ในช่วง 2-3 ปีมานี้เทรนด์หรือกระแส cryptocurrency และ Blockchain ได้แผ่ขยายไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่ทำให้มันได้รับความนิยมอย่างมากคงจะหนีไม่พ้นเทคโนโลยีที่หนุนหลังมันอยู่, การโอนและส่งหากันด้วยความรวดเร็ว, ความปลอดภัย และแน่นอนที่สำคัญ ราคาและมูลค่าตลาดของมันที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าหลายๆคนที่เข้ามาในวงการนี้ส่วนใหญ่ต้องการที่จะเก็งกำไรและหารายได้จากมันมากกว่าการนำมาใช้งานจริงในชีวิตประจำวันเหมือนที่แก่นแท้ของมันถูกกำหนดไว้ และแน่นอน ความนิยมของมันได้ส่งผลให้ใครๆอีกหลายคนต้องการที่จะสร้างเหรียญของตัวเองขึ้นมา ไม่ว่าจะทั้งเพื่อการระดมทุน, เพื่อความสนุก และหรือเพื่อกระทั่งหลอกลวงคนธรรมดาที่ด้อยการศึกษาเพื่อเอาเงินจากพวกเขา
นิยามของคำว่า Cryptocurrency
คำว่า Cryptocurrency ที่เราคุ้นเคยกันอยู่ทุกวันนี้ หากลองมาดูดีๆแล้วมันจะเป็นการรวมตัวของคำสองคำซึ่งก็คือคำว่า cryptography (การเข้ารหัส) และ currency (สกุลเงิน) หรือถ้าแปลตรงตัวก็คือสกุลเงินที่ถูกเข้ารหัส ซึ่งคอนเซปและแนวคิดเริ่มแรกของมันนั้นถูกคิดค้นและพัฒนาด้วยบุคคล (หรือกลุ่มคน) ปริศนาชื่อ Satoshi Nakamoto และคลอดออกมาเป็นเหรียญ Bitcoin เหรียญแรกของโลกเมื่อปี 2009 ซึ่งเทคโนโลยี Blockchain ที่สร้างชื่อเสียงให้เจ้าเหรียญตัวนี้มีหลักการทำงานในการเข้ารหัสชื่อว่า SHA-256 ที่สามารถอธิบายได้ง่ายๆดังนี้
สมมติว่าผมมีประโยค 1 ประโยคที่เขียนว่า “สวัสดีครับ” เมื่อถูกนำไปเข้ารหัส SHA-256 แบบเฉพาะของมันก็จะกลายเป็น
6e795f1d3f0ba8eb3a9372cf2a20acdd90a3f59e5a33583e7e7d19c818b416bb
ไม่เชื่อหรือครับ? ลองเข้าไปที่เว็บนี้แล้วก็อปชุดตัวเลขและตัวหนังสือด้านบนไปวางไว้ในช่องจากนั้นกด Decrypt ดูก็จะได้ตัวหนังสือแบบที่ผมเขียนไว้ด้านบนพอดี ซึ่งนี่คือการทำงานของการเข้ารหัสและถอดรหัส
แม้ว่าการทำงานในการเข้าและถอดรหัสของ Bitcoin นั้นจะค่อนข้างซับซ้อนกว่า เราคงจะไม่นำมาอธิบายอย่างละเอียดมากนักในบทความนี้ แต่ภาพด้านล่างนี้น่าจะทำให้หลายๆคนเข้าใจถึงขั้นตอนการทำงานของมัน
หลักการจำแบบง่ายๆก็คือ เหรียญ Cryptocurrency นั้นคือเหรียญที่มีการเก็บธุรกรรมบน Blockchain ที่โปร่งใส ทุกๆคนสามารถที่จะเข้ามาตรวจสอบดูธุรกรรมของทุกๆคนได้หมดตั้งแต่ถือกำเนิดเหรียญตัวนั้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งเหรียญใดก็แล้วแต่ที่ไม่มีการเปิดเผย Blockchain ของตัวเอง หรือไม่มี Blockchain ของตัวเองนั้นจะถือว่า
“ไม่ใช่สกุลเงิน Cryptocurrency”
ข้ออ้างที่กลุ่มแชร์ลูกโซ่มักจะใช้
