจสอบการบริจาคของตน เพื่อเป็นการยืนยันว่าทาง Tezos จะได้รับการบริจาคนี้

โดยผู้ร่วมสนับสนุนในครั้งนี้สามารถตรวจสอบโดยการใส่ Public Key Hash ที่อยู่ใน PDF ที่ได้รับจากการร่วมระดมทุนก่อนหน้านี้ โดยอย่าใส่ข้อมูลอื่นลงไปนอกจาก Public Key Hash

ก่อนหน้านี้ Tezos เคยระดมทุน ICO มากที่สุดถึง 232 ล้านดอลลาร์ แต่ต่อมาก็เกิดการทะเลาะกันในองค์กร และมีการการฟ้องร้องเมื่อช่วงตุลาคมปีที่แล้ว

The post Tezos ที่ระดมทุนผ่าน ICO ได้ 232 ล้านดอลลาร์ กำลังจะเปิดตัวเครือข่ายในช่วง Beta appeared first on Siam Blockchain.

แนวคิดใหม่ที่แก้ปัญหาสำหรับ Lightning Network ที่กำลังจะใช้งานกับ Bitcoin เร็ว ๆ นี้

ถึงแม้ว่า Lightning Network ของ Bitcoin กำลังอยู่ในช่วงทดสอบ แต่ดูเหมือนว่า นักพัฒนา Bitcoin บางคนจะเริ่มหาทางแก้ปัญหาของเทคโนโลยีดังกล่าวเสียแล้ว

หลาย ๆ คนคาดหวังว่าการใช้ Lightning Network จะทำให้ Bitcoin มีประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว ตัวเครือข่ายนั้นจำเป็นต้องให้ผู้ใช้เก็บข้อมูลไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้เกิดความยากลำบากในกระบวนการดาวน์โหลดและทำงาน

ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้นักพัฒนา Lightning Network บางคนเริ่มหาวิธีแก้ เช่นนาย Laolu Osuntokun, นาย Christian Decker และนาย Rusty Russell พวกเขาได้เผยแพร่ข้อเสนอซึ่งเป็นทางเลือก ที่จะทำให้การทำธุรกรรม Off-chain เกิดได้ง่ายขึ้นโดยมีชื่อว่า “Eltoo

โดยข้อเสนอดังกล่าวนี้ ไม่ได้ช่วยลดขนาดของข้อมูลที่ผู้ใช้งานต้องเก็บไว้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับเงินของพวกเขาขึ้นอีกด้วย

ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ได้ทำการเผยแพร่ข้อมูลเก่าเข้าสู่ระบบโดยบังเอิญ พวกเขาอาจจะเสียเงินได้ เพราะสำหรับเครือข่าย Bitcoin ข้อมูลเหล่านั้นจัดว่าเป็น “ข้อมูลที่เป็นภัย”

นอกจากนี้ Eltoo ยังเก็บข้อมูลล่าสุดของข้อมูลการทำธุรกรรม Off-chain เท่านั้น ซึ่งจะแก้ปัญหาในกรณีที่ หากผู้ใช้งานเก็บข้อมูลไว้บนมือถือที่แล้วอุปกรณ์นั้นเกิดเสียขึ้นมา ข้อมูลที่เก็บไว้อาจจะหาหมดเลยก็ได้

แต่ด้วย Eltoo นั้น เราจะนำ “ข้อมูลเป็นภัย” ออกไปจากเครือข่ายได้ ซึ่งจะทำลดโอกาสที่ทำให้เงินของผู้ใช้สูญหายอีกด้วย

ซึ่งปัญหาดังกล่าวนั้นเคยเกิดกับนาย Decker มาแล้ว โดยเขาอธิบายว่า:

