Wednesday, July 26, 2017

Cloud Mining ทางเลือกใหม่ของนักขุดเหรียญคริปโต

ในยุคที่เหรียญคริปโตกำลังเฟื่องฟูและเป็นที่รู้จักกันในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

มีผู้ให้ความสนใจมากมายที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวงการคริปโตไม่ว่าจะเป็น การเข้าซื้อขายเหรียญคริปโตเพื่อเก็งกำไรในอนาคต, การเทรดหากำไรรอบสั้นจากค่าความผันผวนของอุปสงค์อุปทาน หรือแม้แต่การทำเหมืองแบบ GPU หรือ ASIC เพื่อครอบครองเหรียญคริปโต

ซึ่งแต่ละแนวทางต่างต้องนำทุนของผู้ที่เข้ามาทำเหมืองเพื่อลงทุนในเบื้องต้นก่อนโดยผลหวังกำไรในระยะยาว

ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา สำหรับเหรียญ Ether ที่โด่งดังจากกระแส ICO ทำให้ราคา Ether พุ่งสูงไปถึง 400 ดอลลาร์

ทำให้ผู้ที่มองตัวแปรเรื่องเงินเป็นดับแรกเข้ามาโดยไม่ศึกษาถึงความเสี่ยงต่างก็บาดเจ็บกันไป จากระยะเวลาคืนทุนที่หวังไว้ก็กินระยะเวลามากขึ้น

(ปัจจุบัน Ether มีราคาราวๆ 210-230 US) แม้ว่า Ether ราคาจะลดลงมามากแล้วก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสนใจในคริปโตตัวนี้ของนักลงทุนชาวไทยลดลงแม้แต่น้อย

สามารถดูได้จากราคาอุปกรณ์ทำเหมืองอย่างเช่นการ์ดจอที่ราคาสูงกว่าปกติแต่ก็ยังขายได้ดีอย่างเทน้ำเทท่า

(distributor ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการขายสินค้าแพงกว่าปกติอีกทั้งยังรับความเสี่ยงน้อยกว่านักขุด)

แล้วตัวเลือกอื่นล่ะ?

วันนี้มีอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการนำเงินไปลงทุนซื้อ RIG หรือ ASIC ที่ราคาแพงกว่าปกติเมื่อนำเข้ามาขายในประเทศไทย

บางแหล่งขายในราคาที่สูงมากกว่าราคาจองจากเว็บผู้ผลิตถึงเท่าตัว แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายแห่ไปจองเครื่องจนหมดภายในระยะเวลาไม่กี่วัน

ผู้อ่านคงจะเคยได้ยิน การทำเหมืองแบบเช่า” หรือ Cloud mining หมายถึงทำสัญญาซื้อขายกำลังขุดกับทางผู้ให้บริการที่ มีข้อตกลงแตกต่างกันไปตามที่ระบุในสัญญาเช่า

การเลือกผู้ให้บริการก็มีความสำคัญไม่แพ้การศึกษาถึงความเสี่ยงในอนาคต ผู้ให้บริการก็มีหลายเจ้า ยกตัวอย่างเช่น Genesis -Mining, Hashflare, Hashnest, Hashing24 ฯลฯ

วันนี้ทางเราจะทำการเทียบข้อดีข้อเสียระหว่าง GPU, ASIC และ Cloud mining ว่าตัวเลือกไหนเหมาะกับใครมากกว่ากัน

แต่ถึงอย่างไรการลงทุนทำเหมืองทั้งสามแบบนี้ต้องมีการศึกษา คอนเซปต์ และความเสี่ยงของเหรียญนั้นๆมาก่อนเป็นสำคัญอันดับแรก

เนื่องจากผมเคยมีประสบการณ์การขุดทั้งแบบ GPU และ Cloud mining แล้วพบว่าแต่ละรูปแบบเหมืองมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปดังนี้

ข้อดีและข้อเสียของ GPU และ ASIC

ข้อดี

  • เรามีเหมืองอยู่กับเราสามารถขายได้ทันทีในกรณีมีปัญหา
  • เปลี่ยนเหรียญที่จะขุดได้ (อัลกอริทึมของแต่ละเหรียญมีข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยีชิปและผู้ผลิต)
  • เลือกพูลขุดได้
  • ไม่มีข้อจำกัดทางสัญญา
  • อุ่นใจมีเหมืองวางให้เห็นให้ความรู้สึกว่าเป็นของๆเรา

ข้อเสีย

  • ต้นทุนสูงตามกระแส
  • ต้องมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์พอสมควร
  • ต้องมีการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ทำเหมือง
  • ต้องมีการเตรียมสถานที่
  • ต้องเจอกับปัญหาเรื่องเสียงดังและความร้อน
  • บิลค่าไฟที่แพงขึ้น
  • อินเตอร์เน็ตมักมีปัญหา
  • ค่าเสื่อมอุปกรณ์ การเคลมอุปกรณ์ อาจใช้ระยะเวลานานทำให้ขาดรายได้
  • ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดอาจไฟไหม้
  • นอนไม่หลับ มีความกังวล แรงขุดตก การโอเวอร์คล็อค การจ่ายไฟไม่นิ่ง
  • ไฟดับ ไฟตก สัตว์เลี้ยง เพื่อนบ้านบ่นฯลฯ