วันนี้ทางสยามบล็อกเชนได้รวบรวมข้ออ้างที่แม่ทีมแชร์ลูกโซ่เงินดิจิตอลใช้มาเพื่อดึงเอา Bitcoin เข้าไปเกี่ยวข้อง และนำสกุลเงินของตัวเองไปเปรียบเทียบกับ Bitcoin เพื่อจงใจให้ผู้ที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์ด้านนี้หลงกลและหลงเชื่อ และถูกหลอกลวงไปในท้ายที่สุด
- Bitcoin ไม่มีบริษัทและไม่มีการจดทะเบียนตามกฎหมาย
ข้อเท็จจริง – Bitcoin นั้นถือเป็นสกุลเงิน Cryptocurrency ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่โลกของเราประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ และธนาคารหลายๆธนาคารเอาเงินของลูกค้าที่ฝากไว้ไปอุ้มเศรษฐกิจของตัวการบ่อนทำลายเศรษฐกิจโดยไม่ได้ขออนุญาตประชาชน ดังนั้นแนวคิดเพื่อสร้างสกุลเงินที่ไม่จำเป็นต้องมีคนกลางเข้ายุ่งวุ่นวายอย่างเช่นธนาคารจึงเกิดขึ้นมา ซึ่งนั่นหมายความว่าสกุลเงินดังกล่าวนั้นจะต้องทำงานได้ด้วยตัวมันเอง ไม่มีศูนย์กลาง มีความไร้ตัวตนโดยสมบูรณ์ และไม่มีใครมาเป็นเจ้าของโดยเบ็ดเสร็จไม่ว่าจะทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย ดังนั้นเทคโนโลยี Blockchain ที่มีรูปแบบการกระจายศูนย์ (Decentralization) จึงเกิดขึ้นมา ไม่ว่าใครก็สามารถที่จะเป็นส่วนร่วมในการช่วยให้ระบบ Bitcoin ทำงานได้ดียิ่งขึ้น (โดยการเปิด full node หรือการขุด) ดังนั้นคำกล่าวที่ว่ามันไม่มีบริษัทและการจดทะเบียนตามกฎหมายนั้น ต้องบอกว่ามันถูกกำหนดขึ้นมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า เมื่อมันไม่มีใครเป็นเจ้าของได้มาตั้งแต่เริ่มแบบไหน ก็จะเป็นแบบนั้นอีกตลอดไป ทว่าเรื่องกฎหมายนั้น ในขณะนี้มีบางประเทศที่ออกกฎหมายให้การใช้งาน Bitcoin นั้นสามารถนำมาใช้ซื้อสินค้าแทนเงินสดแล้ว เช่นประเทศญี่ปุ่นที่ทางรัฐบาลออกมาประกาศให้มันถูกกฎหมายเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา อีกทั้งยังประกาศยกเลิกภาษีผู้บริโภค 8% สำหรับผู้ใช้งาน Bitcoin เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้เจ้าเหรียญตัวนี้อีกเยอะด้วย - Bitcoin ถูกนำขึ้นไปไว้บนตลาดเก็งกำไรทำให้ราคาผันผวนมาก
ข้อเท็จจริง – ตลาดซื้อขายหรือที่บางคนเรียกว่าตลาดเก็งกำไรนั้น ภาษานักเทรดจะใช้คำว่า spot market ซึ่งตลาดดังกล่าวนี้ถือเป็นมาตรฐานของทั่วโลกที่แทบจะทุกประเทศใช้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดซื้อขายหุ้น, ตลาดซื้อขายสินค้าทั่วๆไปหรือแม้แต่ตลาดซื้อขายหินแร่อย่างเงินและทองคำ (Comodities) จุดกำเนิดของตลาดนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถูกคิดค้นเพื่อรองรับอุปสงค์และอุปทานของคนหมู่มาก ซึ่งหลักการง่ายๆก็คือถ้าสินค้าในตลาดมีมากและความต้องการน้อย