“ผมมี Node เก่าของ Lightning Network ในแล็ปท็อปของผม และผมไม่ทราบว่ามันไม่ใช่เวอร์ชั่นล่าสุด มีผู้ใช้งานคนนึงปิด Channel ของผมและเขา เนื่องจากเขารู้ว่าผมไม่ได้ใช้งานเวอร์ชั่นล่าสุด และเขาก็ขโมยเงินของผมไป”

การขาดการบังคับใช้

นักพัฒนาได้หาวิธีที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมด้วย Bitcoin โดยที่ไม่ต้องสร้างข้อมูลที่ไม่จำเป็นให้กับเครือข่ายมาอย่างยาวนาน ซึ่งนั่นคือประเด็นหลัก ๆ ในการถกเถียงเรื่องการแก้ปัญหาด้าน Scaling ที่กำลังเผชิญกันอยู่

ความพยายามในการแก้ปัญหาครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Bitcoin คือทดลองการทำธุรกรรมแบบ Off-chain ซึ่งใช้สิ่งที่เรียกว่า “เลขลำดับ” โดยมันจะคอยติดตามว่าการทำธุรกรรม Off-chain อันไหนนั้นเป็นอันล่าสุด

แนวคิดนั้นง่ายมาก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสมหญิงมีเงิน 10 บาท และส่งเงิน 1 บาท ให้กับสมชาย แน่นอนว่าบัญชีของเธอจะเหลือ 9 บาท ระบบจะให้เลขลำดับกับธุรกรรมนี้ว่าคือ “เลข 1” และในเวลาต่อมาสมหญิงส่งเงินให้สมชายอีก 4 บาท บัญชีของเธอจะเหลือ 5 บาท และธุรกรรมนี้จะกลายเป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นล่าสุดแทน และจะได้ “เลข 2” จากระบบ

อย่างไรก็ตาม อ้างอิงจากนาย Deker การทำงานดังกล่าวนั้นไม่สามารถใช้งานได้จริง เพราะว่านักขุดไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำตามกฎ และแทนที่ธุรกรรมเก่าด้วยธุรกรรมที่ใหม่กว่า

นักขุดแค่ต้องเผยแพร่ธุรกรรมที่บัญชีของสมหญิงเหลือ 9 บาท ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงนั้นมีอีกธุรกรรมที่สมหญิงโอนเงินให้สมชายจนเหลือเงินในบัญชีเพียง 4 บาท สาเหตุที่เกิดปัญหาดังกล่าวอาจมาจากพวกเขาไม่มีแรงจูงใจในการทำ หรืออาจไม่มีอะไรมาบังคับให้ต้องทำตามก็เป็นได้ ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัด

ด้วยกรณีดังกล่าว อาจทำให้สมชายไม่ได้รับเงินของธุรกรรมหมายเลข 2 ของสมหญิง และสมหญิงอาจขโมยเงินนั้นไปเลยก็ได้

“การขาดการบังคับใช้” นั้นไม่ได้แก้มาจนกระทั่งปี 2015

และ Lightning Network นั้นเป็นวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวที่ดีที่สุดในขณะนี้ ในปัจจุบันมีโมเดลสำหรับการลงโทษนาม “L2-penalty” โดย Lightning Wallet หรือ Node เป็นตัวกลางในการเก็บข้อมูลทั้งหมด ซึ่งหากใครพยายามที่จะเผยแพร่ข้อมูลเก่า ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นความจริงเหมือนในปัจจุบัน ระบบจะตรวจจับ และผู้ใช้คนนั้นจะสูญเสียเงิน

Eltoo และ L2

ดูเหมือนว่าข้อเสนอล่าสุดนาม Eltoo นั้นจะเพิ่มขั้นตอนที่ทำให้ทุก ๆ ธุรกรรมใหม่นั้นถูกระบุไว้ตลอด ยกตัวอย่างเช่น สมหญิงส่งเงินให้สมชาย แต่เดิมที่นับเป็นหนึ่งธุรกรรมในระบบ จะนับเป็นสองธุรกรรมแทน โดยแต่ละฝ่ายจะบันทึกข้อมูลธุรกรรมล่าสุดของฝั่งตนลงไป