ข้อดีและข้อเสียของ Cloud mining

ข้อดี

  • ง่าย ไม่ต้องมีความรู้ด้านการบำรุงรักษาแก้ไขฮาร์ดแวร์หรือโปรแกรมขุด
  • ทำสัญญาครั้งเดียว ตั้งค่า แล้วรอรับส่วนแบ่งตามสัญญา
  • กำลังขุดคงที่เพราะให้บริการโดยมืออาชีพ
  • เริ่มต้นโดนใช้ทุนน้อยหรือมากได้ตามกำลัง (แล้วแต่ผู้ให้บริการ)

ข้อเสีย

  • เหมืองไม่อยู่กับนักขุด อาจมีความกังวล
  • ทำสัญญาแล้วแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้
  • มีราคาสูงเมื่อเทียบกำลังขุดต่อเงินที่จ่าย
  • มีระบบ Affiliate ดูคล้ายแชร์ลูกโซ่ (แล้วแต่ผู้ให้บริการ)
  • มีเหตุบอกเลิกสัญญาในกรณีที่ขุดเหรียญได้ไม่พอค่าบำรุงดูแล
  • มีขั้นต่ำจ่ายเงินออก
  • กรณีที่ร้ายแรงที่สุดผู้ให้บริการอาจปิดหนี

หลังจากนี้จะแชร์ประสบการณ์ของผู้เขียนซึ่งอกหักมาจากการทำเหมืองแบบ GPUกล่าวคือผมเป็นแมงเม่าเหมือง (ซื้ออุปกรณ์มาแพง RX580 8GB 6 ชิ้น มาในราคาชิ้นละ 10,500 บาท) ตอนทำเหมืองใหม่ๆอะไรก็ดูดีไปหมด ทั้งราคาเหรียญ ทั้งค่าความยากในการขุดก็ไม่ได้มาก ( ตอนนี้ค่าความยากเป็นสองเท่าตัวแล้วสำหรับ Ether)

ก่อนหน้านี้เคยมีรายได้วันละ 1,200 บาท ตอนที่เหมืองมีรายได้ลดลง ผมจึงตัดสินใจขายเหมืองต่อได้ในราคาเกือบเท่าต้นทุนจึงไม่ถึงกับเจ็บอะไรมาก และยังได้ความความสบายใจไม่ต้องกังวลเรื่องเหมือง

ผมยังไม่ยอมแพ้ที่จะหาทางได้เหรียญไว้ในครอบครอง จนได้มาศึกษา Cloud-mining ถึงความเสี่ยงในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ ค่าบำรุงดูแลของผู้ให้บริการ ที่ดูเหมือนจะคืนทุนช้า

แต่ก็มีสัญญาตัวหนึ่งทำให้ผมอาจจะกลายเป็นเม่าในการลงทุนแบบ  Cloud-mining ก็ได้ สัญญาที่ว่านั้นคือการขุด Bitcoin สัญญาเช่าซื้อกำลังขุด SHA-256 แบบไม่มีระยะเวลาจำกัดจนกว่าจะมีเหตุบอกเลิกสัญญา

หลังจากที่อ่านสัญญาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เก็คิดว่าไม่เป็นไร อาจจะคืนทุนช้าหน่อย แต่ก็ต้องได้ครอบครองเหรียญบ้าง (บางคนอาจถามว่าทำไมผมไม่ซื้อบิทคอยไว้ตอนนี้แล้วรอราคาขึ้น บอกเลยว่าผมทุนน้อย สัดส่วน กำไรจึงน้อยด้วย) เพราะผมหวังผลระยะยาว

จะขุดเก็บไว้ทำกำไรตอนราคาขึ้น หรือขุดมาขายทุกวันก็ตามสะดวกเผื่อวันไหนมีเหตุต้องใช้เงิน ด้วยต้นทุนเท่าเดิมตอนนี้ผมมีรายรับวันละ ประมาณ 500-600 บาท (ที่ราคา Bitcoin ละ 2700 US)

มันอาจจะดูไม่หวือหวาเหมือนตอนทำเหมือง Ether แต่ที่ผมได้คือความสบายใจ ไม่ต้องกังวลกับเหมืองสุดที่รักอีกต่อไป แฟนก็ไม่บ่นเพราะนางไม่รู้ว่าแอบทำ Cloud-mining แต่ก็อย่างว่า เพราะ

*การลงทุนมีความเสี่ยง อย่าลืมว่าเราควรลงทุนด้วยเงินจำนวนที่เราจะเสียได้*

Cloud mining ที่ผมเลือกทำสัญญาด้วยคือ Genesis Mining กำลังขุด 30TH/s ซึ่งมีราคาต่อหน่วย TH ละ 130 US

ขุด BITCOIN SHA-256 ไม่มีกำหนดระยะเวลาเป็นสัญญาระยะยาว แต่ยังมีความเสี่ยงที่ ค่าความยากอาจ จะขึ้นมหาศาล แต่ถ้าราคาของ Bitcoin ไล่ตามทันก็ไม่เป็นปัญหาทว่า