ราคาก็จะถูกลง หรือถ้าหากสินค้าในตลาดมีน้อยและความต้องการมาก ก็จะทำให้ราคาของมันแพงขึ้นเป็นต้น ดั่งที่เราได้เห็นกันในชีวิตประจำวันเช่นราคาทอง, ราคายาง, ราคาน้ำมัน เป็นต้น ในขณะที่ Bitcoin ก็มีการซื้อขายโดยอ้างอิงจากอุปสงค์และอุปทานเช่นเดียวกันนั้น (อ่านข้อ 1 ในกรณีที่ผู้คนในประเทศญีปุ่่นเริ่มหันมาใช้ Bitcoin กันมากขึ้น) ด้วยความที่ลักษณะธรรมชาติของมันที่เป็น Cryptocurrency กล่าวคือสามารถใช้ส่งหากันได้อย่างรวดเร็ว และส่งหากันได้ทั่วโลกจึงทำให้การเติมอุปสงค์นั้นรวดเร็วกว่าสินค้าอย่างเช่นทอง จึงส่งผลทำให้ราคาการซื้อขายของมันมีการเปลี่ยนแปลงผันผวนที่รวดเร็วตาม - Bitcoin มีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญจึงไม่เพียงพอในการนำไปใช้จ่ายจริง
ความจริง – การจำกัดจำนวนของ Bitcoin ที่ 21 ล้านเหรียญนั้นเป็นแผนการของ Satoshi Nakamoto ที่คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เหตุผลหลักๆก็เนื่องมาจากปัญหาเงินเฟ้อที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลังถ้าหาก Bitcoin นั้นถูกผลิตออกมาแบบไร้จำนวนจำกัดแบบที่เราเห็นๆกันในอดีตในหลายๆประเทศที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อจากการพิมพ์ธนบัตรที่มีต้นทุนถูกมากๆได้เอง ส่วนคำถามที่ว่ามันจะเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่นั้น Bitcoin สามารถถูกนำไป quote ให้มีหน่วยย่อยๆได้ นั่นหมายความว่าผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องซื้อ 1 BTC (ปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ 138,500 บาท) แต่เขาอาจจะซื้อที่ 0.0036594 BTC ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 500 บาทก็ได้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของราคาในอนาคตเมื่อนำมาเทียบเคียงกับหน่วยย่อยแล้วนั้น ถือว่ายังไงก็เพียงพอต่อการนำไปใช้จ่ายจริงอย่างแน่นอน - Bitcoin ไม่มี KYC (Know Your Customer) ทำให้อาชญากรนำไปใช้ทำกิจกรรมผิดกฎหมาย
ความจริง – KYC หรือ Know your customer คือการที่ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนต้องทำการเก็บข้อมูลของลูกค้าหรือผู้ใช้งาน เพื่อความโปร่งใสทางด้านกฎหมาย และเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้งานนั้นๆจะไม่นำ Bitcoin ไปใช้ในทางมิชอบ ปัจจุบันเว็บไซต์ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยน Bitcoin ชื่อดังหลายๆที่ ไม่ว่าจะทั้งในไทยอย่างเช่น Bx หรือในหรือในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเช่น Coinbase และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนอย่าง OKCoin, BTCChina, Huobi ที่มีการตรวจสอบ KYC อย่างเข้มงวดอันเนื่องมาจากรัฐบาลของประเทศจีนนั้นเอาจริงเอาจังกับกฎหมายการฟอกเงินมาก อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า Bitcoin นั้นจะเป็นตัวเลือกที่อาชญากรหลายๆคนเริ่มหันมานิยมใช้ก่ออาชญากรรมเนื่องมาจากความไร้ตัวตนของมันที่จะไม่มีการแสดงชื่อและที่อยู่ของผู้ใช้งาน แต่หากลองมาคิดดูให้ดิีๆแล้วนั้น แม้ไม่มี Bitcoin อาชญากรรมทางด้านการเงินทั่วๆไปก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ซึ่งตัวเลือกที่พวกอาชญากรเลือกใช้เหล่านั้นก็คงไม่พ้นเงินสด ในอดีตการซื้อขายยาเสพย์ติดและอาวุธก็ใช้เงินสดเช่นกัน ดังนั้นหากจะกล่าวหาว่า Bitcoin คือต้นเหตุของอาชญากรรมดังกล่าวก็คงจะไม่ถูกต้องเสมอไป เมื่อไม่นานมานี้ทางสำนักข่าว Coin Telegraph ได้รายงานให้เห็นว่าผู้ก่อการร้ายนั้นใช้ Bitcoin เพื่อทำกิจกรรมทางด้านผิดกฎหมายน้อยกว่าเงินสดเสียอีก ดังนั้น Bitcoin ก็น่าจะเหมือนๆกับสกุลเงินทั่วๆไปที่มีตัวตนขึ้นมาแบบเป็นกลาง เพียงแค่ไม่สามารถจับต้องได้ กล่าวคือใครจะหยิบไปใช้ทำอะไรก็ได้ โดยไม่สนว่าสิ่งๆนั้นจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย แต่สิ่งหนึ่งที่ Bitcoin ได้เปรียบมากกว่าเงินสดก็คือความโปร่งใสของมันที่มีเทคโนโลยี Blockchain มาเป็นตัวขับเคลื่อน กล่าวคือผู้ใช้งานสามารถที่จะตรวจสอบที่มาที่ไปของธุรกรรมได้ตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เงินสดไม่สามารถทำได้ ดั่งที่เห็นในเคสตัวอย่างของการสืบสวนและจับกุมเจ้าของเว็บ BTC-e ที่มีการสืบหาต้นตอว่าเขาได้นำ Bitcoin ที่ถูกขโมยมาจาก Mt Gox เมื่อปี 2013 ไปฟอก และโอนเข้าหาบัญชีของตัวเองอีกด้วย
แม้ว่าปัจจุบันนั้นผู้ใช้งานจะไม่สามารถที่จะป้องกันไม่ให้มีสกุลเงินดิจิตอลหลอกลวงหรือแชร์ลูกโซ่โผล่ขึ้นมาได้ แต่สิ่งที่เราสามารถที่จะป้องกันได้ก็คือตัวเราเองในการที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อของธุรกิจหลอกลวงพวกนี้ ซึ่งการศึกษาหาข้อมูลและเปิดรับข่าวสารในทุกๆด้านนั้นเป็นสิ่งที่ควรพึงกระทำ อย่างน้อยถ้าหากคุณรู้ เข้าใจ และตกผลึกในทุกๆเรื่องจนสามารถจำแนกได้แล้วว่าอะไรคือ cryptocurrency, อะไรคือเทคโนโลยี blockchain, อะไรคือ Altcoin และอะไรคือสกุลเงินดิจิตอลแชร์ลูกโซ่ ทางเราก็ขอแสดงความยินดีด้วยว่าคุณได้ก้าวข้ามผ่านจุดๆหนึ่งที่อีกหลายๆคนกำลังพยายามก้าวข้ามมันมาแล้ว
The post ข้ออ้างยอดนิยมที่แม่ทีมแชร์ลูกโซ่เงินดิจิตอลใช้เพื่อโจมตี Bitcoin appeared first on Siam Blockchain.
No comments:
Post a Comment