ได้มีโพสต์ในบล็อคได้อธิบายถึงข้อดีของ Eltoo ว่า:

“จะมีแต่ธุรกรรมล่าสุดเท่านั้นที่จะได้รับการยืนยัน ภายใน Blockchain

อ้างอิงจากโพสต์ดังกล่าว ข้อดีที่เห็นได้อย่างชัดเจนของระบบนี้คือมันช่วยแก้ปัญหาในการ Scaling ให้กับเครือข่าย หากนำ Eltoo มาใช้นั้น Ligtning Node แต่ละอันจะไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลตัวกลางอีกต่อไป โดยมันจะเก็บข้อมูลของธุรกรรมล่าสุดเท่านั้น เช่น ธุรกรรมการชำระบัญชีที่สอดคล้องกันและอาจจะมี HTLC ใช้จ่ายจากการตั้งถิ่นฐานดังกล่าว

ข้อดีอีกอย่างของ Eltoo คือมันไม่ได้สร้างบนโมเดลที่ “ผู้ชนะได้ทั้งหมดไป”

ถึงแม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ข้อเสนอดังกล่าวจะได้ใช้งานจริงหรือไม่ แต่นาย Decker นั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมากเกี่ยวกับ Eltoo และความเรียบง่ายที่มันจะสร้างให้แก่ผู้ใช้ โดยเขาอธิบายว่า:

“เราไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าระบบไหนดีกว่า แต่ผมคาดหวังว่า Eltoo นั้นจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ผมคิดว่ามันง่ายต่อการอธิบาย และขยายต่อไปในภายภาคหน้า”

อุปสรรคในการเขียนโค้ด

นอกเหนือจากการถกเถียงพิจารณาข้อเสนอว่าเหมาะสมหรือไม่แล้ว ยังมีอุปสรรคด้านเทคโนโลยีอีกอย่างที่ขวางทางอยู่นั่นก็คือ “sighash_noinput”

โค้ดดังกล่าวจำเป็นต้องถูกเพิ่มลงไปในฐานโค้ดของ Bitcoin เพื่อที่มันจะสามารถรองรับ Eltoo ได้

สำหรับคนที่ไม่ทราบ โค้ด sighash นั้นเป็นตัวที่บ่งบอกว่าส่วนไหนของธุรกรรมนั้น ๆ ต้องได้รับการลงนามจากเจ้าของหรือไม่ก่อนที่จะโอนไปให้กับผู้ใช้คนอื่น ยกตัวอย่างเช่น sighash_all จะเป็นตัวระบุว่าทุก ๆ ส่วนในธุรกรรมนั้นต้องได้รับการลงนาม ซึ่งแปลว่าทุก ๆ ส่วนของธุรกรรมนั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

แต่ว่าโค้ด sighash_oninput นั้นจะทำให้ข้อมูล input ต่าง ๆ สามารถเข้าไปสู่ธุรกรรมได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการลงนาม ซึ่งทำให้ข้อมูล input สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ที่ธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นจนกระทั่งมันถูกบันทึกลงใน Blockchain

และนั่นคือสิ่งที่ Eltoo ต้องการเนื่องจาก แนวคิดของมันคือการที่ข้อมูลระหว่างจุดเริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุดจะถูกลบ ซึ่งแปลว่า input จะมีความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด

อย่างไรก็ตาม นาย Decker เองก็ไม่อาจทำนายได้ว่าข้อเสนอนี้จะถูกนำไปใช้จริงเมื่อไร

“หลังจากที่เหตุการณ์ SegWit เกิดขึ้น ผมก็ได้หยุดทำนายเรื่องพวกนี้ไปแล้วแหละ”