ถ้าราคา Bitcoin ร่วงหนักก็อาจจะคืนทุนช้าหรือในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือถูกบอกเลิกสัญญา แต่ผมก็พร้อมรับความเสี่ยงนี้และมีความเชื่อมั่นว่า Bitcoinจะเป็นเหรียญคริปโตที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าสกุลอื่นอยู่พอสมควร

แม้จะมีข่าวต่างๆออกมากระหน่ำทั้งกระแส Segwit2X อีกทั้งยังมี Bitcoin Unlimited และ Bitoin Cash เป็นต้น แต่ Bitcoin ก็กลับมายืนอยู่หยัดเป็นเหรียญอันดับหนึ่งที่เคยแข็งแกร่งยังไง มาวันนี้ก็ยังแข็งแกร่งไม่เคยเปลี่ยนเสมอ ถ้าไปได้ไกลกว่านั้นคือกำไรของผม

ทำไมผมถึงเลือก ผู้ให้บริการนี้ เพราะเป็นผู้ให้บริการ Genesis Mining อันดับ 1 ของโลก มีเครดิตยาวนานและพาร์ทเนอร์ที่น่าเชื่อถือ

ผมในฐานะผู้เขียนมาแนะนำเพื่อเป็นทางเลือกเท่านั้น ข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงการตัดสินใจและความชอบส่วนตัวเท่านั้นผู้ให้บริการมีมากมายให้เลือก ผู้อ่านควรศึกษาสัญญาและอนาคตของเหรียญด้วยตนเองก่อนทำการลงทุนเสมอ

ผู้เขียนได้สร้าง Youtube Channel เพื่อบอกให้ทราบถึงความเสี่ยงต่างๆ โดยนำเสนอข้อมูลที่เข้าใจได้ง่ายและเสริมความบันเทิง ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปศึกษา

The post Cloud Mining ทางเลือกใหม่ของนักขุดเหรียญคริปโต appeared first on Siam Blockchain.

มีคนพยายามขู่เอา 52 BTC จากนาย Jared Kushner หรือที่ปรึกษาทรัมป์ ปีที่แล้ว

ที่ปรึกษาของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ได้รายงานให้สภาคองเกรซเมื่อสัปดาห์นี้ ว่ามีบางคนพยายามจะขู่เอา Bitcoin จากเขาประมาณ 52 BTC เมื่อช่วงก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีปีที่แล้ว

โดยนาย Jared Kushner หรือที่ปรึกษาระดับสูงของ White House ได้รายงานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้ก่อนการประชุมกับสมาชิกวุฒิสภาผู้ที่กำลังทำการสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทำการทุจริตการเลือกตั้งโดยมีรัสเซียเป็นผู้หนุ่นหลังหรือไม่ ซึ่งนาย Jared Kushner หรือผู้ที่เป็นทั้งนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และสามีของนาง Ivanka ที่เป็นลูกสาวของทรัมป์ ได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดในสภา

โดยในคำให้การของนาย Kushner นั้นได้มีการเล่าถึงเรื่องราวเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว เมื่อเขาได้รับอีเมล์จากคนๆหนึ่งที่ใช้นามแฝงว่า “Guccifer400” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักแฮคชาวโรมาเนียที่เคยเจาะระบบอีเมล์ของรัฐบาลสหรัฐฯและโรมาเนีย

ซึ่งอ้างอิงจากนาย Kushner นั้น นักแฮครายนี้ได้ข่มขู่เขาว่าจะทำการ leak ข้อมูลเกี่ยวกับการคืนภาษีของนายโดนัลทรัมป์ ซึ่งเป็นหัวข้อที่หลายๆฝ่ายให้ความสนใจในช่วงเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว โดยข่มขู่ว่าถ้าหากนาย Kushner จ่ายให้เข้าเป็นจำนวน 52 BTC (ราวๆ 37,000 ดอลลาร์ในขณะนั้น) นั้น เขาจะไม่ปลดปล่อยข้อมูลดังกล่าวสู่สาธารณะ

แม้ว่าเขาจะนำมาเล่าให้สภาฟังในตอนหลังนั้น แต่เขาก็ได้บอกว่าในตอนหลัง เขาไม่ได้จ่ายไป

“ผมได้หยิบอีเมล์ฉบับดังกล่าวมาให้ Secret Service agent ดูในขณะที่เรากำลังเดินทางบนเครื่องบิน และผมก็ถามเขาว่าเขาคิดอย่างไร หลังจากนั้นเขาก็แนะนำผมให้เพิกเฉยต่ออีเมล์ดังกล่าวซะ และผมก็ทำตามที่เขาแนะนำ” Kushner กล่าว “และเจ้าของอีเมล์นั้นก็ไม่ได้ติดต่อผมกลับมาอีกเลย”

The post มีคนพยายามขู่เอา 52 BTC จากนาย Jared Kushner หรือที่ปรึกษาทรัมป์ ปีที่แล้ว appeared first on Siam Blockchain.