เขาชี้ให้เห็นว่าถึงแม้ SegWit จะได้รับเสียงสนับสนุนจากนักพัฒนาส่วนใหญ่ แต่มันก็ใช้วลานานหลายปีกว่าการโต้เถียงจะได้ข้อยุติภายในชุมชน และโค้ดพึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมาแทน ถึงแม้มันจะได้รับการยื่นเสนอมา 2 ปีก่อนหน้านั้นแล้วก็ตามแต่

ถึงแม้ข้อเสนอนี้อาจจะยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้นสำหรับการพิจารณา แต่นาย Decker กล่าวว่าการเพิ่มโค้ดลงไปในระบบของ Bitcoin นั้นสามารถทำได้ง่ายมาก

นอกจากนี้ ยังมีทฤษฎีอีกจำนวนมากที่ทำนายว่ามันจะส่งผลดีต่อกลุ่มนักพัฒนา และด้วยศักยภาพของมันนี้ มีผู้ใช้งานทวิตเตอร์จำนวนหนึ่งได้เพิ่มโค้ดลงไปที่โปรไฟล์ของพวกเขา เพื่อแสดงออกถึงการสนับสนุน ดังเช่น ช่วงที่ผ่านมาสำหรับเหตุการณ์ SegWit2X ที่ #No2X นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

นาย Decker กล่าวทิ้งท้ายว่า และในทุก ๆ วัน  เขาค้นพบแนวทางใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ ที่ sighash_noinput สามารถนำไปใช้งานได้

The post แนวคิดใหม่ที่แก้ปัญหาสำหรับ Lightning Network ที่กำลังจะใช้งานกับ Bitcoin เร็ว ๆ นี้ appeared first on Siam Blockchain.

รายงาน: ราคา Bitcoin ฟื้นกลับมาที่ 7,500 ดอลลาร์ Altcoins เริ่มฟื้นตัวหลังร่วงหนัก

วันที่ 30 พฤษภาคม 2018 ราคา Bitcoin กลับมาฟื้นตัวที่ 7,500 ดอลลาร์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap และตลาด Altcoin อื่น ๆ กลับมาเป็นสีเขียวอีกครั้ง

ราคา Bitcoin กลับมาแตะที่ 7,500 ดอลลาร์อีกครั้งจาก7,100 ดอลลาร์ภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาโดยคิดเป็น 5.42 เปอร์เซ็นต์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap นอกจากนี้ Altcoin ตัวอื่นก็ฟื้นตัวเช่นกัน

Altcoin กราฟสีเขียว

หลังจากที่ราคา Ethereum ได้ร่วงอย่างหนักโดยผู้เชี่ยวชาญคาดว่าอาจเกิดจากทีม EOS นั้น วันนี้ราคา Ethereum และ Altcoins ตัวอื่น ๆ ก็ได้ฟื้นตัวกลับมา โดยเหรียญที่มีเปอร์เซนต์การปรับตัวของราคาเพิ่มมากที่สุดในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาคือ IOTA โดยคิดเป็น 18.28 เปอร์เซนต์จาก 1.36 ดอลลาร์เป็น 1.60 ดอลลาร์

และอีกเหรียญหนึ่งก็คือ Cardano มีเปอร์เซนต์การฟื้นตัวที่ 18.14 เปอร์เซนต์จาก 0.18 ดอลลาร์เป็น 0.2 ดอลลาร์ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ตลาดไทยฟื้นตัว

อ้างอิงจาก Bitkub เว็บไซต์ซื้อขายคริปโตในไทย ราคาของ Bitcoin ขึ้นมาที่ 241,899 บาท ส่วนเว็บ Bx อยู่ที่ 242,300 บาท และ TDAX อยู่ที่ 237,000 บาท

โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกาหลีใต้ได้ผลักดันให้การระดมทุน ICO ถูกกฏหมายเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา

The post รายงาน: ราคา Bitcoin ฟื้นกลับมาที่ 7,500 ดอลลาร์ Altcoins เริ่มฟื้นตัวหลังร่วงหนัก appeared first on Siam Blockchain.

ผู้ก่อตั้งแอปฯ ให้บริการรถยนต์นาม Kuaidi Dache มีแผนที่จะใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการดูแลด้านข้อมูล

นาย Chen Weixing CEO ของ Funcity และผู้ก่อตั้งแอปฯ ให้บริการรถยนต์นาม Kuaidi Dache มีแผนที่จะใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการดูแลด้านข้อมูล

ผู้ให้บริการดังกล่าวได้ประกาศในงาน Guiyang BigData Expo 2018 ว่าจะพัฒนาร่วมกับนาย  Yang Jun ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Meituan หรือหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตแอปฯ ลดราคาที่ใหญ่ที่สุดในจีนอ้างอิงจากโพสต์บน Wechat

อ้างอิงจาก China Money Network CEO ของ Kuaidi Dache นาย Chen ได้กล่าวว่า:

“จะเป็นครั้งแรกที่เทคโนโลยี Blockchain ถูกทดสอบบนแอปฯ การแชร์ยานพาหนะ โดยมีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก ในสเกลระดับใหญ่”

แอปฯ Kuaidi Dache ก่อตั้งโดยนาย Chen เมื่อปี 2012 โดยออกมาเพื่อต่อสู้กับแอปฯ ที่ให้บริการคล้ายกันนาม Didi Chuxing

แอปฯ ทั้งสองนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่สองเจ้าได้แก่ Tencent และ Alibaba และนอกจากนี้หากนาย Chen จะเข้ามาในอุตสาหกรรมของเทคโนโลยี Blockchain ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไร เพราะเขาเป็นหนึ่งในนักลงทุนด้าน Blockchain ที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในจีน

อ้างอิงจากรายงานเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานาย Chen ได้ลงทุนในด้าน Cryptocurrency อย่างน้อยก็ประมาณ 12 โครงการซึ่งรวมถึงเว็บเทรด Binance และ Huobi นั่งเอง

The post ผู้ก่อตั้งแอปฯ ให้บริการรถยนต์นาม Kuaidi Dache มีแผนที่จะใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการดูแลด้านข้อมูล appeared first on Siam Blockchain.

สภานิติบัญญัติแห่งชาติของเกาหลีใต้กำลังผลักดันให้การระดมทุน ICO ถูกกฎหมาย

สภานิติบัญญัติแห่งชาติของเกาหลีใต้ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐบาลกำลังผลักดันให้มีการยกเลิกการแบนการระดมทุน ICO ภายในประเทศ

อ้างอิงจากรายงานในก่อนหน้านี้ รัฐบาลประเทศเกาหลีใต้ได้ประกาศแบนการระดมทุนแบบ ICO ไปในเดือนกันยายนปี 2017 ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าการระดมทุนดังกล่าวเป็นการเก็งกำไรที่ละเมิดกฎของตลาด

เมื่อไม่นานมานี้ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้มีข่าวว่ารัฐบาลเกาหลีใต้กำลังพิจารณาการคลายมาตราการ ICO ภายในประเทศ แต่ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัดว่าภายในช่วงเวลาไหน

และในปัจจุบัน อ้างอิงจาก BusinessKorea สมัชชาแห่งชาติได้เสนอกฎหมายอย่างเป็นทางการเพื่อทำให้การระดมทุนแบบ ICO ถูกกฎหมาย ตราบใดที่มีการคุ้มครองผู้ลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกังวลมากที่สุด

การเสนอกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นในงานประชุมของคณะกรรมการพิเศษของสมัชชาแห่งชาติของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ ที่จัดในวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการดังกล่าวแนะนำถึงวิธีการที่พวกเขาสามารถเพิ่มความโปร่งใสในการเทรดคริปโตในประเทศเกาหลีใต้ได้ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

“เราจะสร้างพื้นฐานด้านกฎหมายสำหรับการซื้อขายคริปโต รวมไปถึงการขออนุญาตระดมทุน ICO”

จากทิศทางดังกล่าวที่รัฐบาลประเทศเกาหลีใต้กำลังเดินไปนั้น ผู้เขียนคาดว่าอาจทำให้การระดมทุน ICO ภายในประเทศของพวกเขาถูกกฎหมายได้ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งบอกเป็นนัย ๆ ได้ว่าประเทศของเขาเริ่มเปิดรับแล้ว เพียงแต่ยังหามาตราการที่เหมาะสมสำหรับการควบคุมดูแลเทคโนโลยีตัวใหม่นี้ได้ จึงจำเป็นต้องระงับไว้ก่อนที่จะถูกใช้ไปในทางที่ผิด

The post สภานิติบัญญัติแห่งชาติของเกาหลีใต้กำลังผลักดันให้การระดมทุน ICO ถูกกฎหมาย appeared first on Siam Blockchain.

“Wikipedia” ของ Baidu บันทึก Log การแก้ไขบน Blockchain แล้ว

Baidu Baike หรือเว็บ Wikipedia ของจีนกำลังใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการบันทึกประวัติการแก้ไขเพื่อความโปร่งใสซึ่งทำให้ข้อมูลสามารถตรวจสอบได้

ถึงแม้ว่า Baidu ยังไม่ได้ประกาศออกมาเป็นทางการ แต่ในบริการของพวกเขาก็แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขเนื้อหาทุกรายการก่อนหน้านี้นั้น ถูกบันทึกลง Blockchain เป็นที่เรียบร้อย

ตัวแทนจาก Baidu กล่าวว่าการบันทึกด้วย Blockchain นี้ได้ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนในวันจันทร์ที่ผ่านมา

ในขณะที่โฆษกของ Baidu ปฏิเสธที่จะตอบคำถามด้านเทคนิค โดยพวกเขากล่าวว่าเป้าหมายของการกระทำนี้ก็คือการทำให้เกิดความมั่นใจ มีความน่าเชื่อถือในสารานุกรม Baidu นี้เช่นเดียวกับ Wikipedia ที่ทุกคนสามารถแก้ไขเนื้อหาได้

Baidu Baike เปิดตัวในปี 2008 โดยให้บริการกับคนจีนเป็นหลัก พวกเขาไม่สามารถเข้าถึง Wikipedia ที่ทั่วโลกใช้กันได้เนื่องจากถูกรัฐบาลปิดกั้น ไม่ให้สามารถใช้งานได้นั่นเอง

เมื่อต้นปีที่ผ่านมาทาง Baidu ก็ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มบริการด้าน Blockchain (BaaS) ของตนเองเช่นกัน จึงทำให้เห็นว่า Baidu กำลังมองเทคโนโลยี Blockchain เป็นเทคโนโลยีสำหรับอนาคตอย่างแน่นอน

The post “Wikipedia” ของ Baidu บันทึก Log การแก้ไขบน Blockchain แล้ว appeared first on Siam Blockchain.

ผลสำรวจมหาวิทยาบอสตันเผยนักลงทุน ICO โดยเฉลี่ยทั่วไปทำกำไรที่ 82 เปอร์เซนต์

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีรายงานที่เกี่ยวกับการหลอกลวงเกี่ยวกับ ICO มาให้เห็นนักต่อนัก แต่อย่างไรก็ตาม ล่าสุดรายงานฉบับใหม่ที่ถูกตีพิมพ์โดยมหาวิทยาลัย Boston College Carroll School of Management ได้ออกมาเผยว่านักลงทุน ICO โดยเฉลี่ยนั้นยังคงได้รับผลกำไรตอบแทนเป็นอย่างดีอยู่

รายงานขนาด 54 หน้าที่มีชื่อว่า “Digital Tulips? Returns to Investors in Initial Coin Offerings,” ได้ทำการวิเคราะห์เหรียญ ICO จำนวน 4,003 ตัวที่เปิดระดมทุนรวมกันมีมูลค่าไปแล้วกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ และทำการติดตามมูลค่าของเหรียญ ICO แต่ละตัวในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน

ซึ่งผลการทดสอบดังกล่าวนั้นเผยให้เห็นว่าเหรียญ ICO โดยเฉลี่ยนั้นมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นถึง 179% จาก ณ ราคาตอนเปิดตัวบนเว็บเทรด ซึ่งช่วงถือเหรียญของนักลงทุนทั่วไปนั้นจะอยู่ที่ 16 วันโดยเฉลี่ย และแม้ว่าเหรียญบางตัวจะล้มเหลวที่จะถูกลิสบนเว็บเทรดภายใน 60 วัน แต่พวกเขาก็ยังได้รับผลกำไร 82% อยู่ดี

นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนที่รอคอยให้เหรียญ ICO ที่พวกเขาซื้อถูกลิสบนเว็บเทรดเพื่อที่จะรับผลกำไร เมื่อราคาเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 67% ในช่วง 30 วันแรกที่ถูกทำการซื้อขาย ซึ่งผลกำไรดังกล่าวนี้อยู่ที่ตัวเลขประมาณ 140% ในช่วง 90 วัน, 430% ในช่วง 180 วัน และ 1,880% ในช่วง 360 วัน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ช่วงเวลาที่ยาวไปหลังจากนี้ยังไม่มีปรากฎ เนื่องจากว่าการเทรดนั้นยังไม่เต็มที่

นักวิจัยกล่าวว่า

“งานวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่านักลงทุน ICO นั้นได้รับผลตอบแทนอย่างงามในการลงทุนแพลทฟอร์มที่ยังสร้างไม่เสร็จ และไม่มีกฎหมายมารองรับเหล่านี้ ซึ่งดูเหมือนว่าจำนวนของตัวเลขด้านการหลอกลวงจะไม่มีนัยสำคัญเท่าไรนัก เนื่องจากว่านักลงทุนสามารถค้นพบได้ด้วยตัวเอง และถอนเงินออกมาก่อน”

ทีมา: CCN

The post ผลสำรวจมหาวิทยาบอสตันเผยนักลงทุน ICO โดยเฉลี่ยทั่วไปทำกำไรที่ 82 เปอร์เซนต์ appeared first on Siam Blockchain.

Tuesday, May 29, 2018

ราคาเหรียญ ICO ฝีมือชาวไทย ZMINE พุ่งแตะ 6 บาท หลังจากเปิดตัวที่ 3.5 บาทบนเว็บ Bx

เหรียญไอซีโอที่เพิ่งจะปิดการระดมทุนไปไม่นานนี้นาม ZMINE (ZMN) เพิ่งจะถูกลิสลงบนเว็บเทรดเหรียญคริปโต Bx และได้มีราคาที่พุ่งขึ้นไปแตะ 6 บาทจากราคาเปิดตัวที่ 3.5 บาท ก่อนที่จะร่วงลงมาอย่างรุนแรง

เหรีียญดังกล่าวถูกเปิดขายผ่าน initial coin offering (ICO) เพื่อนำมาระดมทุนพัฒนาธุรกิจ “เช่าการ์ดจอสำหรับขุดเหรียญ cryptocurrency” โดยทาง ZMINE ได้ดึงเอาบริษัทนำเข้าอุปกรณ์รายใหญ่อย่าง STREK มาเป็นหุ้นส่วนอีกด้วย

ก่อนหน้านี้นักลงทุนสามารถซื้อเหรียญดังกล่าวในรอบ private sale ได้ที่ 500-550 ดอลลาร์ หรือประมาณ 17,600 บาทต่อ 10,000 ZMN อ้างอิงจากทางเว็บ หรือคิดเป็นประมาณ 1.7 บาทต่อ 1 ZMN

โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ราคาของเหรียญดังกล่าวอยู่ที่ 3.75 บาท อ้างอิงจากเว็บ Bx  โดยเพิ่มขึ้นถึง 14.29% จากตอนเปิดตลาด และมีโวลลุ่มอยู่ที่ประมาณ 2.3 ล้าน ZMN

The post ราคาเหรียญ ICO ฝีมือชาวไทย ZMINE พุ่งแตะ 6 บาท หลังจากเปิดตัวที่ 3.5 บาทบนเว็บ Bx appeared first on Siam Blockchain.

รายงาน: ราคาเหรียญ​ ETH ร่วงหนัก ผู้เชี่ยวชาญคาดอาจเป็นฝีมือทีม EOS ตลาดไทยร่วงแตะ 10 บาท

ราคาของเหรียญอันดับสองของโลก Ethereum ได้ร่วงลงอย่างรุนแรงเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยทางเว็บไซต์ TrustNodesได้ออกมากล่าวหาว่าสาเหตุของการร่วงของราคาเหรียญดังกล่าวบนเว็บ Bitfinex นั้นมาจากกลุ่มทีมนักพัฒนา EOS

นอกจากนี้ผู้ใช้งานทวิตเตอร์รายหนึ่งนาม WhalePanda ยังได้มีความเห็นในแบบเดียวกันอีกด้วย

แปล: สงสัยจังว่าใครเพิ่งจะเทขายเหรียญ ETH บน Bitfinex อ้าวไม่ใช่ EOS ที่มีเหรียญ ETH เยอะมาก ๆ และเคยใช้ Finex มาก่อนหรอ

โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ เหรียญ Ethereum นั้นมีราคาอยู่ที่ 517 ดอลลาร์ ซึ่งร่วงลงมากว่า 9.6%

เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ทางเว็บ TrustNodes รายงานว่าทีม EOS ใช้ทุนประมาณ 950 ล้านดอลลาร์ในรูปแบบ ETH ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา อ้างอิงจากจ้อมูลของ Santiment นอกจากนี้พวกเขายังเผยอีกว่ามีเหรียญ ETH ราว ๆ 180,000 ETH ต่อชั่วโมงที่กำลังถูกซื้อขายบน Bitfinex ซึ่งต่างจากตัวเลขที่ 20,000 ETH ต่อชั่วโมงบนเว็บ Bitfinex, GDAX และ OKEx

ตลาดไทยแตะ 10 บาท

ในขณะเดียวกัน ตลาดในไทยที่เพิ่งเกิดใหม่อย่าง Bitkub ก็มีแนวโน้มของราคา Ethereum ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดโลกเช่นกัน เพียงแต่ว่าล่าสุดนั้นค่อนข้างที่จะ “รุนแรง” ไปหน่อย

โดยอ้างอิงจากกราฟราคาบนเว็บดังกล่าวนั้น ดูเหมือนว่าจะมีการซื้อขายกันที่ราคาต่ำสุดที่ 10 บาทต่อ 1 ETH เป็นจำนวนทั้งหมด 20 ETH หรือคิดเป็นเงินทั้งหมด 200 บาท หากเทียบกับราคาตลาดโลกที่ราว ๆ 314,000 บาท

ที่น่าสนใจคือจำนวนโวลลุ่มการซื้อขายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมานั้นได้เพิ่มขึ้นเป็น 210.07 ETH ซึ่งมากกว่าช่วงตอนเริ่มต้นเปิดตลาดถึงหลายเท่าตัว

The post รายงาน: ราคาเหรียญ​ ETH ร่วงหนัก ผู้เชี่ยวชาญคาดอาจเป็นฝีมือทีม EOS ตลาดไทยร่วงแตะ 10 บาท appeared first on Siam Blockchain.